[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 14: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- ตอนที่ 4 ซากุระจะงาม ยามร่วงหล่น ใดๆในโลกล้วน ไม่จีรังยั่งยืน
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 14: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- ตอนที่ 4 ซากุระจะงาม ยามร่วงหล่น ใดๆในโลกล้วน ไม่จีรังยั่งยืน
{ “ณ ที่จัตุรัส ข้างล่าง” เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข กล่าว
“เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งยืนอยู่ เธอทำไม้ขีดหล่นลงไปในรางน้ำและเสียหายหมด พ่อคงจะตีเธอแน่ถ้าไม่มีเงินติดตัวกลับบ้าน และเธอเฝ้าแต่ร้องไห้อยู่ที่นั่น เธอไม่มีรองเท้าหรือถุงเท้า และศีรษะเล็ก ๆ ของเธอก็ปราศจากสิ่งปกคลุม แกะดวงตาอีกข้างของฉันไปเถอะ เอามันไปมอบให้เธอ แล้วพ่อเธอก็จะได้ไม่ตีเธอ”
“ฉันจะยอมอยู่ต่อกับท่านอีกคืนหนึ่ง” นกนางแอ่นกล่าว
“แต่ฉันไม่อาจแกะดวงตาอีกข้างของท่านออก เพราะท่านจะกลายเป็นคนตาบอด”
“นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย” เจ้าชายตรัส
“จงทำตามที่ฉันสั่งเถอะ”
———ออสก้า ไวลด์, เจ้าชายเปี่ยมสุข}
หลังจากสาวผมน้ำตาลพูดบอกว่า [กลัวท้องฟ้า] ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เริ่มแตกตื่น ฉันหยุดรถบัส ลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปที่สาวผมน้ำตาล เธออยู่ในสภาวะไม่ปกติ ตัวซีด หายใจติดขัด และมีเหงื่อไหลอาบหน้าผาก เธอลุกจากที่นั่ง ราวกับพยายามจะหนีไปให้ไกลจาก [ท้องฟ้า] ที่แสนหน้ากลัวที่อยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง แต่ก็สะดุดล้มลงกับพื้น
“เป็นอะไรไหมคะ!?”
ยูนะพยายามเข้าไปช่วยสาวผมน้ำตาล แต่กลับถูกปัดออกมาอย่างรุนแรง
“ฮึกกก! อุว้าาาาาาาากกกก!”
สาวผมน้ำตาลส่งเสียงกรีดร้องออกมา เธอใช้มือกำคอของยูนะและเริ่มบีบ
“อุก อึก… หยุ…”
“หยุดนะ!”
ฉันบีบข้อมือของสาวผมน้ำตาลและดึงมือออกจากคอของยูนะ
“ฮึก ฮึก ฮึก อ้าาาาาาาา!”
สาวผมน้ำตาลหายใจติดขัดขึ้นเรื่อยๆ เธอตัวสั่นอยู่กับที่พร้อมส่งเสียงกรีดร้อง
“มัตสึริ ในกระเป๋าที่วางอยู่ที่นั่งคนขับมีสายเคเบิ้ลไทร์กับเทปพันสายไฟอยู่ ไปเอามาให้ฉันที”
“ขะ-ค่ะ!”
ตามที่บอก มัตสึริรีบวิ่งไปที่นั่งคนขับและนำสายเคเบิ้ลไทร์กับเทปพันสายไฟมาให้ฉัน ของพวกนี้ได้มาจากร้านสะดวกซื้อที่เราจอดพักระหว่างเดินทาง
ฉันใช้ขากดสาวผมน้ำตาลที่กำลังดิ้นอยู่ลงกับพื้น ขณะที่ใช้เข่ากดหลังไม่ให้เธอลุกขึ้น ฉันก็ใช้สายเคเบิ้ลไทร์มัดมือเธอจากข้างหลัง สาวผมน้ำตาลพยายามเตะกลับเพื่อขัดขื่น แต่ฉันให้มัตสึริผูกข้อเท้าทั้งสองข้างขณะที่ฉันจับขาเอาไว้
หลังจากนั้น ฉันใช้เทปพันสายไฟพันตัวและขาของสาวผมน้ำตาล เท่านี้ก็ขยับตัวไม่ได้แล้ว
“ช่วยลุกหน่อย ฉันต้องการที่นั่งตรงนี้”
คนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังยืนขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง แล้วฉันก็วางสาวผมน้ำตาลลงตรงนั้น
“กะ… เกิดอะไรขึ้นกับเธอคะ…?”
ยูนะมองสาวผมน้ำตาลที่ถูกมัดไว้อย่างเป็นห่วง
“เขาบอกว่ากลัวท้องฟ้าใช่ไหม? ฉันสังเกตว่ามีแนวโน้มที่จะมีคนอื่นๆ ที่ [กลัวท้องฟ้า] เหมือนกัน มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับคนบนรถบัสนี่”
“ยังไงนะคะ…?”
ฉันสายหัวตอบมัตสึริที่มองมาอย่างกังวล
“ไม่รู้สิ แต่เธอไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาคิดจะดีกว่า”
ฉันสตาร์ทรถบัสอีกครั้ง แต่อาการของผู้โดยสารคนอื่นๆ แย่ลงเรื่อยๆ
ถึงจะไม่มีใครออกอาการคลั่งแบบสาวผมน้ำตาล แต่จำนวนคนที่บอกว่า [ท้องฟ้าน่ากลัว] เพิ่มขึ้น พวกคนที่กลัวท้องฟ้าปิดม่านตรงที่นั่งของตัวเองเพื่อไม่ให้เห็นทิวทัศน์ข้างนอก นั่นยังไม่พอช่วยบรรเทาความกลัวของพวกเขา เพราะตอนที่รถบัสหยุดพัก พวกเขานำหนังสือพิมพ์จากร้านสะดวกซื้อมาปิดหน้าต่างจนมิด หนึ่งในนั้นเหมือนจะมีความรู้เรื่องศาสนาพุทธหรืออะไรทำนองนั้น เพราะเขาเขียนบทสวดคาถาแปลกๆ กับสัญลักษณ์บางอย่างลงบนกระดาษด้วยมาร์คเกอร์
ครึ่งหลังทั้งหมดของรถบัสถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกด้วยม่านกับหนังสือพิมพ์
คนที่กลัวท้องฟ้ารวมตัวกันในความมืดของช่วงครึ่งหลัง คุดคู้รวมกันเหมือนพวกสัตว์ที่กำลังหวาดกลัว บางคนสวดมนต์งึมงำ
ยูนะมองสถานการณ์บนรถบัสด้วยความกังวล ขณะที่มัตสึริหวาดกลัวกับบรรยากาศที่ผิดปกติ
“เราอาจมาถึงขีดจำกันแล้วก็ได้”
มัตสึริส่งเสียง “เอ๋” ออกมาด้วยความสับสนในสิ่งที่ฉันพูด
“ขีดจำกัดเหรอคะ…?”
