[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 10: -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 5 The first step is always the hardest.
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 10: -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 5 The first step is always the hardest.
พอกลับถึงบ้าน ฉันก็เดินเข้าไปเปิดลิ้นชักโต๊ะในห้องตัวเอง
ข้างในคือเงินที่ได้จากการช่วยกิจกรรมชมรมผู้กล้า ตอนแรกว่าจะคืนมันทั้งหมดให้ลิลลี่หลังจบเรื่องนี้ เลยไม่เคยใช้มันเลยสักเยนเดียว
ในนั้นมีทั้งหมด 152,000 เยน พอรวมกับเงินเก็บก่อนเริ่มช่วยชมรมผู้กล้าก็เป็น 200,000 เยน
ไม่รู้ว่าเงินจำนวนเท่านี้จะพอไหม แต่ยังไงก็ต้องทำขั้นตอนแรกให้ได้ ก่อนอื่นเลยฉันต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ฉันกำลังเตรียมความพร้อมอยู่ หลังจากแผนข้ามกำแพงผ่านทางทะเลด้วยเรือล้มเหลวลิลลี่ก็ไม่ทำอะไรอีกเลย บางทีอาจเป็นไปได้ว่าเธอแอบไปทำอะไรลับหลังไม่ให้ฉันเห็น แต่ไม่ว่าจะยังไง ถ้าต้องการจะข้ามกำแพงจริงๆ ลิลลี่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ระหว่างนั้นฉันต้องข้ามมันไปให้ได้ก่อน
ดังนั้น แผนของฉันจะเริ่มในฤดูหนาวที่จะถึงนี้
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
ฉันใช้เวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ในการเตรียมการ
บาส วอลเล่บอล เทนนิส… ฉันปฏิเสธหมด
ความร้อนอบอ้าวของเดือนกันยายนผ่านไป ความหนาวในฤดูใบไม้ร่วงของเดือนตุลาคมก็เช่นกัน และเดือนพฤศจิกายนก็เริ่มขึ้น ถึงเวลาที่ฤดูหนาวจะเปิดเผยตัวจริงออกมา
ถ้าเกิดล่าช้าไปนิดเดียว ความหนาวเย็นจะทำให้แผนยากขึ้น เลยตัดสินใจทำมันเลยดีกว่า ถึงแม้จะยังเตรียมการไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม
เย็นวันนั้น ฉันส่งข้อความไปหาลิลลี่และเรียกเธอมาที่หาดอาริอาเกะ
ตอนกลางคืนในเดือนพฤศจิกายนนี้หนาวใช้ได้เลย และแล้วลิลลี่ก็มาพร้อมกับเสื้อกันหนาวคลุมร่างเล็กๆ ของเธอ
“มีอะไรเหรอยูซุกิคุง? ทำไมถึงเรียกมาดึกขนาดนี้ล่ะ? และกระเป๋านั่นมันอะไร?”
ลิลลี่มองมาที่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ฉันสะพายหลังไว้ด้วยใบหน้าสงสัย
ฉันเมินคำถามของลิลลี่และตอบกลับด้วยคำถามของฉัน
“หาวิธีข้ามกำแพงได้หรือยัง?”
ลิลลี่ส่ายหน้าตอบ
“ทุกอย่างพังหมด เป็นสภาพที่ไม่มีความหวังเลย เรือของฉันถูกเธอทำลายไปแล้ว ส่วนทะเลตอนนี้ก็เย็นเกินกว่าที่จะว่ายข้ามไปได้”
ลิลลี่พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอคงยังไม่ยกโทษให้ฉันที่เป็นคนทำลายเรือ
“และตัวฉันก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มียูซุกิคุงช่วย ตลอดเดือนมานี่เธอพยายามหลบหน้าฉันใช่ไหม? ทั้งที่ฉันอุตส่าห์หวังความช่วยเหลือหลังจากที่เธอพูดว่าจะแสดงโลกภายนอกให้เห็นแท้ๆ”
“ไม่ได้หลบหน้า แค่ยุ่งกับการเตรียมการต่างหาก ที่พูดนั่นน่ะจริงจังนะ และในที่สุดฉันก็เตรียมการเสร็จแล้ว ถึงจะเป็นขั้นต่ำที่วางแผนไว้ก็เถอะ”
“เตรียมการ…?”
“พวกเราจะข้ามกำแพงกัน ตอนนี้เลย”
พวกเราเดินทางมาที่สถานีฮาชิฮามะ เปลี่ยนรถไฟไปมาหลายสายระหว่างทาง แล้วเดินเท้าต่อที่ทางด่วนชิมานามิ
“พวกเราเคยมาที่นี่กันตอนทำกิจกรรมชมรมผู้กล้าครั้งแรก จำได้หรือเปล่า? พวกเราสำรวจสะพานสามแห่งที่เชื่อมต่อชิโกกุกับฮอนชู”
ในตอนนั้นเราใช้จักรยานกัน แต่ตอนนี้แค่เดิน
“จำได้สิ แต่ตอนนั้นฉันเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะผ่านไปด้วยทางด่วนชิมานามิ…”
ลิลลี่มีท่าทางงุนงง แต่ยังคงเดินตามฉันมา
ถึงจะใช้เวลาเดินทางนานกว่าตอนปั่นจักรยานในเดือนกรกฎาคม แต่พวกเราก็มาถึงรั้วที่ปิดทางไม่ให้ไปต่อ
เวลานี้ดึกมากแล้ว อาจจะกลับไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่จะกลับบ้าน ฉันบอกกับแม่ไว้แล้วว่าจะค้างคืนที่บ้านเพื่อน ลิลลี่ไม่พูดอะไรมากกับเรื่องที่พวกเราจะไม่กลับบ้านกันคืนนี้ บางทีการไม่ได้นอนที่บ้านคงเป็นเรื่องปกติไปแล้วหลังจากที่เธอเริ่มสร้างเรือ
พวกเรามองรั้วที่ขวางกั้นไม่ให้ไปถึงกำแพง
“ยูซุกิคุง ดูเหมือนว่าเราจะมาไกลที่สุดเท่าที่มาได้แล้วนะ”
“ไม่ เรายังไปได้ไกลกว่านี้อีก”
ฉันหยิบเลื่อยยนต์ออกมาจากกระเป๋า
“เดี๋ยว เเเอ๋…”
ฉันตัดรั้วให้เป็นรูขนาดที่คนสามาถผ่านไปได้โดยไม่สนลิลลี่ที่กำลังสับสน
“เห็นไหม เท่านี้ก็ผ่านไปได้แล้ว”
“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว! แบบว่า คือ ผ่านไปได้ ก็จริงอยู่… แต่ทำแบบนี้ดีแล้วเหรอ?”
“แน่ใจนะว่าเป็นคำถามที่หลุดมาจากคนที่พยายามจะข้ามกำแพง? ไอนั่นน่ะมันอาชญากรรมซะยิ่งกว่าตัดรั้วนี่อีกนะ”
“บะ-บางที… เธออาจจะบ้าระห่ำกว่าฉันซะอีกนะเนี่ย….”
