[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 5: -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 5 อธิษฐานแก่การหวนคืน
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 5: -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 5 อธิษฐานแก่การหวนคืน
ก่อนที่เวอร์เท็กซ์จะเข้ารุกราน
ฉันไปเล่นที่บ้านของว่าคาบาจังเหมือนทุกครั้ง ในวันนั้นเธอกำลังฝึกอิไอโดที่โรงฝึกเช่นเคย
ฉันชอบตอนที่เธอกำลังเหวี่ยงดาบ
หลังจากฝึกเสร็จแล้ว พวกเราจะมานั่งดื่มชากับคุยเล่นกันที่ระเบียงของโรงฝึก เป็นแค่บทสนทนาเรื่อยเปื่อยเพียงสั้น ต่อมาความเหนื่อยล้าจากการฝึกเริ่มส่งผลแล้ววาคาบะจังก็นอนลงบนตักของฉัน
“อืมม… ขอบคุณนะฮินาตะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ การเป็นตักให้เธอหนุนได้เป็นสิทธิพิเศษของฉันนะ”
ฉันคิดว่าวันเหล่านั้นเป็นวันที่มีความสุข
เพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างวาคาบะจังก็ทำให้มีความสุขแล้ว อยากให้วันที่สงบสุขแบบนี้ดำเนินตลอดไป
นกกระจอกตัวหนึ่งบินมาเกาะรังของมันที่สามารถมองเห็นได้จากระเบียง
แม่นำอาหารมาให้ลูกของมัน พวกนกตัวน้อยในรังอ้าปากร้องเสียงจิ๊บๆ อย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นแม่กลับมา
“เป็นครอบครัวที่ดีนะ”
วาคาบะมองพวกมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“นั่นสินะ”
ฉันลูบศีรษะของเธอเบาๆ แล้ววาคาบะจังก็หลับตาลงอย่างสุขสบาย
แต่ว่า…
พฤติกรรมที่พวกนกทำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่ามันมีความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ
จากที่เคยได้ยินมามันคือ [พฤติกรรมที่มีแบบแผนแน่นอน](鍵刺激 Kagishigeki Fixed Action pattern) เป็นเพียงรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยบางสิ่งบางอย่าง
หลายการกระทำของสัตว์ที่ถูกมองว่าเป็นการแสดงเสน่หาหรือความรักของพ่อแม่เป็นพฤติกรรมที่มีแบบแผนแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นการที่นกกกไข่ไม่ใช่เพราะมันมีความรักต่อลูกของมัน รูปทรงและสีของไข่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่มีแบบแผนแน่นอนที่ทำให้นกต้องการกกไข่ เคยมีการทดลองชื่อดังชิ้นหนึ่ง… ได้นำไข่ปลอมที่มีรูปทรงและสีเหมือนกับของจริง แต่มีขนาดใหญ่กว่าวางอยู่ตรงหน้านกพรานหอย(ミヤコドリ Miyakodori Oystercatcher) ผลที่ได้คือ นกตัวนั้นทิ้งไข่ของมันแล้วเข้าไปกกไข่ของปล่อมแทน ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ยิ่งสร้างแรงกระตุ้นมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่นกทำเป็นเพียงแค่การตอบสนอง
หมายความว่าพวกนกไม่มีความรักต่อกันเลยงั้นเหรอ?
มันเพียงแค่ทำตามพฤติกรรมที่มีแบบแผนแน่นอนโดยไร้ซึ่งหัวใจงั้นเหรอ?
…แล้วตัวฉันล่ะ?
มีความรักความรู้สึกในการกระทำของฉันบ้างหรือเปล่า?
หลังจากนั้นหลายเดือน เวอร์เท็กซ์ก็เข้ารุกราน
เพราะกำแพงของท่านชินจู ทำให้ชิโกกุแยกออกจากโลกภายนอกและหนีพ้นจากภัยร้ายของเวอร์เท็กซ์ ทำให้มนุษย์ได้เวลาพักหายใจชั่วระยะหนึ่ง
วาคาบะจังได้เป็นผู้กล้าผู้ต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ ส่วนฉันได้เป็นมิโกะผู้รับฟังเสียงจากท่านชินจู
พวกผู้กล้าพักอาศัยอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะ ขณะที่มิโกะพักที่หอพักของไทชะ ที่ชิโกกุมีผู้กล้าเพียงห้าคน แต่มีมิโกะเยอะกว่ามาก มิโกะส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิงวัยประมาณประถมถึงมัธยมต้น บางคนอยู่ชิโกกุมาตั้งแต่แรกอย่างฉัน บางคนเป็นผู้ลี้ภัยจากนอกชิโกกุ
ย้อนกลับไปตอนที่เพิ่งเข้าไทชะ มิโกะทุกคนดูหดหู่และบรรยากาศรอบตัวทำให้รู้สึกหนักอึ้ง ทำเอาหายใจไม่ออกราวกับจมน้ำมันดิน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มิโกะหลายคนเห็นเพื่อนถูกเวอร์เท็กซ์ฆ่าต่อหน้าต่อตา หรือไม่ก็เกือบโดนฆ่าเสียเอง หลายคนมีสภาพจิตใจไม่มั่นคง และเพราะเป็นเด็กจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เหมือนผู้ใหญ่
มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นทุกวัน การกลั่นแกล้งก็เช่นกัน เป็นเหมือนกับห้องเรียนโกลาหล
ฉันอยากจะเปลี่บนบรรยากาศสักเล็กน้อย เลยพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือให้ผู้คนเข้ากันได้ ถึงไม่รู้ว่าที่ทำอยู่มีประโยชน์หรือเปล่า แต่ไม่กี่เดือนต่อมามิโกะส่วนใหญ่ก็ใจเย็นลงและแทบจะไม่ทะเลาะกันแล้ว
“ดีจริงๆ” ฉันคิดอย่างนั้น
วันหนึ่งฉันได้ยินนักบวชคุยกัน
“ฉันล่ะไม่เข้าใจความคิดของท่านอูเอซาโตะเลย ไม่เคยพูดหรือทำอะไรที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ช่วยเหลือคนอื่นหรือไม่ก็ช่วยไกล่เกลี่ยไม่ให้คนทะเลาะกัน”
“เธอเป็นเด็กที่ดีและซื่อตรง เรื่องแบบนั้นมันก็ดีอยู่หรอก แต่เด็กอายุเท่านี้ใช้ชีวิตแบบนั้นได้จริงเหรอ?”
