[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 12: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- ตอนที่ 2 ซากุระต้นหนึ่ง เหตุใดมันถึง เบินหน้าหนีฤดูใบไม้ผลิ
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 12: -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- ตอนที่ 2 ซากุระต้นหนึ่ง เหตุใดมันถึง เบินหน้าหนีฤดูใบไม้ผลิ
{ไกลออกไปในถนนสายเล็ก ๆ มีบ้านยากจนหลังหนึ่ง หน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ และฉันมองเข้าไปเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ ใบหน้าของหล่อนผอมซูบและทรุดโทรม มือสีแดงคล้ำของหล่อนหยาบกร้าน มีแต่รอยทิ่มแทงของเข็มเย็บผ้า เพราะหล่อนเป็นช่างตัดเย็บ หล่อนกำลังปักลายดอกเสาวรสบนชุดผ้าซาตินของนางกำนัลคนสวยที่สุดของพระราชินีเพื่อจะใช้สวมใส่ในงานเลี้ยงของราชสำนักที่จะมาถึงนี้ และที่เตียงตรงมุมห้อง ลูกชายตัวเล็กของหล่อนกำลังนอนป่วยอยู่ เขากำลังซมด้วยไข้และร่ำร้องอยากจะกินผลส้ม แม่ของเขาไม่มีอะไรที่จะให้นอกจากน้ำจากแม่น้ำ ดังนั้นเขาจึงเอาแต่ร้องไห้ นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย เจ้าจะไม่เอาทับทิมจากด้ามดาบของฉันไปมอบให้หล่อนดอกหรือ เท้าของฉันนั้นตรึงอยู่กับแท่นและฉันไม่อาจขยับไปไหนได้ ———ออสก้า ไวลด์, เจ้าชายเปี่ยมสุข}
ในทุกๆ เย็นตอนอยู่ชั้นประถม เพลง [กำลังกลับบ้าน] ของดีโวแร็คเคยเล่นในเมืองที่ฉันอยู่ มันคือเพลงที่ใช้เพื่อบอกให้พวกเด็กๆ กลับบ้านเหมือนกับที่อื่นๆ เมื่อไหร่ที่เพลงเริ่มบรรเลง เด็กทุกคนก็จะกลับบ้าน เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง พี่น้องที่เล่นกัน ลูกคนเดียว เด็กจากครอบครัวร่ำรวย เด็กจากครอบครัวไม่มีอันจะกิน ทุกคนโบกมือกล่าวลากัน แล้วต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเอง มันทำให้ธาตุแท้ของฉันถูกสะกิดด้วยความเกลียดชัง
มันไม่ใช่เพราะรู้สึก [เศร้า] หรือ [อยากจะเล่นอีกสักหน่อย] ไม่เลย [ทุกคนกำลังทำเหมือนกันหมด] คือสิ่งที่ฉันรังเกียจ และเพราะเด็กที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมากมายนัก สุดท้ายฉันเองก็กลับบ้านเช่นกัน
น่ารังเกียจจริงๆ
ฉันรังเกียจที่คนอื่นทำสิ่งเดียวกันโดยที่ฉันต้องทำตามพวกเขาด้วย ทำเอาอยากจะอ้วก
วันหนึ่ง ฉันคุยกับเพื่อนสนิทว่าจะเล่นกันยันมืด ฉันอยากจะขจัดความรู้สึกรังเกียจที่ทุกคนทำสิ่งเดียวกันสักเล็กน้อยก็ยังดี ตอนที่ฉันกับเพื่อนแยกทางกันกลับบ้านฟ้าก็มืดแล้ว มันทำให้ฉันยิ้มออกมาได้
เช้าวันต่อมา ฉันโดนเพื่อนคนนั้นตบเข้าที่หน้า เมื่อวานเธอโดนพ่อแม่ดุตอนที่กลับถึงบ้านช้า
“เพราะคุมิโกะจังหลอกฉัน คนโกหก ใจร้าย”
เด็กหญิงคนนั้นตะโกนใส่ฉันอย่างโกรธเคือง
ในตอนนั้นฉันคิดว่าฉันคงทำอะไรไม่ดีเข้าซะแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเธอ หรือตั้งใจให้เธอโดนพ่อแม่ต่อว่า ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอเจ็บปวด
หลังจากพูดขอโทษออกไป เธอก็ยกโทษให้ และพวกเราก็คืนดีกัน
แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของเราก็ไปได้ไม่ไกลจากจุดนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเราก็แยกออกจากกันและเลือกที่จะเล่นกับเพื่อนคนอื่นมากกว่าที่จะกลับมาหากัน
ฉันใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้แย่เรื่องการอ่านบรรยากาศ เพราะงั้นฉันถึงมีผู้คนอยู่รอบข้างเสมอ ฉันไม่เคยตัวคนเดียว แต่ไม่เคยมีใครมีปฏิสัมพันธ์กับฉันได้เป็นเวลานาน
พอนึกย้อนดูแล้ว ฉันไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองเคยมี [เพื่อน] จริงๆ หรือเปล่า
X X X
