[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 99 ตอนที่ 19 ความฝันของผีเสื้อ
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 99 ตอนที่ 19 ความฝันของผีเสื้อ
ตอนที่ 19 ความฝันของผีเสื้อ
“อึก หืม……?”
โลกที่แสงตะวันมิอาจส่องถึง โลกมืดมิดที่ทั้งจิตสำนึก ทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้า และทุกสิ่งถูกห่อหุ้มด้วยความมืด สถานที่อันโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกที่อยู่ภายในจิตใจของฉัน สรุปคือฉันอยู่ในความฝัน
ฉันไม่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าใช่ แต่ที่เห็นเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันใช้เวลาเดาได้ในไม่นานว่า ฉันกำลังอยู่ในความฝัน เหมือนกับตอนที่ฉันได้กลับมาเจอกับคุณแม่อีกครั้งโดยไม่ได้คาดคิด เหมือนกับตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่คล้ายกับชาติที่แล้ว เหมือนอาการเหม่อลอยที่สติไม่อยู่กับตัว ความรู้สึกที่การมีตัวตนอยู่ดูคลุมเครือ มีความเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“……มืดสนิท”
ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นรับรู้พื้นที่โดยรอบได้เพียงเลือนลาง คำพูดสั้น ๆ ที่เป็นคำสั่งให้ลุกขึ้นดังขึ้นในหัวที่มึนงงซ้ำ ๆ
ต่อให้รู้ว่าเป็นความฝันก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ง่าย ๆ สิ่งแรกที่เอ่อล้นออกมาคือ ความรู้สึกไร้เดียงสาที่ราวกับเกิดจากการมีวิสัยทัษน์ที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ม๊า ฉันบอกตัวเองว่าเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความจริงที่ว่าฉันเริ่มชินแล้ว
……เอาล่ะ เกิดอะไรขึ้นกัน สมมติว่าที่นี่อยู่ในความฝันอย่างที่ฉันสงสัย ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือรอ ในกรณีที่ไม่ใช่ความฝันก็ทำได้แค่อย่างเดียวกัน สำหรับตอนนี้ฉันพยายามที่จะลุกขึ้น พื้น……ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่สัมผัสอยู่ใช่พื้นไหม แต่มือของฉันหยิบของบางสิ่งที่รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาหลังจากสัมผัสไปโดน เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาแล้วเป็นคู่หูอย่างแน่นอน ฉันอุ้มเขาไว้ที่อกอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้แต่ในความฝันเช่นนี้ เขาก็อยู่เคียงข้างฉันราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ฉันอดยิ้มไม่ได้ที่มีเขาอยู่เคียงข้าง ดูเหมือนว่าฉันจะพึ่งพาตุ๊กตาหมีหิมะที่ได้มาจากเบลล์ซังมากกว่าที่คิด ลองคิดดูให้ดี เมื่อมองย้อนกลับไปก็เป็นความจริงที่ว่าเขาอยู่กับฉันเกือบตลอดเวลายกเว้นตอนเรียนที่โรงเรียน ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่เวลาที่ได้กอดเขา ความกังวลและความเหงาของฉันก็หายไปเล็กน้อยเช่นกัน
“ฟู๊ว หาว”
ในขณะที่กำลังขยี้ตาที่พร่ามัว ฉันก็หาวหนึ่งครั้ง และรู้สึกหมดแรง ฉันเอาแก้มไปแนบกับหัวของคู่หูและหลับไป
ตัวฉันค่อนข้างไร้กังวล เพราะถึงจะโวยวายไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ฉันปิดเปลือกตาลงอีกครั้งในขณะที่หาวเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าฉันจะค่อนข้างชินแล้ว แต่แน่นอนว่าไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ ดังนั้นฉันอยากจะตื่นให้เร็วที่สุด
และมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันสงบสติอารมณ์ได้ ก็แค่หลักการง่าย ๆ แค่จนถึงตอนนี้ในความฝันที่มีสติชัดเจนจะมีบางสิ่งบางอย่างปรากฎขึ้นเสมอ ฉันสงสัยจังว่าครั้งนี้จะได้ยินเสียงของใครจากภายในนั้น ในขณะที่เชื่อในลางสังหรณ์ที่คลุมเครือ ฉันก็กอดคู่หูอยู่พักหนึ่ง
