[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 2: -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 2 โคโอริ จิคาเงะกับฮานะโมโตะ โยชิกะ
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 2: -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 2 โคโอริ จิคาเงะกับฮานะโมโตะ โยชิกะ
ฮานะโมโตะ โยชิกะ(花本 美佳) ตัวคันจิในชื่ออ่านว่าโยชิกะ ไม่ใช่มิกะ
แต่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครเรียกชื่อฉันถูกเลยสักคน
ฉันถูกคนอื่นเรียกว่า [มิกะ] มาตั้งแต่อนุบาล เพราะคุณครูอ่านชื่อฉันผิดว่ามิกะ เด็กคนอื่นๆ เลยเรียกตามอย่างนั้น เมื่อพ่อแม่ของฉันรู้ พวกเขาก็พยายามอธิบายว่าชื่อของฉันอ่านว่าโยชิกะ แต่พวกเด็กอนุบาลจดจำไปแล้วว่าฉันชื่อว่ามิกะ พวกเขายังคงเรียกด้วยชื่อนั้นด้วยความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ
แม้จะขึ้นชั้นประถมแล้วฉันก็ยังถูกเรียกว่ามิกะ คนที่รู้จักฉันจากอนุบาลยังคงเรียกแบบนั้น และเป็นอีกครั้งที่ชื่อนี้ถูกคนอื่นๆ เรียกตามกัน และต่อให้ทุกคนในชั้นประถมเริ่มอ่านคันจิออก ตัวคันจิ [美佳] ในชื่อของฉันตามปกติจะอ่านว่า มิกะ ไม่ใช่โยชิกะ
ด้วยเหตุนั้น ฉันยังคงถูกเรียกว่า [มิกะ]
ในใจของฉันเต็มไปด้วยความคิดในแง่ร้าย จะไม่มีใครในชีวิตนี้ที่เรียกฉันด้วยชื่อจริงเลยงั้นเหรอ?
ไม่มีใครเรียกชื่อจริงของฉัน ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มากๆ ราวกับตัวตนของฉันกำลังจะหายไป
จนกระทั่งในวันที่ 30 กรกฎาคม 2015 ฉันได้พบกับเธอคนนั้น
ในคืนที่เวอร์เท็กซ์ทำลายญี่ปุ่น ฉัน ที่ถูกนำโดยพลังบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ได้ขึ้นขี่จักรยานแล้วปั่นออกจากบ้าน พอลองมานึกย้อนดูแล้ว นั่นคงเป็นการพยากรณ์ของท่านชินจู ในตอนนั้นฉันเดินทางได้อย่างปลอดภัย เพราะที่ที่ฉันอยู่ไม่มีเวอร์เท็กซ์เข้ามาเลย แม้จะมีแผ่นดินไหวฉันก็ยังคงปั่นจักรยานต่อไปราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างนำทาง
แล้วฉันก็มาถึงศาลเจ้าเล็กๆ โทรมๆ ที่ไม่มีใครดูแล สำหรับฉันที่เกิดและโตในศาลเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่จะมีศาลเจ้าถูกทิ้งร้างในต่างจังหวัดแบบนี้
ศาลเจ้าพังครืนเพราะแผ่นดินไหว แต่ตรงหน้ามีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุประมาณฉันยืนถือใบมีดอะไรสักอย่างที่ขึ้นสนิม
เด็กหญิงผมสีดำขลับที่ถูกอาบด้วยแสงจันทร์กำลังหลั่งน้ำตาเพราะอะไรสักอย่าง ภาพตรงหน้าราวกับหลุดมาจากปกรณัม เป็นเพราะดวงตาอันมืดหม่นชุ่มโชกไปด้วยน้ำตาที่เหมาะกับใบหน้าของเธอ? หรือเพราะใบมีดขึ้นสนิมที่ไม่เหมาะจะอยู่บนมือของเด็กหญิงเลย?
แต่… มันช่างเป็นฉากที่งดงามเหลือเกิน
ฉันในตอนนี้ราวกับเสียความสามารถในการพูดไป คนที่อยู่ตรงหน้าราวกับไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นเทพเจ้าไม่ก็เทวฑูตที่จะหายไปในทันที่เมื่อส่งเสียง ร่างกายของฉันแข็งเกร็งและยากที่จะหายใจ
เด็กหญิงคนนั้นเช็ดน้ำตาแล้วหันมาทางฉันที่ยืนนิ่ง
“คุณ…. ฮานะโมโตะ… โยชิกะ?”
รู้ชื่อของฉันได้ยังไง? เธอต้องเป็นเทพแน่ๆ เป็นของจริงแท้แน่นอน! ว่ากันว่ายามเมื่อมนุษย์ได้เผชิญหน้ากับเทพเจ้า ความน่าหวั่นเกรงจะทำให้เขาเหล่านั้นไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันตัวแข็งเกร็งแบบนี้ สาเหตุที่หัวใจดวงนี้แข็งจนไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติ
“โยชิกะ มิกะ โยชิโยชิ มิโยชิ… อ่านแบบไหนถึงจะถูกนะ? ฉัน… คิดว่าคงเป็นโยชิกะ ล่ะมั้ง….”
แล้วฉันก็ตอบออกไปด้วยเสียงที่เปี่ยมด้วยความปิติที่ได้พูดคุยกับเทพเจ้า
“โยะ-โยชิกะค่ะ!! ฉันชื่อว่าฮานะโมโตะ โยชิกะค่ะ!”
“งั้นเหรอ… ฉันว่า… โยชิกะนี่แหละดีที่สุดแล้ว… ไม่ใช่ชื่อที่เห็นได้ทั่วไป… แต่ก็ไม่ใช่ชื่อที่แปลก…”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้คุยกับคนแปลกหน้าที่เรียกชื่อฉันด้วยชื่อจริงๆ
และยิ่งเป็นเทพเจ้าแบบเธอด้วย!
เพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถลบเลือนความรู้สึกแย่ๆ ที่ถูกเพื่อนเรียกชื่อผิดมาตลอดเป็นปลิดทิ้ง
ฉันได้รับการตอบแทนแล้ว การตอบแทนอันสูงส่ง
“ทะ-ท่านเทพคะ! ท่านรู้ชื่อของฉันได้อย่างไรคะ!?”
“…หะ? เทพ?”
เธอชี้ไปที่ล้อหน้าจักรยานของฉันด้วยใบหน้าสับสน บนล้อมีชื่อของเจ้าของ -ฉันเอง- เขียนเอาไว้ [ฮานะโมโตะ โยชิกะ]
“นั่นคือ… ชื่อของคุณใช่ไหม…?”
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รู้ชื่อฉันด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่การที่สามารถอ่านชื่อโยชิกะได้ยังคงเป็นปาฏิหาริย์อยู่ดี สมกับเป็นเทพเจ้า
“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าชื่อของฉันอ่านว่าโยชิกะ?”