“สภาวะทางจิตของคนบนรถบัสนี้แย่เกินไปแล้ว อีกไม่นานคนพวกนั้นอาจก่อจลาจลก็ได้ มันคงจะดีกว่าถ้าให้คนที่มีอาการหนักเกินไปลงจากรถ ต่อให้ต้องใช้กำลังก็เถอะ”
“ลงจากรถ…” มัตสึริถามด้วยความหวาดกลัว “คุณหมายถึงทิ้งพวกเขาและปล่อยให้ตายอย่างนั้นเหรอคะ…?”
“ใช่ ตอนนี้แค่สาวผมน้ำตาลคนเดียวก็แย่พอที่จะทำร้ายคนได้อยู่แล้ว แต่ในอนาคตคนอื่นๆ อาจกลายเป็นแบบเธอได้ ถ้าผู้คนจำนวนหนึ่งใช้กำลังในพื้นที่คับแคบแบบนี้ การขับรถบัสจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เรากังวล”
“……..”
มัตสึริไม่สามารถหาเหตุผลมาลบล้างสิ่งที่ฉันพูดได้ เธอกัดริมฝีปากตัวเองและเงียบไป
“…ทิ้งใครสักคน” ยูนะเริ่มพูดแทนที่มัตสึริ “เป็นสิ่งที่หนูทำไม่ได้ค่ะ หนูไม่อยากทำอย่างนั้น ต่อให้มีคนทำร้ายกัน หนูจะหยุดพวกเขาเอง”
“ด้วยกำลัง?”
“…ค่ะ”
ยูนะพยักหน้า แต่ด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจนัก
“งั้นเหรอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาเดียวที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้โดยสารมากเกินไปนะ”
“ยังมีอีก… เหรอคะ?”
“อาหารไงล่ะ ยูนะ จนตอนนี้เธอคงสังเกตเห็นแล้วว่าที่ผ่านมาแทบไม่เหลืออาหารในร้านสะดวกซื้อกับซุปเปอร์มาร์คเก็ทที่พวกเราจอดพักเลย ตามปกติแล้วใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากนาระไปชิโกกุ ไม่มีใครคาดคิดว่าอาหารจะขาด แต่พวกเราใช้เวลานานเกินกว่าที่คิดไว้”
“…”
“เรามีคนกลัวท้องฟ้าแล้ว อีกไม่นานเราจะมีคนกลัวความหิวเพิ่มมาอีก รถบัสนี่กำลังจะกลายเป็นนรก”
“คุณคุมิโกะคะ คุณคิดว่าเราจำเป็นจะต้อง… ทิ้งคนลงจากรถบัสจริงๆ เหรอคะ?”
ยูนะจ้องมาที่ฉันและถามขึ้น ฉันตอบกลับไป
“เอาตามจริงเลยนะ จะแบบไหนฉันก็ไม่สนใจทั้งนั้น ฉันไม่สนว่าเราจะทิ้งคนที่ได้รับความเสียหายทางจิตใจหรือจะเก็บพวกเขาไว้จนวาระสุดท้าย”
ยูนะมองฉันด้วยความสับสน ฉันไม่สนใจ ไม่ว่าจะตอบไปแบบไหน ยูนะกับมัตสึริก็เจ็บปวดอยู่ดี
ฉันให้ทางเลือกกับทั้งสองคนจากความเป็นไปได้ ยูนะกับมัตสึริต้องเลือกว่า [จะเก็บบางสิ่งเอาไว้และทิ้งบางสิ่งไป] [จะยอมเสียสละอะไรไป] ทั้งสองจะมีความทุกข์ สับสน อารมณ์เสีย และทำอะไรโดยไร้เหตุผล ฉันอยากเห็นมัน มันน่าสนใจยิ่งกว่าแค่ขับรถบัสเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
อีกไม่ไกลก็จะถึงสะพานใหญ่เซโตะ ฉันหยุดรถบัสอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อพัก แต่ว่าเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งทะเลาะกัน เท่าที่ได้ยิน มันมีสาเหตุมาจากแย่งน้ำกัน
“ได้โปรดหยุดทะเลาะกันเถอะค่ะ!”
ยูนะยืนขึ้นจากที่นั่งและไปหยุดพวกเขา มัตสึริตามหลังไป ยูนะคิดจะหยุดการทะเลาะอย่างที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้
แต่คำพูดของเด็กไม่มีพลังพอหยุดผู้ใหญ่ที่กำลังเดือดดาล ถ้าการทะเลาะเบาะแวงกลายเป็นทะเลาะรุนแรง ยูนะจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กำลัง
ด้วยความคาดหวังที่จะให้เป็นอย่างนั้น ฉันได้สังเกตการณ์การทะเลาะมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่มันไม่ออกมารุนแรงสักเท่าไหร่ แต่ถึงยูนะกับมัตสึริจะเข้าไปมันก็ยังไม่หยุดลง ลิ่วล้อของชายเชิ้ตดำสองคนเข้าไปไกล่เกลี่ยกลางวงนั้น เพราะนั่งอยู่ไกลเลยไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
ยูนะกับมัตสึริกลับมาที่นั่งของตัวเองด้วยสีหน้าโล่งใจ
“ดูเหมือนพวกเขาจะหยุดทะเลาะกันแล้วนะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
มัตสึริตอบคำถามของฉัน
“พวกเขาทะเลาะกันเรื่องน้ำดื่มน่ะค่ะ แต่คนที่มีน้ำเยอะเอามาแบ่งให้ พวกเขาเลยหยุดค่ะ”
“….”