“น่าขยะแขยง”
“ต้องมีอะไรผิดพลาดในตัวเธอแน่ๆ”
แน่นอนว่าฉันทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น
สิ่งที่พวกเขาพูดไม่ทำให้รู้สึกโกรธหรือเศร้า “อย่างนี้นี่เอง พวกเขารู้สึกกับฉันอย่างนี้สินะ” ฉันรู้สึกถึงความเข้าใจแปลกๆ ที่ก่อตัวขึ้น
… ฉันล่ะไม่เข้าใจความคิดของเธอเลย
ฉันคงเป็นคนที่ว่างเปล่า ภายในนี้ไม่มีความปรารถนาให้กับตนเอง ทุกการกระทำของฉันถูกกระตุ้นโดยคนอื่นเสมอ ไม่เคยทำอะไรโดยมาจาก “ฉันอยากทำ” แต่เป็น “เพราะพวกเขาอยากให้ทำ”
บางคนให้คำนิยามคนที่ทำเพื่อคนอื่นว่าเป็นคน “ใจดี” หรือ “เอาอกเอาใจผู้อื่น” แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพราะพวกเขาขาดสิ่งที่เรียกว่าตัวเองไป
และมันไม่แปลกที่จะทำให้คนภายนอกรู้สึกขยะแขยง
Ⓞ Ⓞ
ฤดูใบไม้ร่วงปี 2019
คุณโคโอริ จิคาเงะจากไปแล้ว, คุณฮานะโมโตะ โยชิกะก็หายไปจากไทชะ, การต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ที่เกิดขึ้นในฤดูร้อน… ทั้งหมดนั่นราวกับเป็นเพียงความทรงจำที่ห่างไกล
การต่อสู้ในฤดูร้อนถือว่าเป็นระดับประวัติการณ์ โดยมีเวอร์เท็กซ์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยพบมาก่อนถึงเจ็ดตัวบุกเข้าชิโกกุ ผู้กล้าที่เหลืออยู่เพียงสองคน… วาคาบะจังกับคุณทาคาชิม่า ยูนะเผชิญหน้ากับพวกมัน คุณยูนะตายในหน้าที่ ส่วนวาคาบะจังได้รับบาดเจ็บสาหัส
ถึงจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่เหล่าผู้กล้าก็ปกป้องชิโกกุกับท่านชินจูได้สำเร็จ เพราะพวกเขา การเสริมความแข็งแกร่งให้กับกำแพงจึงเสร็จไปได้ด้วยดีและไม่มีเวอร์เท็กซ์เข้ารุกรานชิโกกุอีกต่อไป
และฉันถูกเรียกมาประชุมที่สำนักงานใหญ่ของไทชะ
“…นี่คือสรุปรายงานสิ่งที่หนูเห็นข้างนอกกำแพงค่ะ”
วันก่อน ฉันกับวาคาบะจังได้ออกไปนอกกำแพงสองคนเพื่อพิสูจน์สิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอกด้วยตาของตัวเอง
กำแพงได้รับการเสริมความแข็งแกร่งแล้วก็จริง แต่โลกภายนอกยังเต็มไปด้วยเวอร์เท็กซ์จำนวนนับไม่ถ้วน พวกเวอร์เท็กซ์ขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนกับที่วาคาบะจังกับคุณยูนะปราบไปตอนการต่อสู้ในฤดูร้อนกำลังเกิดใหม่ ทำให้เป็นที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่า… เวอร์เท็กซ์สามารถเกิดใหม่ได้ไม่มีสิ้นสุด
แต่ข่าวร้ายที่สุดก็คือ… โลกภายนอกกำแพงถูกแทนที่ทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ในขณะที่โลกภายนอกถูกเวอร์เท็กซ์กวาดล้างไปจนเกือบหมด แต่ทุกอย่างยังคงไม่ต่างจากญี่ปุ่นที่เราเคยอยู่
แต่ตอนที่ฉันกับวาคาบะจังออกไปนอกกำแพง ก็ได้พบกับบางอย่างที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่ภาพล่วงตา แต่ดวงอาทิตว์ร่วงลงมาจากบนฟ้าและกลืนกินแผ่นดิน ทุกอย่างถูกปกครุมด้วยไฟและลาวา เป็นภาพที่ราวกับหลุดไปในนรก มันไม่ใช่โลกใบเดิมของเราอีกต่อไป กลายเป็นอีกโลกหนึ่งไปแล้ว
ฉันเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นจากโลกภายนอกให้พวกนักบวช
“หมายความว่า… เทพเจ้าไม่มีความคิดที่จะผ่อนปรนให้กับความผิดเลยงั้นรึ?” – เสียงทุ้มต่ำของนักบวชสูงอายุคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลังจากได้ฟังรายงาน
“แต่กำแพงแข่งแกร่งขึ้นแล้วนี่นา…”
“ไม่หรอก พวกเราไม่รู้ว่ากำแพงจะต้านได้นานขนาดไหน”
“ตอนนี้เหลือเพียงท่านโนกิ วาคาบะคนเดียวที่เป็นผู้กล้า พวกเราไม่มีกำลังมากพอหากเวอร์เท็กซ์โจมตีอีกครั้ง”
พวกนักบวชเริ่มพูดคุยกันอย่างกระวนกระวาย แต่ไม่มีความคิดดีๆ ที่จะมาช่วยแก้สถานการณ์นี้เลย
สุดท้ายก็มีนักบวชคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “ดูเหมือนจะเหลือแค่หนทางเดียวแล้ว… นั่นคือจัดเทศกาลบูชาไฟ”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องประชุมเงียบลงในทันที
“เข้าใจความหนักหนาที่พวกเราต้องแบกรับจากการสังเวยหรือเปล่า?”
อาจารย์คาราสุมะที่อยู่ในการประชุมเช่นกันจ้องเขม็งใส่นักบวชที่พูดถึง [เทศการบูชาไฟ] ด้วยสายตาเย็นชา
เทศกาลบูชาไฟ
มาตรการสุดท้ายของไทชะ เป็นพิธีกรรมที่วางแผนไว้มาสักพักแล้ว จุดประสงค์ของมันไม่ได้จัดขึ้นเพื่อต่อกรเทพสวรรค์กับเวอร์เท็กซ์ที่ถูกส่งลงมา… มันคือการประกาศยอมแพ้อย่างหมดท่า
มิโกะหกคนจะถูกเลือกให้เป็นเครื่องสังเวย และส่งคำพูดอ้อนวอนขออภัยโดยตรงไปยังเทพสวรรค์ มนุษยชาติจะยอมรับความพ้ายแพ้และขอให้หยุดโจมตี
“ขออภัยจากเทพสวรรค์ผ่านเทศกาลบูชาไฟ – แบบนั้นหนูก็ยอมรับได้นะคะ” ฉันเริ่มพูดขึ้น “ถ้าการยอมแพ้สามารปกป้องผู้คนได้ ถ้าช่วยให้เราไม่ต้องสู้อีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นเราก็ควรที่จะยอมรับความพ้ายแพ้และร้องขอการอภัยโทษ แม้วิธีนี้จะนำพาความอัปยศมาสู่เราก็เถอะ แต่ว่า…”
ปัญหาก็คือ… จะต้องมีมิโกะหกคนถูกสังเวยเพื่อให้พิธีกรรมนี้สมบูรณ์
“ท่านอูเอซาโตะ… การติดสินใจขึ้นอยู่กับท่าน”
พวกนักบวชมองมาที่ฉันแล้วโค้งคำนับ
ฉันไม่สามารถให้คำตอบกับพวกเขาได้
หลังประชุมจบ ฉันที่ตกอยู่ในภวังค์กำลังเดินอยู่ที่โถงทางเดินของหอพัก
ถ้าหากตัดสินใจว่าจะจัดเทศกาลบูชาไฟจริงๆ ฉันจะต้องถูกเชิญให้กลายเป็นหนึ่งในหกมิโกะที่เป็นเครื่องสังเวย พวกนักบวชมอบการตัดสินใจให้กับฉันด้วยเหตุผลบางอย่าง
ตามปกติ นี่จะเป็นการจัดเทศกาลไฟครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะได้รับการให้อภัยจากเทพสวรรค์ เพราะเหตุนั้น ไทชะจำเป็นต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อทำให้สำเร็จ ดังนั้นคนที่ถูกเลือกเป็นเครื่องสังเวยจะต้องเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
ฉันมีพลังมิโกะมากว่าคนอื่นๆ และทำหน้าที่เป็นผู้นำของมิโกะ หากสังเวยคนอย่างฉันล่ะก็ เทพสวรรค์คงจะยอมรับความพ้ายแพ้ของมนุษยชาติเป็นแน่ ฉันจึงเป็นคนที่เหมาะจะเป็นเครื่องสังเวยมากที่สุด
อีกอย่าง มีนักบวชบางคนที่ไม่พอใจกับพลังมิโกะที่ทำให้ฉันโดดเด่นเกินหน้าเกินตา ในสถานการณ์ที่สงครามจบลงไปแล้วแบบนี้ พวกเขาเล็งเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะเขี่ยฉันทิ้ง
ถ้าฉันเห็นด้วยกับเทศกาลบูชาไฟ ทุกอย่างจะถูกยกเลิกเพื่อทำให้พิธีกรรมถูกจัดขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเทศกาลบูชาไฟจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
แต่จะต้องมีอีกห้าคนที่จะถูกสังเวยไปพร้อมกับฉัน และจะเกิดอะไรขึ้นกับวาคาบะจังถ้าฉันไม่อยู่แล้ว
ผู้กล้าคนอื่นได้จากกันไปหมดแล้ว และฉันก็กำลังจะตามพวกเขาไป… แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับวาคาบะจังที่ถูกทิ้งไว้ตัวคนเดียว?
