[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 15.5: ตอนพิเศษ
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 15.5: ตอนพิเศษ
ในค่ำคืนหนาวเหน็บจนหายใจออกมาเป็นควันสีขาว
ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า
ดวงจันทร์กับดวงดาวส่องประกายในท้องฟ้าฤดูหนาวก่อนรุ่งสาง
ดวงดาวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในวันที่เดินทางจากนาระมาชิโกกุกับยูนะและมัตสึริ ตอนนี้ฉันทำได้แค่หันหน้าขึ้นไปเชยชมพวกมัน แต่ดวงดาวเหล่านั้นไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงทิวทัศน์ที่ถูกสร้างโดยชินจูเพื่อซ่อนสภาพที่แท้จริงของโลก ยุคคริสตศักราชถูกเปลี่ยนเป็นเทวศักราช และเหล่าผู้ที่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้อาจไม่มีวันได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวของจริง
ฉันหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนแล้วใส่มันเข้าปาก
“อย่าสูบบุหรี่มากนะคะ”
คำเตือนนั้นทำเอาฉันสะดุ้งจนต้องหันกลับไปมองข้างหลัง แน่นอนว่าคนคนนั้นไม่ใช่ผู้กล้าตัวน้อยที่มีกิ๊บติดผมรูปดอกซากุระ
คนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือ ผู้ที่คุมบังเหียนมิโกะของไทชะ หรือถ้าพูดให้ถูก เธอคือผู้คุมไทชะเสียเอง อูเอซาโตะ ฮินาตะ
ฉันเคี้ยวบุหรี่ที่คาบเอาไว้แล้วกลืนมันลงไป
“ช็อกโกแลตรูปทรงบุหรี่ต่างล่ะ ของดีแถวบ้านฉันเลยนา”
“เป็นของดีแถวบ้านที่แปลกที่สุดเลยค่ะ”
ฮินาตะหัวเราะเหมือนเด็ก ตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก เธอก็เป็นคนที่อ่านยากอยู่แล้ว พอก้าวขึ้นมาตำแหน่งสูงสุดของไทชะในยุคเทวศักราชยิ่งอ่านยากเข้าไปอีก แม้ตอนนี้จะยิ้มอยู่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆ แล้วเธอรู้สึกยังไง
“ฉันเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่ตอนที่เป็นมิโกะแล้ว มิโกะควรที่จะสะอาดบริสุทธิ์ และพวกนักบวชก็บอกว่าฉันไม่ควรเอาอะไรก็ตามที่เป็นมลทินเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงบุหรี่ด้วย”
ถึงแม้ฉันจะสูบไปครั้งหนึ่งในวันที่ทาคาชิม่า ยูนะตายก็เถอะ
“อ๊ะ มาอยู่ที่นี่เอง! พวกเรากำลังตามหาเธออยู่เลย การประชุมประจำวันของมิโกะกับนักบวชกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ”
“ถ้าไม่มีคุณอูเอซาโตะ พวกเราก็เริ่มไม่ได้นะคะ”
อากิ มาซุสุกับฮานะโมโตะ โยชิโกะพูดขณะที่เดินเข้ามา
“จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
อูเอซาโตะตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ และหันเดินไปทางศาลเจ้าหลักของไทชะ
หลังยุคคริสตศักราชจบลงและเริ่มต้นยุคเทวศักราช มิโกะที่นำโดยอูเอซาโตะขึ้นแย่งชิงตำแหน่งสำคัญของไทชะและกลายเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ นักบวชอย่างพวกเราทำได้เพียงเชื่อฟัง [คำพยากรณ์] จากมิโกะโดยไม่มีข้อแม้