แค่ลิ่วล้อของชายเชิ้ตดำก็เป็นหลักฐานชัดเจนพอแล้วว่าพวกเขากำลังขยายอิทธิพลของตัวเองบนรถบัส
ทันใดนั้นชายคนหนึ่งเดินสั่นเข้ามาใกล้ที่นั่งคนขับ ฉันเตรียมโจมตีทันทีหากเกิดอะไรขึ้น ผู้โดยสารบางคนเสียสติไปแล้ว เป็นไปได้ที่การทำร้ายกันโดยไม่รู้ตัวจะเกิดขึ้น จึงประมาทไม่ได้
แต่เขาเดินผ่านฉันไปและเริ่มนำหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือมาปิดกระจกหน้ารถ
“ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ!?”
ฉันคว้าคอผู้ชายคนนั้นไว้
“ไม่อยากมองข้างนอก…. ข้างนอก… ข้างนอก… ข้างนอก…”
ชายคนนั้นพูดงึมงำพร่ำเพ้อไม่หยุด ฉันมัดเขาด้วยสายเคเบิ้ลไทร์กับเทปพันสายไฟแล้วจับไปนั่งที่นั่งข้างหลังเหมือนกับสาวผมน้ำตาล
สถานการณ์แย่ลงไปทุกที แม้แต่คนที่ค่อนข้างสติดีที่นั่งอยู่ส่วนหน้าของรถบัสยังแสดงอาการเหนื่อยล้าบนใบหน้า
“รีบๆ ไปให้ถึงสักทีเถอะ… เร็วเข้า…. ฉันทนไม่ไหวแล้ว…”
เสียงของใครบางคนพูดงึมงำขึ้น ใบหน้าของเขาก้มลงมองพื้น
แม้แต่คนที่ดูไหวก็ยังเป็นแบบนี้
“อ๊ะ”
จู่ๆ มัตสึริส่งเสียงหอบ เธอหยิบสมุดสะเก็ทขึ้นมาแล้วเริ่มวาดแผนที่ มันคือแผนที่รอบบริเวณสะพานใหญ่เซโตะ จากนั้นมัตสึริก็เริ่มฝนสีดำเต็มถนนที่ไปยังสะพาน เธอฝนหนักมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“สัมผัสได้ถึงพวกมันอีกแล้วเหรอ?”
“ค่ะ… บนถนนที่เราจำเป็นต้องใช้ไปสะพานค่ะ…”
หรือว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงเราเหมือนกับที่มัตสึริสามารถสัมผัสได้ถึงมันอย่างนั้นเหรอ? รู้สึกราวกับว่าพวกมันคาดคะเนที่ที่เราไปได้เลย
“พวกเราไม่รู้จนกว่าจะไปตรวจสอบถนนนั่นให้ดี แต่สะพานเซโตะอาจจะใช้ไม่ได-”
“อะไรนะ!?”
คำพูดของฉันถูกขัดโดยชายเชิ้ตดำ
“ฉันฟังอยู่นะโว้ย นี่แกจะใช้ทางอ้อมอีกเหรอวะ!? หะ!?”
“…ก็เป็นไปได้”
“แกเข้าใจใช่ไหม!? เฮ้ย! ทุกคนบนรถคันนี้เขาถึงขีดจำกัดกันแล้วนะ! เรื่องทางอ้อมน่ะพอเถอะ! ขอล่ะ พวกเราทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! นี่! ตรงไปที่สะพานข้างหน้าเลยเถอะ!”
สายตาของทั้งรถบัสรวมอยู่ที่ชายเชิ้ตดำที่กำลังตะโกนอยู่
ตอนที่เขาขึ้นเสียงเพื่อต่อต้านการใช้ทางอ้อมก่อนหน้านี้ หลายสายตามองเขาอย่างไม่เห็นด้วย แต่ครั้งนี้….
“เขาพูดถูก…”
“เราทนเสียเวลาต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว…”
เสียงสนับสนุนชายเชิ้ตดำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือสภาพจนตรอกที่ทุกคนบนรถบัสเป็นอยู่ตอนนี้
“คุณคุมิโกะ ไปเถอะค่ะ” ยูนะพูด “ข้ามสะพานใหญ่เซโตะไปที่ชิโกกุกันเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูจะสู้กับสัตว์ประหลาดที่โผล่มาเอง”
เสียงของยูนะเข้มแข็งและมุ่งมั่น
“ใช่แล้ว เด็กคนนี้จัดการไอ้พวกสัตว์ประหลาดเวรนั่นได้! ถ้าให้เด็กนี่สู้ล่ะก็ต้องผ่านไปได้แน่!”
ชายเชิ้ตดำตะโกน
“…มีปัญหาอยู่ค่ะ”
มัตสึริพูดขึ้นมาอย่างตึงเครียด
“ปัญหาอะไร?”
ฉันถาม
“สัตว์ประหลาดที่ปิดทางสะพานใหญ่เซโตะ… รู้สึกว่ามันจะต่างจากปกตินิดหน่อย มันน่ากลัวกว่า… รู้สึกไม่ถูกต้อง แม้แต่ยูจังเอง… ก็อาจจะไม่กลับมาอย่างปลอดภัย…”
ชายเชิ้ตดำเขม่นใส่มัตสึริที่ตั้งใจเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังด้วยความฉุนเฉี่ยว ฉันพูดขึ้นมาก่อนเพื่อกันไม่ให้เขาพูดอะไรออกมา
“ต่างจากสัตว์ประหลาดตัวก่อนงั้นเหรอ พวกเราต้องไปตรวจสอบดูก่อน”
สัตว์ประหลาดที่มัตสึริสัมผัสได้อยู่บนทางด่วนเซโตะจูโอ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เราจำเป็นต้องผ่านไป ทางด่วนเซโตะจูโอค่อนข้างยาว และมีสัตว์ประหลาดอยู่ทั่วเมืองโคจิมะ จังหวัดคุราชิกิ
ฉัน ยูนะ และมัตสึริมาที่ศาลเจ้าบนภูเขาเล็กๆ ในโคจิมะ ภูเขานี้อยู่ค่อนข้างใกล้กับทางด่วน ฉันจึงคิดว่าเราสามารถสังเกตการณ์สัตว์ประหลาดจากจุดนี้ได้
ส่วนรถบัสจอดที่ตีนเขา ฉันถามชายเชิ้ตดำว่า “มาด้วยกันไหม?” แต่เขาสายหัวด้วยใบหน้าหวาดกลัว ครั้งก่อนที่ไปสังเกตการณ์สัตว์ประหลาดเขาเกือบตาย อาจจะจำฝั่งใจไปแล้วก็ได้
ที่ศาลเจ้าไม่มีสัญญาณของคนอยู่ คงถูกทิ้งร้างไปแล้ว
ฉันเจอบันไดข้างอาคารหลักเลยใช้มันปีนขึ้นไปบนหลังคา ฉันหยิบกล้องสองตาที่ได้มาจากห้างสรรพสินค้าที่แวะระหว่างทางก่อนหน้านี้ขึ้นมาและส่องไปยังทางด่วนเซโตะจูโอ
“…อยู่นั่นไง”
มีสัตว์ประหลาดสีขาวมากมายลอยอยู่เหนือทางด่วน แต่พอมองดูให้ดี ฉันสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีเพียงแค่ฝูงสัตว์ประหลาดสีขาวที่เคยเจอมานับครั้งไม่ถ้วน มีตัวหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ด้วย ขนาดของมันใหญ่กว่าตัวอื่น
“เป็นยังไงบ้างคะคุณคุมิโกะ?”