การเดินทางด้วยรถบัสเล็กของยูนะกับฉันค่อนข้างราบรื่นไปด้วยดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอถนนพังหรือรถที่ถูกทิ้งไว้เราก็ใช้ทางอ้อม และเมื่อถึงทางตันก็ใช้อีกเส้นทางหนึ่ง
เส้นทางที่เร็วที่สุดจากเมืองโกเสะ จังหวัดนาระไปถึงชิโกกุคือต้องผ่านสะพานอาคาชิ-ไคเคียวที่จังหวัดเฮียวโกะไปเกาะอาวาจิ จากนั้นก็ผ่านสะพานโอโอนารุโตะไปโทคุชิมะ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีเส้นทางนี้จะใช้เวลาไม่ถึงห้าชั่วโมง แต่นี่ผ่านมาครึ่งวันแล้วตั้งแต่เราออกจากโกเสะ
ทุกเส้นทางที่รถบัสคันนี้ผ่านเต็มไปด้วยทิวทัศน์แห่งนรก ตึกรามบ้านช่องที่ถูกทำลาย ศพเกลื่อนกลาดเต็มถนน กองไฟที่ลุกโชติช่วงทำให้ท้องฟ้ามืดถูกย้อมเป็นสีแดง จากที่ไกลๆ เหมือนจะเป็นไฟที่เกิดขึ้นจากเขตโรงงาน เพราะกองไฟที่ลุกอยู่นั่นมันสูงใหญ่เกินกว่าจะเกิดจากธรรมชาติ
ภาพของนรกที่เห็นทำให้ใครๆ ก็คิดว่าความเป็นจริงได้พังทลายไปแล้ว ผู้โดยสารที่อยู่ในรถบัสได้แต่นิ่งเงียบ
ในรถบัสนี้มีคนอยู่สิบเก้าคน รวมฉัน ทาคาชิม่า ยูนะ และโยโคเตะ มัตสึริด้วย รถบัสคันนี้ถูกสร้างมาเพื่อบรรทุกคนได้ยี่สิบคน จึงแทบไม่เหลือที่ว่างแล้ว ความต่างของอายุผู้โดยสารก็ค่อนข้างมาก มีตั้งแต่คนแก่วัย 70 ถึงเด็กวัยอนุบาล และมีคนบาดเจ็บด้วย
ฉันจอดรถบัสที่วงเวียนใกล้สถานีรถไฟที่พังไปแล้ว การนั่งเป็นเวลานานไม่ส่งผลดีต่อคนเจ็บ คนแก่ และเด็ก รวมถึงคนที่ต้องการเข้าห้องน้ำด้วย เพราะงั้นการจอดพักบ่อยๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็น
ระหว่างที่ฉันอยู่บนรถบัสก็ช่วยเปลี่ยนผ้าก๊อซที่ขาที่บาดเจ็บของทาคาชิม่า ยูนะ แผลนี้ได้จากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดสีขาว พวกเราได้อุปกรณ์รักษาอย่างผ้าก๊อซและยาทาจากร้านค้าที่ขับผ่านระหว่างทาง
“ขอบคุณนะคะคุณคุมิโกะ”
“ฉันทำได้แค่รักษาเบื้องต้นเท่านั้นแหละ แต่หมอบอกว่าแผลนี่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก เพราะงั้นสบายใจได้”
หนึ่งในคนที่โดยสารมากับพวกเราเป็นชายอายุประมาณสามสิบกลางๆ ที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอ เขานั่งอยู่หลังรถบัสคอยดูแลคู่สามีภรรยาสูงอายุ การมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ร่วมทางไปด้วยในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ถือเป็นโชคดีในโชคร้ายเลยก็ว่าได้
มัตสึริหยิบนาฬิกาข้อมือจากกระเป๋ามาดูเวลาแล้วพูดพึมพำขึ้น
“แปลกจัง… เวลานี้ฟ้าควรจะสว่างแล้วสิ…”
ข้างนอกยังคงมืดเหมือนกลางคืน
กลายเป็นโลกที่พระอาทิตย์ไม่ขึ้นฟ้า
บางสิ่งบางอย่างได้ทำลายรากฐานของโลกไปแล้วจริงๆ เป็นไปได้ว่าหลังจากวันที่ 30 กรกฎาคมจะใช้สามัญสำนึกมาคิดไม่ได้อีกต่อไป
“หนูจะไปห้องน้ำนะคะ”
ทาคาชิม่า ยูนะพูดแล้วเดินออกจากรถบัส เธอเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวเหมือนกับบาดแผลไม่มีผลอะไร
เธอไปแล้ว เหลือโยโคเตะ มัตสึริกับฉันสองต่อสอง
เราสองคนไม่ค่อยคุยกันมาก เธอไม่เอ่ยปากคุยกับฉันสักคำหลังจากถามตอบสั้นๆ ตอนออกจากโกเสะ ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะพูดกับโยโคเตะ มัตสึริเช่นกัน ตั้งแต่แรกพวกเราก็ไม่เคยเจอกันมาก่อนอยู่แล้ว เลยไม่มีหัวข้อปกติเอาไว้ให้คุยกัน
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันจึงพูดคุยกับโยโคเตะ มัตสึริ สำหรับฉันเธอดูเป็นเด็กขี้อาย เพราะงั้นเลยไม่ค่อยอยากพูดคุยกับคนไม่คุ้นเคยอย่างฉัน สำหรับคนทั่วไปคงไม่คิดอะไรกับเด็กแบบนี้ แต่สำหรับฉันค่อนข้างรำคาญเลย
“นี่โยโคเตะ มัตสึริ ทาคาชิม่า ยูนะมีพลังที่ใช้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดสีขาวตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า?”
“เออ… ไม่รู้สิคะ แต่… คงไม่ล่ะมั้งคะ”
“หมายความว่าไม่รู้งั้นเหรอ?”