ระหว่างที่ฉันเดินผ่านโรงอาหารอยู่นั้น ก็เจอกับคุณอากิและมิโกะคนอื่นๆ ที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ สงสัยจะถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้ว
“พี่ฮินาตะ! มาที่ไทชะเหรอคะ”
คุณทะสึมิ หนึ่งในมิโกะเรียกชื่อฉันด้วยเสียงไพเราะ
ตามปกติฉันจะอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะ จึงมาที่สำนักงานใหญ่ไทชะเพียงครั้งคราวเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ยังคงยอมรับว่าฉันเป็นเพื่อนอยู่
ฉันเดินเข้าไปในโรงอาหารและเข้าร่วมกับมิโกะคนอื่นๆ แต่น่าเศร้าที่ไม่เห็นคุณฮานะโมโตะในหมู่พวกเขาเลย เธอหายไปจากไทชะเมื่อหลายเดือนก่อน และฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
ฉันพูดคุยกับทุกคน คอยมองไปที่ใบหน้าของทุกคนว่ามีใครที่ดูสิ้นหวังหรือรู้สึกไม่สบาย
คุณทะสึมิอยู่ชั้น ม.1 เด็กที่สุดในหมู่มิโกะ จิตใจของเธอบอบช้ำเพราะถูกเวอร์เท็กซ์พรากครอบครัวไป ทำให้เมื่อก่อนเธอดูเศร้าหมองตลอดเวลา ฉันพยายามเท่าที่ทำได้เพื่อผ่อนปรนความกังวลใจของเธอทีละเล็กทีละน้อย บางครั้งในคืนที่เธอไม่หลับ พวกเราก็จะนอนเตียงเดียวกัน แต่ตอนนี้แทบจะไม่ได้เห็นใบหน้าเศร้าหมองของคุณทะสึมิในอดีตแล้ว
คุณชิกิกับคุณมานาเบะ ชั้น ม.3 ตอนนี้ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว แต่ในอดีตพวกเธอเคยทะเลากันตลอดเวลา การทะเลาะวิวาทที่มักเกิดขึ้นจากเรื่องเล็กน้อย คงเพราะมาจากความกระวนกระวายและขุ่นใจ ฉันค่อยไกล่เกลี่ยให้พวกเธอทุกครั้งที่เริ่มทะเลาะกัน และสุดท้ายทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนรักที่สนิทยิ่งกว่าใครๆ
คุณโอวาดะ ม.5 ในอดีตเธอเคยเครียดกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ไทชะกับฐานะมิโกะ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเอง ดังนั้นตอนที่ฉันยังพักอาศัยอยู่ที่สำนักงานใหญ่ไทชะ ฉันจะคอยอยู่ใกล้ชิดกับคุณโอวาดะเสมอเพื่อไม่ให้เธอทำร้ายตัวเอง และท้ายที่สุดแนวโน้มที่เธอจะทำร้ายตัวเองก็หายไปแล้วกลายเป็นพี่ใหญ่ที่พึ่งพาได้
และก็ยังมีคุณชิบะ, คุณชิโนฮาระ, คุณยูอาสะ…
“วันนี้มีธุระเหรอ?” คุณอากิถาม ฉันเล่าเหตุผลที่มาไทชะในวันนี้กับสิ่งที่เห็นภายนอกกำแพงเมื่อวันก่อน
เรื่องเวอร์เท็กซ์ที่ถูกปราบไปแล้วกำลังเกิดใหม่
เรื่องที่โลกภายนอกถูกแทนที่จนกลายเป็นอย่างอื่นโดยสมบูรณ์
หลังพูดจบ บรรยากาศก็หนักขึ้น
“แต่กำแพงก็ได้รับเสริมแกร่งแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เวอร์เท็กซ์ก็เข้ามาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว… พวกเราปลอดภัย ใช่ไหม?”
คุณมานาเบะพูดขึ้นอย่างวิตกกังวล ทำให้คุณชิกิส่ายศีรษะด้วยความเคร่งเครียด
“คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ต่อให้กำแพงจะแข็งสักแค่ไหนมันก็ต้องพังสักวันนึงนั่นแหละ”
คุณโอวาดะเห็นด้วยกับสิ่งที่พูด
“ใช่… และมันอาจจะพังในไม่กี่ปี หรือไม่กี่เดือน… ไม่สิ อาจไม่กี่วันด้วยซ้ำ”
พลังของท่านชินจูใช่ว่าจะมีไม่จำกัด ตามจริงกำแพงของท่านชินจูคงพังทลายไปนานแล้วถ้าเทพสวรรค์ต้องการ
จากการต่อสู้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเทพสวรรค์กับเวอร์เท็กซ์แข็งแกร่งกว่าเทพพิภพและผู้กล้ามากแค่ไหน รู้สึกราวกับเทพสวรรค์ยังคงมีความเมตตาต่อมนุษยชาติอยู่ จึงอนุญาตให้เรายังมีชีวิตรอดได้จนถึงตอนนี้
ฉันไม่ได้เล่าถึงเรื่องเทศกาลบูชาไฟให้กับคนอื่นๆ ไม่สามารถพูดได้ว่าจะมีห้าคนในพวกเธอที่ต้องตายไปพร้อมกับฉัน
หลังจากกลับมาที่ปราสาทมารุกาเมะ ฉันยังคงชั่งใจอยู่ว่าควรจะจัดเทศกาลบูชาไฟหรือไม่
พอหันไปมองที่หน้าต่างในห้องเรียนของปราสาท ก็เจอเข้ากับวาคาบะจังที่กำลังเหวี่ยงดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังจากได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกกำแพง วาคาบะจังก็เริ่มฝึกอย่างหนักยิ่งกว่าเมื่อก่อน ถึงแม้จะรู้ว่าควรพักผ่อนก่อนจะเป็นการดีเพราะแผลยังไม่หายดี
เหมือนกับเธอตั้งใจที่จะทำร้ายตัวเอง เพื่อเป็นการลงโทษที่ผู้กล้าคนอื่นๆ ตายกันหมด – ลงโทษตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเพื่อนเอาไว้ได้
หัวใจของวาคาบะตอนนี้เข้าขั้นวิกฤต หากมีอะไรกระทบเพียงนิดเดียวก็จะแตกสลายในทันที
ฉันกับวาคาบะจังอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกันราวกับเป็นครอบครัว หรืออาจมากกว่านั้น สำหรับฉัน วาคาบะจังเป็นเหมือนครึ่งหนึ่งของตัวฉัน ส่วนสำหรับวาคาบะจัง ฉันเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของร่างกายของเธอ
วาคาบะจังในตอนนี้พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ และความตายของฉันจะทำให้เธอพังทลายโดยไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“…เพื่อปกป้องวาคาบะจัง… ฉันจะตายไม่ได้…”
ฉันเดินออกมาข้างนอกไปหาวาคาบะจัง
“เธอไม่ควรฝืนตัวเองขนาดนี้นะจ๊ะ”
“อา รู้อยู่แล้วล่ะ แต่เพราะฉันเป็นผู้กล้าคนเดียวที่เหลืออยู่… อันสึ, ทามาโกะ, จิคาเงะ และยูนะ ทุกคนยอมสละชีวิตเพื่อช่วยโลกใบนี้ ฉันเองก็ต้องทำมันเหมือนกัน”
วาคาบะจังไม่เหลือความลังเลที่จะตายอีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นเพราะเธอได้เห็นคนใกล้ตัวมากมายตายต่อหน้าต่อตา
ถ้าหากมีการต่อสู้เริ่มขึ้นอีก วาคาบะจังคงได้ตายเป็นแน่ กองกำลังของเทพสวรรค์นั้นทรงพลังอย่างเทียบไม่ติด และความตายจะกลืนกินคนที่กลัวมันน้อยที่สุดเป็นอันดับแรก
ฉันจะปล่อยให้ว่าคาบะจังตายไม่ได้ ฉันจะต้องหยุดสงครามนี้เพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่
ฉัน…
“เริ่มจัดเทศกาลบูชาไฟกันเถอะค่ะ”
วันต่อมา ฉันมาที่สำนักงานใหญ่ไทชะและประกาศการตัดสินใจให้นักบวชในที่ประชุมได้รับรู้ พวกเขามองมาที่ฉันเป็นตาเดียวกัน
“ท่านอูเอซาโตะ ท่านกับท่าอากิเป็นตัวเลือกแรกที่จะเป็นเครื่องสังเวย ท่านเข้าใจใช่ไหม?” นักบวชสูงอายุถาม
หลังจากฉันตายไป วาคาบะจังอาจจะตกลงสู่ความสิ้นหวังและพยายามทำทุกๆ อย่างที่สามารถทำได้ คงจะดีกว่าถ้าความตายของฉันถูกปิดบังไปสักพัก คงจะต้องใช้เหตุผลที่ทำให้พวกเราจะไม่ได้เจอกันอีก หรือใช้การทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนเธอไม่อยากเห็นหน้าฉันอีกดี? ด้วยความช่วยเหลือจากมิโกะ อาจเป็นไปได้ที่จะเก็บซ่อนความตายของฉันไปสักระยะหนึ่ง ถึงเวลาที่จะต้องใช้ไพ่ทุกใบที่มีอยู่ในมือตอนนี้
นักบวชทุกคนโค้งคำนับ
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะเริ่มเลือกมิโกะคนอื่นที่จะเป็นเครื่องสั-”
“ไม่จำเป็นแล้วค่ะ”
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกนักบวชและมิโกะกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในห้องประชุม
คุณโอวาดะเป็นคนนำพวกมิโกะมา เธอวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนหน้านักบวชสูงอายุ
“มิโกะทุกคนได้ปรึกษาหารือกันและเลือกเครื่องสังเวยสำหรับเทศกาลบูชาไฟเอาไว้แล้ว และทุกคนก็ยอมรับค่ะ”
มีหกชื่อถูกเขียนลงบนกระดาษที่คุณโอวาดะนำมา
“เอ๋…”
สับสนไปหมดแล้ว พวกเขารู้เรื่องเทศกาลบูชาไฟได้ยังไง และตั้งแต่เมื่อไหร่
และที่สำคัญยิ่งกว่า ในรายชื่อทั้งหกนั้นไม่มีชื่อของฉันกับคุณอากิถูกเขียนอยู่เลย
นักบวชคนหนึ่งต่อว่าอย่างฉุนเฉียว
“แบบนี้มันจะไปได้ผลได้ยังไง อย่างน้อยท่านอูเอซาโตะก็จำเป็นที่จะต้องถูกสังเวย! ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เทพสวรรค์จะต้องสงสัยในการยอมแพ้ของเราเป็นแน่ เทพเจ้าน่ะสงสัยและทดสอบจิตใจมานุษย์มาตั้งแต่โบราณแล้ว ถ้าเราจะยอมแพ้ล่ะก็ ต้องแสดงทุกอย่างให้เห็นว่าเราแพ้แล้วจริงๆ!”