อากิกับฮานะโมโตะกลายเป็นมือขวาและมือซ้ายของอูเอซาโตะ แม้อูเอซาโตะจะเป็นผู้นำและมีอำนาจของมิโกะ แต่พอขึ้นมาอยู่ตำแหน่งสูงสุดของไทชะ งานของเธอก็เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่จะให้ความสนใจกับมิโกะทุกคน เมื่อไหร่ก็ตามที่อูเอซาโตะยุ่งอยู่ อากิจะเป็นคนบริหารจัดการพวกมิโกะ ตอนนี้อากิเป็นมิโกะที่อาวุโสที่สุดและด้วยความเป็นคนเอาใจใส่ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นๆ การตายของโดอิกับอิโยจิม่าสร้างความเจ็บปวดอย่างมากให้กับเธอ แต่ว่าได้รักษาบาดแผลเหล่านั้นไปแล้ว ตอนนี้อากิกลับมาร่าเริงอย่างที่เคยเป็นแล้ว แถมดูเหมือนจะมีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นด้วยหลังจากข้ามผ่านความตายของเพื่อนสนิทไปได้
อีกด้านหนึ่ง ฮานะโมโตะเลือกที่จะศึกษาด้านศาสนากับชาติพันธุ์วิทยาอย่างจริงจังหลังเปลี่ยนยุคสมัย และในตอนนี้มีความรู้เทียบเท่ากับศาสตราจารย์ เท่าที่สามารถพูดได้ ฮานะโมโตะทั้งฉลาดและขยันมาก ทำให้เธอเหมาะจะเป็นนักวิจัยมากกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกนักบวชพยายามจะแย่งตำแหน่งคืนจากมิโกะ ฮานะโมโตะจะเป็นตัวตั้งตัวตีกับพวกนักบวชโดยใช้ความรู้เรื่องศาสนาและเทพเจ้าเป็นอาวุธ ในศึกที่โต้เถียงด้วยความรู้ ฮานะโมโตะไม่เคยแพ้พวกนักบวชเลยสักครั้ง
อูเอซาโตะ, อากิ, และฮานะโมโตะตั้งตนเป็นศูนย์กลางของมิโกะแห่งไทชะ ตำแหน่งที่ได้รับ เพราะเป็นมิโกะผู้ชี้นำผู้กล้า ว่ากันมาอย่างนั้น
ถ้าหากว่า…
ถ้าหากว่ามัตสึริกลายเป็นมิโกะของไทชะ เธอจะได้ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ร่วมกับสามคนนั้นหรือเปล่านะ
…คงจะไม่
มัตสึริไม่มีบุคลิกภาพที่สามารถยืนเคียงข้างอูเอซาโตะได้ เป็นไปได้ที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันด้วยซ้ำ
“คุณคาราสุมะจะร่วมประชุมด้วยไหมคะ? ยังไงซะในทางเทคนิคแล้วคุณก็เป็นนักบวชนี่นะ”
อากิถามฉัน
“คำว่า [ในทางเทคนิค] ไม่ได้เอามาใช้อย่างนี้นะ แต่ครั้งนี้ฉันคงต้องขอผ่าน มันก็แค่พวกคนแก่มารายงานประจำวันเท่านั้นแหละ อีกอย่าง ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”
“เรื่องอื่นที่ต้องทำเหรอคะ? พอออกมาจากปากคุณแล้ว คิดไม่ได้เลยค่ะว่าจะเป็นเรื่องดี”
ฮานะโมโตะมองมาด้วยความสงสัย
“พูดอย่างกับว่าไม่เคยเชื่อใจฉันเลยนะ”
“แน่นอนค่ะว่าไม่ คนอย่างคุณมีอะไรให้สามารถเชื่อได้ด้วยเหรอคะ?”
ฮานะโมโตะตอบกลับอย่างไม่ยั้งปาก
ฉันฝืนยิ้มออกมา
“ก็มีเหตุผล ยังไงก็เถอะ ครั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเธอ ฉันแค่จะไปหาเพื่อนเก่า ช่วยอนุญาตให้ฉันออกไปได้ไหม อูเอซาโตะ?”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ไปเจอมัตสึริเลยหลังจากที่ยูนะตายไป ถึงแม้จะตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ
ฉันไม่ได้เจอกับมัตสึริมาเป็นเวลานานแล้ว แต่สามารถตามหาที่อยู่ได้ง่ายๆ โดยใช้ฐานข้อมูลของไทชะ
หลังจากที่ได้รับอนุญาตโดยไทชะผ่านอูเอซาโตะ ฉันก็ขับรถไปยังเมืองที่มัตสึริอาศัยอยู่ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าการขับรถเป็นเวลานานสร้างความเครียดให้กับฉันมากกว่าที่เคย เมื่อก่อน ตอนที่ขับรถบัสกับมัตสึริและยูนะ ฉันสามารถจับได้เป็นชั่วโมงโดยแทบไม่ต้องนอน คงเป็นเพราะ สถานการณ์ตอนนั้นมันน่าตื่นเต้นและก็สนุกมากด้วย
ถึงจะใช้เวลานาน แต่ก็มาถึงที่พักของมัตสึริในตอนนี้ก่อนเที่ยง