“รีบไปกันเถอะ”
ฉันจุงมือลิลลี่ที่กำลังจะถอดใจได้ทุกเมื่อลอดผ่านรูของรั้ว จากตรงนี้ไปต้องแข่งกับเวลาแล้ว
ถ้ายามมาเห็นเข้าจะต้องรู้แน่ๆ ว่าพวกเราบุกรุกข้ามรั้วมา ดังนั้นต้องทำให้เร็วที่สุดที่จะทำได้
พวกเราตามเส้นทางด่วนชิมานามิมาจนถึงกำแพง
สะพานที่เรายืนอยู่ถูกกำแพงคลุมปิดเอาไว้จนหมด หากไม่ปิดถึงขนาดนี้ พวกเราคงลอดผ่านไปได้ และเดินทางไปจนถึงฮอนชูในที่สุด
กำแพงถูกทำจากเถาวัลย์กับรากไม้ที่เอามามัดรวมกันจนดูยุ่งเหยิง มันสูงเหนือหัวเราไป ความมืดยามค่ำคืนทำให้มองไม่เห็นว่ายอดมันสูงถึงไหน
“นี่คือ… กำแพงของชินจู…”
ลิลลี่ตกตะลึงกับความใหญ่โตของกำแพงเมื่อเข้ามาดูใกล้ๆ
ฉันเองก็พูดไม่ออกกับความน่ากลัวของมัน แต่ฉันสลัดความกลัวกับความลังเลทิ้งด้วยพลังใจที่พกมาเต็มกระเป๋า
“ยูซุกิคุง จะทำอะไรน่ะ?”
“ปีนข้ามกำแพงนี่ไปไงล่ะ”
“ปะ-ปีน? เอาจริงเหรอ?”
“แน่นอน ตอนนี้ฉันเอาจริง 100% เลยล่ะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก! รู้หรือเปล่าว่ากำแพงมันสูงขนาดไหนน่ะ!?”
“รู้สิ ช่วงเดือนครึ่งมานี่ฉันมาสำรวจความสูงของกำแพงด้วยกล้องวัดระยะเลเซอร์อย่างที่หล่อนเคยใช้ สะพานที่เรายืนอยู่นี่สูงจากทะเลประมาณหลายสิบเมตร รวมกันแล้วที่ต้องปีนก็ไม่ถึงสองร้อยเมตรด้วยซ้ำ ด้วยการปีนระยะแค่นี้เราจะต้องข้ามกำแพงไปได้แน่!”
“ไม่ใช่ [ระยะแค่นี้] แล้วนะ! นี่มันสูงกว่าโกลเด้นทาวเวอร์ที่อูตาซุอีก! ความสูงขนาดนี้เธอไม่มีทางปีนขึ้นไปได้หรอก!”
“ลิลลี่ รู้หรือเปล่าว่าสถิติสูงสุดที่มนุษย์สามารถปีนได้ในยุคก่อนบันทึกไว้เท่าไหร่? มีคนปีนฝั่งซีกโลกเหนือของภูเขาไอเกอร์ที่สูงถึง 1,800 เมตร คนที่ปีนภูเขาสูงชันเกือบกิโลฯ โดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยสักชิ้น กำแพงชินจูนี่ก็เป็นแค่หนึ่งในสิบของฝั่งซีกโลกเหนือของภูเขาไอเกอร์ และฉันก็พกอุปกรณ์ที่จำเป็นมาด้วย พอศึกษาประวัติการปีนของมนุษย์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”
ฉันเตรียมการเท่าที่ทำได้มาตั้งแต่ฤดูร้อน เข้าคลาสเรียนปีนเขา แวะเข้าร้านอุปกรณ์ปีนเขา และต่างๆ นาๆ ฉันใช้เงินทั้งหมดที่ได้จากกิจกรรมชมรมผู้กล้ากับเงินที่เก็บไว้กับค่าเรียนและซื้ออุปกรณ์
สายรัดสะโพก(Harness), เชือก, ห่วงเซฟตี้คาราบิเนอร์ (Carabiner), อุปกรณ์ยึดรั้งด้วยสปริง(Spring-loaded camming device, SLCD,Active Protection), อุปกรณ์ยึดรั้งด้วยหัวเหล็ก(Passive Protection), อุปกรณ์บีเลย์(Belay device)สำหรับคนเดียว, หมวกกันน๊อคติดไฟฉาย, ถุงมือและอุปกรณ์อีกมากมาย… นอกจากอุปกรณ์พื้นฐานแล้วก็ยังมีขวานเจาะน้ำแข็งรูปตัว T กับตัวรัดเท้าสำหรับเดินบนหิมะที่มีเดือย 12 ซี่ ที่เอาสองอย่างนี้มาด้วย เพราะคิดว่าพวกมันมีประโยชน์ในการปีนกำแพงที่เป็นไม้แบบนี้ มันเจาะรากกับเถาวัลย์ได้ง่ายกว่าหิน ฉันติดตัวรัดเท้าไว้กับรองเท้า ถือขวานไว้กระชับมือและเริ่มปีนขึ้นไป ติดอุปกรณ์ยึดรั้งลงไปในกำแพง นั่นจะทำให้ปีนด้วยมือเปล่าง่ายขึ้น
พื้นผิวกำแพงเต็มไปด้วยช่องว่างมากมาย ทำให้ทำจุดแองเคอร์(Anchor point)ได้ง่าย เช่นเดียวกับการทำบีเลย์ มันง่ายกว่าทำบนหน้าผาซะอีก
การเตรียมการ การตัดสินใจ และเทคนิค
เมื่อเอาสามสิ่งนี้มารวมกัน… จะทำให้ฉันเห็นอีกฝั่งของกำแพง
หลังจากจัดแจงชุดเข็มขัดนิรภัย เชือก และอุปกรณ์อื่นๆ เสร็จแล้วฉันก็หันไปหาลิลลี่ที่ยังอึ้งอยู่
“เดี๋ยวพอปีนไปถึงยอดกำแพงแล้วจะวีดีโอคอลลงมาหานะ แล้วจะแสดงโลกภายนอกกำแพงให้หล่อนเห็นเอง”
*****************
วันที่ x พฤศจิกายน
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นราวกับเป็นเวทมนตร์
ยูซุกิคุงที่ในมือถือขวานเจาะน้ำแข็ง สวมรองเท้าที่มีฟันแหลมหลายซี่ และเครื่องมือมากมายห้อยอยู่ที่เอวเริ่มปีนขึ้นไป
บนกำแพงที่สูงโปร่งเป็นแนวตั้ง การได้มองคนปีนขึ้นไปบนพื้นผิวแบบนั้นรู้สึกราวกับคนคนนั้นกำลังต่อต้านกฎฟิสิกส์
ยูซุกิคุงใช้อุปกรณ์ที่เอวด้วยมือเดียวอย่างคุ้นชิน และคอยผูกเชือกเอาไว้(ไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่ มันน่าจะเรียกเชือกพยุงชีพล่ะมั้ง) ระหว่างปีน แต่เธอไม่ได้ปีนขึ้นไปเป็นเส้นตรง ยูซุกิคุงปีนขึ้นไปจุดที่สูงจุดหนึ่ง แล้วหย่อนตัวลงมา แล้วใช้อุปกรณ์บางอย่างปีนขึ้นกลับไปอีก ขึ้น ลง ขึ้น ลง… เคลื่อนไหวอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาระหว่างที่ปีนขึ้นไปบนยอด
วิธีการใช้เครื่องมือของเธอราวกับเป็นเวทมนต์ที่ธรรมดาอย่างฉันไม่สามารถเข้าใจได้
การปีนขึ้นและลงซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับพิธีกรรมลับบางอย่าง
ที่ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของเธอดูน่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้น
ตอนนี้ดึกมากแล้ว แสงสว่างที่ยูซุกิคุงเหลืออยู่มีเพียงแค่แสงจากพระจันทร์ ดวงดาว และไฟฉายที่ติดอยู่บนหมวก
ระหว่างที่ปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ร่างของยูซุกิคุงก็ค่อยๆ อันตรธานหายไปในความมืด
แสงจากไฟฉายเป็นเพียงอย่างเดียวที่บอกว่าเธอยังอยู่
เมื่อยูซุกิคุงกำลังจะหายไปจากระยะสายตา ตอนนั้นฉันถูกโหมกระหน่ำด้วยความวิตกกังวลสุดคำบรรยาย
ถ้าเธอเกิดก้าวพลาดแล้วตกลงมาล่ะ?