“ยูจังกับหนูเพิ่งได้รู้จักกันเองค่ะ ประมาณ… เมื่อวานล่ะมั้งคะ พอพระอาทิตย์ไม่ขึ้นหนูก็ไม่แน่ใจว่าเป็นวันนี้หรือเมื่อวาน… พวกเราเจอกันที่ศาลเจ้าตอนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ก่อนหน้านั้น จู่ๆ หนูก็รู้สึกว่าต้องไปที่ศาลเจ้าให้ได้ไม่ว่าจะยังไง ก็เลยไปที่นั่น…”
จากการอธิบายอย่างเชื่องช้าของโยโคเตะ มัตสึริ…
มีการพยากรณ์แผ่นดินไหวกับฝนตกหนักทั่วญี่ปุ่น และมีแผ่นดินไหวขนาดเล็กเกิดขึ้นหลายครั้งที่นาระ TV กับวิทยุแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์อพยพฉุกเฉินให้ประชาชนได้รู้ และที่ที่โยโคเตะ มัตสึริกับคนในระแวกนั้นจะไปพักพิงอยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมปลาย ในตอนนั้นยังไม่มีภัยพิบัติรุนแรงเกิดขึ้นที่นาระ แต่โยโคเตะ มัตสึริรู้สึกว่าเธอต้องยืนยันอะไรบางอย่างที่ศูนย์อพยพนั่น เลยแอบออกไปที่โรงเรียนตามลำพัง เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างชักจูงเข้าไป พอนึกย้อนดูแล้ว สิ่งที่ชักจูงเธอไม่ใช่ตัวโรงเรียน แต่เป็นศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ
เมื่อโยโคเตะ มัตสึริไปถึงโรงเรียน แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงก็เกิดขึ้น และสัตว์ประหลาดสีขาวก็ปรากฏตัว สัตว์ประหลาดหลายตัวกำลังไล่ตามเด็กประถมคนเดียว… เด็กคนนั้นคือทาคาชิม่า ยูนะ ทาคาชิม่า ยูนะกับฝูงสัตว์ประหลาดเข้าไปในเขตศาลเจ้า และโยโคเตะ มัตสึริก็ตามเข้าไปในอาคารศาสเจ้า เธอพบกับปลอกแขนเหล็กที่ถูกบูชาอยู่ในนั้น จึงให้ทาคาชิม่า ยูนะสวมใส่มัน และจัดการกับสัตว์ประหลาดทั้งหมด…
““ไปช่วยพวกเขากันเถอะ””
ทาคาชิม่า ยูนะกล่าว และโยโคเตะ มัตสึริพยักหน้าตอบ ถึงจะแอบไม่เต็มใจก็ตาม
“พวกเราไปที่บ้านของยูจังก่อนที่จะมาที่ซุปเปอร์มาร์คเก็ต แต่… ครอบครัวของยูจังไม่อยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าพวกเขาอพยพกันไปก่อนแล้วหรือว่า…”
โยโคเตะ มัตสึริเงียบไป
อย่างเลวร้ายที่สุดคือพ่อแม่ของทาคาชิม่า ยูนะถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าไปแล้ว
“แล้วครอบครัวของเธอล่ะ”
“ก็อาจจะ… เหมือนกันค่ะ…”
เธอกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เวลาพักสิ้นสุดลง พวกเราเดินทางด้วยรถบัสกันต่อ ตลอดเส้นทางพวกเราไม่เจอรถสัญจร หรือผู้คนอื่นนอกจากพวกเราเลย
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงโกเบ ใกล้สะพานอาคาชิ-ไคเคียว
ฉันมองไปที่กระจกมองหลัง และเห็นโยโคเตะ มัตสิริกำลังวาดรูปบางอย่างลงในสมุดสเก็ต เธอได้สมุดสเก็ตและอุปกรณ์เครื่องเขียนจากร้านค้าที่เราผ่านมา เธอฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากสมุดแล้วเอาให้ทาคาชิม่า ยูนะดู พอดูเสร็จทาคาชิม่า ยูนะก็เอาให้ฉันดูด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ฉันหยุดรถบนไฮเวย์แล้วหันไปมองดูที่กระดาษ มีแผนที่เขียนอยู่ในนั้น มีเส้นดำหนาขีดฆ่าอุโมงค์ไมโกะบนทางด่วนโกเบ-อาวาจิ-นารุโตะ
“ตรงเส้นดำที่ขีดนี่มีสัตว์ประหลาดอยู่ค่ะ” ทาคาชิม่า ยูนะอธิบาย
การจะผ่านสะพานอาคาชิ-ไคเคียวด้วยรถจำเป็นต้องใช้อุโมงค์ไมโกะ
“แย่ล่ะสิ ถ้าพวกเราใช้เส้นทางนั้นไม่ได้ ก็ไม่มีทางไปชิโกกุผ่านสะพานอาคาชิ-ไคเคียวได้หรอก พวกสัตว์ประหลาดจะอยู่แต่ที่นั่นอย่างเดียวเลยเหรอ?”
โยโคเตะ มัตสึริตอบฉันอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง
“หนูไม่รู้… พวกมันอาจจะอยู่ หรือจะไปก็ได้ค่ะ…”
“…เหรอ…”
ตอนที่ฉันกำลังคิดอยู่นั้น ก็เริ่มมีเสียงมาจากข้างในรถบัส
“นี่ ทำไมถึงหยุดรถล่ะ?”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
เสียงงึมงำดังขึ้นเรื่อยๆ และผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีดำคนหนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่ที่นั่งคนขับ เขาคือคนที่สั่งให้คนอื่นทำบาริเคดตอนที่สัตว์ประหลาดโจมตีซุปเปอร์มาร์คเก็ต
“จะนั่งอยู่เฉยๆ ทำไม? รีบไปได้แล้ว”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหงุดหงิดอยู่
“ดูเหมือนจะมีสัตว์ประหลาดปิดทางผ่านสะพานอาคาชิ-ไคเคียวอยู่ พวกเราใช้ทางนี้ไปชิโกกุไม่ได้”
“จริงเหรอ? แล้วรู้ได้ยังไง?”
“เด็กคนนี้สัมผัสได้ว่าสัตว์ประหลาดอยู่ที่ไหน”
ชายเชิ้ตดำจ้องเขม่นไปที่โยโคเตะ มัตสึริ
“เฮ้ย จริงหรือเปล่า? แล้วแกรู้ได้ยังไง?”
“หนะ-หนู… แค่รู้สึกได้ค่ะ”
โยโคเตะ มัตสึริพูดออกมาเสียงเบา เธอหวาดกลัวท่าทางนักเลงของชายเชิ้ตดำ
“[แค่รู้สึกได้]เหรอ หมายความว่าอะไรกันหะ!? งั้นแกก็ไม่รู้อะไรเลยน่ะสิ! แล้วมันอยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่าวะ!? ตอบสิโว้ย!”
ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ล่ะนะ ก่อนหน้านี้พวกเราได้เห็นทาคาชิม่า ยูนะจัดการกับสัตว์ประหลาด เราเลยเชื่อในพลังของเธอ แต่ว่าไม่มีใครเคยเห็นพลังของโยโคเตะ มัตสึริเลยว่าสามารถตรวจจับสัตว์ประหลาดได้จริงไหม แม้แต่ฉันเองก็ยังไม่เชื่อเหมือนกัน
“เข้าใจแล้ว งั้นพวกเราจะไปกันต่อเลยดีไหม?”
“เอ๋!?”