“คนอื่นๆ… มักจะเรียกชื่อฉันผิดบ่อยๆ… ก็เลยพยายามที่จะไม่เรียกชื่อใครผิด… เท่าที่จะทำได้… ดูจากวิธีการเขียน… แล้วถามเพื่อให้ได้วิธีการเรียกที่ถูกต้อง… เลยเป็นคุณฮานะโมโตะ โยชิกะ”
เด็กหญิงปริศนาที่ฉันได้เจอในวันนั้นชื่อว่าโคโอริ จิคาเงะ เธอเป็น [ผู้กล้า] ไม่ใช่เทพเจ้า เป็นเด็กสาวที่มีพลังพิเศษ
เพราะเป็นผู้กล้าจึงถูกกลุ่มคนที่เรียกว่าไทชะเรียกตัวไป ส่วนฉันได้เป็นมิโกะผู้ค้นพบผู้กล้าโคโอริ จิคาเงะ
บ้านของฉันเป็นศาลเจ้าเล็กๆ จึงได้รู้จากครอบครัวว่าการเป็นมิโกะนั้นคืออะไร แต่สิ่งที่ไทชะเรียกว่ามิโกะนั้นไม่ใช่มิโกะที่เป็นนักบวชหญิงที่ค่อยทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้าหรือเต้นรำในพิธีกรรม มันคือชื่อที่ใช้สำหรับเรียกผู้หญิงที่สามารถได้ยินเสียงของเทพเจ้า หรือก็คือคำพยากรณ์
นั่นหมายความว่าการได้พบกับท่านโคโอริ จิคาเงะ เพราะฉันมีพลังมิโกะ
หลังจากนั้น ไทชะได้ส่งคำขอให้ฉันเข้าร่วมในฐานะมิโกะ แต่พ่อของฉันปล่อยให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาบอกว่าหากฉันไม่อยากไปเขาจะช่วยปฏิเสธให้
“หนูจะเข้าร่วมกับไทชะค่ะ”
ในตอนนั้นฉันตอบอย่างไม่ลังเล เพราะนั่นเป็นโอกาสที่ฉันจะได้อยู่กับท่านโคโอริ
แต่มิโกะต้องอาศัยอยู่ที่หอของไทชะ ส่วนผู้กล้าอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะ ในกิจวัตรประจําวันตามปกติแทบไม่มีโอกาสที่มิโกะจะได้พบกับผู้กล้าเลย
เพราะมิโกะมีหน้าที่สนับสนุนผู้กล้า ฉันจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้กล้าทั้งห้าคนได้ รวมไปถึงประวัติส่วนตัวด้วย และเพราะเป็นมิโกะของท่านโคโอริ ฉันจึงได้ข้อมูลทุกอย่างของเธอทั้งหมดที่ไทชะมี
สภาพแวดล้อมที่เธอได้เกิดและเติบโตนั้นช่างโหดร้ายเสียจนยากที่จะสรรหาคำบรรยาย
มีพ่อที่ไม่สนครอบครัวเอาแต่เที่ยวกับเพื่อนฝูงราวกับเป็นเพียงแค่เด็กเพิ่งโต มีแม่เป็นคนใจง่ายที่ทอดทิ้งลูกสาวตัวเอง ท่านโคโอริถูกผู้ใหญ่รอบตัวที่รู้สถานการณ์ในครอบครัวดูถูกดูแคลน, เย้ยหยัน และรังเกียจ ชีวิตในโรงเรียนก็มีแต่ถูกกลั่นแกล้งและกดขี่ ทั้งร่างกายและจิตใจ
นั่นมันนรกชัดๆ
ท่านโคโอริจะต้องได้รับความสุขในวันข้างหน้าเพื่อชดเชยกับอดีตแสนทรมาณที่ได้เผชิญมาจนถึงตอนนี้ เธอคือผู้ถูกเลือกให้เป็นผู้กล้า จึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับการชดเชยจากความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยได้รับ
ตั้งแต่โบราณกาล ผู้ที่รู้จักความเจ็บปวดจากการถูกย่ำยี่ย่อมได้เป็นผู้นำเสมอ แม้แต่พระพุทธเจ้ากับพระเยซูคริสต์ก็เคยถูกข่มเหงเหมือนกัน ในอนาคตท่านโคโอริจะต้องเป็นผู้ที่สามารถเดินไปในเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ และฉันอยากจะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือทำให้เป็นจริง
แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่สามารถได้พบกับท่านโคโอริอีกเลย…
และก็ผ่านมาสามปีแล้ว
“[อันตรายที่จะเกิดกับชิโกกุ] ที่อูเอซาโตะจังเคยพูดถึงยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย”
ฉันกับรุ่นพี่อากิกำลังคุยกันระหว่างทานมื้อเย็นที่โรงอาหาร
เมษายน 2019 เป็นช่วงที่ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่ง เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ที่คุณอูเอซาโตะได้รับคำพยากรณ์ที่กล่าวว่าชิโกกุกำลังเผชิญหน้ากับภัยอันตรายครั้งใหญ่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีเวอร์เท็กซ์เข้าโจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ตอนนี้ฉันเป็น JK แล้วเลยต้องระวังตัวตลอดเวลา เป็น JK แล้วต้องคิดอะไรหลายๆ อย่าง JK”
วิธีการพูดของรุ่นพี่อากิเปลี่ยนไป
“รุ่นพี่อากิก็แค่อยากพูดคำว่า [JK] นี่คะ…”
“แต่ไม่เห็นมีอะไรแถวนี้เปลี่ยนไปเลยนี่นา คนในนี้ก็ยังเหมือนเดิม อย่างกะไม่ได้เรียนจบ ม.ต้นอย่างงั้นแหละ! เพราะงั้นอย่างน้อยก็ขอทำเป็นว่าตอนนี้ฉันเป็นสาว ม.ปลายแล้วนะ JK!(女子高生 Joshikousei นักเรียนหญิง ม.ปลาย)”
เมื่อเดือนเมษายนมาถึง นั่นหมายความว่าพวกเราได้เลื่อนชั้นเรียน ฉันขึ้นเป็น ม.3 ส่วนรุ่นพี่อากิอยู่ ม.4
แต่การขึ้น ม.ปลายของรุ่นพี่ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลยสักอย่าง ยังคงเรียนและทำพิธีกรรมมิโกะเหมือนเดิม ห้องเรียนห้องเดิม หอที่อาศัยก็ยังเหมือนเดิม และเพราะไม่มีมิโกะเข้ามาใหม่ ผู้คนรอบตัวก็ยังเหมือนเดิมเช่นกัน
“จะว่าไปแล้ว คุณพ่อของฮานะโมโตะจังก็เป็นนักบวชของไทชะใช่มะ?”