ฉันตะโกนขึ้นไปยังแสงที่อยู่ในความมืด บอกว่าเดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก มันอันตรายนะ และบอกให้ลงมาจะดีกว่า
เธอตะโกนตอบกลับมาว่ายังไงก็ไม่ตาย เพราะทำบีเลย์อะไรสักอย่างเอาไว้แล้ว อย่างแย่ที่สุดก็กระดูกหัก
พอได้แล้ว หยุดเถอะ ฉันไม่อยากให้ยูซุกิคุงต้องเจ็บตัวนะ
ลิลลี่ หล่อนเป็นคนเริ่มก่อนนะ นี่คือสิ่งที่หล่อนพยายามจะทำ อีกอย่างตอนที่พยายามจะข้ามกำแพงด้วยการว่ายน้ำกับเรือผ่านทางทะเลน่ะ มันอันตรายกว่าปีนขึ้นไปอีก
ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันขอโทษ ขอร้องล่ะ หยุดสักทีเถอะ
อยู่ไกลไปไม่ได้ยินเลย ฉันจะหยุดพูดแล้วนะมันเสียสมาธิ เดี๋ยวพอถึงยอดแล้วจะโทรฯ หานะ อยู่รอนิ่งๆ อย่าไปไหนซะล่ะ
หลังจากนั้น เสียงยูซุกิคุงก็เงียบหายไป ตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบ
แสงจากไฟฉายออกห่างไปจนดูเล็กลงเรื่อยๆ
นี่ฉันทำอะไรลงไป?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันทำให้ยูซุกิคุงต้องมาเป็นห่วงฉัน เหมือนกับที่ฉันเป็นห่วงเธอในตอนนี้
ฉันผิดเองที่ทำให้เธอต้องมาทำเรื่องอันตรายแบบนี้
เพื่อให้ได้เห็นอีกฝั่งนึงของกำแพง
เพื่อให้ได้รู้ความจริง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น มันคุ้มค่าไหมที่จะส่งเพื่อนไปเสี่ยงอันตราย มันคุ้มค่าไหมที่จะเป็นห่วงเพื่อน
ไม่รู้เลย
แต่ว่า…
ถึงอย่างนั้น สำหรับฉันแล้วการได้เห็นความจริงอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงนั้น…
*****************
จากนั้น ฉันก็เผชิญหน้ากับกำแพง
เหยียบรองเท้าซ้ายที่ใส่ตัวรัดที่มีเดือยแหลมลงไปในกำแพง
พอเดือยจากเท้าทั้งสองข้างยึดมั่นแน่นหนาพอแล้วถึงแน่ใจว่ามันจะรองรับน้ำหนักของฉันได้ จากนั้นก็ใส่แรงลงไปในขวานเจาะน้ำแข็งแล้วดึงตัวขึ้นไป
กลางคืนนั้นมืดมาก มองไม่เห็นพื้นผิวของทะเลเซโตะที่อยู่ข้างล่างเลย
ตรงนี้ยังพอได้ยินเสียงของลิลลี่อยู่บ้าง แต่มันก็ได้หายไปแล้ว
ฉันอยู่ตัวคนเดียวในความมืด
ระหว่างที่ปีนกำแพง ฉันก็ทำจุดแองเคอร์ สร้างสถานีบีเลย์ หย่อนตัวลงเพื่อกู้คืนอุปกรณ์และตัวยึดรั้ง ปีนกลับขึ้นไปใหม่และทำอย่างเดิมซ้ำๆ ใกล้ยอดกำแพงขึ้นเรื่อยๆ ปีนตามขั้นตอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตามปกติแล้ว การปีนเขาคนเดียวจำเป็นต้องมีทักษะการเรียนรู้และประสบการณ์หลายปีถึงจะทำได้ ซึ่งตัวฉันในตอนนี้ก็ไม่ได้มีประสบการณ์ถึงขนาดนั้น
อีกอย่างการปีนเขาตามปกติต้องทำกันเป็นกลุ่มหลายคน การปีนคนเดียวเป็นอะไรที่ไม่มีใครแนะนำและไม่มีใครสอนวิธีที่ถูกต้องให้กับฉัน แม้แต่หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่แน่นอน เพราะงั้นเทคนิคการปีนส่วนใหญ่นี้ฉันเป็นคนคิดขึ้นมาเอง ฉันบอกกับลิลลี่ว่าไม่เป็นไรเพราะมีบีเลย์อยู่ แต่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มั่นใจหรอกว่าตกไปจะปลอดภัยหรือเปล่า
ถ้านักปีนเขามือฉมังมาเห็นเข้าคงบอกว่าสิ่งที่ฉันทำมันฆ่าตัวตายชัดๆ
และฉันก็อยากตะโกนออกไปเหมือนกันว่า ทำไมถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ
ฉันกลายเป็นคนหัวดื้อและมาทำอะไรบ้าบอแบบนี้ นี่ ลิลลี่…
ทำไมฉัน… ทำไมเราถึงมาทำอะไรแบบนี้กันนะ?
พวกเราอยากจะเห็นโลกอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง
พวกเราอยากรู้ความจริง
แต่มันคุ้มค่าแล้วเหรอที่จะเอาชีวิตมายึดติดกับเรื่องแบบนี้?
ในยุคก่อนที่จะมีกำแพง เราสามารถนั่งรถไฟไม่ถึงสองชั่วโมงเพื่อออกไปนอกชิโกกุ
พวกเราสามารถไปที่ไหนก็ได้ ทำไมเราถึงไม่ได้เกิดยุคนั้นกันนะ?