โยโคเตะ มัตสึริส่งเสียงดังออกมาด้วยความตกใจ
“พวกเราจะไม่เข้าไปใกล้ในกรณีที่มีพวกมันอยู่จริง เอาแค่สอดส่องจากที่ไกลๆ ก็พอ”
ฉันขับรถบัสเข้าไปที่อุโมงค์ไมโกะแล้วหยุดบริเวณทางเข้า ที่นี่ไม่มียานพาหนะคันอื่น ฉันเลยหันรถบัสกลับเพื่อเตรียมพร้อมออกทันทีหากมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งคนขับแล้วเรียกชายเชิ้ตดำ
“โยโคเตะ มัตสึริบอกว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างหน้านี่ ฉันจะเข้าไปตรวจสอบดูสักหน่อย นายจะไปด้วยไหม? เพราะนายอยากพิสูจน์ด้วยตาตัวเองนี่ว่าฉันพูดจริงหรือเปล่า”
ชายเชิ้ตดำดูสั่นกลัวนิดๆ แต่ก็พยักหน้า ยังไงมันก็ไม่เหลือทางเลือกให้เขามากอยู่แล้ว
“คุณไม่ควรทำอย่างนี้นะคะ… พวกมันอยู่ที่นั่นจริงๆ นะ…”
โยโคเตะ มัตสึริพูดเสียงค่อย น้ำหนักของมันเบาบางเกินกว่าจะใช้โน้มน้าวพวกเรา
“หนูจะไปด้วย”
ทาคาชิม่า ยูนะกล่าว
“ยูจัง มันอันตรายนะ!”
“แต่ถ้ามีสัตว์ประหลาดโจมตีพวกเราขึ้นมา ฉันต้องสู้กับมัน!”
“แต่-!”
“ถือเป็นอันตกลง พวกเราสามคน ฉัน ทาคาชิม่า ยูนะ และผู้ชายคนนั้น”
ฉันหยุดข้อโต้แย้งของโยโคเตะ มัตสึริ
พวกเราสามคนออกจากรถบัสแล้วเดินเข้าไปข้างในอุโมงค์
เดินไปไม่กี่สิบนาที ก็เจอกับชิ้นส่วนของเพดานอุโมงค์ที่หล่นลงมาตามทาง ทำให้สามารถมองเห็นพื้นผิวอุโมงค์ได้ อุโมงค์ไมโกะถูกสร้างขึ้นใต้เขตที่อยู่อาศัย และอยู่ใกล้ด้านบนมากด้วย ชั้นพื้นดินที่อยู่ข้างบนอุโมงค์แตกระแหง อาจจะเป็นฝีมือของสัตว์ประหลาดหรือปัจจัยบางอย่าง
ฉันใช้ไฟฉายสมาร์ทโฟนส่องไปรอบๆ ไม่เจอสัญญาณของสัตว์ประหลาด แต่ไม่ว่ายังไงก็ใช้เส้นทางนี้ไม่ได้ เพราะมีเศษหินเศษปูนกองเป็นพะเนินอยู่เต็มทาง
ฉันปีนขึ้นไปบนกองภูเขาเศษปูน พื้นที่ข้างบนควรจะเป็นเมืองไมโกะ แขวงทารุมิ จังหวัดโกเบ
“จะไปไหนเหรอคะ!?”
ทาคาชิม่า ยูนะเรียกฉัน
“จะขึ้นไปดูข้างบนสักหน่อยน่ะ แถวนี้ไม่มีสัตว์ประหลาดเลยสักตัว แต่ถ้าสัมผัสของโยโคเตะ มัตสึริถูกต้องล่ะก็…”
กองภูเขาเศษปูนนี่สูงพอที่จะขึ้นไปถึงข้างบน ฉันออกมาจากอุโมงค์และมองเห็นสะพานอาคาชิ-ไคเคียวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนกับสถานีตำรวจอยู่ใกล้ๆ ด้วย
ทาคาชิม่า ยูนะตามฉันมาที่ข้างบน ส่วนชายเสื้อเชิ้ตดำกลัวว่าจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเลยตามมาด้วย
“…อยู่นี่เอง”
สัตว์ประหลาดสีขาวหลายตัวบินว่อนอยู่บนถนนใกล้โรงเรียน ความสามารถในการตรวจจับสัตว์ประหลาดของโยโคเตะ มัตสึริเป็นของจริง พวกเราซ่อนอยู่หลังอาคารแถวนั้น พื้นบริเวณที่สัตว์ประหลาดอยู่ถูกย้อมด้วยสีเลือด มีชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์มากมายกระจายอยู่ทั่ว มีก้อนเนื้อสดๆ สวมชุดตำรวจและมีปืนพกอยู่ด้วย น่าจะเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีที่อยู่ใกล้ๆ ที่พยายามจะปกป้องผู้คน
สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งบินมาทางเราที่กำลังซ่อนตัวอยู่ เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มีอวัยวะที่ใช้ในการตรวจจับมนุษย์ด้วยเหรอ?
“ไม่ดีแล้ว หนีกันเถอะ”
ฉันจูงมือทาคาชิม่า ยูนะและหนีลงอุโมงค์ไปในทันที ชายเชิ้ตดำร้องเสียงหลงอย่างดูไม่ได้แล้วตามลงมา สัตว์ประหลาดเองก็ไล่เราลงมาที่อุโมงค์เช่นกัน
เทียบตัวฉันที่จูงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เอาไว้กับชายเชิ้ตดำ อย่างหลังย่อมวิ่งเร็วกว่าอยู่แล้ว เขาแซงฉันไป พยายามหนีไปให้ไกล ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ประหลาดแน่
“เดี๋ยวสิ!”