“ค่ะ”
บ้านของฉันเป็นศาลเจ้าเล็กๆ และมีพ่อเป็นเจ้าอาวาส ไทชะเป็นกลุ่มที่เกิดจากการร่วมตัวของนักบวชชินโต ดังนั้นตอนที่ฉันถูกเชิญให้เข้าร่วมกับไทชะในฐานะมิโกะ พวกเขาก็ได้คุยกับพ่อของฉันเช่นกัน
“แล้วเขามีตำแหน่งสำคัญหรือเปล่า? เป็นถึงพ่อของมิโกะที่พบผู้กล้าเลยนะ”
“ไม่หรอกค่ะ เขาไม่ได้อยู่ตำแหน่งที่สำคัญอะไรเลย พ่อเขาไม่เหมาะที่จะเป็นนักบวชของไทชะด้วยซ้ำ”
“หว่า ฮานะโมโตะจัง พูดถึงพ่อตัวเองแบบนั้นมันไม่แรงไปหน่อยเหรอ”
“พ่อเขาเป็นคนพูดเองค่ะ เขาเป็นนักบวชที่ยอดเยี่ยมคนนึง นั่นแหละค่ะคือเหตุผลที่ไม่เหมาะที่จะอยู่กับไทชะ”
พ่อของฉันเป็นเจ้าอาวาสของศาลเจ้าตัวเองมาเป็นเวลานาน ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะความศรัทธาในศาสนา แต่เป็นเพราะความสามารถในการบริหาร เขาทำศาลเจ้าเป็นเหมือนบริษัทและเปรียบนักบวชทั้งชายและหญิงเป็นพนักงาน เขามักจะทำให้แน่ใจว่าทุกประเพณีที่จัดในศาลเจ้าจะต้องมีชีวิตชีวาอย่างเช่นฮาซึโมเดะ( 初詣 Hatsumode การเข้าศาลเจ้าครั้งแรกของปี) กับเทศกาลชิจิโกะซัน(七五三 Shichi-go-san เทศกาลรับขวัญเด็กในวันที่ 15 พ.ย.) ด้วยความเชื่อมโยงกับดำเนินการตามหลักธุรกิจ ทำให้ได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมาก พ่อรับแม้แต่งานภายนอกอย่างจิชินไซ(地鎮祭 jichinsai พิธิวางศิลาฤกษ์ เป็นพิธีกรรมที่ทำก่อนจะสร้างอาคารใหม่ เพื่อทำให้เทพเจ้าบริเวณนั้นสงบ) และฝึกสอนพนักงานในทุกๆ วันเพื่อเพิ่มรายรับ
เพราะแบบนั้น เขาจึงสามารถปกป้องศาลเจ้าที่ทั้งเล็กและอยู่ไกลจากจุดท้องเที่ยวให้รอดพ้นจากการเสื่อมโทรม พ่อเป็นผู้จัดการศาลเจ้าที่ยอดเยี่ยมที่สุด
กล่าวว่าศาลเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมบริการ เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จำนวนคนที่มีความเชื่อเรื่องการทำพิธีกรรมเพื่อชำระบาปและเครื่องรางนำโชคลดลงอย่างมาก แต่แม้จะไม่มีความเชื่อ คนพวกนั้นก็ยังคงมาศาลเจ้าในวันแรกของปี มาในเทศกาลชิจิโกะซันเมื่อเด็กๆ โตขึ้น และจัดจิชินไซก่อนที่จะเริ่มสร้างอาคาร พ่อได้ให้ความเห็นว่า มันก็เหมือนกับพิธีแต่งงานและฉลองวันเกิด เป็นเพียงแค่การสร้างความสุขใจเท่านั้น เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง นั่นหมายความว่าพวกเราเป็นผู้วางแผนกิจกรรม เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมบริการ
“และเพราะพวกเราเป็นผู้วางแผนกิจกรรม ต้องคิดให้ดีว่าการออกคำสั่งในการต่อสู้กับศัตรูภายนอกและสนับสนุนทหารที่มีชื่อว่าผู้กล้าอย่างไร” – พ่อเป็นคนพูด
นักบวชในสมัยนี้เก่งกาจในเรื่องของเทพเจ้า แต่ในด้านสงครามนั้นก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง นั่นเป็นเหตุที่พ่อของฉันไม่คิดที่จะเข้าร่วมเป็นนักบวชของไทชะ แต่สุดท้ายด้วยความนักบริหารที่ดีเยี่ยม เพื่อไม่ให้ถูกยุคสมัยและช่วงเวลาทอดทิ้งเขาเลือกที่จะเข้าร่วมกับไทชะ
เป็นเรื่องปกติที่ไทชะจะดำเนินการไม่ดีในการต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์หรือทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร นักบวชส่วนใหญ่ไม่ได้เหมือนพ่อของฉัน พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงในสภาวะสงครามและผิดพลาดอยู่เสมอ
“…ทำไมถึงถามเรื่องของพ่อล่ะคะ”
“ก็แค่คิดว่าถ้าคุณพ่อของฮานะโมโตะจังอยู่ระดับสูงๆ จะได้รับข้อมูลบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ อย่างเช่นคำพยากรณ์ของอูเอซาโตะจังหรืออันตรายที่รอชิโกกุอยู่มันเป็นยังไง”
“ทำไมไม่ถามตัวอูเอซาโตะเองเลยล่ะ?”
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็มาจากข้างหลังของฉัน
อาจารย์คาราสุมะในชุดคลุมสีขาวที่ผ่านทางนี้พอดียืนอยู่
“เดี๋ยววันพรุ่งนี้อูเอซาโตะก็จะมาที่นี่แล้ว ลองถามเกี่ยวกับคำพยากรณ์ใหม่หรือไม่ก็มีอะไรเปลี่ยนไประหว่างสู้กับเวอร์เท็กซ์ดูไหมล่ะ? โดยเฉพาะพวกเวอร์เท็กซ์ เพราะหลายอย่างเกี่ยวกับมันมีแค่ผู้กล้าเท่านั้นที่รู้ เพราะมีแค่พวกเขาที่อยู่ใน [จูไค] ได้ อูเอซาโตะที่อยู่กับผู้กล้าอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้”
การต่อสู้ระหว่างผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์เกิดขึ้นสถานที่พิเศษ
เมื่อเวอร์เท็กซ์ผ่านกำแพงเข้ามาในชิโกกุ ทุกๆ อย่างทั้งอาคารบ้านเรือนและสิ่งมีชีวิตจะถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เหมือนกับพืช ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า [จูไค] และถูกสร้างโดยชินจูที่เป็นการรวมตัวกันของเทพพิภพเพื่อปกป้องมนุษย์ ในจูไคจะไม่มีมนุษย์คนไหนได้รับบาทเจ็บต่อให้ถูกโจมตีโดยเวอร์เท็กซ์ก็ตาม
แต่มีแค่เพียงผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์เท่านั้นที่มีสติและสามารถเคลื่อนไหวในมิติจูไคได้ มิโกะอย่างฉัน รุ่นพี่อากิ หรือแม้แต่คุณอูเอซาโตะก็ไม่รู้ตัวว่าการต่อสู้ระหว่างผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว และการต่อสู้ก็จะจบลงโดยที่ไม่มีใครรู้อะไรเลย
เพราะคุณอูเอซาโตะอาศัยอยู่กับผู้กล้าจึงสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้โดยตรง เธอต้องรู้อะไรหลายอย่างที่ไม่มีใครรู้
“เหรอ อูเอซาโตะจังจะมาวันพรุ่งนี้สินะ”
เสียงของรุ่นพี่อากิฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้น มิโกะทุกคนชอบคุณอูเอซาโตะ แน่นอนว่ารุ่นพี่อากิก็ด้วย มีหลายคนที่รอคอยการมาของเธอ
แต่สีหน้าของอาจารย์คาราสุมะดูเคร่งเครียดตรงกันข้ามกับรุ่นพี่อากิ
“การมาครั้งนี้ของอูเอซาโตะไม่ได้น่าดีใจซักเท่าไหร่หรอก ดูเหมือนเธอจะมีข่าวร้ายตามมาด้วย”