“ถ้าคุณจะสังเวยคุณอูเอซาโตะล่ะก็” เสียงของคุณโอวาดะดังก้องอย่างไม่หวั่นเกรง “จะไม่มีมิโกะคนไหนเห็นด้วยกับการสังเวยในเทศการบูชาไฟ พอเป็นอย่างงั้นแล้วคุณก็ไม่สามารถดำเดินพิธีกรรมได้อีกต่อไปค่ะ”
มิโกะทุกคนที่ตามคุณโอวาดะมาเขม่นตาใส่พวกนักบวชที่ยังดื่อดึง
พวกนักบวชหมดสิ้นคำพูดใดๆ
“ไม่มีอะไรรับประกันว่าถ้าไม่มีคุณอูเอซาโตะเทศกาลบูชาไฟจะล้มเหลวสักหน่อยนี่คะ อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่นะคะ”
คุณโอวาดะกล่าว
การประชุมจบลงด้วยการตัดสินใจว่าเทศกาลบูชาไฟจะดำเนินโดยสังเวยมิโกะหกคนที่อยู่ในรายชื่อ
ฉันยังคงสับสนอยู่ ชื่อของมิโกะที่จะถูกนำไปสังเวยมี คุณโอวาดะ, คุณทะสึมิ, คุณชิกิ, คุณมานาเบะ, คุณชิบะ และคุณคาไซ ทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีกับฉัน
“…ยังไงก็ลองคิดดูเรื่องคนที่ถูกเลือกอีกทีเถอะจ้ะ ถ้าฉันยอมเป็นเครื่องสังเวย ก็จะช่วยหนึ่งในพวกเธอได้นะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ฮินาตะ ให้พวกเราเป็นเครื่องสังเวยน่ะดีที่สุดแล้ว” ทะสึมิยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“แต่ทำไม…”
“มิโกะทุกคนที่ยอมเป็นเครื่องสังเวยล้วนขออาสามาเองทั้งนั้น ฉันเองก็ด้วยเหมือนกัน พวกเราหกคนไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ดังนั้นจะมีไม่กี่คนหรอกที่เสียใจให้กับการตายของพวกเรา”
ทุกคนที่จะเป็นเครื่องสังเวยต่างก็สูญเสียครอบครัวให้กับเวอร์เท็กซ์หรือไม่ก็หนีมาที่ชิโกกุเพียงตัวคนเดียว
แต่…
ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย แล้วคุณโอวาดะก็พูดขึ้นอย่างหนักใจ “ทะสึมิเป็นน้องเล็กที่สุด ฉันจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้เด็กเล็กอย่างเธอต้องมาเป็นเครื่องสังเวยเหมือนกัน…”
“ถ้างั้นฉัน…”
คุณทะสึมิพูดแทรกขึ้นมา
“พี่ฮินาตะมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะค่ะ หนูไม่แข็งแกร่งพอที่จะยอมตายเพื่อคนที่ไม่เคยเห็นหน้า แต่ถ้าเป็นเพื่อพี่ฮินาตะล่ะก็… พอคิดว่าความตายของหนูจะช่วยให้พี่มีชีวิตอยู่ได้ หนูก็มีความกล้าที่จะเข้าร่วมเทศกาลบูชาไฟค่ะ ดังนั้นขอให้มีชีวิตอยู่ต่อไปนะคะ พี่ฮินาตะ”
มีวิธีการตัดสินใจ… ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านี้อีกไหมนะ
คุณโอวาดะตบที่ไหล่ของฉันแล้วพูดขึ้นเหมือนกับล้อเล่น
“อีกอย่างนะคุณอูเอซาโตะ คุณโนกิจะต้องโกรธมากแน่ๆ ถ้าคุณถูกสังเวยไปน่ะ! มีหวังไทชะได้ถูกถล่มจนเละแน่ คุณโนกิเป็นเพียงผู้กล้าคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่… และเขาต้องการคุณนะ คุณอูเอซาโตะ”
เสียงของเธอสั่นเครื่อในประโยชน์สุดท้าย
“ฉัน…”
คุณอากิ ที่ก้มหน้ามาตลอดโดยไม่ส่งเสียงอะไรเริ่มพูดขึ้น
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมิโกะที่มีพลังมากที่สุด เธอเองก็ควรจะถูกสังเวยในเทศกาลบูชาไฟด้วย
“คุณอากิ คุณเองก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือนกัน”
คุณโอวาดะพูด
“ถ้าคุณจากไป แล้วใครล่ะจะเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวของคุณโดอิกับคุณอิโยจิม่าให้คนอื่นฟัง? คุณโดอิ, คุณอิโยจิม่า และคุณโคโอริ ผู้กล้าทุกคนยอมเสียสละตัวเองเพื่อโลกใบนี้ ดังนั้น พวกเราจึงต้องปกป้องคนที่บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ได้มากที่สุดที่ทำได้”
หลายวันหลังจากนั้น เทศกาลบูชาไฟก็ถูกจัดขึ้น
ฉันอยู่ที่นั่นและมองดูมิโกะทั้งหกกระโดดจากกำแพงลงไปสู่ทะเลเพลิง
หลังจากเทศกาลบูชาไฟจบลง เหล่ามิโกะก็ได้รับคำพยากรณ์
เทพสวรรค์ยอมรับการยอมแพ้ของมนุษยชาติและให้อภัยแก่เรา จะไม่มีการรุกรานมนุษยชาติอีกต่อไปโดยมีเงือนไขว่าห้ามมนุษย์ออกนอกกำแพงและผู้กล้าต้องละทิ้งพลังที่ใช้ในการต่อสู้ทั้งหมด
เทศกาลบูชาไฟประสบผลสำเร็จ และสัญญาณแห่งความสงบสุขได้มาถึงแล้ว
โดยแลกกับชีวิตของมิโกะหกคน
หลังจากนั้น ฉันกำลังถือข้าวของของตัวเองเดินผ่านโถงทางเดินหอพักเพื่อกลับปราสาทมารุกาเมะ
ต้องมาเสียเพื่อนถึงหกคนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ความช็อครุนแรงส่งผลต่อความรู้สึกจนทำให้ไม่สามารถคิดอะไรอย่างอื่นได้
“…ไหวไหม? ให้ฉันช่วยถือนะ”
รุ่นพี่อากิที่เดินผ่านมาช่วยถือของให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ…”
ฉันทำได้แค่พูดออกมาอย่างแผวเบา
คุณอากิพยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไร เธอที่ปกติเป็นคนสดใส่ แต่ตอนนี้แม้แต่รอบยิ้มที่ฝืนทำก็ยังไม่มี
ขณะที่เดินออกจากหอพักก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้น “มันได้ผลสินะ”
นักบวชกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันข้างหลังหอพัก
“ทำยังไงถึงทำให้คนอื่นเชื่องขนาดนั้นกันนะ?”
“เชื่อง? ไม่ใช่แล้วมันคือความคลั่งไคลล้วนๆ ต่างหาก เด็กพวกนั้นตั้งใจที่จะตายเพื่อท่านอูเอซาโตะ”
“ทำให้คนอื่นรักตัวเองเพื่อใช้การในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ น่ากลัวชะมัด”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น คุณอากิที่โมโหก็เริ่มเดินไปทางนักบวชกลุ่มนั้น
“เห้ยพวกแกน่–”
“หยุดเถอะค่ะ” ฉันจับไหล่ของคุณอากิเพื่อหยุดเธอ “ได้โปรดอย่าไปสนใจเลยค่ะ เราไปกันดีกว่านะคะ”
ฉันพูดออกไปอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ แล้วก็เดินออกมาเพื่อไม่ให้พวกนักบวชเจอตัว
คุณอากิเดินตามมา แต่ความโกรธยังไม่หายไป
“ทำไมถึงไม่โกรธพวกนั้นล่ะ!?”
“โกรธไปก็ไม่ได้อะไรหรอกค่ะ… มันช่วยไม่ได้นี่คะ” ฉันพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หนูใจดีกับพวกเขาและทำให้พวกเขารักหนู จากนั้นก็ใช้ความรักนั้นส่งพวกเขาไปตายแทน… โดยไม่สนว่าจะถูกต่อว่าลับหลังแบบนั้น…”
“แต่อูเอซาโตะจังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย! พวกเขาคิดแบบนั้นได้ยังไง!?”