ถ้าเราเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย คงได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่กว้างกว่านี้
ถ้าเราเกิดช้ากว่านี้สักหน่อย คงได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนนกในกรง ที่ไม่รู้เรื่องราวในยุคก่อน
โลกที่เราอยู่นี้มันครึ่งๆ กลางๆ ซะจริง
ฉันเหลือบมองนาฬิกาเพื่อดูว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่เริ่มปีน มันผ่านไปนานกว่าที่คิดไว้
ฉันปีนกำแพง… เพื่อได้เห็นความจริง เพื่อให้ลิลลี่ได้เห็นว่าโลกภายนอกชิโกกุเป็นยังไง
แขนข้างที่ถือขวานเริ่มล้า แรงบีมอ่อนลงไปทุกที
ขาทั้งสองข้างก็อ่อนล้าเช่นกัน
แต่ยอดของกำแพงยังคงห่างไกล
ทันใดนั้น เท้าขวาเกิดลื่นขึ้นมา ร่างกายของฉันกำลังตกลงไป ฉันใช้เท้าซ้ายกับมือทั้งสองข้างรักษาสมดุลและป้องกันไม่ให้ตัวเองร่วงลงไป
ฉันใช้เท้าขวาเตะกำแพง แทงเดือยจากตัวรัดเท้าลงไปในกำแพงแล้วกลับมาตั้งท่าใหม่
แฮ่ก แฮ่ก…
ฉันจะปีนขึ้นไปถึงยอดกำแพงได้หรือเปล่านะ?
จะได้เห็นโลกภายนอกกำแพงหรือเปล่านะ?
ถ้าปีนขึ้นไปถึงแล้ว… จะมีอะไรอยู่ข้างนอกชิโกกุกันนะ?
แต่ไม่ว่าจะเห็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน
ถ้าโลกถูกทำลายจริงๆ ก็ไม่ใช่อะไรใหม่ ยิ่งถ้ามีเวอร์เท็กซ์จำนวนนับไม่ถ้วนกับโลกที่พังทลาย ฉันก็มีคำพูดเตรียมไว้ ‘ว่าแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้’
มันไม่สำคัญอะไรเลย
แต่ว่าฉัน…
เหตุผลที่ฉันเสี่ยงชีวิตมาปีนกำแพงนี่…
ก็เพื่อทำให้ความปรารถนาของลิลลี่เป็นจริง
เพื่อหยุดไม่ให้ลิลลี่ทำเรื่องบ้าๆ อีก
และเป็นการแสดงการต่อต้านยุคที่ครึ่งๆ กลางๆ และน่าสังเวชนี่
เพื่อต่อต้านโลกที่ไร้เหตุผลนี่
มือข้างที่ถือขวานเริ่มเย็นขึ้น ค่ำคืนในเดือนพฤศจิกายนนั้นหนาวมาก อุณภูมิต่ำแบบนี้นี่แหละตัวบั่นทอนแรงกายแรงใจชั้นดีเลย
ยอดของกำแพงยังอยู่อีกไกล
ถ้าเกิดตกลงไปต้องตายแน่ๆ หรืออย่างน้อยที่สุดร่างกายของฉันคงเละไม่มีชิ้นดี
แต่บอกลิลลี่ไปแล้วว่าจะแสดงโลกภายนอกให้ได้เห็น
และฉันจะต้องทำมันให้ได้ ฉันเงยหน้าขึ้น เริ่มขยับแขนทั้งสองข้างอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เริ่มขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละขั้น ทีละขั้น
ฉันรู้ว่าสภาพจิตใจของฉันตอนนี้เริ่มย่ำแย่ลงไปทุกที
ฉันยังไม่ลืมว่าตอนนี้มีโอกาสที่จะตาย ไม่สิ รู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าอาจจะตายเลยทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตรอด
อย่างนี้นี่เอง นี่สินะความรู้สึกของการเสี่ยงชีวิตเพื่อใครสักคน…
มันเป็นความรู้สึกที่แปลก
รู้สึกมึนหัว ชาไปทั้งตัว และยิ่งกว่านั้น มันทำให้รู้สึกราวกับมีหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จ ทำให้รู้สึกราวกับต้องทำมันให้ได้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เพื่อลิลลี่
ถ้ามีคนถามว่าทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ ฉันคงให้คำตอบไม่ได้
แต่ฉันยังคงขยับร่างกายต่อไป ปีนต่อไป
ลิลลี่ก็เหมือนกัน เธอรู้ว่าตัวเองอายุสั้น เลยพยายามทำทุกหนทางเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
เธอใช้ชีวิตโดยคิดอยู่เสมอว่าอีกไม่นานจะต้องตาย
ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
มีเพียงพระจันทร์กับดวงดาว ที่สาดแสงส่องลงมาใส่มนุษย์โดยไม่แยแสอะไร
มีเพียงแค่
พระจันทร์กับ
ดวงดาว
ทันใดนั้น ร่างกายของฉันก็เบาหวิว
ภายในร่างกายเกิดอาการกระตุกไปทั่วจนทำให้รู้สึกคลื่นไส้ ในตอนที่กำลังจะหมดสติ ฉันก็ได้ลืมตาขึ้นมาและกลับมาผยุงตัวอีกครั้ง
ฉันคงแท่งเดือยตื้นเกินไปทำให้ลื่นไถลลงมา ถ้าเกิดร่วงลงไปทั้งอย่างนี้ แม้แต่บีเลย์ก็ไม่สามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บจากแรงกระแทกได้
แฮ่ก… แฮ่ก…
อ้า โถ่เอ้ย
มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
แต่ถ้าจะลงจากตรงนี้ก็ยากเกินไปด้วย ควรจะหยุดรอทีมช่วยเหลือตรงนี้ดีไหมนะ?
ไม่ ปีนต่อไปดีกว่า ถ้ามันยากทั้งปีนขึ้นปีนลงล่ะก็ สู้ปีนขึ้นไปดีกว่าเยอะ
ความคิดของฉันถูกหยุดด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่วฟ้า
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง ประตูของมันเปิดออก มีใครบางคน… ผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดลงมา
นี่คิดจะฆ่าตัวตายข้างกำแพงศักดิ์สิทธิ์ของชินจูหรือไง?