ชายเชิ้ตดำไม่สนใจเสียงเรียกของฉัน
“ได้โปรดหยุดก่อน”
ฉันวิ่งตามไปพลางกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
ชายเชิ้ตดำที่ฉันวิ่งตามไม่สนใจ และยังคงวิ่งต่อไป
…ฉันคว้าคอเสื้อของเขาจากข้างหลัง
กดลงด้วยน้ำหนักของตัวเองทั้งหมดจนชายเชิ้ตดำนอนหงายกับพื้น
เขาร้องออกมาว่า [เอ๋?] ด้วยสีหน้ามึนงง ชัดเจนว่าเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
อีกไม่นานสัตว์ประหลาดคงตามมา และจัดการกับชายเชิ้ตดำที่นอนอยู่ ต่อให้เขารู้ตัวทันทและเริ่มวิ่งต่อ มันก็สายไปแล้ว
ในกรณีฉุกเฉิน ฉันจะทำเป็นว่า “เผลอทำชายเชิ้ตดำล้มเพราะกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ต่อให้เขาตาย ต่อให้ทาคาชิม่า ยูนะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลับถึงรถบัส ผู้โดยสารคนอื่นๆ จะไม่โทษฉันมาก และเขาจะได้รับโทษข้อหาพยายามทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กอีกคนไว้ข้างหลัง
ฉันเหลือบมองชายที่ล้มลงกับพื้นและวิ่งผ่านไป ลาขาดล่ะ
แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ถูกฆ่า ทาคาชิม่า ยูนะหยุดวิ่งและสะบัดมือฉันทิ้งต่อหน้าชายเชิ้ตดำ เธอมองตรงไปข้างหน้า กำหมัดแน่นเตรียมพร้อมที่จะสู้กับสัตว์ประหลาดที่ไล่ตามมา
“โอ้วววววววว!”
ทาคาชิม่า ยูนะปล่อยหมัดออกไป ร่างของสัตว์ประหลาดโดนแรงกระแทกจนแตก แต่แรงส่งของมันส่งเด็กสาวปลิวออกไป ทาคาชิม่า ยูนะกลิ้งกับพื้น แต่ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอคงตกลงกระแทกพื้นโดยไม่รับบาดเจ็บหนักมาก แต่ใบหน้ากับแขนทั้งสองข้างของเด็กหญิงเต็มไปด้วยรอยแผล และมีเลือดออก
“ยังหรอกน่า! เทย้าาาาาาา!”
เด็กหญิงปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด โดยทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงในหมัดนี้ มันทำให้สัตว์ประหลาดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และหายไปในอากาศ
“แฮ่ก แฮ่ก… คุณปลอดภัยแล้วนะคะ”
ทาคาชิม่า ยูนะยื่นมือให้กับชายเชิ้ตดำที่ยังอยู่กับพื้น เขาหลบสายตาด้วยความหงุดหงิดและลุกขึ้นด้วยตัวเอง
ฉันถอนหายใจออกมา
ทาคาชิม่า ยูนะ นั่นนะไม่จำเป็นที่สุดเลย ฉันอุตส่าได้โอกาสจัดการกับเจ้าเชิ้ตดำนี่แล้วแท้ๆ เขานี่แหละตัวทำกลุ่มแตกแยกเลย ถ้าไม่ฆ่าเดี๋ยวนี้ล่ะก็จะยิ่งมีปัญหามากกว่านี้อีก เพราะงั้นฉันเลยอยากให้เขาตายที่นี่
ช่างมันเถอะ
ชักอยากเห็นแล้วสิว่าแม่เด็กดีทั้งสองอย่างทาคาชิม่า ยูนะกับโยโคเตะ มัตสึริจะทำยังไงถ้าชายเชิ้ตดำนี่ก่อปัญหา
พวกเราเดินย้อนกลับไปในเส้นทางอุโมงค์มืดมิด
ทาคาชิม่า ยูนะใช้เสื้อเช็ดเลือดออก คงทำเพื่อโยโคเตะ มัตสึริที่กลัวเลือด
เมื่อถึงรถบัส พวกเราได้อธิบายให้คนในกลุ่มได้ฟังว่าพลังในการตรวจจับสัตว์ประหลาดของโยโคเตะ มัตสึริเป็นของจริง พวกเรายังบอกเรื่องที่อุโมงค์ไมโกะพังทลายลงมา และไม่สามรถใช้สะพานอาคาชิ-ไคเคียวได้
“พวกเราใช้เส้นอาคาชิ-ไคเคียวไปชิโกกุไม่ได้แล้ว”
หลังจากได้ยินที่ฉันพูด โยโคเตะ มัตสึริก็ทำหน้าเศร้าออกมาแล้วกล่าวขอโทษ
“…ขอโทษนะคะ…”
“คุณมัตสึริไม่ต้องขอโทษหรอกนะ! ที่สัตว์ประหลาดโผล่มาไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย!”
ทาคาชิม่า ยูนะพยายามให้กำลังใจ
“ยังเหลืออีกสองทางในการไปชิโกกุจากฮอนชู ทางแรกคือผ่านสะพานใหญ่เซโตะ อีกทางคือชิมานามิ ไคโด สะพานใหญ่เซโตะอยู่ใกล้กว่าชิมานามิ ไคโด เพราะงั้นไปที่นั่นกันเถอะ”
พวกเราเดินหน้าไปสะพานใหญ่เซโตะ
ระหว่างทางพวกเราจอดรถบัสที่ลานจอดรถของร้านสะดวกซื้อที่ถูกทิ้งร้าง โยโคเตะ มัตสึริกับฉันตัดสินใจที่จะนอนพักเอาแรงกัน โดยผลัดกันคนละสามชั่วโมง ถึงจะเสียเวลาไปหกชั่วโมงเต็มๆ แต่มันเป็นเรื่องจำเป็น ตลอดวันที่ผ่านมาเราสองคนไม่ได้นอนเลย พวกเราจำเป็นต้องไปชิโกกุด้วยรถบัส และฉันที่เป็นคนขับรถกับโยโคเตะ มัตสึริที่เป็นเรดาร์ งานของเราสองคนถือว่าสำคัญไม่น้อยไปกว่าทาคาชิม่า ยูนะที่สามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาดได้ หากไม่มีฉันก็ไม่มีใครในที่นี่สามารถขับรถบัสได้ และถ้าไม่มีโยโคเตะ มัตสึริพวกเราก็อาจจะได้เจอสัตว์ประหลาดถี่ขึ้น พวกเราจึงจำเป็นต้องพักเพื่อให้อยู่ในสถานะที่พร้อมใช้ความสามารถมากที่สุด
ฉันเข้านอนก่อน บอกกับโยโคเตะ มัตสึริไว้ว่าให้เตะปลุกทันทีถ้าสัมผัสได้ถึงสัตว์ประหลาดระหว่างที่ฉันหลับอยู่ ฉันปรับเบาะที่นั่งแล้วหลับตา เพราะนอนในห้องแลบบ่อยครั้ง ฉันเลยสามารถนอนที่ไหนก็ได้
ฉันตื่นขึ้นหลังผ่านไปสามชั่วโมง พอมองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถบัสฟ้ายังมืดอยู่ ดูเหมือนพระอาทิตย์จะทิ้งโลกใบนี้ไปแล้ว
ฉันมองไปข้างในรถบัสและพบว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่ออกไปข้างนอก บางคนออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ บางคนหยิบของจากร้านสะดวกซื้อ หรือไม่ก็เข้าห้องน้ำ เหลือเพียงกลุ่มเดียวที่นั่งอยู่บนรถคือคู่สามีภรรยาอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปี หมอ เด็กผู้หญิงวัยอนุบาลผูกโบไว้บนผม และโยโคเตะ มัตสึริ
โยโคเตะ มัตสึริเปิดสมุดสเก็ตและกำลังวาดรูปอะไรบางอย่างให้เด็กผูกโบ ฉันแอบมองดูว่าเธอวาดอะไรลงไปในกระดาษ สิ่งที่เห็นคือสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์ขนฟู
“ทำอะไรอยู่?”