ยูนะเรียกจากข้างล่าง
“อา อย่างที่มัตสึริบอกไว้เลย มีตัวนึงที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ด้วย…”
ฉันโดดลงมาจากหลังคาก่อนที่จะพูดจบ ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นและศาลเจ้าก็แตกกระจายราวกับถูกระเบิด
“เอ๋!? อะ-อะไรน่ะ!?”
มัตสึริกับยูนะแตกตื่น
“หนึ่งในพวกสัตว์ประหลาดโจมตีมา ดูเหมือนว่าจะเป็นประเภทที่สามารถโจมตีจากระยะไกลได้”
หนึ่งในพวกสัตว์ประหลาดมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับหนามอยู่ด้วย มันยิงหนามของมันมาใส่เรา ระยะห่างระหว่างศาลเจ้ากับที่ที่สัตว์ประหลาดอยู่ประมาณหลายร้อยเมตร เป็นความแม่นยำที่น่ากลัวจริงๆ
“หนีกันเถอะ!”
ฉันเร่งยูนะกับมัตสึริ พวกเราพากันวิ่งลงภูเขา
เข็มอีกด้ามถูกยิงมาปักตรงพื้นที่ที่เรายืนก่อนหน้านี้ ต้นไม้หลายต้นที่ถูกเข็มยิงทะลุร่วงระเนระนาด
“กรี๊ดดดดดด!”
มัตสึริส่งเสียงกรีดร้อง พวกเราถูกล้อมรอบด้วยเศษดินและเศษไม้ที่ลอยอยู่บนอากาศขณะวิ่ง
เมื่อพวกเราลงมาถึงรถบัสที่จอดอยู่ตีนเขา ฉันก็เข้าไปสตาร์ทรถทันที โชคดีที่เจ้าสัตว์ประหลาดหนามนั่นไม่ยิงมาที่ที่เราอยู่
ผู้คนในรถบัสถามเรื่องเสียงดังเมื่อครู่นี้อย่างเป็นกังวล ด้วยสภาพแตกตื่นที่เราแสดงออกมาเป็นคำตอบที่ชัดว่ามันเป็นอะไรที่ร้ายแรง
“เราถูกสัตว์ประหลาดโจมตี รอบนี้ต่างออกไป สัตว์ประหลาดประเภทใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนขวางทางไปสะพานใหญ่เซโตะ อันตรายเกินไปที่จะสู้กับมัน พวกเราใช้สะพานใหญ่เซโตะไม่ได้”
เหล่าผู้โดยสารแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมาหลังจากฉันอธิบายสถานการณ์
“ดะ-เดี๋ยวก่อน อย่างเพิ่งด่วนตัดสินสิ!” ชายเชิ้ตดำตะโกนและชี้ไปที่ยูนะ “นังเด็กนี่ต้องสู้กับพวกสัตว์ประหลาดนั่นสิ! ไป! ไปสู้เพื่อสะพานใหญ่เซโตะสิโว้ย!”
“หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณคุมิโกะ หนูจะสู้และจัดการพวกมัน! ช่วยตรงไปที่สะพานใหญ่เซโตะด้วยเถอะค่ะ!”
ยูนะพูดกับฉัน
“ไม่ได้นะ!” มัตสึริตะโกน “มันมีสัตว์ประหลาดที่สามารถโจมตีจากระยะไกลได้อยู่นะ! ถ้าเข้าใกล้ไม่ได้ยูจังก็ทำอะไรไม่ได้! มันอันตรายเกินไป! เธออาจจะเจ็บหนักหรือ… ตายเลยก็ได้!”
“พวกเราก็ไม่ไหวเหมือนกันนะโว้ย! ให้นั่งเด็กเวรนี่สู้ซะ!”
“ได้โปรดหยุดเถอะค่ะ! ถึงยูจังจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังบาดเจ็บจากการต่อสู้ได้นะคะ! พวกคุณไม่อายบ้างเหรอคะ ที่ส่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปเผชิญกับอันตรายน่ะค่ะ!?”
“…ชิ”
ชายเชิ้ตดำจ้องเขม่นใส่มัตสึริด้วยสายตาที่ราวกับสามารถทำร้ายเธอได้ทุกเมื่อ
หมัดของยูนะเสียเปรียบอย่างหนักเมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่สามารถโจมตีจากที่ไกลๆ ได้ แถมศัตรูตัวนั้นสามารถรู้ตำแหน่งของเราและยิงจากระยะกว่าร้อยเมตรได้อีกด้วย เป็นไปได้สูงว่าถ้าส่งยูนะไปสู้ เธอจะถูกยิงตายก่อนไปถึงระยะโจมตีของตัวเอง
“ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่น พวกเรายังสามารถไปชิโกกุผ่านทางด่วนชิมานามิได้อยู่ ไปทางนั้นกันเถอะ”
ฉันพูดอย่างนั้นระหว่างหมุนพวกมาลัยรถบัส
ทางด่วนชิมานามิเป็นถนนที่เชื่อมต่อจังหวัดฮิโรชิมะในฮอนชูไปยังจังหวัดเอฮิเมะในชิโกกุผ่านหลายเกาะ ถนนเส้นนั้นอนุมัติให้คนเดินเท้ากับจักรยานสามารถสัญจรไปมาได้
มันอยู่ห่างออกไปกว่าร้อยกิโลเมตรจากสะพานใหญ่เซโตะ โดยปกติเราจะจอดพักระหว่างทาง ดังนั้นการไปที่นั่นจึงไม่ง่าย
ระหว่างที่ฉันกำลังขับรถบัส ยูนะที่นั่งอยู่ข้างหลังก็แสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เป็นอะไรยูนะ กำลังคิดว่าถ้าตัวเองลงไปสู้และเราเดินทางผ่านสะพานใหญ่เซโตะจะดีกว่าอยู่เหรอ?”