“ไม่หรอกค่ะ พวกเขาอาจจะพูดถูกก็ได้ หนู… อาจจะตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ หนูทำในสิ่งที่ชนะใจพวกเธอแล้วทำให้พวกเธอยอมตายแทนเมื่อถึงเวลาจำเป็น”
เหมือนกับที่ผู้คนเข้าใจผิดว่านกเลี้ยงลูกของมันด้วยความรัก
แม้แต่ตอนนี้ฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าที่ทำอยู่นี่มันดีจริงหรือไม่
“คุณอากิคะ ช่วยปล่อยให้นักบวชมองหนูในมุมมองของเขาไปทั้งอย่างนั้นเถอะนะคะ อูเอซาโตะ ฮินาตะซื้อใจของมิโกะคนอื่นๆ แล้วล้อลวงให้พวกเธอตายแทนตัวเอง ให้พวกเขาคิดแบบนั้นอาจเป็นประโยชน์ในอนาคตก็ได้นะคะ”
“อูเอซาโตะจัง” คุณอากิพูดพึมพำออกมาด้วยความสลดใจ “นี่กำลังลงโทษตัวเองอยู่เหรอ?”
“…”
“…เพราะมีชีวิตรอดใช่ไหม?”
เพื่อนของฉันที่เป็นผู้กล้า
เพื่อนของฉันที่เป็นมิโกะ
ผู้คนมากมายที่ต้องตาย ภายในไม่กี่เดือนมานี้มีคนตายมากมายเหลือเกิน
“อูเอซาโตะจัง… เธอกับโนกิจังมีบุคลิกที่ต่างกันคนละขั่ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอยู่ นั่นคือนิสัยชอบตำหนิตัวเอง เธอไม่สามารถยกโทษตัวเองได้หากไม่ถูกลงโทษหรือรู้สึกเจ็บปวด ถึงฉันจะไม่ได้รู้จักโนกิจังมากเท่าไหร่ แต่จากที่เธอเล่าให้ฉันฟัง… โนกิจังเองก็เป็นพวกชอบตำหนิตัวเองเหมือนกัน”
เสียงของคุณอากิมีแต่ความเวทนา
เมื่อบอกเรื่องเทศกาลบูชาไฟกับความพ้ายแพ้ของมนุษยชาติให้วาคาบะจังฟัง เธอก็ร้องไห้ออกมา
เธอเสียเพื่อนผู้กล้าไปและไม่สามารถชิงโลกใบเดิมกลับคืนมาได้ เป็นบทสรุปที่มีแต่ความสิ้นหวัง
แต่หลังจากร้องไห้ข้ามวันข้ามคืนไป วาคาบะจังก็ยอมรับได้
ตั้งแต่นี้ไป พวกเราจะต้องคลำหาเส้นทางในความมืดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อในโลกที่แย่งชิงหลายสิ่งหลายอย่างไปจากเรา ในกรงที่ถูกจำกัดอิสระภาพ
แต่เราจะไม่ยอมแพ้ที่จะหาทางเอาคืนเทพสวรรค์ เพื่อเอาแผนดินของเราคืนมา พวกเราจะแอบฝนเขียวเล็บเอาไว้โดยไม่ให้สวรรค์ได้รับรู้ และรอตอนเวลาที่จะตอบโต้
ในเวลานั้น ฉันเริ่มคิดถึงสิ่งที่คุณฮานะโมโตะเคยพูดเอาไว้
ว่าสุดท้ายวาคาบะจังจะกลายเป็นเหยื่อของคำสั่งที่ผิดพลาดของไทชะ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ฉันจะต้องเป็นคนควบคุมไทชะเอง
ต่อไปหลังจากนี้ วาคาบะจังอาจได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นผู้กล้าที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายและกลายเป็นคนที่มีคาริสม่าดึงดูให้ผู้คนติดตาม ซึ่งไทชะจะยังคงใช้งานเธอต่อ และวาคาบะจังอาจจะต้องเจ็บปวดเพราะเป้าหมายของไทชะ
ฉันต้องปกป้องวาคาบะจัง ต้องปกป้องเธอให้ได้
วันต่อมา ฉันได้มาที่สำนักงานใหญ่ไทชะอีกครั้ง
พักนี้มีการประชุมกับรายงานจากไทชะบ่อยครั้ง ทำให้ฉันต้องไปกลับปราสาทมารุกาเมะจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
“จากนี้ไปเราจะเปลี่ยนชื่อทางการขององค์กรเป็นไทชะ(大赦 นิรโทษกรรม) และเริ่มนับศักราชใหม่เป็นเทวศักราช”
ฉันนั่งฟังผลการดำเนินงานอย่างเหม่อลอย
หัวข้อในวันนี้คือเรื่องที่ไทชะควรปฏิบัติต่อสังคมหลังจากสงครามจบลง
องค์กรจะเปลี่ยนชื่อตัวเองจาก ไทชะ(ศาลเจ้าใหญ่) เป็นไทชะ(นิรโทษกรรม) เพื่อย้ำเตือนว่าเราได้รับการให้อภัยจากเทพสวรรค์ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนชื่อศักราชจากคริสตศักราชเป็นเทวศักราช… ทุกอย่างได้ถูกตัดสินใจในที่ประชุมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อการประชุมดำเนินไประยะหนึ่ง นักบวชสูงอายุก็พูดขึ้น
“จากนี้งานของไทชะจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นพวกเราควรที่จะลดจำนวนบุคลากรลงดีกว่าไหม?”
เสียงเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยดังขึ้นไปมา
“ไม่หรอกครับ นี่ยังไม่ใช่เวลาทำเรื่องนี้” “ไม่มีเหตุผลที่จะชลอเรื่องนี้เลยนี่” “คิดว่าตัวเองเป็นประธานหรือไง!?” “ครั้งสุดท้ายที่ทำตามที่นายบอกมันจบลงด้วยความล้มเหลวนี่นา…”
พวกนักบวชเริ่มแบ่งฝักฝ่าย ทุกครั้งที่มีคนของกลุ่มหนึ่งเสนออะไรสักอย่าง อีกกลุ่มจะเห็นคัดค้านเสมอ เป็นอย่างนี้ตลอดการประชุม และอีกกลุ่มที่ยื่นเรื่องขณะพิจารณาปฏิกิริยาของสองกลุ่มก่อนหน้านี้
การสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มกับการแก่งแย่งชิงดีกลับมีความสำคัญกว่าเนื้อหาในการประชุม
ตอนนี้สงครามกับเทพสวรรค์ได้จบลงแล้ว แต่โลกยังคงดำเนินต่อไป ใครล่ะจะเป็นผู้กุมบังเหียนนำทางโลกหลังสงคราม ใครที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่นักบวชไทชะบางคนกังวล
“พวกเราควรจัดแจงตำแหน่งตามระดับและฐานะทางสังคมไหม?” “สังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เราควรจัดระดับตามคุณสมบัติมากกว่านะ” “ถ้าเปลี่ยนระบบตอนนี้ มันจะใช้เวลานานเกินไปน่ะสิ” “แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้…”
คุณโดอิ คุณอิโยจิม่า คุณโคโอริ คุณทาคาชิม่า คุณโอวาดะ คุณทะสึมิ คุณชิกิ คุณมานาเบะ คุณชิบะ คุณคาไซ พวกเขาสละชีวิตเพื่อโลกใบนี้ และคนที่สมควรถือคลองอำนาจคือพวกเขาไม่ใช่เหรอ?
“…งี่เง่าสินดี” ฉันแอบพูดเงียบๆ
นักบวชคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันเกิดสงสัย เขาคงได้ยินเสียงของฉันแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร ฉันถามเขา “ขอออกก่อนได้ไหมคะ?”
“เข้าใจแล้วครับ ออกก่อนได้เลยครับ ทางเราคงประชุมกันอีกสักพัก”
หลังจากได้ยินคำตอบ ฉันก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรมากกว่านี้
หลังกลับมาที่ห้องฉันก็เริ่มเปิดดูรูปถ่ายที่เก็บบันทึกไว้ในสมาร์ทโฟน
งานอดิเรกของฉันคือถ่ายรูปวาคาบะจังและเก็บบันทึกเอาไว้ หลังจากเริ่มใช้ชีวิตที่ปราสาทมารุกาเมะในฐานะผู้ดูแลผู้กล้า ฉันก็เริ่มถ่ายรูปคุณอันสึ, คุณทามาโกะ, คุณจิคาเงะ และคุณยูนะด้วย
แต่… ฉันมีรูปถ่ายของมิโกะเพียงไม่กี่รูป เป็นเพราะหลังจากที่ฉันเป็นผู้ดูแลผู้กล้า ก็มีเวลาอยู่ที่สำนักงานใหญ่ไทชะน้อยลง และส่วนใหญ่ใช้ไปกับการประชุมและรายงาน ดังนั้นแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่กับมิโกะคนอื่นๆ
ฉันแทบไม่มีรูปของกลุ่มมิโกะที่เป็นเครื่องสังเวยในเทศกาลบูชาไฟ
“ทำไม…”
ทำไมฉันไม่ถ่ายรูปพวกเขาให้มากกว่านี้
รู้อยู่แล้วว่ามันสายเกินกว่าที่จะเสียใจ
แต่…
ถึงอย่างนั้น…
“…”
ฉันส่งข้อความไปหาคุณอากิกับอาจารย์คาราสุมะ ขอให้พวกเขามาหาที่ห้องของฉัน
คุณอากิมาถึงแทบจะทันทีหลังส่งความออกไป ส่วนอาจารย์คาราสุมะก็ตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าอาจารย์คาราสุมะจะแอบออกมาระหว่างประชุม อาจารย์หาวอย่างเบื่อหน่ายแล้วบอกว่าไม่ได้สนใจเรื่องที่ประชุมอยู่แล้ว
ฉันเผชิญหน้ากับทั้งสองแล้วเริ่มพูดขึ้น
“หนูพอแล้วค่ะ”
“เอ๋?”