มัตสึริอาศัยอยู่บ้านเดี่ยวแถวชนบทที่เต็มไปด้วยทุ่งนากับป่า ตัวอาคารไม่เล็กไม่ใหญ่ ประมาณมาตรฐานได้ ทรงบ้านเป็นแบบผสมผสานระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก และไม่มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เลย เป็นบ้านในแบบที่ว่ามีคนเดินผ่านสักร้อยคนจะมีคนหนึ่งที่สังเกตว่ามีบ้านหลังนี้ตั้งอยู่
หัวใจของฉันเต้นดังขึ้นมาขณะมองไปที่บ้าน
อา มันเหมาะกับมัตสึริมาก ความธรรมดาที่แสนน่าเบื่อ
เมื่อฉันกดออดหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ค่า!” จากในบ้าน และรู้สึกถึงใครสักคนที่เดินออกมาหน้าบ้านอย่างเร่งรีบ
เมื่อประตูหน้าบ้านเปิดออกและผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงนั้น
ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอมองมาที่หน้าฉันและกระพริบตาปิบๆ ดูเหมือนจะจำฉันไม่ได้
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มัตสึริ”
พอพูดจบ ดูเหมือนมัตสึริจะเข้าใจในทันทีว่าฉันเป็นใคร เธอทรุดตัวลงกับพื้น
“คุณคุมิโกะ…!? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
“อย่าดูถูกเครือข่ายข้อมูลของไทชะจะดีกว่านะ การหาที่อยู่ของเธอน่ะมันง่ายนิดเดียว ไม่ต้องกังวลไป ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพังชีวิตธรรมดาๆ ของเธอหรอกนะ”
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่คะ? ทั้งที่ตลอดมา…”
“ฉันแค่มาเลี้ยงอาหารที่ฉันชอบให้เธอได้ลองกินดูก็เท่านั้น”
“อาหารที่คุณชอบ…? ความทรมานของคนอื่น เลือด หรือความรุนแรงล่ะคะ?”
“นี่เธอมองฉันเป็นคนยังไง? ก็นะ คงเพราะฉันทำอะไรหลายอย่างที่ทำให้เธอคิดอย่างนั้น” ฉันพูด แล้วเปิดถุงที่มีแป้ง ปลาโอแห้งสไลด์เส้น ผัก หมูสามชั้น และวัตถุดิบอีกหลายอย่าง “โอโคโนมิยากิน่ะ เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดีใช่ไหมล่ะ?”
ฉันยืมห้องครัวในบ้านของมัตสึริ เริ่มแรก ผสมแป้งลงในน้ำซุป จากนั้นก็คนมันเข้ากับไข่และวัตถุดิบอื่นๆ แล้วก็นำไปทอด เนื่องจากทำเพียงแค่นี้ก็อร่อยแล้ว โอโคโนมิยากิจึงเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อาหารของญี่ปุ่น ฉันเชื่อมั่นอย่างเต็มอกว่าในสักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาหารประจำชาติในยุคเทวศักราชร่วมกันกับอูด้ง
หลังจากได้ลองกินโอโคโนมิยากิที่ฉันทำ มัตสึริก็มองมาอย่างแปลกใจ
“อร่อย…! ใครจะไปคิดว่าคุณคุมิโกะ ผู้ชอบเสียงกรีดร้องกับความรุนแรงจะมีความสามารถพิเศษอย่างนี้ด้วย”
“นี่หาเรื่องกันหรือเปล่า? ถ้าอยากมีเรื่องละก็ครั้งนี้ฉันจะอัดเธอให้เละเลย ตอนที่อยู่บนรถบัสที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นตลอดทุกวี่ทุกวันมันไม่มีโอกาสได้ทำอาหารนี่นา แต่ตอนที่ฉันอยู่โอซาก้า ฉันมักจะทำโอโคโนมิยากิให้คนที่สนิทด้วยกินประจำ และฉันยังไม่เคยทำให้เธอได้ลองกินเลย”
“คุณกับฉัน สนิทกันเหรอคะ…?”
“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึก ฉันน่ะชอบเธอจริงๆ นะ”
“รู้สึกไม่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นเลยค่ะ ฉันยังคงโกรธเคืองคุณอยู่”
“ที่ฉันแย่งตำแหน่งมิโกะจากเธอเหรอ?”
“…..”