ผู้หญิงที่โดดลงมามีดาบอยู่ในมือทั้งสองข้าง เธอใช้ข้างหนึ่งแท่งลงไปในกำแพงแล้วปาดลงมาอยู่ข้างฉัน
ต่อมาเธอก็ใช้ดาบที่ปักอยู่เป็นบาร์โหนตีลังกาเป็นแนวนอนเหมือนกับนักกายกรรมโดยที่ยังมีดาบอีกเล่มอยู่ในมือ จากนั้นใช้ดาบเล่มที่สองเป็นแท่นเหยียบและยืนอยู่บนนั้น
ศักยภาพเหนือมนุษย์ขนาดนี้ไม่มีใครที่ไหนฝึกกันได้หรอก
ฉันรู้ในทันทีว่าใครที่ยืนอยู่บนดาบทั้งสองเล่มนั้น เป็นเรื่องยากที่จะหาใครสักคนที่ทำแบบนี้ได้ในชิโกกุ
ท่านโนกิ วาคาบะ หนึ่งในผู้นำของไทชะ องค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดในชิโกกุ
ตอนนี้ท่านก็อายุสี่สิบกลางๆ แล้ว แต่ใบหน้าที่สง่างามกับกำลังแขนขาไม่มีร่องรอยของการเสื่อมถอยตามอายุเลยสักนิด แข็งแรงราวกับนักกีฬาในช่วงที่เพรียบพร้อมที่สุดเลย
“ยูซุกิ ยูนะใช่ไหม? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ท่านรู้ชื่อของฉันด้วย
ท่านโนกิผูกเชือกเส้นหนึ่งที่โรยมาจากเฮลิคอปเตอร์เข้ากับชุดเข็มขัดนิรภัยของฉันแล้วสั่งให้ดึงขึ้นไป จากนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอดที่สะพาน
ที่ยืนรออยู่มีลิลลี่ ท่านโนกิ และข้างๆ ท่านคือผู้นำอีกคนหนึ่งของไทชะ ท่านอูเอซาโตะ ฮินาตะ
“ยุ ยุ ยุ ยุ ยูซุกิคุง! ปลอดภัยใช่ไหม!?”
ระหว่างที่พูดอย่างนั้น ลิลลี่ก็เข้ามาหลบที่หลังฉัน การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของท่านโนกิกับท่านอูเอซาโตะ ฮินาตะคงทำให้เธอเสียขวัญ
“เออ… แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา?”
ฉันถามท่านโนกิกับท่านอูเอซาโตะ
“ยุ ยูซุกิคุง! วิธีพูดแบบนั้นมันเสียมารยาทต่อท่านโนกิกับท่านอูเอซาโตะนะรู้ไหม!?”
“ในเมื่อฉันทำผิดไปแล้วยังมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ?”
ฉันไม่รู้ว่าจะมีการลงโทษแบบไหนรออยู่สำหรับการเจาะรั้วและบุกรุกมาที่กำแพง แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่แค่สั่งสอน
“โอ๊ะ แล้วก็ ฉันเป็นคนเดียวที่ปีนขึ้นไปในกำแพง ลิลลี่… เด็กผู้หญิงคนนี้ แบบว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย ฉันแค่บังคับให้มาด้วยเฉยๆ เป็นความผิดฉันเอง
“ยูซุกิคุง…”
ลิลลี่มองมาที่ฉันด้วยความเป็นห่วง
ท่านอูเอซาโตะถอนหายใจออกมาอย่างฉุนเฉียว
“เปล่าเลย เธอไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก ฉันเองนี่แหละที่เป็นคนปล่อยพวกเธอมาที่นี่ตั้งแต่แรก”
“…เอ๋?”
ฉันอ้าปากค้าง ท่านอูเอซาโตะพูดต่อ
“คิดจริงๆ เหรอว่าแค่เจาะรูรั้วจะพาพวกเธอมาถึงกำแพงได้น่ะ? พวกเราจับตาดูเธอตอนที่ใช้เลือยตัดรั้ว… ไม่สิ คุณยูซุกิ ตั้งแต่ตอนที่เธอออกจากบ้าน… ตั้งแต่ตอนที่ไปซื้ออุปกรณ์และเริ่มเข้าคลาสปีนเขา… ตั้งแต่ตอนที่เจอคุณฟุโยวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พวกเราคอยจับตาดูเธอมาตลอด และเธอ คุณฟุโยว พวกเราจับตาดูเธอมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นพวกเราทราบดีว่าเธอเริ่มมองหาวิธีข้ามกำแพงตั้งแต่ตอนเข้าเรียนมัธยมต้น รวมถึงตอนพยายามสร้างเรือก็ด้วย”
ความหนาวเย็นแผ่ไปทั่วกระดูกสันหลังของฉัน ราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่
พวกเขามองดูทุกการกระทำของเรา?
ทำไมล่ะ…?
ลิลลี่หน้าซีดเผือด ดูจะหวาดกลัวในสิ่งที่ท่านอูเอซาโตะพูดเหมือนกัน
“ตามปกติแล้ว พวกยามจะเข้ามาจับเธอทันทีที่ผ่านรั้วกั้นมา แต่ฉัน… หรือจะพูดให้ถูก วาคาบะจังเป็นคนหยุดเอาไว้ เขาอยากให้พวกเธอทำในสิ่งที่อยากทำ”
วิธีเรียกสุดน่ารักอย่าง [วาคาบะจัง] ดูไม่เข้ากับตำแหน่งของทั้งสองเลย
ท่านโนกิไม่พูดอะไร ทำเพียงจ้องมองพวกเราอยู่อย่างนั้น
“พวกเราหลับหูหลับตายอมให้พวกเธอมาถึงกำแพงได้ แต่การปีนขึ้นไปดูอีกฝั่งของกำแพงมันล้ำเส้นเกินไป ถ้าปล่อยไปมากกว่านี่จะเป็นอันตราย พวกเราจึงตัดสินใจส่งทีมกู้ภัยมาช่วย ตอนนี้…”
ท่านอูเอซาโตะมองมาที่พวกเรา
“เข้าใจแล้วใช่ไหม? พวกเราทราบทุกการกระทำของพวกเธอ ครั้งนี้จะปล่อยไปก่อน แต่ถ้ายังทำอีกรับรองว่าจบไม่สวยแน่ ยอมแพ้ซะเถอะ การไปข้างนอกกำแพงมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
ลิลลี่ก้มหน้ามองลงพื้นตัวแข็งทื่อ ในมือกำแขนเสื้อฉันเอาไว้แน่น
ตรงหน้าพวกเราเป็นถึงสองผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในชิโกกุ และจากท่าทางแล้วดูพร้อมจะก่อสงครามกับพวกเราได้ทุกเมื่อ
เป็นเรื่องปกติที่จะกลัว ลิลลี่เองก็เป็นพวกขี่ขลาดอยู่แล้วด้วย
แต่ว่า…
ฉันจับมือลิลลี่เอาไว้และมองไปที่เธอ
ลิลลี่ ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือพวกผู้ใหญ่ที่เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระนะ ในอดีตเธอเคยกลัวผู้ใหญ่ที่เข้ามาทำร้ายใช่ไหม แต่ตอนนี้มีฉันอยู่ทั้งคน ฉันไม่สนว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นท่านโนกิ ท่านอูเอซาโตะ หรือแม้แต่ไทชะ ฉันจะปกป้องเธอเอง
“ลิลลี่ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นฉันจะอยู่ข้างหล่อนเอง เพราะงั้นบอกพวกเขาไปสิ บอกสิ่งที่หล่อนคิด สิ่งที่หล่อนอยากจะทำน่ะ”
เธอกำมือฉันตอบแล้วเงยหน้าขึ้น
“หนู… หนูจะไม่ยอมแพ้! พวกคุณเอาแต่พูดในสิ่งที่อยากพูด ทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดหนู แต่หนูจะไม่ยอมแพ้! ความตั้งใจของหนูไม่มีวันดับสูญ! หนูจะไม่หยุดจนกว่าจะได้เห็นอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงค่ะ!”