คุณอากิมองฉันด้วยความสับสน ขณะที่อาจารย์ยังคงมองด้วยสีหน้าเดิม
“หนูปฏิบัติต่อไทชะเป็นพวกเดียวกันมาตลอด แต่ตอนนี้พอแล้วค่ะ พวกเขาไม่สามารถปกป้องวาคาบะจังได้”
“…”
“และหนูไม่ต้องการองค์กรที่ไม่สามารถปกป้องวาคาบะจังได้ค่ะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้อง คนที่ทำลายความเงียบนั้นเป็นอาจารย์คาราสุมะ
“คิดจะยึดไทชะงั้นเหรอ?”
อาจารย์คาราสุมะคาดเดาความคิดของฉัน
คุณอากิมีสีหน้าประหลาดใจ
“อูเอซาโตะ การทำแบบนี้จะทำให้เธอมีชื่อเสียในประวัติศาสตร์ และก็ไม่ทำให้เพื่อนที่ตายไปกลับมาหรอกนะ”
อาจารย์คาราสุมะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ต่อให้พวกเขาไม่กลับมา” ฉันพูดด้วยความโกรธในตัวเอง “หนูยังสามารถสืบทอดเจตจำนงของพวกเขาได้ อันที่จริงแค่มีชื่อเสียในประวัติศาสตร์ยังน้อยไป เพราะหนูไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย คุณทามาโกะตาย คุณอันสึตาย คุณจิคาเงะตาย คุณยูนะตาย แผลไฟไหม้ทั่วตัววาคาบะจังก็ไม่มีวันรักษาให้หายขาด เพื่อปกป้องผู้คนในชิโกกุ คุณโอวาดะ, คุณทะสึมิ, คุณชิกิ, คุณมานาเบะ, คุณชิบะ และคุณคาไซต้องตาย! หนูไม่ได้ทำอะไรเลย! หนูไม่ได้ทนเจ็บอะไรเลยสักนิดเดียว!”
คนที่ไม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดจะทำอะไรได้!?
คนที่ไม่เคยประสบกับความเจ็บปวดไม่มีทางเขาใจคนที่กำลังทรมาณ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถอยู่เคียงข้างวาคาบะจังได้ ไม่สามารถสนับสนุนเธอได้
ฉันจะปกป้องวาคาบะจังและอยู่เคียงข้างเธอ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถปกป้องวาคาบะจังคนสำคัญที่สุดในชีวิตของฉันหลังจากการเสียสละของเพื่อนมากมายได้ นั่นหมายความว่าตัวตนของฉันนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย
ด้วยเหตุที่ฉันจะสามารถอยู่เคียงข้างวาคาบะจังได้ ฉันต้องเติมเต็มตัวเองด้วยความเจ็บปวดทรมาน
สิ่งที่คนว่างเปล่าอย่างฉันสามารถทำได้
“งั้นเหรอ…” คุณอากิตอบ น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย “เข้าใจแล้วล่ะ ฉันจะช่วยเธอเท่าที่ช่วยได้ อูเอซาโตะจังก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำเถอะนะ”
อาจารย์คาราสุมะตอบด้วยความขุ่นเคือง
“ดูเหมือนจะไม่ช่วยไม่ได้สินะ? ยังไงซะ ฉันก็สู้เธอหลังผ่านเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนไม่ได้อยู่แล้วด้วย”
หลังจากนั้นไทชะ(ศาลเจ้าใหญ่) ก็ประกาศเปลี่ยนชื่อองค์กรอย่างเป็นทางการเป็นไทชะ(นิรโทษกรรม) และเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง
ภูตเทียมของวาคาบะจังได้ถูกสร้างขึ้นและได้รับข้อความฝากไปถึงผู้กล้าในอนาคต
ในเวลาเดียวกันฝั่งฉันเองก็กำลังวางรากฐานและเตรียมการ
สิ่งที่ฉันต้องทำคือทำให้มิโกะรวมกันเป็นปึกแผ่น
และยังขาดอีกหนึ่งชิ้นส่วน… ชิ้นส่วนสำคัญที่ยังไม่ได้อยู่ในมือของฉัน
แต่ฉันก็ได้พบกับชิ้นส่วนนั้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
ฉันไปเยือนศาสเจ้าเล็กแห่งหนึ่งที่จังหวัดโคชิ ได้ยินมาว่าหัวหน้านักบวชที่นี่ได้เป็นสมาชิกของไทชะ ทำให้ศาสเจ้าแห่งนี้ต้องปิดตัวลง ที่สำนักงานกับศาลาหลักถูกปิดแต่บริเวณลานทางเดินยังคงสะอาดอยู่
มีมุมหนึ่งถูกปูด้วยดอกฮิกันบานะสีแดงสวยงาม และมีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนแปลงดอกไม้สีแดงนั้น
“ในที่สุดก็เจอคุณสักที คุณฮานะโมโตะ”
เธอหันมาด้วยความตกใจ
“คุณอูเอซาโตะ…?”
“เป็นที่ที่ดีในการซ่อนตัวนะคะ ถ้ามีคุณพ่อเป็นคนในของไทชะช่วยปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ก็จะไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบที่แห่งนี้ และต่อให้คนของไทชะมาจริงๆ คุณพ่อของคุณก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะมาเมื่อไหร่ทำให้คุณมีเวลาหาทีหลบได้ทัน”
ฉันใช้เวลานานมากกว่าจะรู้ว่าคุณฮานะโมโตะอยู่ที่นี่ แม้แต่คุณอากิที่ช่วยเธอหนีออกมาจากไทชะก็ไม่รู้ว่าคุณฮานะโมโตะอยู่หรือทำอะไรที่ไหน ร่องรอยถูกปกปิดเอาไว้อย่างดีเลยทีเดียว
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”
คุณฮานะโมโตะมองมาที่ฉันอย่างระแวดระวัง
“รู้มาจากอาจารย์คาราสุมะน่ะค่ะ คงเรียกว่าเส้นผมบังภูเขาสินะคะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอาจารย์ที่เป็นหนึ่งในนักบวชจะเก็บซ่อนที่อยู่ของคุณเอาไว้ ฉันเลยถามไถอาจารย์เรื่อยๆ จนเขายอมบอกออกมา ถึงจะดูไม่เต็มใจก็เถอะ”
“…เป็นคนปากสว่างจริงๆ เลยนะ” คุณฮานะโมโตะแอบพูดเบาๆ กับตัวเองด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เป็นดอกฮิกันบานะที่สวยมากเลยนะคะ คุณเป็นคนดูแลมันเหรอคะ?”
“ดอกฮิกันบานะเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรมาก แค่ถอนวัชพืช ตรวจสอบหน้าดินและรดน้ำบ้างเป็นบางครั้งก็พอแล้วค่ะ”
“เหมือนกับคุณจิคาเงะเลยค่ะ เธอถูกฝังอยู่ใต้นี่สินะคะ?”
“ใช่… แล้วทำไมคุณอูเอซาโตะถึงมาอยู่ที่นี่คะ? หรือจะมาพรากท่านโคโอริไปจากฉัน?”
“มันขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณนั่นแหละค่ะ คุณฮานะโมโตะ”
“…หมายความว่ายังไงคะ?”