“…….มุกุ”
แต่ ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ……เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อความคิดที่ว่าความเดียวดายนี้จะคงอยู่ตลอดไปความกลัวก็ค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นจนรู้สึกเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง อ้า จะอะไรก็ได้รีบทำให้ฉันตื่นที อะไรก็……
――――ไม่สิ
เดี๋ยวก่อน นี่เป็นความฝันจริง ๆ เหรอ
“เบลล์……”
ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจทำให้ฉันเรียกชื่อเธอออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ฉันคิดถึงสถานการณ์ก่อนที่จะหมดสติไป ฉันใช้พลังเวทมนตร์อย่างสุดกำลังเพื่อหยุดลูกธนูที่พุ่งเข้าหาราชา พ่อของลูน่า สามารถพูดได้ว่าฉันทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วให้กับฉันในตอนนี้อย่างแท้จริง ฉันก้าวข้ามขีดจำกัดได้อย่างสมบูรณ์
และแน่นอนว่าแรงสะท้อนก็ต้องยิ่งใหญ่เช่นกัน คิดอย่างใจเย็น การที่เลือดออกเต็มบนใบหน้าไม่มีทางที่จะไม่เป็นอะไรแน่นอน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีผลกระทบบางอย่าง
……ใช่ ผลกระทบ
“ตา――――”
ดะ? และ ฉันส่ายหัวเมื่อนึกถึงความคิดอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ฉันส่ายหัวทิ้งความคิดฟุ้งซ่านไป
ฉันไม่ควรคิดแบบนั้น ถึงอาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ควรคิดแบบนั้น ฉันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำ มีหลายอย่างที่ฉันอยากทำกับทุกคน ฉันไม่อยากตายคนเดียวในสถานที่เช่นนี้
“เร็ว”
เร็วเข้า มีอะไรเกิดขึ้นที รีบตื่นขึ้น บนหน้าอกแสนนุ่มนิ่มของเบลล์ซังที่มีรอยยิ้มบนหน้าพร้อมอรุณสวัสดิ์
ความมืดกัดกร่อนหัวใจของฉันลงเรื่อย ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคู่หูที่ฉันกอดเอาไว้แน่น ฉันคงแตกกระจายกลายเป็นบ้าไปแล้ว ยังก่อน ยังเร็วเกินไปที่จะเปลี่ยนความสิ้นหวังให้กลายเป็นความจริง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
“……เอาล่ะ”
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องก้าวต่อไปด้วยตัวเอง ใช่แล้ว ในตอนที่ได้พบกับคุณแม่ ก็เป็นฉันเองที่พยายามลุกขึ้น พยายามตั้งใจในขณะจ้องมองอย่างตั้งใจ และหลังจากทำแบบนั้นแล้ว ฉันก็ได้ยินเสียง ในครั้งนี้ก็ด้วย หากฉันพยายามเคลื่อนไหวก็อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้
ฉันฝืนคิดทฤษฎีที่ใกล้เคียงกับความปรารถนาที่ไม่มีมูลความจริง และตัดสินใจที่จะยึดไว้ชั่วขณะ
“มะ มีใคร….อยู่ไหม กะ……?”
ไม่มีเสียงตอบ ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ตาของฉันเริ่มชื้นเมื่อได้ยินเสียงของความสิ้นหวังเข้าไปใกล้กับผลลัพธ์ที่รู้อยู่แล้ว
ฉันขยี้ตาเบา ๆ และลุกขึ้นอย่างหวาดระแวง ชี่ ความเงียบที่รุนแรงรบกวนจิตใจไม่หยุดหย่อน
“มีใคร อยู่ตรงนั้น ไหมกะ”
เป็นอีกครั้ง ที่ไม่มีเสียงตอบ ฉันรู้สึกเหมือนความหวังสุดท้ายของฉันถูกปฏิเสธ และน้ำตาของฉันก็เอ่อล้น
ไม่ว่าจะเช็ดเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเช็ดเท่าไหร่ ก็ยังไหลออกมา ฉันควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกแล้ว
“ใคร ก๊อ……ด๊าย ยยยย”
ไม่เอา ไม่เอานะ ฉันยังอยากอยู่กับทุกคน ฉันอยากอยู่กับเบลล์
ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย
“ม๊ายเอา ม๊ายเอา ค๊ายก็ด๊าย……เบลล์ กาซาม๊า…… !”
――――……ริสุ
“อุ อะ……?”
――――อริส
“กาซาม๊า……?”