“…ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้?”
ท่านอูเอซาโตะตอบคำพูดของลิลลี่อย่างใจเย็นและมองกลับด้วยสายตาเย็นชา
“หนูอยากจะรู้ความจริง”
ลิลลี่ตอบ…. และมองตาท่านอูเอซาโตะกลับ
“รุ่นของพวกเรา…เป็นรุ่นที่ไม่รู้อะไรเลย พวกเราไม่รู้ว่าอะไรอยู่นอกกำแพง ไม่รู้ประวัติศาสตร์ยุคก่อนเทวศักราช ไม่รู้ว่าเวอร์เท็กซ์มีจริงหรือไม่ และไม่สามารถพิสูจน์ด้วยตัวเองได้เช่นกัน แต่หนูไม่โง่พอที่จะหลับหูหลับตาเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอก พวกเราอยากเป็นคนตัดสินการใช้ชีวิตของตัวเองหลังจากได้เห็นและได้รู้ความเป็นจริง เช่นเดียวกันนั้น เหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในยุคเทวศักราชนี่… เหล่าผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในโลกที่ถูกปิดกั้น หนูอยากให้พวกเขามีสิทธิ์เลือก”
“ฉันพร้อมสนับสนุนสิ่งที่ลิลลี่ทำอย่างเต็มที่”
ท่านอูเอซาโตะเงียบไปเมื่อได้ฟังสิ่งที่พวกเราพูด ท่านโนกิวางมือลงบนไหล่ของท่านอูเอซาโตะ
“ยังไงก็หยุดพวกเขาไม่ได้อยู่แล้ว คำพูดของผู้ใหญ่ไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็กหัวรั้นได้หรอก พวกเราก็เคยเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ แต่… การบังคับให้เด็กเปลี่ยนใจคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”
คำพูดสุดท้ายของท่านโนกิทำให้บรรยากาศเย็นลง ท่านอูเอซาโตะดูรู้สึกขัดใจอย่างเห็นได้ชัด
“คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ… เข้าใจแล้ว ถ้างั้นฉันจะให้พวกเธอได้เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกกำแพง”
พวกเรานั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ของไทชะ ก่อนขึ้นมาพวกเขาบอกให้เราวางกระเป๋ากับมือถือไว้บนสะพาน ซึ่งพวกเราก็ทำตามอย่างที่ว่า
เฮลิคอปเตอร์เริ่มบินขึ้น
“สิ่งที่พวกเธอได้เห็นในวันนี้จะต้องเก็บเอาไว้ห้ามเอาไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด อย่างที่พูดไป ชีวิตพวกเธออยู่ภายใต้การจับตามองของพวกเรา ถ้าเกิดแพร่งพรายข้อมูลออกไปแม้เพียงเล็กน้อยล่ะก็…”
ท่านอูเอซาโตะยื่นมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวของลิลลี่แล้วหยิบเครื่องบันทึกเสียงที่ซ้อนอยู่ออกมาปิด
“พวกเธอจะหายไป พร้อมกับคนในครอบครัว เพื่อน และทุกคนที่เคยพูดคุยด้วย ทั้งในชีวิตจริงและในอินเตอร์เน็ต ที่แห่งนี้มีเหตุการณ์คนหายตัวไปนับครั้งไม่ถ้วน จะหายไปอีกสักร้อยคนคงไม่ใครรู้ตัวหรอก”
“…เข้าใจแล้วค่ะ ท่านอูเอซาโตะคงทำอย่างที่ว่าจริงๆ สินะคะ… หนูเคยอ่านเรื่องที่ท่านใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการยึดไทชะมาเป็นของตัวเอง”
ท่านอูเอซาโตะยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อได้ยินคำตอบของลิลลี่ ท่าทางและน้ำเสียงของลิลลี่พยายามกลบความกลัวต่อผู้หญิงที่ชื่ออูเอซาโตะ ฮินาตะอย่างชัดเจน
ท่านอูเอซาโตะคุมไทชะมาตั้งแต่ก่อนเป็นผู้ใหญ่ ทุกคำพูดของคนคนนี้ไม่มีทางพูดออกมาลอยๆ ทั้งหมดนั่นคือคำเตือน
อีกด้าน ท่านโนกินั่งกอดอกหลับตาอยู่เฉยๆ ตรงกันข้ามกับที่ท่านอูเอซาโตะคุยกับลิลลี่ ไม่รู้ว่าท่านไม่สนเรื่องทางโลกหรือแค่ไม่อยากยุ่งด้วยเลยทิ้งภาระทุกอย่างให้ท่านอูเอซาโตะจัดการ แต่ไม่ว่าจะยังไงคนคนนี้ก็ให้บรรยากาศห่างไกลจากคนบนโลกนี้มาก
ทันใดนั้น ท่านโนกิก็ลืมตาขึ้นมองมาที่ฉัน
“พอได้เห็นพวกเธอแล้วทำให้นึกถึงเพื่อนเก่าขึ้นมาเลย ตามปกติในสังคมจะเรียกสิ่งที่พวกเธอทำว่าเป็น [การกระทำที่ไม่ถูกต้อง] ไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องฆ่าตัวตาย”
“…”
“แต่พวกเธอก็แสดงความรู้สึกออกมาจากใจจริง พูดไม่ได้ว่าฉันเกลียดมัน เอาจริงๆ ฉันชอบเสียด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้พวกเธอทำมากเกินไป อาจถึงตายได้เลยนะ”
“ฉัน…”
ฉันมองไปที่ท่านโนกิ
“ฉันไม่มี [พลัง] อย่างที่ผู้กล้ามี… หากไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จได้”
“ไม่มีพลังงั้นเหรอ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ติดใจเธอมาตลอดเลยสินะ ยูซุกิ นั่นน่ะ… เป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้กับทุกคนพอตัวเลย เพียงแต่เธอคิดถึงมันมากกว่าคนอื่นๆ อาจจะมากเกินไปด้วย”
ท่านมองลึกไปถึงต้นต่อของสิ่งที่ฉันกังวลใจ ท่านเป็นตัวอะไรกันแน่? แล้วไทชะคืออะไร?