“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
ฉันเล่าแผนของฉันให้คุณฮานะโมโตะฟัง หลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมด เธอก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ
“หึหึ ใช้ได้เลยนี่คะ คุณอูเอซาโตะจะต้องทำมันได้แน่”
“คุณจะช่วยฉันไหมคะคุณฮานะโมโตะ? เพราะก่อนหน้านี้คุณเป็นคนบอกเองนะคะว่าให้ฉันขึ้นควบคุมไทชะ”
“อืม ถูกของคุณ ฉันเคยพูดไว้อย่างนั้น แต่ว่าคุณเนี่ยเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ เลยนะคะ… ที่เลือกเส้นทางนี้ ยิ่งตอกย้ำว่าคุณอูเอซาโตะให้ความสำคัญกับคุณโนกิมากกว่าที่ฉันคิดไว้”
“ค่ะ” ฉันตอบอย่างไม่ลังเล “แล้ว คุณจะช่วยใช่ไหมคะ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะช่วยด้วย แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่าง”
“อะไรเหรอคะ”
“ห้ามเอาท่านโคโอริไปจากฉัน และหลักฐานการมีตัวตนอยู่ของท่านโคโอริ… ฉันไม่สนว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร แต่ขอให้มีสักอย่างหนึ่งที่เอาไว้ใช้เพื่อบอกเล่าให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงตัวตนของเธอ”
“ไม่จำเป็นต้องบอกหรอกค่ะ ฉันวางแผนเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ที่คุณยูนะจากไป คุณฮานะโมโตะคือคนที่ให้ความสำคัญกับคุณจิคาเงะมากกว่าใคร… ดังนั้นฉันจะให้คุณเป็นดูแลสิ่งที่เหลืออยู่ของเธอเอาไว้ ฉันจะไม่ยอมให้ไทชะแตะต้องสิ่งเหล่านั้น ในฐานะหลักฐานการมีตัวตนอยู่ของคุณจิคาเงะ… ถึงจะมันจะเป็นเรื่องยากแต่ฉันวางแผนที่จะฟื้นคืนชื่อของคุณจิคาเงะไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉันขอรับปากไว้เลยค่ะ”
“งั้น… เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีค่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบของคุณฮานะโมโตะ ฉันก็ยื่นมือให้เธอ แล้วเธอก็จับมันเอาไว้
“ถ้าอย่างนั้น ก็ถึงเวลายึดอำนาจแล้ว”
คุณฮานะโมโตะกลับมาที่ไทชะและกลับมาอยู่ในฐานะมิโกะ
ทำให้นักบวชรู้สึกประหลาดใจ แต่เหล่ามิโกะต้อนรับการกลับมาของเธอโดยไม่มีคำถามใดๆ
ฉันได้บอกกับมิโกะคนอื่นๆ แล้วว่าจะพาเธอกลับมา
พวกนักบวชจะสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของมิโกะหรือเปล่านะ? ไม่หรอก พวกเขาคงยังไม่รู้ตัว
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากคุณฮานะโมโตะกลับมา ฉันมาที่สำนักงานใหญ่ไทชะตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่ได้แจ้งไว้ก่อน
“เมื่อคือก่อนได้มีคำพยากรณ์ที่สำคัญอย่างมากจากท่านชินจู ช่วยเรียกรวมนักบวชทุกคนให้เร็วที่สุดด้วยค่ะ”
เมื่อนักบวชทุกคนรวมตัวกันที่ห้องประชุม ฉันรวบรวมความสนใจของพวกเขาและเริ่มป่าวประกาศ
“เนื้อความของคำพยากรณ์เมื่อคืนก่อนชัดเจนอย่างน่าประหลาดใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงแห่งท่านชินจู ในคำพยากรณ์ ท่านชินจูได้แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสังคมมนุษย์… และสิ่งที่จะเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในตอนนี้จะขอเรียกความสัมพันธ์ระหว่ามนุษย์กับท่านชินจูในว่าพันธสัญญาเดิม(旧約 Kyūyaku Old Testament) ส่วนความสัมพันธ์แบบใหม่จะขอเรียกว่าพันธสัญญาใหม่(新約 Shin’yaku New Testament?) คงไม่มีใครว่าอะไรใช่ไหมคะ?”
“แล้วคำพยากรณ์บอกว่าอะไรล่ะครับ…” นักบวชคนหนึ่งถาม
“จนถึงตอนนี้การบริหารจัดการสังคมและองค์กรไทชะเป็นของมนุษย์ทั้งหมด แต่ตั้งแต่นี้ไป ท่านชินจูจะเป็นผู้ดูแลเอง ตั้งแต่นี้จะมีคำพยากรณ์บ่อยครั้งขึ้น และท่านชินจูจะเป็นผู้ชี้นำเส้นทางด้วยตัวท่านเอง ไทชะจะต้องทำตามการชี้นำโดยท่านชินจูทุกประการค่ะ”
เหล่านักบวชเริ่มระส่ำระส่าย
เนื้อความของคำพยากรณ์ที่ฉันกล่าวไปไม่ต่างอะไรกับบอกว่าท่านชินจูจะแย่งชิงอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดจากนักบวช ทุกสิ่งจะต้องดำเนินผ่านคำพยากรณ์ และนักบวชจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ
“ทะ-ท่านอูเอซาโตะ ท่านแน่ใจแล้วรึ ว่าคำพยากรณ์ที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้อง?”
นักบวชคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ถูกต้องแน่นอนค่ะ”
ฉันยืนยันอย่างชัดเจน
“พวกเราเองก็ได้รับคำพยากรณ์ที่มีเนื้อความแบบนั้นเหมือนกัน”
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกและมิโกะคนอื่นๆ นำโดยคุณอากิก็เข้ามาในห้อง
“ว่าจากนี้ไป ท่านชินจูจะเป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมดและไทชะจะต้องทำตามทั้งหมดด้วยศรัทธา มิโกะทุกคนก็ได้รับคำพยากรณ์นี้”
เมื่อคุณอากิพูดจบ คุณฮานะโมโตะก็เริ่มพูดต่อ
“ถ้าพวกเราต่อต้านประสงค์ของท่านชินจู ก็จะไม่เหลืออะไรปกป้องมนุษย์อีกต่อไป ถ้ามิโกะทุกคนได้รับคำพยากรณ์เดียวกัน นั่นหมายความว่าคำพยากรณ์นี้เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญเหนือกว่าสิ่งใด และพวกเราจำต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พวกเราต้องดำเนินการอย่างเร็วที่สุดและเปียมด้วยศรัทธา”
“ตะ-แต่… นั่นมัน…”
นักบวชคนหนึ่งส่งเสียงขึ้นมา
“มีอะไรผิดพลาดเหรอคะ?”
ฉันมองที่นักบวชคนนั้น เขาสรรหาคำพูดที่ดีที่สุดเพื่อคัดค้าน
“แต่ใครจะเป็นคนตรวจสอบคำพยากรณ์ล่ะ? ถ้าหากคำพยากรณ์มันไม่จริง…?”
นักบวชคนนั้นกำลังกำวล กังวลว่าสิ่งที่ฉันพูดจะไม่ใช่เรื่องจริง พวกเขาไม่มีพลังในการรับคำพยากรณ์ พวกนักบวชไม่มีทางรู้ได้ว่ามิโกะกำลังสมรู้ร่วมคิดในการโกหก
ในความเป็นจริง คำพยากรณ์ที่ ‘ท่านชินจูจะลงมาบริหารไทชะเอง’ เป็นเรื่องโกหก
แต่มิโกะจะไม่บอกนักบวชว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องโกหก
“นักบวชอย่างเราจะต้องตรวจสอบคำพยากรณ์… เพื่อตัดสินใจว่าจะทำตามคำพยากรณ์หรือไม่…”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอกค่ะ” คุณอากิตอบในทั่นที
“ใช่ค่ะ ไม่จำเป็นเลย” คุณฮานะโมโตะเสริม “ความช่วยเหลือจากพวกคุณที่ไม่สามารถรับคำพยากรณ์ได้นั้นไม่จำเป็นเลย อีกอย่างหากเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบคำพยากรณ์จะยิ่งทำให้ดำเนินการตามคำพยากรณ์ได้ช้าลงและขัดต่อประสงค์ของท่านชินจู นอกจากนี้การกระทำอย่างการพิสูจน์ความจริงจากเทพเจ้านั้นไม่ต่างอะไรกับดูหมิ่นท่านชินจู”
มิโกะคนอื่นๆ ก็เริ่มพูดเสริม
“พวกคุณอากิพูดถูกแล้ว” “พวกเราจะตรวจสอบคำพยากรณ์ด้วยตัวเอง” “เพราะพวกเราคือผู้รับคำพยากรณ์”
“ยะ-หยุดพูดอะไรไร้สาระนะ!” นักบวชคนหนึ่งตะคอกขึ้นมา “พวกแกก็แค่พูดตามสิ่งที่ท่านอูเอซาโตะบอกให้พูดนั่นแหละ!”