ฉันเรียกเธอ
“ค่ะ.. แบบว่า ถ้าหนูต่อสู้… พวกเราก็ถึงชิโกกุแล้ว และนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด…”
“คงไม่ได้คิดจะเสียสละประโยชน์ส่วนตนอยู่หรอกนะ”
ยูนะฟังน้ำเสียงประชดประชันของฉันด้วยใบหน้าสับสนราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน
“เสียสละประโยชน์ส่วนตน…?”
“มันหมายถึงเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น เธอบาดเจ็บทั้งตัวและยังคงสู้ต่อเพื่อคนอื่น แม้รู้ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมา นั่นคือความหมายของ [เสียสละประโยชน์ส่วนตน]”
เสื้อผ้าของยูนะขาดรุ่งริ่ง และร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ครั้งก่อน
“หนูไม่ได้คิดแบบนั้นค่ะ” ยูนะพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “หนูไม่ได้คิดอะไรสวยหรูขนาดนั้น หนูแค่… ไม่ชอบเห็นคนอื่นทะเลาะกันหรือบาดเจ็บ… นั่นคือเหตุผลของหนูค่ะ ทุกคนบนรถบัสจะทรมานหรือโกรธ… หนูก็ไม่ชอบทั้งนั้น หนูทนไม่ได้ หนูสู้เพื่อเหตุผลที่เห็นแก่ตัว เพราะงั้นได้โปรดอย่ากังวลว่าหนูจะเจ็บตัวเลยนะคะ…”
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เห็นแก่ตัวหรอกนะ” มัตสึริกุมมือยูนะและพูดปลอบ “สุดท้ายยูจังก็สู้แบบเสียสละประโยชน์ส่วนตนอยู่ดี ไม่สำคัญว่าเพราะอะไร ตราบใดที่เธอยังตั้งมั่นที่จะต่อสู้และเจ็บตัวเพื่อคนอื่น มันก็คือเสียสละประโยชน์ส่วนตน สถานการณ์บนรถบัสเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ยูจังต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”
“…………..”
สีหน้าของยูนะไม่ได้ดีขึ้นเลย ไม่ว่าคำพูดของมัตสึริจะดีแค่ไหน มันก็ไปไม่ถึงยูนะ
“งั้น ไม่ว่าเธออยากจะสู้มากแค่ไหน แต่ครั้งนี้ต้องยั้งใจเอาไว้ เธอไม่มีทางฝ่าสัตว์ประหลาดที่สามารถโจมตีระยะไกลได้ ทันทีที่เราพยายามไปใกล้พอที่เธอจะสู้ได้ รถบัสของเราจะถูกยิงซะก่อนและนั่นคือจุดจบ ต่อให้เธอสามารถหลบหนามที่มันยิงได้ แต่รถบัสคันนี้ไม่ได้คล่องตัวเท่าเธอ เพราะงั้นแค่กำปั้นไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้หรอกนะ”
ขณะที่พูด ฉันกำลังคิดเรื่องช่องว่างระหว่างยูนะกับมัตสึริว่ามันกว้างขนาดไหนกันนะ
เราจอดพักกันกี่ครั้งแล้วนะ? ฉันลืมนับไปแล้ว
รถบัสของเราจอดพักอีกครั้งที่ที่จอดรถซุปเปอร์มาร์คเก็ทระหว่างทางไปทางด่วนชิมานามิ คุณคุมิโกะบอกให้ฉันกับยูจังนอนเอาแรงสักหน่อย แต่ฉันทำได้แค่หลับตาลง แต่ไม่หลับ ส่วนยูจังที่นั่งอยู่ข้างๆ หลับไปแล้ว
สงสัยจังว่าผ่านไปนานขนาดไหนแล้วหลังเราออกจากนาระ เพราะไม่ได้ดูนาฬิกามาสักพักแล้ว ยิ่งคิดถึงเวลาที่ผ่านมามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนกับว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่มีจุดจบ แค่คิดก็รู้สึกหน่ายแล้ว
ความคิดของฉันถูกรบกวนโดยเสียงเสียงหนึ่ง
“เฮ้ย ตื่น”
ฉันลืมตา
ชายเชิ้ตดำยืนอยู่ข้างที่นั่งของฉัน ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ก่อนหน้านี้เคยเห็นเขาโกรธกับฉุนเฉียวหลายครั้ง แต่ใบหน้าของเขาตอนนี้อ่านไม่ได้และน่ากลัวยิ่งกว่า
“…มะ-มีอะไรคะ?”
ฉันรู้สึกตัวว่าเสียงตัวเองกำลังสั่น
“มีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาข้างนอกด้วยกันหน่อย”
เขาพูดกระซิบเบาๆ เขาคงไม่อยากปลุกยูจังที่นอนอยู่ข้างฉัน แต่ฉันเพิ่งมารู้ตัวหลังจากออกมาข้างนอกตามที่เขาบอก
เมื่อฉันลงมาจากรถบัส มีคนของชายเชิ้ตดำสองคนกับกลุ่มคนที่มีใบหน้าน่าสงสัยรออยู่ พวกเขาทุกคนจ้องมาที่ฉัน
ชายเชิ้ตดำจับแขนของฉันแล้วพาไปจากรถบัส คนอื่นๆ เข้ามาล้อมรอบเพื่อกันไม่ให้ฉันหนี
“ฉันอยากจะฟังความเห็นของทุกคน!”
ชายเชิ้ตดำพูดเสียงดังหลังออกห่างจากรถบัสหลายสิบเมตรได้
“มันจะดีกว่าไหมถ้าเราเดินทางไปชิโกกุผ่านสะพานใหญ่เซโตะไม่ใช่ทางด่วนชิมานามิ! อีกไม่นานพวกเราก็จะไม่เหลือแรงกันแล้ว! แถมยังมีคนเจ็บกับคนป่วยอีกด้วย และที่สำคัญที่สุด อาหารของพวกเราใกล้จะหมดลงไปทุกที! ไม่เหลือเวลาให้เสียอีกต่อไปแล้ว ทุกคนเห็นด้วยไหม!? ถ้าคิดว่าพวกเราควรไปที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุดผ่านสะพานใหญ่เซโตะ ก็พูดออกมาเลย!”