คุณอูเอซาโตะมาที่ไทชะในวันต่อมา อย่างแรกที่เธอทำคือคุยกับพวกผู้ใหญ่เกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้กล้าและอะไรบางอย่าง
และเธอก็ออกมาจากห้องประชุมในตอนเย็น ที่อาจารย์คาราสุมะพูดว่า “ไม่ค่อยน่าดีใจเท่าไหร่” ยังคงติดอยู่ในใจของพวกเรา ดังนั้นฉันกับรุ่นพี่อากิจึงไปที่ห้องของอูเอซาโตะจัง
“ยินดีตอนรับค่ะ คุณอากิกับคุณฮานะโมโตะ”
คุณอูเอซาโตะต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“เหนื่อยแย่เลยนะอูเอซาโตะจัง ต้องเดินทางตั้งแต่เช้าจากปราสาทมารุกาเมะมาที่นี่แล้ว ยังต้องมาติดอยู่ในห้องประชุมเกือบทั้งวันอีก”
รุ่นพี่อากิเข้าไปในห้องของคุณอูเอซาโตะแล้วนั่งบนเตียงโดยไม่ได้ขอก่อน แต่คุณอูเอซาโตะก็ไม่ได้คิดมากและยังคงยิ้มอย่างสงบ
“ฮุฮุ มันก็เหนื่อยจริงๆ แหละค่ะ แต่ถ้าไม่นำข้อมูลอย่างถูกต้องของฝั่งผู้กล้าให้กับไทชะอาจจะมีปัญหาได้หากเกิดอะไรขึ้น หากอย่างน้อยนี่สามารถช่วยเหลือผู้กล้าได้ ความเหนื่อยแค่นี้ถือว่ายังจิ๊บจ๊อยค่ะ”
คุณอูเอซาโตะพูดแล้วหยิบหมอนรองนั่งให้ฉัน
“คุณฮานะโมโตะก็นั่งด้วยสิคะ เดี๋ยวฉันจะชงชาให้ค่ะ”
คุณอูเอซาโตะเดินออกจากห้องไปแล้วกลับมาพร้อมกับกาน้ำร้อน, กาน้ำชา และถ้วยชาสามใบ
“คุณอูเอซาโตะไม่ต้องทำขนาดนี้เพื่อพวกเราก็ได้ค่ะ”
“ไม่เลยค่ะ คุณฮานะโมโตะนั่งเฉยๆ เถอะค่ะ ฉันได้ชาดีของคากาว่ามาเป็นของฝากด้วย”
คุณอูเอซาโตะรินชาจากกาให้พวกเราสามคน ท่วงท่าอิริยาบถของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความสำรวมและสมบูรณ์แบบ ต่างจากใครบางคนแถวนี้ราวฟ้ากับเหว —- ฉันมองไปที่รุ่นพี่อากิ
“หืม?” รุ่นพี่อากิเห็นว่าฉันมองไปทางเธออยู่ “มีอะไรเหรอฮานะโมโตะจัง หรือว่าเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ของ JK มาสุซุคนนี้เข้าตาเธอแล้วเหรองาย”
“ไม่เลยสักนิดค่ะ”
“ไม่ตบมุขสักหน่อยเหรอ!?”
คุณอูเอซาโตะมองมาที่เราแล้วยิ้ม เมื่อได้อยู่กับคุณอูเอซาโตะแล้วทำให้รู้ตัวว่า —- ไม่สามารถเกลียดคนคนนี้ได้เลย
ประมาณสามปีครึ่งก่อนหน้านี้ ตอนที่ตอบรับที่จะเป็นมิโกะฉันได้มาที่สำนักงานใหญ่ของไทชะ ฉันรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ไม่ได้อยู่กับท่านโคโอริ แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วแล้ว ฉันยังคงอยู่ใกล้เธอมากกว่าใครๆ
ที่นี่มีมิโกะหลายคนนอกจากฉัน ในหมู่มิโกะมีคุณอูเอซาโตะที่โดดเด่นและให้ความรู้สึกที่พิเศษมากกว่าใคร เธอเป็นคนที่สงบนิ่ง มีไหวพริบที่มากกว่าเด็กประถม และกลายเป็นศูนย์กลางในกลุ่มมิโกะได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับฉัน ตัวประกอบที่ไม่มีใครแม้แต่จะเรียกชื่อจริง เธอคือนางเอกตัวจริง
หลังจากมิโกะมารวมตัวกันที่ไทชะ นักบวชคนหนึ่งกล่าวว่า “หนึ่งในพวกเธอจะได้รับหน้าที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้กล้าและคอยดูแลพวกเขา”
ผู้ดูแลจะต้องเป็นมิโกะที่มีพลังมากที่สุด… คนที่มีคุณสมบัตินั้นได้แก่ คุณอูเอซาโตะ รุ่นพี่อากิ ฉัน และอาจารย์คาราสุมะ(ที่ตอนนั้นยังเป็นมิโกะอยู่)
อาจารย์คาราสุมะตัดสินใจในทันที “ฉันทำไม่ได้หรอก ให้คนอื่นทำแทนเถอะ” ส่วนรุ่นพี่อากิยังไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร
มีฉันกับคุณอูเอซาโตะที่ยกมือ คุณอูเอซาโตะเป็นเหมือนพี่น้องกับผู้กล้าโนกิ วาคาบะ ดังนั้นเธอจึงอยากที่จะอยู่เคียงข้างและสนับสนุนผู้กล้า ส่วนฉันอยากจะได้อยู่ใกล้ๆ ท่านโคโอริถึงแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
ไม่กี่วันต่อมาหลังจากนั้น คุณอูเอซาโตะได้ถูกเลือกให้เป็นผู้ดูแล ไทชะมองว่าเธอคือมิโกะที่มีพลังมากที่สุด และมีสภาพจิตใจที่มั่นคงมากกว่าใคร
ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างมากที่เสียโอกาสได้เข้าใกล้ท่านโคโอริ
เพราะอย่างนั้น ตอนแรกฉันเลยเกลียดคุณอูเอซาโตะ พูดได้ว่าเธอเป็นปมด้อยของฉันเลย
คุณอูเอซาโตะก็ย้ายไปอยู่ปราสาทมารุกาเมะหลังจากนั้น และนานๆ ครั้งจะกลับมาที่สำนักงานใหญ่เพื่อรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้กล้า ทุกการสื่อสารกับเธอถูกจำกัดเหลือไว้เพียงแค่ช่วงที่อยู่ไทชะเท่านั้น แต่แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ การได้อยู่กับคุณอูเอซาโตะก็ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองและเกลียดชั่งที่มีต่อเธอหายไปในทันที
ก่อนหน้านี้ตอนที่มิโกะเพิ่งจะรวมตัวกันใหม่ๆ ด้วยความต่างของอายุและความเครียดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนอย่างกะทันหันทำให้เกิดการทะเลาะกันบ่อยครั้ง แต่เมื่อคุณอูเอซาโตะมาที่ไทชะ เธอจะฟังความของมิโกะคนอื่นๆ แล้วช่วยแก้ไขความขัดแย้งไปทีละคนๆ
คุณอูเอซาโตะเป็นคนฉลาด สามารถคิดวิธีดีๆ ที่แก้ปัญหาของทุกคนได้ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่เธอเก่งในเรื่องการไกล่เกลี่ย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องนั้นคือทัศนคติ คุณอูเอซาโตะจะรับฟังปัญหาของมิโกะทุกคนอย่างจริงใจและจริงจังในการคิดหาวิธีแก้ปัญหา ถ้าเพื่อช่วยแก้ปัญหาแล้ว เธอไม่เคยกลัวที่จะกลายเป็นคนร้ายหรือต้องเสียเปรียบคนอื่น เพียงแค่มองเธอก็ทำให้เด็กสาวที่ขัดแย้งกันรู้สึกละอายตัวเองแล้วหยุดทะเลาะวิวาทกัน
ฉันมองว่าคุณอูเอซาโตะเป็นคนที่สุดยอดมากคนหนึ่ง ก่อนที่จะรู้ตัวซะอีกว่ารู้สึกชอบเธอมากกว่าเกลียดชัง
พอลองย้อนคิดดู ดีแล้วล่ะที่คุณอูเอซาโตะถูกเลือกให้เป็นผู้ดูแล เธอดูเหมาะที่จะเข้ากับผู้กล้าได้ดีกว่าฉัน แบบนี้คงดีกว่าสำหรับท่านโคโอริด้วย
“อาจารย์คาราสุมะบอกพวกเราว่าเธอเอาข่าวร้ายมาด้วย มันคืออะไรเหรอ?”