แต่ว่าเสียงตะโกนนั้นไม่ส่งผลอะไรกับเรา
ใช่ มิโกะทุกคนทำตามที่ฉันพูดอย่างที่เขาว่า ถ้าให้เลือกว่าจะอยู่ข้างฉันหรือนักบวช ยังไงร้อยทั้งร้อยของมิโกะก็เลือกฉันอยู่แล้ว
ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะฉันเหนือกว่าหรือมีสเน่ห์ดึงดูด ไทชะมองมิโกะเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น… สาเหตุแค่นี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้มิโกะเลือกที่จะต่อต้านพวกเขา
ต่อให้ฉันพูดคำพยากรณ์ปลอม ก็จะไม่มีมิโกะคนไหนปฏิเสธ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งที่ฉันบอกว่าเป็นคำพยากรณ์ก็คือ [คำพยากรณ์]
และถ้าคำพยากรณ์ใช้ในการตัดสินทุกอย่างของไทชะ นั่นหมายถึงอำนาจเบ็ดเสร็จสำหรับฉัน
ในหมู่นักบวช มีนักบวชสองคนก้มกราบลงกับพื้นต่อนักบวชคนอื่นๆ เพื่อแสดงการยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
หนึ่งในนั้นคืออาจารย์คาราสุมะ ส่วนอีกคนคือคุณพ่อของคุณฮานะโมโตะ
“ฉันเห็นด้วยกับอูเอซาโตะ ปัญหาที่แท้จริงของเราคือความสามารถในการรับคำพยากรณ์ และในเมื่อเราไม่สามารถถามหาความต้องการของท่านชินจูได้ ก็มีแต่เพียงต้องทำตามที่มิโกะบอก”
“ผมก็เชื่อว่าเราควรเชื่อฟังท่านชินจูกับพวกมิโกะ พวกเธอคือผู้ปกป้องชิโกกุผ่านเทศกาลบูชาไฟ แต่พวกเรากลับไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเราไร้ค่า”
คุณฮานะโมโตะกับคุณพ่อของเธอยอมรับที่จะอยู่ฝั่งฉัน เดิมทีเขาก็ตระหนักรู้อยู่แล้วว่านักบวชในที่นี้ไร้ความสามารถ เขาจึงตกลงที่จะช่วยอย่างง่ายดายเมื่อลูกสาวขอ
นอกจากคุณพ่อของคุณฮานะโมโตะแล้ว ฉันได้หยั่งรากไปยังนักบวชบางคนเพื่อให้เขาเลือกที่จะอยู่ฝั่งมิโกะ และหลังจากพวกเขาเหล่านั้น นักบวชคนอื่นๆ ก็เริ่มก้มกราบและอยู่ใต้ร่มเงาของมิโกะ ในท้ายที่สุดก็มีนักบวชกว่าครึ่งแสดงความตั้งใจที่จะทำตามคำพูดของเรา
แต่กลุ่มนักบวชที่มีอิทธิพลมากที่สุดยังคงไม่เชื่อ พวกเขาต้องเขม่นมาที่เราด้วยใบหน้าที่เต็มเปียมด้วยความโกรธเคือง
“ขอฉันพูดเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกคุณนะ” อาจารย์คาราสุมะพูดเสียดแทงนักบวชกลุ่มนั้น “แต่มันจะฉลาดกว่าถ้าพวกคุณไม่ทำร้ายหรือเป็นภัยต่ออูเอซาโตะ นอกจากได้รับความรักจากท่านชินจูแล้ว อูเอซาโตะยังได้รับความรักจากโนกิ วาคาบะด้วย ถ้าฉันเป็นคุณฉันจะกลัวอย่างหลังมากกว่า โนกิสูญเสียพรรคพวกผู้กล้าทุกคนไป ดังนั้นถ้าหากเกิดอันตรายขึ้นกับอูเอซาโตะล่ะก็ ใครจะไปรู้ว่าโนกิจะทำอะไร สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ลองถามตัวเองดูซิว่าพวกคุณเตรียมตัวตายหรือยัง”
ตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่เพียงชื่อของไทชะที่ถูกเปลี่ยน โครงสร้างภายในก็ถูกเปลี่ยนแปลงด้วย
อำนาจเกือบทั้งหมดที่นักบวชถือครองถูกส่งมอบให้มิโกะ
แน่นอนว่าบรรดานักบวชที่ภาคภูมิใจในอำนาจไม่ยอมรับและไม่ทำตาม พวกเขายังคงขัดขวางและแสดงการต่อต้านต่อมิโกะ
แต่ [คำพยากรณ์] ที่ฉันส่งไป มิโกะกับนักบวชที่อยู่ฝั่งของฉันจะค่อยๆ ขจัดความขัดแย้งออกไป
ฉันมีหลายอย่างที่ต้องทำ
ฉันไม่สามารถออกไปจากไทชะได้จนกว่าการปฏิรูปจะเสร็จสิ้น ถ้าเกิดฉันไม่อยู่ขึ้นมา ฝ่ายตรงข้ามอาจทำบางสิ่งบางอย่างและทำลายความพยายามของฉันด้วยทุกวิถีทาง ฉันไม่สามารถกลับปราสาทมารุกาเมะได้จนกว่าระบบของไทชะจะมั่นคง และวันเวลาที่ไม่ได้พบกับวาคาบะจังยังดำเนินต่อไป
ส่วนวาคาบะจังด้วยฐานะที่เป็น [ผู้กล้าเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่] ก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอีกต่อไป จึงต้องเข้าร่วมทุกกิจกรรมสาธารณะ มีทั้งให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคกลัวท้องฟ้า ทั้งไปเยี่ยมเยือนที่ที่ได้รับความเสียหายจากเวอร์เท็กซ์ และอีกมากมายหลายอย่าง เราสองคนทำได้เพียงส่งข้อความหากัน และมีโทรศัพท์คุยกันในบางครั้ง
ฤดูใบไม้ร่างจบลงและฤดูหนาวเข้ามาเยือน เช้าวันหนึ่งที่มีหิมะตก ฉันส่งรูปให้วาคาบะจังพร้อมข้อความ ‘หิมะกองเป็นพะเนินเลย’ วาคาบะจังตอบเป็นข้อความยาวๆ ‘การฝึกในอากาศหนาวเย็นแบบนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจิตใจและอะไรหลายอย่าง’ เมื่ออ่านข้อความก็ทำให้ฉันยิ้มออกมา
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน อากาศเริ่มอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ ชักเป็นห่วงว่าวาคาบะจังจะประมาทเพราะสภาพอากาศแล้วเกิดเป็นหวัดขึ้นมา ฉันโทรไปหาเธอแล้วพูดเตือน วาคาบะจังหัวเราะแล้วตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรและอย่ามองเธอเหมือนเป็นเด็ก สองวันหลังจากนั้นฉันก็ได้รับข้อความจากวาคาบะจัง ‘ดูเหมือนว่าจะเป็นหวัดแล้วล่ะ…’
ฤดูร้อน ระหว่างที่โทรฯ คุยกัน เสียงของวาคาบะจังฟังดูเบาลงนิดหน่อย คงเป็นเพราะอากาศร้อน ทำให้ทวีคูณความเหนื่อยล้าจากงานที่เธอทำเข้าไปอีก
ฤดูใบไม้ร่วงกลับมาอีกครั้ง ฤดูหนาวผ่านไปอีกครา…
ฤดูร้อนที่สองของเทวศักราช
ฉันเดินอยู่ใต้ต้นซากุระในปราสาทมารุกาเมะ และเธอยืนอยู่ตรงนั้น ฝั่งตรงข้ามของม่านกลีบดอกไม้กลางสายลม
ฉันยิ้มแล้วเรียกหาเธอ
“ตัวสูงขึ้นหรือเปล่าจ๊ะ? ใบหน้าก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย จากที่ดูดีอยู่แล้วก็ดูดียิ่งกว่าเดิมอีกนะเนี่ย”
เธอยิ้มอย่างผ่อนคลายให้ฉัน
“แหะ แหะ ขอบคุณนะ งานเสร็จแล้วเหรอ?”
“จ้ะ” ฉันพยักหน้า “ถึงจะยังไม่เสร็จทั้งหมด แต่อยู่ในจุดที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถขัดขวางฉันได้อีกต่อไป เชื่อว่าอีกไม่นานไทชะจะเป็นองค์กรที่ใกล้ชิดกับผู้คนมากขึ้น แต่เพราะเป็นองค์กร มันจึงเสื่อมลงตามกาลเวลา…”
“สิ่งที่พวกเราทำได้มีแค่ฝากฝังทุกอย่างให้กับคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ต้องคิดมากหรอก ฉันแน่ใจว่าในอนาคตจะต้องมีคนที่มีจิตใจดีอยู่แน่ และพวกเขาจะนำพาทุกอย่างไปยังทิศทางที่ถูกต้อง”
“อื้ม พวกเราเชื่ออย่างนั้น จากนี้ไปฉันจะกลับมาอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะอีกครั้ง อยู่ด้วยกันกับวาคาบะจัง”
“งั้นเหรอ… ยินดีต้อนรับกลับนะ ฮินาตะ”
ฉันถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
ในที่สุดก็ได้สัมผัสความอบอุ่นของวาคาบะจังอีกครั้งหลังจากผ่านมาเนิ่นนาน
“ฉันกลับมาแล้วจ้ะ วาคาบะจัง”
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 1 -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- จบ