“เอ๋!? มะ ไม่ได้ทำอะไรค่ะ…”
โยโคเตะ มัตสึริหลบหน้าอย่างงุ่มง่าม คำตอบมาจากเด็กผูกโบ
“พี่สาวกำลังหวาดหนังสือภาพให้หนูค่ะ!”
เด็กหญิงพูดอย่างมีความสุข
“หนังสือภาพ?”
ฉันถาม
“ค่ะ… หนูคิดว่าจะช่วยให้น้องคนนี้อารมณ์ดีขึ้นมาได้…”
“หืม เธอเองก็วาดสวยเหมือนกันนะ หมายความว่าไม่ใช่แค่แผนที่ที่เธอวาดได้งั้นสิ”
“…ค่ะ”
โยโคเตะ มัตสึริมีปัญหาในการพูดคุยกับฉันแน่ๆ ดูจากที่เธอพูดคุยกับทาคาชิม่า ยูนะหรือกับเด็กคนนี้อย่างไม่ตะกุกตะกัก อาจเป็นเพราะมีปัญหาในการสนทนากับคนอายุมากกว่า ไม่สิ ฉันอาจทำให้เด็กคนนี้กลัวก็ได้
“เมื่อพี่สาวโตขึ้นจะเป็นคนทำหนังสือภาพในอนาคต!”
เด็กผูกโบว์พูดอย่างภูมิใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“จริงเหรอ?” ฉันถาม โยโคเตะ มัตสึริก็ตอบมาอย่างงุ่มง่าม “เออ… ค่ะ…” และพยักหน้า
“ฉันว่าก็ดีนะโยเคเตะ มัตสึริ ดีแล้วล่ะที่มีความฝัน เธอเองก็วาดรูปเก่งด้วย ฉันเชื่อว่าเธอจะทำมันได้แน่นอน” ฉันยิ้มแล้วจับไหล่ของเด็กสาว
“ถึงตอนนี้เราจะเจอเรื่องวุ่นวาย แต่ฉันแน่ใจว่าเมื่อเราไปถึงที่ปลอดภัยได้เมื่อไหร่ เธอจะต้องกลายเป็นนักเขียนหนังสือภาพและได้ใช้ชีวิตตามปกติแน่นอน ฉันอยากจะอ่านหนังสือภาพของเธอนะ”
โยโคเตะ มัตสึริแสดงท่าทางตกใจออกมาเล็กน้อย แก้มของเธอกลายเป็นสีแดง
“ขอบคุณค่ะ”
“จะตั้งตารอนะ เอาล่ะ ได้เวลานอนแล้ว พักให้มากๆ ระหว่างที่มีโอกาสเถอะนะ เธอเป็นเพียงคนเดียวที่บอกได้ว่าสัตว์ประหลาดอยู่ที่ไหน”
ฉันเดินไปที่ทางออก ทันใดนั้นโยโคเตะ มัตสึริก็ส่งเสียงเรียก
“คุณคาราสุมะ คือว่า เรื่องของยูจัง…”
“ทาคาชิม่า ยูนะ? มีอะไรเหรอ?”
“ยูจัง… ถ้าเป็นไปได้ หนูไม่อยากให้ยูจังสู้กับสัตว์ประหลาดค่ะ ถึงบางครั้งจะช่วยไม่ได้ ก็เถอะ…”
“ทำไมล่ะ?”
“ยูจัง… มีบาดแผลเต็มตัวเลย ถึงจะมีพลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาด แต่เธอ… บาดเจ็บทุกครั้งที่สู้ หนูคิดว่ามันไม่ดีที่จะให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างยูจังต่อสู้และบาดเจ็บกลับมาค่ะ…”
“…ถูกของเธอ”
เด็กคนหนึ่งเอาชีวิตมาเสี่ยงต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพื่อปกป้องคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ทั้งครอบครัวหรือเพื่อนฝูง นั่นเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ก็สมเหตุสมผลที่โยโคเตะ มัตสึริจะเป็นกังวล
“เข้าใจแล้ว ฉันจะพยายามทำให้ทาคาชิม่า ยูนะสู้ให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วกันนะ”
“ขอบคุณมากๆ ค่ะ”
“งั้นรีบไปนอนได้แล้วล่ะโยโคเตะ มัตสึริ อีกสามชั่วโมงเดี๋ยวฉันจะมาปลุก”
“คือว่า”
“อะไร? มีอะไรอีกเหรอ?”
“คุณคาราสุมะเอาแต่เรียกหนูกับยูจังด้วยชื่อเต็มตลอดเลย… แค่คิดว่ามันแปลกน่ะค่ะ ไม่รู้สึกรำคาญบ้างเหรอคะ?”