รุ่นพี่อากิถามระหว่างจิบน้ำชาและทานส้มไปด้วย ส้มนี่ส่งมาจากบ้านของรุ่นพี่ที่เอฮิเมะ
คุณอูเอซาโตะตอบอย่างไม่ลังเล
“ใช่ค่ะ… ที่หนูมาไทชะในวันนี้เพราะเรื่องนี่แหละค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ฉันถามต่อ “เกี่ยวกับคำพยากรณ์เรื่อง [อันตรายที่จะเกิดกับชิโกกุ] ที่คุณอูเอซาโตะได้รับมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าคะ?”
“ไม่ใช่ค่ะ… หลังจากออกไปสำรวจนอกกำแพง ท่าทีของพวกผู้กล้าก็เปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไป?”
ฉันถามอีกครั้ง รุ่นพี่อากิก็มองไปที่คุณอูเอซาโตะเช่นกัน
“ค่ะ คุณทามาโกะมักจะบ่นว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบแน่ชัด บอกว่าไม่สบายก็ไม่ถูก เธอบอกว่า [ร่างกายของเธอรู้สึกแปลกๆ]… เป็นเรื่องที่คลุมเครือ และเธอไม่ได้แสดงอาการป่วยอะไรออกมา… จากผลการตรวจของคุณหมอบอกว่าร่างกายของเธอแข็งแรงดีค่ะ”
“…ทามาโกะเหรอ…”
รุ่นพี่อากิดำลงสู่ห้วงความคิดอย่างเงียบๆ
“แล้วผู้กล้าคนอื่นล่ะคะ? ท่านโคโอริเป็นยังไงบ้าง?” ฉันยังคงถามต่อ
“ไม่มีใครพูดถึงอาการแบบคุณทามาโกะค่ะ แต่… สภาพจิตใจของคุณจิคาเงะค่อนข้างแย่ลงค่ะ”
“สภาพ… จิตใจงั้นเหรอ?”
“เธอเริ่มพูดน้อยลงและมักแสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก คุณจิคาเงะคงกังวลอะไรสักอย่าง… อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอได้เจอระหว่างออกสำรวจนอกชิโกกุน่ะค่ะ”
แม้แต่มิโกะอย่างเราก็ได้ยินเรื่องสภาพของโลกภายนอกที่ผู้กล้าได้พบระหว่างออกสำรวจ
ญี่ปุ่นถูกทำลายทั้งหมด และไม่พบผู้รอดชีวิตแม้แต่ในพื้นที่เมืองใหญ่อย่างโกเบ โอซาก้า หรือนาโกย่า แม้แต่สุวะที่เคยมีผู้รอดชีวิตเมื่อปีก่อน ก็ถูกพบว่าถูกทำลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว
“ตอนที่ฉัน…” รุ่นพี่อากิเริ่มพูดเสียงงึมงำ “… ได้ยินข่าวเรื่องของโลกภายนอกฉันช๊อคมากเลย… แล้วผู้กล้าที่ต้องเผชิญด้วยตัวเอง คงต้องสิ้นหวังมากแน่ๆ…”
พวกผู้กล้าต่อสู้อย่างหนักเพื่อขัดขว้างการโจมตีของเวอร์เท็กซ์ การต่อสู้ที่ยากลำบากสร้างบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่พวกเขายังคงสู้ต่อไปด้วยความฝันที่ว่า [จะทวงคืนโลกและชีวิตอันสงบสุขที่เวอร์เท็กซ์แย่งชิงไปกลับคืนมา]
แต่โลกที่พวกผู้กล้าต้องการกลับคืนมานั้นได้พังทลายไปแล้ว และไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยสักคน
นั่นคงเป็นอาการสับสนจากความช็อค
“สาเหตุที่โคโอริจัง ทามาโกะ กับคนอื่นๆ รู้สึกไม่ดีต้องเป็นเพราะประสบการที่เลวร้ายแน่ๆ… “
คุณอูเอซาโตะมีท่าทีลังเลไปพักหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบรุ่นพี่อากิ
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ…”
พวกเราทั้งสามคนเงียบไปไม่พูดอะไร
พวกเราสามารถทำอะไรเพื่อผู้กล้าได้บ้างหรือเปล่านะ? ถึงจะไม่ได้ถูกเลือกเป็นผู้ดูแล แต่ฉันยังคงอยากที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อท่านโคโอริ
ไทชะเป็นเพียงแค่มือสมัครเล่นในเรื่องสงคราม พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อรักษาสภาพจิตใจของคนที่ออกไปสู้รบ ฉันเองก็เป็นมือสมัครเล่นในเรื่องสงครามเช่นกัน แต่ฉันอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับพวกผู้กล้ามากกว่าผู้ใหญ่ในไทชะ เลยสามารถเข้าใจพวกเธอได้มากกว่า ต้องมีอะไรสักอย่างที่พลังของฉันสามารถทำได้
“หากความสิ้นหวังเป็นเหตุทำให้ผู้กล้าเป็นแบบนี้… บางที่อาจมีอะไรสักอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อให้กำลังใจพวกเธอได้บ้าง”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันพูด สีหน้าของคุณอูเอซาโตะก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย
“นั่นสินะคะ นั่นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว วันก่อนพวกผู้กล้าจำลองการต่อสู้จริงกันเพื่อพักผ่อนตามความตั้งใจของวาคาบะจัง แล้วดูทุกคนจะชอบกันมากๆ เลยค่ะ”
จากที่ฟังคุณอูเอซาโตะ ท่านโนกิก็พยายามคิดวิธีการที่จะสร้างความผ่อนคลายเพื่อปัดเป่าบรรยากาศมืดมนในกลุ่มผู้กล้าเหมือนกัน และวิธีที่เธอเลือกคือการจำลองการต่อสู้จริงแบบแบทเทิลรอยอล
“แบทเทิลรอยอลเพื่อผ่อนคลายเนี่ยนะ… อา สมกับเป็นความคิดของโนกิจังจริงๆ แล้วสุดท้ายใครชนะล่ะ โนกิจังใช่มะ? ก็เป็นคนที่สู้เก่งที่สุดในกลุ่มนี่นะ”
“เปล่าค่ะ คนที่ชนะคือคุณอันสึ ด้วยแผนของเธอ”
“เอ๋ เด็กคนนั้นเนี่ยนะชนะ? ใช้แผนแบบไหนกันล่ะเนี่ย…”
รุ่นพี่อากิดูตกใจมาก
ท่านอิโยจิม่า อันสึไม่ใช่พวกที่เก่งเรื่องการต่อสู้ และความสามารถในการรบจัดว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้กล้าคนอื่นๆ แต่ในทางกลับกัน เธอเป็นคนสุดยอดมากในด้านการวางแผน และสั่งการผู้กล้าในทีมด้วยแผนการรบที่เธอคิดขึ้น