มัตสึริเงียบและกินโอโคโนมิยากิต่อ
“ฉันคิดว่าเธอเหมาะกับตำแหน่งมิโกะ พูดตามตรงฉันไม่ได้แย่งตำแหน่งมิโกะนี่เพื่อเธอเลย ที่ทำไปเพราะคิดว่ามันสนุกก็เท่านั้น”
“…ฉันรู้ดี คุณนี่มันเลวที่สุดจริงๆ”
“หึหึ ก็คงงั้นแหละ เพราะแบบนั้นฉันเลยได้สนุกกับประสบการณ์บ้าบอที่ชีวิตสงบสุขไม่มีวันให้ได้ อย่างพวกนักบวชที่หวาดระแวงทุกครั้งที่เวอร์เท็กซ์บุกชิโกกุ หลายคนเสียสติเมื่อถูกความกลัวกับความสิ้นหวังรุมเร้า หรืออย่างพวกเด็กๆ ที่ถูกเรียกว่าผู้กล้าที่มักสร้างปัญหาอยู่บ่อยๆ เพราะสถานการณ์บัดซบแบบนี้บังคับให้พวกเขาต้องออกไปสู้ สุดท้าย ฉันยังได้เห็น อูเอซาโตะที่เป็นแค่เด็กมัธยมต้นยึดไทชะ อย่างที่ว่ากันว่าเรื่องจริงมันยิ่งกว่าละคร ฉันนี่แทบกลั้นขำไม่ไหวเลย”
“ขอเดาว่าที่คุณอูเอซาโตะยึดไทชะนั่นเป็นฝีมือของคุณใช่ไหม คุณคุมิโกะ?”
มัตสึริมองฉันด้วยสายตารังเกียจ
“ผิดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แรกเริ่มเดิมที ไม่มีทางที่คนอย่างฉันจะสามารถควบคุมเด็กที่ผิดปกติอย่างอูเอซาโตะ ฮินาตะได้ อูเอซาโตะใช้ฉันและฉันก็ยินดีที่ถูกเธอใช้ มันก็แค่นั้นเอง”
มัตสึริกินโอโคโนมิยากิเสร็จและวางตะเกียบลง
“ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ อร่อยมากเลยค่ะ”
“ดีใจที่ชอบนะ แต่ยังเทียบไม่ได้กับที่ฉันสามารถเข้าไปอยู่ในไทชะได้เพราะเธอ จะตอบแทนเท่าไหร่ก็ไม่พอ จะปล่อยให้โกรธเคืองฉันจนกว่าจะพอใจก็ยังได้”
“คุณคุมิโกะ” มัตสึริเขม่นใส่ฉัน “ฉันไม่ได้โกรธเคืองคุณเพราะคุณแย่งตำแหน่งมิโกะไปจากฉัน แต่เป็นเพราะคุณไม่หยุดทาคาชิม่า ยูนะจากการเป็นผู้กล้า”
“….เธอก็รู้นี่ว่าเด็กนั่นเลือกที่จะเป็นผู้กล้าด้วยตัวเอง”
“ไม่ว่ายังไงคุณก็ควรจะหยุดเธอ ยูจังในตอนนั้นยังเพิ่งสิบขวบ ผู้ใหญ่ควรที่จะหยุดเด็กไว้ตอนที่เขาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ควรค่ะ”
“เธอคิดว่าที่ยูนะเป็นผู้กล้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรงั้นเหรอ…?”
“ค่ะ”
ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยในเสียงของมัตสึริ เธอคงไตร่ตรองเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่วินาทีที่แยกทางกับยูนะ และจะกี่ครั้งข้อสรุปที่เธอได้ก็เหมือนเดิม คือที่ยูนะเป็นผู้กล้าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เมื่อย้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จากความรู้สึกจึงกลายเป็นความเชื่อมั่น
“ถ้ามีนักบวชไทชะมาได้ยินเข้าล่ะก็คงมีเป็นลมกันไปข้าง”
“พวกเข้าจะเป็นลมหรืออะไรก็ช่าง ยังไงซะในความเป็นจริงนั่นคือ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
“มีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกช่วยโดยยูนะที่ต่อสู้ในฐานะผู้กล้า ทั้งหมดเป็นเพราะยูนะ ผู้คนในชิโกกุถึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจนถึงตอนนี้นะ”
“…ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในไทชะบ้าง แต่เท่าประชาชนธรรมดาคนหนึ่งสามารถรู้ได้” มัตสึริย้ำเตือนตัวเอง “สุดท้ายผู้กล้าก็แพ้เวอร์เท็กซ์ ทุกคนตายในสนามรบเหลือเพียงแค่ท่านโนกิ เป็นเพราะพิธีกรรมบางอย่างที่เรียกว่า พิธีบูชาไฟหรืออะไรสักอย่างที่หยุดการรุกรานจากเวอร์เท็กซ์ ที่ยูจังตายเพราะยื้อเวลาสำหรับพิธีกรรมอย่างงั้นเหรอ? ถ้าสิ่งที่เธอทำเป็นแค่ยื้อเวลาล่ะก็ มันจำเป็นต้องเสียสละชีวิตเลยเหรอ? ชิโกกุจะไม่สงบสุขเลยถ้าเธอไม่ตายงั้นเหรอ?”