“เหรอ ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ”
ฉันเรียกคนไม่รู้จักด้วยชื่อเต็มมานานจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
“แค่มัตสึริก็ได้ค่ะ”
“…งั้นเหรอ จากนี้ฉันจะเรียกเธอว่ามัตสึริ ส่วนเธอเรียกฉันว่าคุมิโกะนะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
มัตสึริยิ้มอ่อน
เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอยิ้ม
ฉันออกมาข้างนอกรถบัสและหยิบบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็จุดไฟแล้วดูดควันเข้าไป หัวเริ่มกลับมาใช้ได้อีกครั้งจากความงัวเงียเพราะเพิ่งตื่น
ฉันค่อนข้างเข้ากับคนได้ดีระดับหนึ่ง เพียงสนทนากับมัตสึริไม่กี่ครั้งเด็กสาวก็เปิดใจให้แล้ว แต่ฉันไม่สามารถไปมากกว่า [ระดับหนึ่ง] ได้ เดิมทีฉันก็เข้ากับมัตสึริและทาคาชิม่า ยูนะไม่ได้อยู่แล้ว พวกเธอเป็นคนดี และฉันอยู่ไกลเกินกว่าจะเป็นแบบนั้นได้
“ฮ้า! เทย้าาาา!”
ฉันหันไปทางเสียงที่อยู่มุมของลานจอดรถ และเห็นทาคาชิม่า ยูนะกำลังฝึกซ้อมอยู่
“ฝึกอยู่เหรอ ยูนะ?”
เธอหันกลับมาด้วยความตกใจที่เห็นฉันเดินไปหา ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ตกใจเลย
“เมื่อกี้คุณเรียกหนูว่ายูนะ”
“หืม?”
“ก็ก่อนหน้านี้เรียกหนูว่าทาคาชิม่า ยูนะมาตลอด แต่ตอนนี้เรียกแค่ยูนะแล้ว…”
อา อย่างนี้นี่เอง หลังจากเปลี่ยนวิธีเรียกโยโคเตะ มัตสึริเป็น [มัตสึริ] ฉันก็เลยเรียกทาคาชิม่า ยูนะว่า [ยูนะ] โดยปริยาย
“ไม่ชอบเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ดีเลยด้วย! งั้นหลังจากนี้หนูจะเรียกคุณว่าคุณคุมิโกะนะคะ!”
“เอาสิ”
ฉันดูดควันบุหรี่เขาไปอีก
“อย่าสูบบุหรี่มากนะคะ”
“จ้าๆ”
ฉันขยี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่พกพา ฉันเป็นพวกสูบบุหรี่จัด แต่ไม่ได้ติดนิโคติดอะไรมาก ที่สูบบุหรี่เพราะเป็นกิจวัตรเหมือนกับที่ใส่เสื้อกาว เป็นสิ่งที่เหลืออยู่ในวันเก่าๆ ที่ไม่ดีของฉัน
“คุณคุมิโกะเคยฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยเหรอคะ?”
“ใช่ ฉันเรียนไว้ป้องกันตัว เธอเองก็ฝึกมาเหมือนกันสินะ?”
“ค่ะ แค่นิดหน่อยน่ะนะ”
“งั้นเหรอ”
“คุณคุมิโกะสุดยอดเลยนะคะ! พอหนูสู้ตามวิธีที่คุณบอก การจัดการกับสัตว์ประหลาดก็ง่ายขึ้นมากเลยค่ะ!”
“ฉันแค่อายุมากกว่ากับใช้เวลาเรียนศิลปะการต่อสู้มานาน และก็เคยมีประสบการณ์ต่อสู้นอกสังเวียน เลยเก่งเรื่องปรับใช้วิธีการต่อสู้ไปตามสถานการณ์น่ะ”
ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าฉันสามารถจัดการชีวิตได้ดีมาตลอด แต่ด้วยวิถีชีวิตของฉันทำให้มีศัตรูอยู่มากมาย ถึงจะเรียนศิลปะการต่อสู้มาเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฉันก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทข้างถนนอยู่บ่อยครั้ง
“จะว่าไปแล้ว มัตสึริเป็นห่วงเธอมากเลยนะ เขาบอกว่าไม่อยากให้เธอสู้มากเกินไป ซึ่งเขาก็มีเหตุผล พอมาคิดดูแล้ว การส่งเด็กคนหนึ่งไปเสี่ยงอันตรายปกป้องผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องดีในสายตาคนหมู่มาก ผู้ใหญ่ควรจะปกป้องเด็ก ไม่ใช่สวนทางกันแบบนี้”
“แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครในที่นี้สามารถสู้กับสัตว์ประหลาดนอกจากหนูเลยนี่คะ หนูก็กลัวที่จะสู้เหมือนกัน แต่หนูจะทำมันเพื่อปกป้องคนอื่นค่ะ”
ที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่ใช่เด็กจริงหรือเปล่า
“ทำไมถึงเป็นเด็กที่แปลกได้ขนาดนี้นะ?”
“แปลก… ใจร้ายจังเลยนะคะ” ยูนะทำหน้าบูด “หนูแปลกเหรอคะ?”
“ใช่ แปลกมากๆ เลยล่ะ เด็กปกติเขาไม่ทำแบบเธอหรอกนะ เธอแยกมาจากครอบครัว และมีสัตว์ประหลาดมากมายเข้าหา… ถ้าเป็นเด็กปกติน่ะร้องไห้ไปนานแล้ว”
“ที่หนูทำได้มีแค่ขยับร่างกายค่ะ” ยูนะชกใส่อากาศ “เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย พวกผีโผล่มาจากไหนไม่รู้ และก็วุ่นวายไปหมด แต่หนูไม่ฉลาดพอที่จะพยายามแยกแยะว่ามันคืออะไร สิ่งที่หนูทำได้มีแค่ขยับร่างกายไปเรื่อยๆ ค่ะ”
“…”
“มีศาลเจ้าที่อยู่ใกล้บ้านของหนู พระที่นั่นเคยบอกว่า ยังไงคนเราก็ต้องตายอยู่ดี เรื่องเศร้าเกิดได้กับทุกคน ไม่เกี่ยวว่าอายุจะสั้นหรือยาว เราควรใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เต็มที่จะได้ไม่ต้องเสียใจเมื่อวันสุดท้ายมาถึง หนูอาจอธิบายออกมาได้ไม่ดี แต่การต่อสู้คือวิธีใช้ชีวิตแบบเต็มที่ของหนูค่ะ เพราะหนูขับรถแบบคุณหรือสัมผัสถึงสัตว์ประหลาดแบบคุณมัตสึริไม่ได้”
สภาวะทางจิตใจของยูนะผิดไปจากคนธรรมดา
“…ยูนะ เธอไม่ค่อยมีเพื่อนใช่หรือเปล่า?”