ทุกคนที่นี่เริ่มให้การสนับสนุนสิ่งที่ชายเชิ้ตดำเพิ่งพูดไป
“อา ใช่แล้ว” “อย่างที่พูดนั่นแหละ” “เมื่อไหร่การเดินทางจะจบสักที?” “รีบๆ ไปที่ปลอดภัยกันเถอะ” “ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” “ถ้ามีคนตายขึ้นมาจะทำยังไง?”
ราวกับความโกรธเกรี้ยวของพวกเขากลายเป็นเสียงที่เอ่อล้นออกมา ฉันรู้สึกหนาวที่กระดูกสั่นหลัง
ชายเชิ้ตดำพูดกับผู้คนที่ล้อมเขาอยู่
“นังเด็กที่ชื่อทาคาชิม่า ยูนะที่สามารถสู้กับสัตว์ประหลาดสีขาวเห็นด้วยที่จะไปทางสะพานใหญ่เซโตะ! ส่วนนังคนขับรถบัสที่ชื่อคาราสุมะก็ไม่ได้ค้านอะไรด้วย! สุดท้าย มีเพียงคนเดียวที่คัดค้านก็คืออีเด็กเวรที่อยู่ตรงนี้! ถ้ามันยอมให้เดินทางผ่านสะพานใหญ่เซโตะล่ะก็ พวกเราก็จะไปถึงชิโกกุอย่างปลอดภัยสักที! ถ้านังเด็กนี่เห็นด้วย! ฉะนั้น….”
ชายเชิ้ตดำมองมาที่ฉัน
“เราจะทำให้มันทำตัวอวดดีไม่ได้อีกต่อไป ฉันเชื่อเลยว่ามันจะกลายเป็นเด็กที่นอบน้อมขึ้นมาทันทีถ้าใช้กำลังสักหน่อย”
หลังจากสูบบุหรี่เสร็จแล้วกลับมาที่ลาดจอดรถ ฉันก็เจอเข้ากับภาพที่น่าสนใจ
มัตสึริถูกล้อมด้วยผู้คนมากมายนอกรถบัส รวมถึงชายเชิ้ตดำด้วย
ฉันแอบซ่อนตัวอยู่หลังรถที่ถูกทิ้งไว้ในลานจอดรถและสอดส่องสถานการณ์
ชายเชิ้ตดำจับแขนของมัตสึริที่พยายามจะสะบัดเขาออกเพื่อวิ่งหนี
“อย่านะคะ! ได้โปรดหยุดเถอะค่ะ!”
“หุบปาก!”
ชายเชิ้ตดำตบเข้าที่ใบหน้าของมัตสึริและเตะเข้าที่ท้อง
“อ๊อก แค่ก อึก…”
เธอคุกเข่ามือกุมท้องลงกับพื้น
“อึก… แค่ก… จะ… เจ็บ…. อึก…”
ชายเชิ้ตดำกระชากผมของมัตสึริที่ก้มตัวอยู่และเชิดหน้าเธอขึ้นมา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา
“เอาล่ะ ฉันจะทำอะไรกับแกดี…”
ชายเชิ้ตดำมีรอยยิ้มซาดิสม์บนใบหน้า
ฉันดูสถานการณ์ต่อไปโดยไม่มีความคิดที่จะเข้าไปช่วยมัตสึริ
ไม่มีอะไรที่อันตรายถึงชีวิตมานานแล้ว ฉันอยากให้มันดำเนินต่อๆ ไปจนถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้อีก ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาของมัตสึนิกับยูนะเมื่ออะไรแบบนี้เกิดขึ้น
พวกเขามีหลากหลายวิธีบังคับให้มัตสึริยอมเชื่อฟัง จะใช้กำลังหรือทำเรื่องน่าอดสูกับเธอก็ยังได้ ไม่ว่าใครก็จะกลายเป็นคนเชื่อฟังหลังจากได้รับความเจ็บปวดมากพอจนจิตใจแหลกสลาย นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกอย่างการอัดวิดีโอน่าอายอีกด้วย
“ดะ… เดี๋ยว…”
มัตสึริคั้นเสียงของตัวเองออกมาทั้งน้ำตา ฉันคิดว่าเธอคงจะขอร้องไม่ให้เขาทำร้ายอีก หรือปล่อยให้ตัวเองหนีไป
แต่… ฉันคิดผิด
“นี่มัน… ไม่ถูกต้อง… สิ่งที่คุณทำ… มันผิด ถึงตอนนี้ตำรวจกับกฎจะไม่มีความหมาย แต่ถ้ากลับไปสงบสุขเมื่อไหร่… ถ้าชิโกกุเป็นที่ปลอดภัยจริงๆ… คุณจะเสียใจที่ทำเรื่องผิดกฎหมายตอนนี้ ดังนั้น ได้โปรดหยุดเถอะค่ะ…”
เธอพูดบ้าอะไรออกมาเนี่ย?
ถ้าพวกเรากลับไปสงบสุขได้อีกครั้ง?
ถ้าชิโกกุเป็นที่ปลอดภัย?
นี่กำลังสอนเรื่องซื่อสัตย์คุณธรรมอยู่งั้นเหรอ?
…บ้าไปแล้วหรือไง?
ไม่มีทางที่โลกจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ไม่มีทางจะรู้ว่ามีที่ไหนบ้างในญี่ปุ่นยังปลอดภัยอยู่ แต่จากที่สามารถเดาได้ผ่านโซเชียลตอนที่เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น คันโตกับคันไซถูกทำลายไปจนเกือบหมดแล้ว พอพื้นที่หัวใจหลักของญี่ปุ่นถูกทำลาย ประเทศนี้ก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
แม้ต่อให้ชิโกกุกับพื้นที่อื่นๆ ยังคงปลอดภัย พวกเราก็ไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อยู่ดี
ไม่มีทางที่จะกลับไปโลกเดิมของพวกเราได้
มัตสึริไม่รู้เลยงั้นเหรอ
ไม่ใช้หัวคิดบ้างเลยงั้นเหรอ
“ต่อให้โลกตอนนี้จะล้มสลาย… ถ้าพยายาม พวกเราจะนำโลกใบเดิมกลับมาได้แน่ และเมื่อตอนนั้นมาถึง คุณจะไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างที่ควรอีกต่อไปนะคะ!”