ที่มัตสึริพูดก็ถูกอยู่
แต่จากมุมมองที่สูงกว่า ย้อนกลับไปก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย การต่อสู้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับยูนะและผู้กล้าคนอื่นๆ
“ถ้าหากยูจังไม่เข้าร่วมกับไทชะล่ะก็ ถ้าหากเธอไม่เป็นผู้กล้า ยูจังก็คงมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เหมือนกับผู้คนในชิโกกุในวันนี้”
“….ยูนะอาจจะมีชีวิตได้นานกว่าเดิมก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีความสุข ไม่ใช่แค่ยูนะ ผู้กล้าทุกคนคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ”
โนกิ วาคาบะ หนึ่งในสาเหตุที่เธอคนนี้ต่อสู้ เพราะเรื่องส่วนตัวอย่างการล้างแค้น แต่เธอจะยืนอยู่หน้าสุดเสมอโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะบาดเจ็บ
โดอิ ทามาโกะ เธอคนนี้รักอิโยจิม่า อันสึเหมือนพี่น้อง และเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องกันและกัน
อิโยจิม่า อันสึ เธอคนนี้ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงและไม่เต็มใจที่จะสู้ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะสู้ในฐานะผู้กล้า อาจเป็นเพราะห่วงเรื่องของโดอิ และที่เธอตายก็เพื่อโดอิ
โคโอริ จิคาเงะ แม้เธอจะไม่ได้เสียสละตัวเองอย่างชัดเจนเหมือนผู้กล้าคนอื่น แต่ได้ยินมาว่าสุดท้ายเธอตายเพื่อปกป้องโนกิ
“ผู้กล้าทุกคนเป็นพวกไม่สนใจชีวิตของตัวเอง ทาคาชิม่า ยูนะเองก็เช่นกัน นั่นเลยทำให้ฉันคิดว่า ถ้ายูนะไม่ได้เป็นผู้กล้า เธอคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
“……..”
มัตสึริไม่ตอบกลับ ดวงตาของเธอมองลงไปที่มือทั้งสองข้างที่กำอยู่บนตัก
“ฉันเฝ้ามองพวกผู้กล้าและคนรอบตัวพวกเธอมาตั้งแต่เข้าร่วมไทชะ และไม่ใช่แค่ผู้กล้าเท่านั้น คนรอบตัวพวกเธอเองก็ห่างไกลจากคำว่าธรรมดา อูเอซาโตะ เด็กมัธยมต้นคนหนึ่งที่ควบคุมองค์กรมหาอำนาจอย่างไทชะ ฮานะโมโตะ ผู้ไม่เคยสูญเสียความเคารพนับถือต่อคนคนหนึ่งที่เพิ่งเจอเพียงครั้งเดียว อากิ ผู้ที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายสักแค่ไหน”
ไม่มีทางที่คนอย่างมัตสึริจะรู้ ถึงพลังใจที่เข้มแข็งของเหล่ามิโกะที่ยอมสังเวยตัวเองในพิธีบูชาไฟด้วยความตั้งใจของตัวเอง คนเหล่านั้นข้ามผ่านความธรรมดาไปแล้ว
“ไม่ใช่แค่นั้น พวกนักบวชของไทชะเองถึงจะเล็กน้อย แต่ก็มีความน่ารังเกียจอยู่ พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ตัวเองไม่เคยอยู่เพื่อปกป้องประเทศ รู้อะไรไหมมัตสึริ ฉันเคยเรียกเธอว่าเป็นคนธรรมดา แต่พอมาคิดดูแล้ว การที่เธอสามารถรักษา [ความปกติ] หลังจากที่โลกถูกทำลายและตัวเองมีพลังที่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์อยู่เองก็ไม่ปกติแล้ว สงสัยจริงๆ ว่าเส้นแบ่งระหว่างความปกติกับไม่ปกติมันมีอยู่หรือเปล่า?”