“มนุษย์ทุกคน ไม่สิ ทุกสิ่งมีชีวิตจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ในชีวิต นั่นคือจุดที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกเรารู้สึกไร้พลัง ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกอย่างนั้น”
“แม้แต่… ท่านโนกิก็ด้วยเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีนับครั้งไม่ถ้วยที่ฉันตระหนักได้ว่าตัวเองไร้พลัง ไม่ได้มีเพียงเธอคนเดียวหรอกนะ มนุษย์ทุกคนต่างก็ไร้พลัง แต่รู้อะไรไหมยูซุกิ ความสำคัญของ [พลัง] ไม่ได้อยู่ที่ขนาดหรือความแข็งแกร่งของมัน แต่อยู่ที่จะเอามันไปใช้ทำอะไร เมื่อครู่นี้เธอ… ใช้มันในการช่วยเหลือเพื่อน และผลที่ได้คือ เธอทั้งสองจะได้เห็นโลกภายนอกกำแพง เธอได้เติมเต็มความปรารถนาของเพื่อน พลังของเธอ… อาจจะอ่อนแอและไม่สำคัญเมื่อเทียบกับผู้กล้าหรือเหล่าคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ แต่สิ่งที่เธอทำสำเร็จโดยใช้พลังที่ไม่สำคัญนั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เริ่มยุคเทวศักราชมา”
“…อย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่ อย่างนั้นแหละ”
ท่านโนกิตอบกลับเบาๆ
แม้แต่พลังอันเล็กน้อยของฉันก็มีความหมายสินะ
เฮลิคอปเตอร์จอดลงบนยอดกำแพง พวกเราเดินออกมาและมองไปข้างนอกชิโกกุ แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงท้องฟ้าตอนกลางคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ไม่มีสัญญาณของเวอร์เท็กซ์หรือสัตว์ประหลาดที่เรียกว่าโฮชิคุสึ
“ว่าแล้ว… ไม่มีโฮชิคุสึหรือเวอร์เท็กซ์จริงๆ ด้วย! โลกยังไม่ถูกทำลาย! พวกเราสามารถไปข้างนอกชิโกกุได้!”
ลิลลี่ตะโกนหลังเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
แต่แล้วท่านโนกิก็จับมือฉันกับลิลลี่ไว้แล้วเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันที ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน
ทิวทัศน์ที่ปรากฏต่อหน้าเราราวกับเป็นนรก พื้นดินถูกฉาบทาไปด้วยลาวาเผาผลาญ ท้องฟ้าถูกบดบังโดยฝูงสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะพยายามมองไปไกลสักเท่าไหร่ก็มีแต่ความสิ้นหวัง ต่างกับชิโกกุราวฟ้ากับเหว
“อา…”
เข่าของลิลลี่อ่อนแรงจนล้มทั้งยืนด้วยความตกใจ ฉันเองก็พูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“ที่คือสภาพที่แท้จริงของโลก”
ท่านอูเอซาโตะพูดกับเราด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อำนาจศักสิทธิ์ของท่านชินจูปิดบังสภาพที่แท้จริงของโลกภายนอกจากข้างในกำแพง แต่หากเดินออกมาข้างนอกเพียงก้าวเดียว ก็จะได้เห็นความเป็นจริง นอกจากชิโกกุแล้ว โลกใบนี้ไม่ใช่ที่สำหรับมนุษย์อีกแล้ว พูดให้ถูกก็คือมันได้ถูกทำลายไปแล้ว พวกเราจะไม่เปิดเผยทิวทัศน์หรือการมีอยู่ของเวอร์เท็กซ์สู่สาธารณะไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถรับได้กับโลกที่ถูกทำลายและถูกยึดครองโดยเวอร์เท็กซ์ บางอย่างจำเป็นต้องถูกปกปิดไว้เพื่อความสงบสุขของชิโกกุ”
ลิลลี่มองดูโลกที่พังทลายโดยไม่ตอบอะไร
“รู้สึกสิ้นหวังหรือเปล่าล่ะ? ที่ได้รู้ว่าโลกได้ถูกทำลายไปแล้ว”
ลิลลี่ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอดู… ไม่สิ้นหวังเลย
“…ไม่เลยค่ะ แน่นอนว่ามีผลอยู่บ้าง แต่ว่า [โลกภายนอกชิโกกุถูกทำลายไปแล้ว] เป็นสิ่งที่หนูได้ยินมาตั้งแต่เด็ก หนูปรารถนาว่ามันเรื่องหลอกลวง หนูเชื่ออย่างนั้น แต่ว่า… ถึงความปรารถนาจะไม่เป็นจริงหนูก็พอใจแล้ว ที่ได้รู้ความจริง”
—-แน่นอน
ตั้งแต่แรกแล้ว เป้าหมายของลิลลี่คือ [ได้รู้ความจริง] ถึงนี่จะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แต่ลิลลี่ก็ยอมรับมัน ไม่สิ ต้องรับมันให้ได้ หากเธอปฏิเสธความจริง เพราะมันไม่ใช่อย่างที่ต้องการ ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหลับหูหลับตาเชื่อเรื่องงมงายที่เธอเกลียด
ท่านอูเอซาโตะยิ้ม
“คุณฟุโยวเป็นเด็กที่เข้มแข็งจริงๆ”
ทันใดนั้น หนึ่งในสัตว์ประหลาดสีขาวที่ลอยอยู่มองเห็นเราแล้วเข้าโจมตี
ท่านโนกิกับท่านอูเอซาโตะคว้ามือพวกเราไว้แล้วดึงเข้าไปข้างในกำแพง
ทิวทัศน์ข้างนอกกำแพงกลับมาเป็นปกติ กลายเป็นค่ำคืนอันสงบสุขอีกครั้ง เขตแดนที่อยู่รอบกำแพงปิดบังไม่ให้เห็นทิวทัศน์ข้างนอก เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ปกปิดโลกภายนอกจากสายตาผู้คน
ท่านอูเอซาโตะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตั้งแต่โลกถูกทำลายก็ผ่านมาสามสิบปีแล้ว พวกเรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่เป็นปัญหา แนวคิดเรื่องเคยมี [ยุคเก่า] รวมทั้งผู้คนที่รู้จักมันจะหายไปตามกาลเวลา และไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันจะนำพามาสู่รูปแบบสังคมที่มั่นคง แต่ตอนนี้เป็นช่วงผลัดเปลี่ยนระหว่างสองยุค ทั้งสังคมและจิตใจคนต่างผิดเพี้ยนไป ครอบครัวของพวกเธอสองคนเองก็เป็นเหยื่อของปัญหานี้”
“หมายความว่าท่านก็รู้เรื่องครอบครัวของพวกเรา….”