มัตสึริคั้นคำพูดทั้งหมดออกมาจากตัว
บ้าอะไรเนี่ย….
มัตสึริไม่ได้ไม่รู้ นั่นคือสิ่งที่เธอเชื่อมั่น นั่นคือความปรารถนาของเธอ
ว่ามนุษย์จะสามารถนำโลกใบเดิมกลับมาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนเลวสักแค่ไหน…
ว่าพวกเราจะสามารถกลับไปยังโลกใบเดิมได้อย่างแน่นอน…
เธอเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
“หุบปาก!”
ชายเชิ้ตดำต่อยเข้าที่ใบหน้าของมัตสึริ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่มัตสึริไม่ยอมแพ้ เธอยังคงพล่ามเรื่องเหลวไหลอย่าง “เมื่อโลกกลับมาเป็นปกติ” “เมื่อโลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง”
ฉันนั้น… ตอนที่เทียบทาคาชิม่า ยูนะกับโยโคเตะ มัตสึริ ฉันคิดว่าทาคาชิม่า ยูนะเป็นขั้วตรงข้ามของฉัน
แต่นั่นมันผิด
โยโคเตะ มัตสึริเป็นขั้วตรงข้ามของฉันของจริง ฉันต้องกำจัดเด็กคนนี้ไปจากสายตา
ฉันยืนขึ้นจากที่ซ่อน
“เฮ้ย พวกนายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
ชายเชิ้ตดำกับลิ่วล้อแสดงทีท่ากระวนกระวายอย่างชัดเจนเมื่อเห็นฉัน มัตสึริมองมาที่ฉันด้วยท่าทีตกใจ
“คุ-คุณคุมิโกะ…?”
“มัตสึริ หลับตาลงซะ”
“เอ๋?”
“ฉันบอกให้เธอกลับตา! อย่าลืมตาจนกว่าฉันจะบอก”
“ค่ะ…”
หลังจากเห็นมัตสึริหลับตาลง ฉันเดินเข้าไปใกล้หนึ่งในลิ่วล้อของชายเชิ้ตดำและคว้าหูของเขา ในขณะเดียวกันก็หยิบมีดหั่นผลไม้ที่ซ่อนเอาไว้ออกมาตัดหูของเขา ฉันโยนหูลงไปที่พื้นและเหยียบซ้ำ
ชายคนนั้นกรีดร้อง เขาล้มลงกับพื้น มือกุมแผลเอาไว้ และเริ่มดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ชายเชิ้ตดำพอเห็นอย่างนั้นแล้วก็ตะโกนเสียงหลงออกมา และหกล้มจ้ำเบ้า
“ถ้าไม่อยากเจอชะตากรรมแบบเดียวกันล่ะก็ กลับไปที่รถบัสซะ”
ฉันพูดพร้อมปาดเลือดที่อยู่บนมีดให้ทุกคนได้เห็น
“พวกแกทุกคนก็แค่ร่วมมือกับผู้ชายคนนี้ เพราะเขาสัญญาว่าจะแบ่งอาหารกับเครื่องดื่มให้ใช่ไหม? ไม่มีใครในที่นี้อยากทำร้ายมัตสึริจริงๆ ใช่ไหม? ถ้ามีล่ะก็ ไหนยกมือขึ้นซิ”
ไม่มีใครยกมือ ทุกคนยืนก้มหน้าซีดไปหมด
“ดูจะไม่เป็นอย่างนั้นสินะ งั้นก็ไม่ต้องกังวล ฉันได้ริบอาหารกับเครื่องดื่มทั้งหมดที่ชายคนนี้รวบรวมมาแบ่งให้ทุกคนแล้ว พวกแกไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาทำตามเขาอีก ถ้าเข้าใจที่ฉันพูดแล้วก็รีบไส้หัวขึ้นรถบัสซะ!”
ฉันสะบัดมีดและทุกคนก็รีบกลับไปขึ้นรถบัสราวกับวิ่งหนี
ฉันโยนมีดทิ้งและมัดชายที่นอนอยู่กับพื้นด้วยสายเคเบิ้ลไทร์กับเทปพันสายไฟ ฉันใช้เทปปิดหูของเขาด้วยจะได้ไม่เห็นเลือด
“ปลอดภัยแล้ว ลืมตาได้”
มัตสึริลืมตาตามที่สั่ง เธอมองไปที่ชายถูกมัดที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างหวาดระแวง
“คะ-คุณคุมิโกะ… เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เธอคงรู้ตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจากสิ่งเห็นและได้ยิน
“ถ้าสู้ตรงๆ ยังไงฉันก็แพ้ พวกนั้นมีกันเยอะกว่า ก็เลยต้องโชว์โหดสักหน่อยเพื่อให้พวกมันยอมถอยไป ส่วนคนคนนี้ไม่ตายเพราะแค่หูขาดหรอกนะ บนรถบัสมีผ้าพันแผลกับน้ำยาฆ่าเชื้ออยู่ เดี๋ยวหมอก็ดูแลเขาเอง”
ฉันเดินเข้าไปหาชายเชิ้ตดำระหว่างที่คุยกับมัตสึริ แล้วมัดเขาด้วยสายเคเบิ้ลไทร์กับเทปพันสายไฟเช่นกัน เขาอ่อนแอลงเพราะความกลัว และไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้าน
“ฉันจะดูแลผู้ชายคนนี้เอง”
“ดูแล… เหรอคะ…?”
ฉันไม่ตอบและเริ่มเข้าค้นรถที่ถูกทิ้งอยู่ในลาดจอด จนในที่สุดก็เจอคันที่มีกุญแจเสียบอยู่ ฉันโยนชายเชิ้ตดำเข้าไปในที่นั่งเบาะหลังแล้วสตาร์ทเครื่อง
ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าคุณคุมิโกะจะกลับมาหลังจากขับรถไปที่ไหนก็ไม่รู้
เธอจิกผมของชายเชิ้ตดำแล้วลากเขาลงมาจากรถ จากนั้นทั้งสองคนก็กลับมาที่รถบัส
“อา อาา… ฮา… อือ… ฮิก…”
ใบหน้าของเขาอาบเหงื่อและซีดเผือด
เขาอยู่ในสภาพเดียวกับสาวผมน้ำตาลที่คลั่งไปก่อนหน้านี้ แขนขาของเขาถูกมัดจึงไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
“คุณคุมิโกะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาคะ!?”