“ของแบบนั้นมันไม่มีหรอกค่ะ”
มัตสึริพูดยืนยัน เส้นแบ่งระหว่างความปกติกับไม่ปกติ อีกหนึ่งสิ่งที่มัตสึริต้องคิดมาตลอดตั้งแต่วันที่จากยูนะกับฉัน ในน้ำเสียงของเธอ ฉันสัมผัสได้ถึงความเชื่อมั่นที่มีเพียงแค่คนที่คิดไตร่ตรองมาอย่างยาวนานและลึกซึ่งเท่านั้นที่สามารถพูดออกมาได้
“คุณอาจจะเป็นคนแปลก แต่ในโลกใบนี้ยังมีคนที่แปลกกว่าคุณอยู่ มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเป็นคนที่ปกติหรือแปลกในสายตาของคนอื่น ทุกคนต่างก็ปกติและไม่ปกติ”
“อย่างกับหลุดมาจากในหนังสือเลยนะ สมแล้วที่เป็นนักเขียน ได้ยินมาว่าเธอประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนหนังสือภาพด้วยนี่นะ”
“ขอบคุณที่แย่งตำแหน่งมิโกะจากฉันไป ทำให้ฉันไม่ต้องเข้าไปอยู่ในไทชะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
น้ำเสียงของมัตสึริไม่ได้แสดงความขอบคุณอย่างที่พูด
จากนั้น ขณะที่ฉันกำลังเก็บจานอยู่ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากหน้าบ้าน
“กลับมาแล้วค่า—!”
เสียงวิ่งกระทืบเท้าดังมาจากโถงทางเดิน ทันใดนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตัวที่ห้องนั่งเล่น เธอดูอายุพอๆ กับมัตสึริตอนที่เจอกันครั้งแรก
เมื่อเด็กคนนั้นเห็นฉัน เธอก็มีทีท่าแตกตื่นและโค้งให้
“ขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ว่าเรามีแขกด้วย! …สงสัยคงต้องบอกให้พวกเขามาวันอื่นซะแล้วสิ…”
ขณะที่เด็กสาวกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง ก็ได้ยินเสียงเด็กสาวคนอื่นดังมาจากประตูหน้าบ้าน
“คุณโยโคเตะ มัตสึริค้าาาา! พวกเราคือชมรมผู้กล้า พวกเราอยากสัมภาษณ์คุณในเรื่องจะทำให้โลกทั้งใบต้องสั่นสะเทือนค่าาา!”
“อย่าเสียงดังสิลิลลี่! เธอกำลังรบกวนคุณโยโคเตะกับเพื่อนบ้านอยู่นะ!”
เสียงทั้งสองฟังดูคุ้นเคย อูเอซาโตะกับโนกิน่าจะดุพวกนั้นมากขึ้นอีกสักหน่อยนะ ยูนะทั้งสองคนนั่นน่ะ…
เด็กสาวที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นอธิบายด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“คนรู้จักของเพื่อนหนูเองค่ะ และพวกเธอกำลังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับยุคคริสตศักราชอยู่ ไม่รู้ว่าได้ยังไง แต่พวกเขาไปรู้มาว่าแม่อยู่กับท่านทาคาชิม่า ยูนะในตอนที่เธอมาที่ชิโกกุ ตอนนี้สองคนนั้นเลยอยากรู้เรื่องราวของแม่ …แต่ถ้ามีแขกล่ะก็เดี๋ยวให้หนูปฏิเสธให้ไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกสุซุ บอกให้พวกเธอเข้ามาเถอะ” มัตสึริยิ้มอย่างอ่อนโยน เพียงแค่เสียงก็สัมผัสได้ถึงความเป็นแม่ที่รักลูกของตน “พวกเธอคงเป็นคุณฟุโยวกับคุณยุซุกิใช่ไหม? แม่ของยูซุกิเป็นเพื่อนของแม่เอง เธอบอกไว้แล้วล่ะว่าสองคนนั้นจะมา”
“ไม่เป็นไรแน่เหรอคะ?”
เด็กสาวที่ชื่อ [สุซุ] มองมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็จะไปอยู่แล้ว อีกอย่าง ฉันไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นแขกด้วยซ้ำ”
ขณะที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปที่ประตูหน้าบ้าน เด็กสาวสองคนก็วิ่งสวนมาที่ห้องนั่งเล่น
“คุณโยโคเตะ มัตสึริ! พวกเราได้ยินมาว่าคุณเป็นสักขีพยานของเหตุการณ์ภัยพิบัติวันที่ 30 สิงหา! ได้โปรดมอบโอกาศให้พวกเราได้บันทึกเสียงแห่งความจริงด้วยเถอะค่ะ!”