“แผนของคุณอันสึเป็นความลับค่ะ” คุณอูเอซาโตะยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง “แต่ก็อย่างที่คุณฮานะโมโตะบอกแหละค่ะ การให้กำลังใจพวกเขาเป็นวิธีที่ดีที่สุด คงดีถ้าได้ออกไปเที่ยวหรือทำอะไรสักอย่างที่ทำให้บรรยากาศดีขึ้น…”
คงเป็นเรื่องยากที่จะถกเถียงว่าสิ่งนี้ไม่ใช่การหนีความจริง ถึงแม้ผู้กล้าจะมีกำลังใจ ได้มีอะไรทำให้ผ่อนคลายในเวลาว่าง แต่ในความเป็นจริงการโจมตีของเวอร์เท็กซ์ก็ยังไม่จบลง และโลกภายนอกชิโกกุก็ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือแล้ว
ถึงอย่างนั้น… ฉันคิดว่าการมีความสุขในเวลาแบบนี้มันคุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ไม่นานคุณอูเอซาโตะก็เดินทางกลับปราสาทมารุกาเมะ ครั้งนี้เธอไม่ได้ค้างที่สำนักงานใหญ่ของไทชะ เธออยากที่จะลดเวลาที่ต้องอยู่ห่างจากปราสาทมารุกาเมะให้ได้มากที่สุด เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจของผู้กล้า
หลังคุณอูเอซาโตะจากไป ฉันกับรุ่นพี่อากิเริ่มคุยกันเกี่ยวกับวิธีการที่จะ [เสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้กล้า]
“งานเลี้ยงชมดอกไม้เป็นไง?” รุ่นพี่อากิคิด
“หืม นานๆ ทีรุ่นพี่จะคิดอะไรดีๆ ออกมาได้นะคะเนี่ย ตอนแรกฉันคิดว่ารุ่นพี่จะชวนเล่นไพ่นกกระจอกซะอีก”
“นี่ฮานะโมโตะจัง คิดว่าฉันเป็นพวกคลั่งไพ่นกกระจอกเหรอ!?”
ใช่ค่ะ
“ช่างเรื่องนั้นเถอะค่ะ ที่ปราสาทมารุกาเมะเป็นที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องต้นซากุระ ฉันเคยได้ยินมาก่อนว่านี่นั่นจะมีคนเข้าไปชมดอกไม้กันเยอะมากตอนที่มีการอนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปได้”
ฉันมาจากโคชิ แต่เมื่อก่อนเคยมีรายการ TV พิเศษเกี่ยวกับต้นซากุระที่ปราสาทมารุกาเมะในทุกเดือนเมษายน ทำให้ฉันรู้ว่าที่นั่นเป็นจุดชมดอกซากุระที่ดีจุดนึงเลย
“ใช่ม้า! งั้นมาจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้กล้ากับมิโกะกันเถอะ!” รุ่นพี่อากิพูดขึ้นราวกับคิดอะไรดีๆ ได้
ฉันกับรุ่นพี่อากิถามอาจารย์คาราสุมะเรื่องงานรวมกลุ่มชมดอกไม้
“อา… มันก็ไม่เลวนะ เดี๋ยวฉันลองเอาไปคุยกับเบื้องบนดู อาจจะใช้เวลานานสักหน่อยกว่าพวกเขาจะตกลง อีกอย่างนี่เป็นครั้งแรกที่มีกิจกรรมอะไรแบบนี้ล่ะนะ”
“ดอกซากุระมันไม่อยู่นานหรอกนะคะ เพราะงั้นช่วยทำให้เสร็จก่อนดอกไม้ร่วงหมดด้วยค่ะ!” รุ่นพี่อากิเน้นย้ำ
“รู้แล้วๆ เดี๋ยวฉันจะพูดให้ทันทีที่ทำได้เลย นี่ฉันจะต้องเตรียมข้อโต้แย้งเหมือนกับการนำเสนอรายงานวิชาการกับฝ่ายค้านในสภาเลยนะ เพราะงั้นขอเวลาหน่อยเถอะ”
แม้มีวิธีการพูดที่ดูเกียจคร้าน แต่คำพูดของอาจารย์เชื่อถือได้ จากอาจารย์คาราสุมะผู้ไม่มีแรงจูงใจใดกลับกลายเป็นคนกระตือรือร้นขึ้นมาได้ อาจารย์คงชอบชมดอกไม้แบบแอบๆ หรืออาจารย์ก็เป็นห่วงท่านทาคาชิม่าเหมือนกัน?
รุ่นพี่อากิยกมือขึ้นแล้วยื่นมาที่ฉัน
“???”
รุ่นพี่อากิตอบกลับท่าทางไม่เข้าใจของฉัน
“เวลาแบบนี้ก็ต้องตีมือกันสิ ไฮไฟอะรู้จักป้าว!”
“…อา อย่างนี้นี่เอง”
ฉันกับรุ่นพี่อากิตีมือกัน
วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์
สำหรับที่นี่ วันอาทิตย์เป็นวันอิสระไม่มีเรียนหรือทำพิธีมิโกะ
แต่ฉันตื่นขึ้นมาในเวลาเดิม รุ่นพี่อากิที่เป็นรูมเมทนอนอยู่เตียงชั้นบน เสื้อของเธอถกขึ้นจนเห็นหน้าท้อง ที่ปากมีน้ำลายยืดออกมา เป็นท่านอนที่ดูไม่ได้เอาซะเลย
“รุ่นพี่อากิคะ ตื่นเถอะค่ะ”
เธอลืมตาขึ้นแต่ยังสลึมสลืออยู่
“อืมมม? อะไรเหรอฮานะโมโตะ… รู้หรือเปล่าว่าเอฮิเมะน่ะนะ… ไม่ได้มีดีแค่ส้ม… แต่กีวีก็ขึ้นชื่อเหมือนกัน…”
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลของจังหวัดเอฮิเมะที่ไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้ค่ะ”
“แล้วมีอะไรเหรอ… วันนี้เป็นวันหยุดนะ เพราะงั้นขอตื่นสักเที่ยงก็แล้วกัน
“ช่วยสอนทำอาหารให้หน่อยสิคะ”
“…เอ๋?”
หลังจากนั้นฉันกับรุ่นพี่อากิก็ทานอาหารเช้ากันและไปที่ห้องครัว ซึ่งฉันได้ขออนุญาตใช้งานเรียบร้อยแล้ว
“ทำไมจู่ๆ ก็มาขอให้ฉันช่วยสอนทำอาหารล่ะ?” รุ่นพี่อากิถามขณะตรวจเครื่องครัวในห้องครัว
“คิดว่านี่คงเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำอาหารให้ท่านโคโอริทานในงานเลี้ยงชมดอกไม้น่ะค่ะ ถึงจะไม่อยากพูดใจจะขาดก็เถอะ แต่รุ่นพี่อากิเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถขอร้องได้ค่ะ”
“ไอ้ [ไม่อยากพูดใจจะขาด] นั่นไม่ต้องใส่มาก็ได้นะ แต่งั้นแปลว่าฉันเป็นรุ่นพี่คนเดียวที่เธอพึ่งพาได้เหรอ? รุ่นพี่ที่พึ่งพาได้! ฟังดูดีจัง! รุ่นน้องผู้หลงทางเอ๋ย ให้รุ่นพี่คนนี้นำทางเจ้าเถิด!”