ยูนะถามหลังเห็นสภาพของชายคนนั้น
“ก่อนหน้านี้คุณใช้มีดตัดหูคนอื่นด้วย… มันยังไงกันแน่คะคุณคุมิโกะ!?”
คุณคุมิโกะไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่โยนชายเชิ้ตดำลงไปยังที่นั่งที่ยังว่างอยู่
หลังจากนั้นก็นั่งลงที่ที่นั่งคนขับและสตาร์ทรถ
“คุณคุมิโกะ!”
ยูจังย้ำ เสียงของเธอครั้งนี้ดังจนเกือบเรียกว่าตะโกน แต่ก็ไม่ได้คำตอบ
คุณคุมิโกะพาผู้ชายคนนั้นไปที่ไหนก็ไม่รู้และกลับมาสภาพจิตของเขาก็แย่ลง… เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ
คุณคุมิโกะหันมาหาฉันโดยยังคงเมินยูจัง มือของเธอยังคงอยู่ที่พวงมาลัย
“มัตสึริ ฉันมีคำถาม สมมติว่าที่ชิโกกุปลอดภัยและสงบสุขจริงๆ เธอมีแผนจะทำอะไรหลังไปถึงที่นั่น? แล้วมีแผนจะใช้ชีวิตยังไงหลังจากพวกเรากลับไปสงบสุขอีกครั้ง?”
“…เออ นี่ใช้เวลาที่จะ…”
“ตอบมา”
เสียงของเธอบ่งบอกชัดเจนว่าฉันไม่มีทางเลือก คำถามนี้มีความหมายอะไรกันนะ ไม่รู้เลย แล้วอะไรคือคำตอบที่ถูกต้องล่ะ ฉันไม่รู้
ฉันลังเล… แต่ก็พูดสิ่งที่คิดออกไปตามตรง
“เออ… หนูอยากกลับไปใช้ชีวิตามปกติ คุณพ่อ… คุณแม่ของหนูตายไปแล้ว… หนูเลยไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นได้… แต่หนูยังคงอยากใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับแบบเดิมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ค่ะ…”
ลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย ทานอาหารเช้าแบบเดิม เข้าเรียนที่โรงเรียน เล่นสนุกกับเพื่อนหลังเลิกเรียน หรือบางที่ก็เข้าชมรม เข้านอนโดยที่คิดเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้…
“นั่นคือชีวิตที่หนูต้องการค่ะ…”
ฉันตอบไปอย่างนั้น คุณคุมิโกะตอบกลับราวกับให้โยนทิ้งไป
“ธรรมดาชะมัด”
“ค่ะ… ธรรมดานี่แหละค่ะ”
“ให้ตายสิ ความธรรมดามันน่าเบื่อ เธอกำลังอยู่ในเหตุการณ์วันสิ้นโลกและยังมีพลังพิเศษในการสัมผัสถึงสัตว์ประหลาดได้ แต่สิ่งที่ต้องการกลับเป็นชีวิตที่แสนน่าเบื่ออย่างนั้นเนี่ยนะ?”
“…ค่ะ”
“ความธรรมดามันน่ารังเกียจ”
“…ค่ะ”
“ใช้สิ… เธอมันธรรมดา เด็กดีธรรมดา ชีวิตธรรมดา ไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปกว่าคนที่มีความต้องการและทำมันได้ วิเศษ วิเศษจริงๆ ล้ำค่าเป็นบ้า”
ใบหน้าของคุณคุมิโกะไม่แสดงอารมณ์ออกมา ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพยายามจะสื่ออะไร แล้วก็พูดต่อ
“ฉันไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้วหลังออกจากนาระ แต่พวกเรามีผู้คนที่เสียสติ เพราะป่วยเป็นโรคทางจิตอะไรสักอย่างที่ทำให้กลัวท้องฟ้า หลังจากสังเกตมาพักหนึ่ง ฉันเห็นว่าผู้คนได้รับผลกระทบทางจิตอย่างรุนแรงหลังเผชิญกับสัตว์ประหลาดสีขาว ฉันเลยคิด ว่าถ้าหากมันเป็นความกลัวที่มาจากสัตว์ประหลาดนั่นตั้งแต่แรกล่ะ? ดังนั้น… ฉันจึงทำการทดลอง”
“ทะ…ทดลอง?”
“ใช่ สาวผมน้ำตาลนั่น ระหว่างที่พวกเธอตามหาเด็กหลงใกล้ๆ ปั้มอยู่นั้น ฉันพาผู้หญิงคนนั้นไปที่ที่พวกสัตว์ประหลาดอยู่ มัตสึริสัมผัสได้ถึงมัน เลยไปที่นั่นด้วยรถได้อย่างง่ายดาย ฉันขับไปใกล้พวกมันและถูกไล่ แต่ก็หนีรอดมาได้ มันโคตรสนุกเลยให้ตายสิ! หลังจากรอดมาได้ จิตใจของสาวผมน้ำตาลก็ไม่เหลือแล้ว ฉันคิดว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นสร้างความกลัวให้กับมนุษย์ได้มากกว่าภัยอันตรายตามปกติ”
ฉันพูดไม่ออก คุณคุมิโกะพูดต่อ
“เมื่อกี้ชายเชิ้ตดำก็เจอแบบเดียวกันกับที่สาวผมน้ำตาลเจอ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ ฉันได้ลิ้มรสความตื่นเต้นจากการถูกสัตว์ประหลาดไล่ตามและได้เห็นคนกรีดร้องด้วยความกลัว ฉันคงไม่มีวันได้เจออะไรแบบนี้เลยถ้าสถานการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น และเพราะพวกเขาเป็นบ้ากันไปเอง ฉันเลยไม่รู้สึกผิดที่ทำให้ใครสักคนสติแตก”
“คุณคุมิโกะ… ทำไมคุณถึง…”
เสียงยูจังสั่นเครือ
ทันใดนั้น คุณคุมิโกะก็กระทืบคันเร่ง ยูจังกับฉันถูกแรงผลักจนกระแทกกับเบาะที่นั่ง
“ทุกคนฟัง!” คุณคุมิโกะคำรามเสียงดังให้คนทั้งรถได้ยิน “รถบัสคันนี้ไม่ไปชิโกกุ! ไม่มีวัน… ไม่มีวันจะเราไปถึงที่ปลอดภัย!”
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 3 ตอนที่ 4 จบ