“อย่าพรวดพราดเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตสิ!”
ขณะที่เด็กสาวผมบลอนด์ตัวเล็กพุ่งเข้ามา เด็กสาวผมสีดำตัวสูงโย่งก็พยายามหยุดเอาไว้
มัตสึริต้อนรับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม เผยให้เห็นรอยย่นสมวัยบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอ
“เธอคงเป็นคุณฟุโยว ลิเลียธาน ยูนะกับคุณยูซุกิ ยุนะสินะ แม่ได้ยินเรื่องของพวกเธอมาจากคุณอาสะ… แม่ของคุณยูซุกิ”
ฉันพยายามออกจากห้องระหว่างที่มัตสึริกำลังคุยกับสาวๆ แต่เธอจับมือฉันไว้ไม่ให้ไปไหน
“คุณคุมิโกะ ช่วยอยู่ต่ออีกหน่อยนะคะ คุณฟุโยว คุณยูซุกิ ผู้หญิงคนนี้เป็นนักบวชไทชะ ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นมิโกะผู้นำทางทาคาชิม่า ยูนะด้วย แม่มั่นใจเลยว่าคนคนนี้สามารถเล่าเรื่องน่าสนใจได้มากกว่าเรื่องของแม่แน่นอน”
พอได้ยินที่มัตสึริพูด ฟุโยวก็มองมาที่ฉันด้วยแววตาเปล่งประกาย
“ไม่อยากจะเชื่อ! ผู้กล้าในตำนานทาคาชิม่า ยูนะเลยเหรอ! ได้โปรดช่วยเล่าเรื่องของคุณด้วยค่ะ!”
“….หนูเองก็อยากฟังเรื่องราวของทาคาชิม่า ยูนะเหมือนกัน เธอเป็นต้นต่อของชื่อของลิลลี่กับหนู…”
ยูซุกิก็หันมาทางฉันเช่นกัน สุซุลูกสาวของมัตสึริเองก็มองมาที่ฉันด้วยท่าทางตกอกตกใจ
“งั้นหมายความว่า ท่านก็คือท่านคาราสุมะ คุมิโกะเหรอคะ…? ขอโทษด้วยค่ะ ที่หนูทำตัวไม่สุภาพไปก่อนหน้านี้!”
ฉันอยากจะออกไปจากที่นี่ไวๆ แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับถูกจับมาอยู่กลางวงซะได้
“คุณยูซุกิ แม่ของเธอไม่เคยเล่าให้ฟังเลยเหรอ? แม่ไม่รู้ว่าฝั่งคุณฟุโยวเป็นยังไง แต่กรณีของเธอไม่ได้มาจากชื่อท่านทาคาชิม่า ยูนะตรงๆ อาสะอยากให้เธอมีชื่อเข้ากับตัวเองที่หมายถึง [ตอนเช้า(あさ, Asa)]… เลยเป็น [ยูนะ(夕奈, Yuuna, คันจิคำว่าตอนเย็น)] แต่พอเธอทำท่าปรบมือสลับข้างหลังจากออกมาจากท้องแม่ เลยถูกตั้งชื่อว่า [ยูนะ (友奈,Yuuna, คันจิเดียวกับทาคาชิม่า ยูนะ)] แทน”
สำหรับ [ยูนะ] ทั้งสองคนนี้ ไทชะเองก็ได้ทำการตรวจสอบประวัติเอาไว้แล้ว ฉันเลยสามารถดูที่มาของชื่อของยูซุกิได้เช่นกัน
อย่างที่มัตสึริว่า ดูเหมือนว่าแม่ของยูซุกิตั้งใจจะตั้งชื่อลูกตัวเองว่า [ยูนะ(夕奈)] ตั้งแต่แรก ถ้าหากชื่อตั้งต้นไม่ใช่ [ยูนะ(夕奈)] แม่ของยูซุกิก็จะปฏิเสธไม่ให้ลูกตัวเองชื่อว่า [ยูนะ(友奈)]
“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ คุณยูซุกิได้รับชื่อ [ยูนะ] ครึ่งหนึ่งมาจากท่านทาคาชิม่า ยูนะ ส่วนอีกครึ่งมาจากคุณอาสะแม่ของเธอ”
สิ่งที่มัตสึริพูดทำให้ยูซุกิกับฟุโยวเงียบไปครู่หนึ่ง
ในที่สุด ฟุโยวก็เปิดปากพูด
“เเเเเเเเอ๋!? จากที่ตอนแรกพวกเรามาที่นี่เพื่อฟังเรื่องยุคเก่า ไปๆ มาๆ กลับได้รู้เรื่องเกี่ยวกับยูซุกิคุงด้วยงั้นเหรอ!?”