“เอ๋? อืม ดูเป็นอย่างนั้นเหรอคะ? หนูไม่รู้สิ”
“ฉันรู้ เด็กแบบเธอไม่สามารถหาเพื่อนได้ ฉันเองก็ไม่มีเพื่อนเหมือนกัน”
“คุณคุมิโกะไม่มีเพื่อนเหรอคะ?”
“อืม”
ยูนะเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมา “หนูอยากเป็นเพื่อนกับคุณคุมิโกะค่ะ”
“หืม เอางั้นเหรอ ขอบคุณนะ งั้นเริ่มจากจับมือกันก่อนก็แล้วกันนะยูนะ”
ฉันยื่นมือให้ยูนะ เธอรับมันแล้วยิ้มให้
ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนกับใครนานๆ มาก่อน ความสัมพันธ์ของฉันกับยูนะและมัตสึริเองก็คงสั้นเช่นกัน
แต่พอมาคิดดูอีกที นี่เป็นการได้เที่ยวกับเพื่อนเป็นเวลาหลายวันครั้งแรกในชีวิต ฉันกำลังสร้างความสัมพันธ์กับยูนะและมัตสึริในแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ?
“คุณคุมิโกะ! ยูนะจัง!”
มัตสึริวิ่งออกมาจากรถบัสอย่างแตกตื่น
“พวกสัตว์ประหลาดมาแล้ว! ต้องหนีแล้ว เดี๋ยวนี้เลย!”
พูดไม่ทันจบ สัตว์ประหลาดสีขาวฝูงหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่สุดถนน
“ทุกโโโโคคคคคคนรีบกลับขึ้นรถบัสเดี๋ยวนี้เลยค่าาาาาา!” ยูนะตะโกนเรียกผู้คนที่อยู่ในลานจอดรถกับร้านสะดวกซื้อ ทุกคนรีบวิ่งกลับขึ้นรถบัส ฉันนังที่นั่งคนขับและสตาร์ทเครื่อง เตรียมพร้อมออกทันที
ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังวิ่งมาที่รถบัสสะดุดล้มจากกระจกหน้ารถ พวกสัตว์ประหลาดสังเกตเห็นเธอ ที่เธอล้มเพราะวิ่งอย่างแตกตื่น ทำให้โดนสัตว์ประหลาดเล่นงาน
“ฮ้าาาาาา!”
ยูนะวิ่งไปและซัดหมัดสวมปลอกแขนใส่สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในกลุ่มนั้น ถึงมัตสึริจะพูดว่าไม่อยากให้สู้ แต่สุดท้ายยูนะก็ต้องสู้อยู่ดี
เธอจัดการสัตว์ประหลาดได้หนึ่งตัวและเริ่มเดินกลับมาที่รถบัสโดยเอาพาตัวผู้หญิงมาด้วย มัตสึริมองดูอย่างใจจดใจจ่อจากข้างในรถบัส
“ยูจัง!”
มัตสึริกระโดดลงจากรถบัส กำลังจะวิ่งไปหายูนะ แต่ถูกขัดด้วยเสียงตะโกนที่ตื่นตระหนก
“คุณมัตสึริ อย่าเข้ามา!”
ขาของผู้หญิงที่ยูนะพามาอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่ ผิวหนังถูกฉีกออก มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดต่อให้มัดไว้แล้วก็ตาม
“อา…”
มัตสึริหน้าซีดเผือดและเริ่มตัวสั่น
“อาา แฮ่ก แฮ่ก อาา… อึก! หนูขอโทษ หนูขอโทษ! ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง เป็นความผิดของหนูทั้งหมด! แฮ่ก…”
ขณะที่มัตสึริกำลังทรุดตัวลงข้างทางออกใกล้ที่นั่งคนขับ ตัวเธอซีดอย่างกับผี ฉันถูกสายตาจับจ้องมาจากในรถบัส มันมาจากชายเชิ้ตดำและพรรคพวกของเขา สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ขุ่นมัว วิตกกังวล และฉุนเฉียว
ชายเชิ้ตดำน่าจะเกลียดฉันจากสิ่งที่โดนทำไปก่อนหน้านี้ เขาดูจะเดาได้แล้วว่าฉันพยายามจะฆ่าเขาด้วยความตั้งใจ ก็นะ ต่อให้เขาจับได้ว่าฉันตั้งใจจะฆ่าหรือไม่ เรื่องที่เขาเกือบตายก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดี เพราะงั้นเขาถึงเกลียดฉัน
เขาตึงเคลียดมาก ถ้าถูกอะไรมากระตุ้นเพียงนิดเดียวก็พร้อมจะระเบิดในทันที
การยั่วยุคนประเภทเขาด้วยความตั้งใจก็เป็นกิจวัตรแย่ๆ ของฉันเช่นกัน และเป็นเหตุผลที่ฉันมักเจอเรื่องวิวาทบ่อยด้วย แต่นี่ไม่ใช่เวลาทำอย่างนั้น พวกเรายังต้องเดินทางกันอีกไกล
ฉันเริ่มฮัมเพลง [กำลังกลับบ้าน] ของดีโวแร็คในใจ เคยได้ยินว่าเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจมากจากเรื่องจิตวิญญาณ
เพลง [กำลังกลับบ้าน] กำลังเล่นอยู่ในหัวของฉัน แต่ไม่มีใครในที่นี้ต้องกลับบ้าน ไม่มีที่ให้กลับด้วยเช่นกัน
จริงๆ แล้ว พวกเราควรไปที่ไหนกันนะ?
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 3 ตอนที่ 2 จบ