ท่านอูเอซาโตะพยักหน้าตอบ
“พวกเราไม่สามารถหยุดไม่ให้เกิดเหยื่อของสังคมได้ เพราะพวกเราเองก็ไร้พลัง… สิ่งเดียวที่ฉันทำได้มีเพียงกล่าวคำขอโทษ”
ท่านอูเอซาโตะก้มหัวต่อหน้าลิลลี่ เป็นท่าทางที่ไม่เหมาะกับคนที่ทรงอำนาจที่สุดในฐานะผู้นำไทชะ และ…
“แม้แต่คนอย่างท่านอูเอซาโตะเองก็ไร้พลังสินะ…”
“ใช่ มนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดิ้นรนต่อสู้ แม้จะตระหนักอยู่เสมอว่าตัวเองไร้พลัง ที่มาของชื่อของพวกเธอ ทาคาชิม่า ยูนะ จากมุมมองของพวกเราที่อยู่ใกล้ชิดกับเธอ เธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดิ้นรนต่อสู้กับความไร้พลังของตัวเอง”
ฉันไม่อาจยกโทษให้กับตัวเองที่ไร้พลังได้ คิดอยู่เสมอว่าตัวฉันเองกับความสามารถที่มีมันช่างน่าสังเวชเมื่อเทียบกับทาคาชิม่า ยูนะ
แต่ว่า แม้แต่เหล่าผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ในยุคของเราก็ไร้พลัง…
เท่านี้ฉันก็สามารถยกโทษให้กับความไร้พลังของตัวเองได้
ในที่สุดฉันก็สามารถยอบรับชื่อ [ยูนะ] นี่ได้สักที
สองสัปดาห์ผ่านไปหลังจากฉันกับลิลลี่ได้เห็นอีกฝั่งของกำแพง
ไม่มีใครรู้เรื่องที่เราไปที่กำแพงหรือเรื่องที่เราได้เห็นโลกภายนอก
ชีวิตประจำวันยังคงเหมือนเดิม พวกเราไปโรงเรียนตามปกติท่ามกลางอากาศในฤดูหนาวที่เย็นลงเรื่อยๆ
และเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ที่ฉันได้รับข้อความจากลิลลี่ เขียนไว้ว่า
หลังเลิกเรียนเจอกันที่หาดอาริอาเกะนะ
ฉันมาที่ชายหาดอาริอาเกะหลังเลิกเรียน และเจอลิลลี่ยืนอยู่บนหาดทราย เธอมองไปที่ทะเล ยื่นอกน้อยๆ ออกมาข้างหน้าอย่างสุดตัวเท่าที่หลังเล็กๆ ของเธอจะงอได้
“ทำบ้าอะไรของหล่อนอยู่น่ะ?”
ลิลลี่หันกลับมา
“ยูซุกิคุง ยินดีที่ได้เจอนะ วันนี้ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดน่ะ”
“อะไรล่ะ?”
“ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่ที่พวกเราได้รู้ความจริงของโลก ฉันเกิดคำถามขึ้นมาว่าต่อจากนี้ชมรมผู้กล้าจะเป็นยังไง…”
ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและสีหน้าเจ็บปวด
“เป้าหมายของชมรมผู้กล้าคือตามหาความจริงของโลก แต่เป้าหมายนั้นก็เสร็จสิ้นแล้ว… หมายความว่าชมรมของพวกเราก็ไม่มีเหตุผลการมีอยู่อีกต่อไป”
“ใช่ ตามนั้นแหละ”
“ยูซุกิคุง ช่วงเวลาที่พวกเราสองคนได้อยู่ด้วยกันในชมรมผู้กล้าเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของฉัน แต่เหตุผลการมีอยู่ของชมรมนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ช่วงเวลานั้นเองก็กำลังจะจบลง…”
“หืม”
“องค์กรที่ไร้ซึ่งเหตุผลการมีอยู่มักพังทลายอย่างรวดเร็ว… และฉันไม่อาจทนเห็นชมรมผู้กล้าที่ฉันรักต้องมาเจ็บปวดกับโชคชะตานั้น”
“โห”
“และ… และถึงจะหนักใจ ฉันก็ต้องพูดมันออกมา…”
“อาหะ”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป… ฉันขอยุบชมรมผู้กล้าอย่างเป็นทางการ!”
“อย่างงี้นี่เอง”
“เดี๋ยวเถอะยูซุกิคุง! การตอบแบบไร้ใจนั่นมันอะไรกัน!? รู้ไหมว่าฉันหนักใจมากแค่ไหนจน…”
ลิลลี่เกรี้ยวกราด แต่ถึงจะเกรี้ยวกราดเธอก็เหมือนกับเด็กประถมกำลังหงุดหงิด แบบว่า ดูไม่ได้เอาซะเลย
“ก็ หล่อนเอาแต่พูดเรื่องยุบชมรม… ทั้งที่ชมรมผู้กล้าไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”
“….ฟุเเเเเอว๋!? ฉันตะลึงเลยนะเนี่ย! ที่พูดนั่นหมายความว่าไงกัน จะบอกว่าทุกอย่างที่เราทำมาจนถึงตอนนี้เป็นกลลวงในการเล่าเรื่อง(叙述トリック Narrative trick )งั้นเหรอ!?”
ลิลลี่กำลังแตกตื่น
“ไม่ใช่ไม่ใช่ ไม่รู้หรอกนะว่าหล่อนพูดถึงอะไร ที่ฉันจะบอกก็คือ [ชมรมผู้กล้า] เป็นสิ่งที่หล่อนคิดขึ้นมาเอง ไม่มีชมรมแบบนั้นในโรงเรียนสักหน่อย หมายความว่ามันไม่มีอยู่ตั้งแต่ก่อนจะยุบมันแล้ว”
“…ก็เป็นอย่างที่ว่าแหละนะ”
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามอาจารย์เรื่องชมรมผู้กล้าเหมือนกัน แต่ก็ได้คำตอบมาว่า ‘เคยได้ยินคุณฟุโยวพูดอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่อาจารย์ก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แล้วคุณยูซุกิรู้หรือเปล่าล่ะ?’ แม้แต่ที่โรงเรียนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“แป๋ว….”
“เพราะงั้น หล่อนไม่มีทางยุบชมรมที่ไม่มีอยู่ได้หรอก”
“…เฮ้อ… รู้สึกราวกับตัวตนของฉันกำลังถูกปฏิเสธ…”
ลิลลี่ไหล่ตก
“อีกอย่าง… ยังไงก็มีกันแค่เราสองคนอยู่แล้ว ใครจะไปสนเป้าหมายหรือเหตุผลการมีอยู่ของชมรมกันล่ะ? ต่อให้เป้าหมายอย่างการได้เห็นอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงจบไปแล้ว… แต่ถ้าเราสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนใช่ไหมล่ะ?”
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ฉันก็ไม่สามารถมองหน้าลิลลี่ตรงๆ พร้อมกับพูดอย่างนั้นได้จนต้องหันไปมองข้างๆ
“…นั่นสินะ!”
ลิลลี่ฟื้นขึ้นมาจากความหดหู่ ดวงตาของเธอเป็นประกาย
“ใช่แล้ว! เพราะมีเราสองคนถึงได้มีชมรมผู้กล้า! ไม่สิ พวกเราจะยังคงเหมือนเดิมแม้จะไม่มีชมรมผู้กล้าอีกต่อไปแล้ว!”
“…ใช่”
ฉันพยักหน้าตอบแบบเขินๆ
“แต่พอไม่มีเป้าหมายแล้วก็รู้สึกเศร้าใจนะ ยังไงซะก็ต้องมีเป้าหมายให้กับชมรมของเราอยู่ดี…”
“จะมีหรือไม่มีฉันก็โอเคทั้งนั้นแหละ”
ลิลลี่กอดอกคิดอยู่พักหนึ่ง
“…เอาล่ะ จากนี้เป็นต้นไปเป้าหมายของชมรมคือ… ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น สักเล็กน้อยก็ยังดี!”
เป็นเป้าหมายที่กว้างชะมัด
แต่ก็ไม่เลวเหมือนกัน
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุ บทที่ 2 จบ