“ฉันก็ตกใจเหมือนกัน… ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
ยูซุกิก็ดูสั่นไปเช่นกัน
“คุณเองก็รู้เรื่องที่มาของชื่อคุณยูซุกิเหมือนกันสินะคะ คุณคุมิโกะ ยังไงซะคุณเองก็เป็นนักบวชของไทชะ แถมอยู่ระดับสูงซะด้วย”
มัตสึริเหลือบตามมองมาที่ฉัน ตอนแรกก็ว่าจะเมินอยู่หรอก แต่เธอดันปลุกนิสัยแย่ๆ ที่ต่อให้แก่ตัวเท่าไหร่ก็ไม่หายไปสักทีของฉัน ใช่แล้ว ฉันว่าจะปล่อยข้อมูลลับของไทชะให้คนทั่วไปรู้สักหน่อย
“ที่มัตสึริพูดไปเป็นเรื่องจริง ฉันคนนี้ที่เป็นนักบวชไทชะขอรับประกัน พวกเราเป็นคนตรวจสอบและยืนยันเรื่องนี้เองแหละ”
ทุกคำที่ฉันพูดออกไปทำให้ยูซุกิกับฟุโยวดูสนใจในตัวฉันมากขึ้นเรื่อยๆ
“สุดยอด! ขอพนันเลยว่าคุณรู้อะไรหลายอย่างที่พวกเราไม่มีวันได้รู้แน่ๆ! ขอร้องเถอะค่ะ ช่วยเล่าให้พวกเราฟังอีกนะคะ!”
“ลิลลี่ ใจเย็นหน่อยสิ”
ฉัน, มัตสึริ, โยโคเตะ สุซุลูกสาวของเธอ, ฟุโยว ยูนะ และยูซุกิ ยูนะ
พวกเราห้าคนเริ่มคุยกันในห้องนั่งเล่น
พอได้เห็นมัตสึริพูดคุยกับลูกสาวและเพื่อนๆ ของเธอทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าบทสนทนาจะจบลง
ยูนะทั้งสองกลับบ้านไปแล้วก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน พวกเธออาศัยอยู่ที่คันนอนจิ จังหวัดคากาวะ ซึ่งค่อนข้างไกลจากบ้านโยโคเตะ เพราะอย่างนั้นเลยต้องกลับก่อน
หลังจากที่ทั้งสองไป ฉันก็ออกมาจากบ้านโยโคเตะเช่นกัน
ขณะที่ก้าวขาออกมาจากประตู ท้องฟ้ากลายเป็นสีของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินแล้ว
เสียงดนตรีของเพลง [กำลังกลับบ้าน] ก็ดังมาจากที่ห่างไกล
ดูเหมือนที่นี่จะเปิดเพลง [กำลังกลับบ้าน] ในช่วงใกล้มืดด้วยเหมือนกัน
“ตอนนี้ เธอมีความสุขหรือเปล่า?”
“ค่ะ มีความสุขมากๆ เลยค่ะ”
เธอตอบมาอย่างไม่ลังเล
ดีแล้ว— ฉันคิดในใจ ถ้าอย่างนั้นก็คุ้มค่าแล้วล่ะที่ทำให้มัตสึริอยู่ห่างจากไทชะ
“ฉันเกลียดวิถีชีวิตของเธอ แต่ฉันชอบวิธีที่เธอยึดมั่นที่จะใช้ชีวิตอย่างนั้น คิดๆ ดูแล้วฉันว่าจะแวะมาที่นี่อีกครั้งตอนที่เธอกำลังจะตาย แล้วถามอีกทีว่าเธอจะยังมีความสุขอยู่หรือเปล่ากับชีวิตที่แสนน่าเบื่อ”
“ฉันว่าคนที่ตายก่อนคงเป็นคุณนั่นแหละ คุณคุมิโกะ ตอนนี้คุณก็เกือบหกสิบแล้วนะ ควรจะพักได้แล้ว” มัตสึริพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วก็ ไม่ว่ายังไงคำตอบของฉันก็ยังคงเหมือนเดิม ต่อให้เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ฉันก็จะยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า [มีความสุขมากๆ เลยค่ะ]”