ดูจะดีใจมากที่เป็นที่พึ่งพาให้รุ่นน้องได้
“…จะว่าไปแล้วรุ่นพี่อากิทำอาหารเป็นหรือเปล่าคะ? ที่ฉันรู้มีแค่ว่าคุณอูเอซาโตะทำอาหารเก่งมาก แต่….”
“อย่าประเมินรุ่นพี่ที่พึ่งพาได้อย่าง JK มาสุซุคนนี้ต่ำไปเชียวนะ! ถึงจะไม่เก่งเท่าอูเอซาโตะจัง แต่ฝีมือทำอาหารของฉันก็ไม่ใช่เล่นๆ นะ!”
ชักรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้วสิ แต่ยังไงในเรื่องทำอาหารรุ่นพี่ย่อมดีกว่าฉันที่ไม่มีความสามารถด้านนี้เลย
“แล้วฮานะโมโตะจังอยากทำอะไรเหรอ?”
“ปลาคัตสึโอะค่ะ”
ฉันกับท่านโคโอริมาจากโคชิทั้งคู่ ปลาคัตสึโอะเป็นของขึ้นชื่อของโคชิ และเป็นสิ่งที่ทุกคนที่มาจากที่นั้นต้องชอบ… ถึงจะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อยก็เถอะนะ แต่ฉันได้ยินมาจากคุณอูเอซาโตะว่าท่านโคโอริชอบปลาคัตสึโอะ
ของต่างๆ ฉันได้เตรียมเอาไว้แล้ว แต่คิดว่าจะดีกว่าถ้าได้ทำอาหารเมื่อมีโอกาส
ความจริงแล้วควรทำตอนเช้าของวันงานเลี้ยงชมดอกไม้ แต่ฉันต้องการให้มันสมบูรณ์แบบที่สุดในวันนั้น นี่คือสิ่งที่ท่านโคโอริจะได้ทานเข้าไป ดังนั้นมันจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบ
เมื่อวันก่อนฉันซื้อปลาคัตสึโอะสำหรับฝึกซ้อมมาหลายตัวใส่ไว้ในตู้เย็นที่นี่
“คัตสึโอะงั้นเหรอ แล้วเธออยากจะทำออกมาเป็นเมนูอะไรล่ะ?”
“วิธีทานคัตสึโอะที่ดีที่สุดคือการนำไปย่างค่ะ แต่… เพราะฉันต้องเอามันไปด้วยในตอนเช้า เราจึงควรหลีกเลี่ยงที่จะเอาของดิบไปดีกว่านะคะ”
อีกอย่างมันอาจจะเสียระหว่างเดินทางไปปราสาทมารุกาเมะ
“อืม ถูกของเธอ แต่ว่ายังมีวิธีดีๆ อยู่นะ”
รุ่นพี่อากิโชว์เมนูและสูตรทำอาหารในเน็ท
หลังจากคุยกันเสร็จ พวกเราเลือกที่จะทำปลาคัตสึโอะทอดกับปลาคัตสึโอะเทอริยากิ
รุ่นพี่อากิเริ่มต้นโดยการทำอาหารให้ดูเพื่อเป็นตัวอย่างให้ฉันเรียนรู้
“การทำอาหารก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก แค่ทำตามสูตรก็กินได้อร่อยด้วย ถ้าไม่ใช่อะไรที่ซับซ่อนมาก ฝึกทำไม่กี่ครั้งเธอก็ทำออกมาได้ดีแล้ว ใครๆ ก็ทำอาหารได้” รุ่นพี่อากิพูดแล้วเริ่มทำอาหาร
เหล้าปรุงอาหาร(味醂 みりん Mirin), โชยุ, ขิง, น้ำตาล เธอผสมเครื่องเทศทั้งหมดเข้าด้วยกันและแบ่งออกมาเป็นซอสสองชนิด แล้วใช้คัตสึโอะหั่นครึ่งจุ่มไปที่ซอสอันหนึ่งและนำไปชุบแป้งมันจนทั่ว ก่อนที่จะลงทอดน้ำมันท่วม เท่านี้คัตสึโอะทอดก็เสร็จแล้ว
จากนั้นรุ่นพี่ก็โรยเกลือลงไปที่คัตสึโอะอีกครึ่งที่เหลือ แล้วทอดบนกระทะ และจบด้วยซอสที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ได้เป็นคัตสึโอะเทอริยากิ
จากนั้นฉันก็ทำตามบ้าง
เห็นรุ่นพี่ทำแล้วมันดูเหมือนจะง่าย แต่การทำตามครั้งแรกของฉันจบลงที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า คัตสึโอะทอดของฉันชุบลงแป้งไม่ค่อยดีที่ไหร่ ส่วนเทอริยากินั้นกลายเป็นถ่านไปแล้ว ในรอบที่สองฉันจึงใส่กับการใช้แป้งและเวลาในการทอดมากขึ้น
“โอ๊ะจะว่าไปแล้ว ฮานะโมโตะจังเคยเจอกับโคโอริจังบ่อยหรือเปล่า?” รุ่นพี่อากิที่ดูการทำอาหารของฉันอยู่ถาม
“ฉันเจอกับท่านโคโอริตอนที่เวอร์เท็กซ์ปรากฏตัวค่ะ”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“…ไม่เคยเจออีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“งั้นเหรอ” รุ่นพี่อากิไม่มีท่าทีตกใจอะไร
“ทำไมถึงไม่นัดเจอกันล่ะ? เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่ารักโคโอริจังน่ะ”
“รุ่นพี่อากิคะ ฉันบอกไปหลายครั้งแล้วนะคะว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อท่านโคโอริไม่ใช่ [ความรัก] แต่เป็น [ความนับถือ] ค่ะ และเป็นเรื่องปกติที่มิโกะจะนับถือผู้กล้านะคะ”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ทำไมไม่นัดเจอกันล่ะ?”
“…”
ผู้กล้ากับมิโกะอาศัยอยู่คนละที่กัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ที่จะนัดเจอกัน ด้วยการอนุญาตจากไทชะ เราสามารถทำกำหนดการที่จะเจอกันในช่วงวันหยุดยาวได้ จริงๆ แล้ว รุ่นพี่อากิมักนัดเจอกับท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าอย่างน้อยปีละครั้ง
แต่ฉันไม่เคยนัดเจอกับท่านโคโอริเลยสักครั้งหลังจากวันที่เวอร์เท็กซ์โจมตีครั้งแรก ทั้งที่อยากจะอยู่เคียงข้างเธอขนาดต้องการที่จะเป็นผู้ดูแลผู้กล้า
แต่ทำไมกัน…
ไม่เข้าใจตัวเองเลย
“ฉันไม่รู้วิธีติดต่อกับท่านโคโอริค่ะ เลยทำกำหนดการไม่ได้…”
“เรื่องแบบนี้ขอให้อูเอซาโตะจังช่วยทำให้ก็ได้นิ”
ถูกของรุ่นพี่อากิ ที่ฉันพูดไปก็แค่แก้ตัวน้ำขุ่น ความจริงแล้ว…
“…ฉันไม่มีความกล้าค่ะ”
“ความกล้า?”
“ค่ะ…”
ฉันก้มศีรษะลง มือหยุดทำอาหาร
“…ฉันอาจเป็นมิโกะที่พบท่านโคโอริ แต่ไม่ได้รู้จักกับเธอแบบเพื่อนสมัยเด็กอย่างคุณอูเอซาโตะกับท่านโนกิ พวกเราเจอกันในวันที่เวอร์เท็กซ์โจมตีครั้งแรกและคุยกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ สำหรับฉันแล้วท่านโคโอริเป็นคนพิเศษ แต่สำหรับเธอแล้วเธอคงมองฉันเป็นแค่คนคนหนึ่งที่อาจจะลืมไปแล้ว… และฉันคงกลัว… กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเธอ…”
“…”
“ฉันไม่ได้มีพลังมิโกะที่แข็งแกร่งหรือมีบุคลิกที่โดดเด่นแบบคุณอูเอซาโตะ ฉันมันก็แค่คนธรรมดา ท่านโคโอริคงเกลียดฉันหากเราได้เจอกัน…”
ตอนที่ยกมืออาสาเป็นผู้ดูแลผู้กล้า ฉันหลงคิดว่าการได้เป็นมิโกะนั้นทำให้ฉันเป็นคนพิเศษ ตื่นเต้นดีใจจนหน้ามืดตามัว แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ตำแหน่งนั้น ฉันได้ถูกความเป็นจริงแทงเข้ามาในอกอีกครั้งว่าฉันเป็นแค่คนธรรมดา
จากนั้นฉันก็สูญเสียความกล้าที่เจอกับท่านโคโอริอีกครั้ง
เพื่อที่จะได้มีเรื่องคุยถ้าหากได้พบกับท่านโคโอริอีกครั้ง ฉันถามทุกอย่างเกี่ยวกับเธอจากคุณอูเอซาโตะอีกทั้งยังเล่นเกมเดียวกับเธอ… ฉันเก็บรวบรวมข้อมูลมาตลอดแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเปล่าประโยชน์
รุ่นพี่อากิตีที่หลังของฉัน จากนั้นเธอก็เริ่มพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“งั้นวันหลังลองหาเวลาไปเจอโคโอริจังดูสิ อะไม่สิ ใช้งานเลี้ยงชมดอกไม้ที่จะจัดนี่เป็นโอกาสซะเลย ไม่ต้องห่วงนะ ฉันเชื่อว่าจะต้องสนิทกันได้แน่ถ้าเธอทำอาหารอร่อยๆ ได้ ไม่ว่าใครก็ชอบของอร่อยกันทั้งนั้นแหละ”
“อย่างงั้นเหรอคะ…”
“เชื่อใจรุ่นพี่คนนี้สิ!”
รุ่นพี่อากิทำท่ามั่นอกมั่นใจทั้งที่ไม่มีอะไรมารับประกันเลย แต่คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันมองโลกในแง่ดีขึ้นมานิดๆ กลายเป็นความกล้าเล็กๆ ที่ฉันได้รับ
และเพราะว่าฉันเอาแต่คุยกับรุ่นพี่อากิ ทำให้การทำอาหารครั้งที่สองจบลงด้วยความล้มเหลวไม่เป็นท่า
แต่ทำสำเร็จในครั้งที่สาม เราสองคนจัดการเก็บกวาดของที่ทำล้มเหลวจากรอบแรกกับรอบที่สองด้วย
ตอนนี้ก็ได้เรียนวิธีทำอาหารแล้ว เหลือแค่รอวันที่จะจัดงานเลี้ยงร่วม
ในคืนเดียวกัน ฉัน รุ่นพี่อากิ และมิโกะอีกหลายคนได้รับคำพยากรณ์ตอนกำลังหลับ ทางคุณอูเอซาโตะเองก็คงได้รับเหมือนกัน
ในฝันฉันเห็นกลุ่มดาวรวมตัวกันบนท้องฟ้ายามราตรีและขยายใหญ่อย่างสุดลูกหูลูกตา ฝันที่มิโกะแต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน แต่สรุปโดยไทชะว่าการรุกรานของเวอร์เท็กซ์จะมาในอีกไม่นาน และบางอย่างที่คาดไม่ถึงกำลังจะเกิดขึ้น
ไม่มีทางรู้ได้ว่าการต่อสู้จะเกิดตอนไหน อาจในไม่กี่ชั่วโมงหรือในอีกไม่กี่วัน
หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้กล้าในการต่อสู้ ก็จะไม่ได้ไปชมดอกไม้กัน
ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
ฉันอยากให้ท่านโคโอริปลอดภัย
ได้โปรด…
ไม่กี่วันต่อมาในตอนเย็น ฉันกับรุ่นพี่อากิถูกเรียกไปที่ห้องของอาจารย์คาราสุมะ
“เที่ยงวันนี้ไทชะได้อนุมัติให้จัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ร่วมกันระหว่างมิโกะกับผู้กล้าเรียบร้อยแล้ว” อาจารย์พูดอย่างไม่มีความตื่นเต้นใดๆ
“จริงเหรอคะ!?”
รุ่นพี่อากิยื่นตัวไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ ทางฝั่งผู้กล้าเองก็ตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้เหมือนกัน ทุกอย่างเลยเข้าล็อคพอดี อิโยจิม่ากับโดอิบอกว่าปราสาทมารุกาเมะเป็นจุดชมดอกไม้ที่มีชื่อเสียงด้วยเหมือนกัน”
“ทามาโกะกับอันซึจังเหรอ!? สองคนนั้นก็คิดเรื่องชมดอกไม้เหมือนกับฉันเลย พวกเราเนี่ยเข้าใจกันจริงๆ!”
รุ่นพี่อากิดูมีความสุขที่งานเลี้ยงชมดอกไม้ได้รับอนุมัติ
อาจารย์คาราสุมะพูดต่อโดยไม่สนใจ
“แต่ว่าเมื่อครู่เรื่องงานชมดอกไม้เพิ่งถูกยกเลิกไป”
“เอ๋!? ทำไมล่ะ!?” รุ่นพี่อากิถาม
ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว ทั้งท่าทางและน้ำเสียงของอาจารย์คาราสุมะ ทุกๆ อย่างดูไม่ใช่เธอเลย
อาจารย์พูดต่อ
“เย็นวันนี้ มีการต่อสู้ระหว่างผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์”
มีเพียงผู้กล้าเท่านั้นที่ยืนยันได้ว่ามีการต่อสู้หรือไม่
“เวอร์เท็กซ์ที่เข้าโจมตีครั้งนี้มีจำนวนน้อยกว่าครั้งศึกปราสาทมารุกาเมะ”
แม้แต่มิโกะเองก็ไม่รู้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น
“แต่มีเวอร์เท็กซ์ขนาดใหญ่และแข็งแกร่งแบบไม่เคยเจอมาก่อนปรากฏตัวออกมา”
การต่อสู้เริ่มขึ้นและจบลงโดยไม่มีใครรู้
“พวกผู้กล้าสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว แต่แทบจะทำอะไรมันไม่ได้เลย…”
และ…
“โดอิ ทามาโกะกับอิโยจิม่า อันสึตายในหน้าที่”
ไม่รู้แม้แต่การตายของผู้กล้า
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุ บทที่ 1 ตอนที่ 2 จบ
เล็กๆ น้อยๆ จากผู้แปล