หูแว่วไปงั้นเหรอ ในตอนที่ฉันสะอื้นไม่หยุด และกำลังจะพังทลาย ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคุณแม่
……แต่ฉันน่าจะสูญเสียความจำจากคุณแม่ไปแล้ว ไม่สิ ถ้านี่เป็นความฝันของฉันตั้งแต่แรก แล้วถ้าตอนนี้ฉันยังจำรูปร่างหน้าตาและเสียงของเธอได้ ก็คงไม่แปลกหรอกถ้าคุณแม่จะมาปรากฏตัวที่นี่…… ――――อีกครั้ง กำลังเรียกอยู่ คุณแม่กำลังเรียกอยู่
“กาซามะ”
ฉันไม่สนใจทฤษฎีอะไรอีกแล้ว
ตามการชี้นำอย่างโซเซ ฉันพยายามยืนขึ้นโดยหลอกขาที่สั่นเทา และเดินไปหาต้นเสียง ลึกขึ้น ลึกขึ้น เข้าไปในความว่างเปล่าที่มองไม่เห็นแม้แต่ตัวเอง ลึกเข้าไปในความมืดมิด
“เอ๊ะ…..อะ”
ในขณะที่ฉันกำลังก้าวไปข้างหน้าโดยอาศัยเสียงอันแผ่วเบาของคุณแม่ที่ส่งมาถึง ทันใดนั้น
――――ช่องว่างก็บิดเบี้ยงอย่างรุนแรง
ฉันหลับตาลงด้วยความปวดหัว เพราะสมองปฏิเสธที่จะรับรู้ปรากฏการณ์ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของความเข้าใจ ความมืดปกคลุมไปทั่ว โลกกำลังหมุน
ในวินาทีที่ฉันเกือบจะกรีดร้องเพราะรู้สึกแย่มาก ความรู้สึกเหล่านั้นก็ลดลง
“อะ ไร กัน――――”
ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นในขณะที่ตัวสั่น
ราวกับเวลาหยุดเดิน ความคิดของฉันกลายเป็นความว่างเปล่า
“……โคโล นี่”
ทำไม สถานที่ที่ฉันคุ้นเคย แต่ก็เป็นที่ที่ฉันไม่อยากเห็นเป็นครั้งที่สอง ฉันยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเครื่องปั่นไฟฟ้าพลังมนุษย์ภายในนรกสีเหล็ก――――ภายใน”โคโลนี่”
…..ได้ยังไงกัน เกิดอะไรขึ้น? หมายความว่ายังไง
ความสับสนกลายเป็นความโกลาหล ความคิดที่เริ่งสงบลงหลังจากเดินไปรอบ ๆ กลายเป็นน้ำแข็ง”ทำไม” การคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เข้าใจไม่ได้จะทำให้ไม่เข้าใจอะไรเลย นอกจากนี้ ฉันเคยฝันถึงสถานที่นี้มาก่อน ใช่แล้ว ที่นี่ต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน ไม่เป็นไร แสดงว่าฉันยังไม่ตาย นี่คือความฝัน ความฝัน……แม้จะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ แต่ก็แฝงความสิ้นหวังไว้ด้วย ความเป็นไปได้และกดดันถูกดันซ่อนไว้ใต้อารมณ์ความรู้สึก
“กาซามะ”
แล้วฉันก็เริ่มเดินอีกครั้ง ระหว่างแถวของเครื่องปั่นไฟฟ้า ไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
แม้ว่าตอนนี้ฉันจะไม่ได้ยินเสียงของคุณแม่ที่ฉันได้ยินมาจนถึงเมื่อกี้อีกแล้ว แต่ฉันแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
ทันใดนั้นขาของฉันก็หยุดลง
……ไม่ว่าจะตั้งใจฟังแค่ไหน ฉันก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกต่อไป
ยังไงก็ตาม เหตุผลที่ฉันหยุดไม่ใช่เพราะความสิ้นหวัง ขณะที่ฉันเดินไปเรื่อย ๆ ฉันก็เจอเครื่องที่ดูคุ้นตาอยู่เครื่องหนึ่งท่ามกลางเครื่องปั่นไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่ พูดตามตรงก็คือ ฉันจำจำนวนการผลิตไฟฟ้าประจำวันที่แสดงบนแผงหน้าปัดที่ติดตั้งอยู่หน้าเครื่องปั่นไฟฟ้าได้……ตัวนับที่เคลื่อนที่ไปพร้อมกับแป้นเหยียบ ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้เครื่องนับก้าว
ไม่ผิดแน่ นี่คือ
“……ของ หนู?”
ไม่ได้เพราะว่าสัญชาตญาณของฉันเด่นชัดอะไรอย่างที่คาดหวัง แต่ค่าประมาณ 13,000 วัตต์นี้คุ้นเคยอย่างประหลาด
ถ้าความทรงจำที่ฉันดึงออกมาได้อย่างราง ๆ ถูกต้อง นี่คือตัวเลขก่อนที่ฉันจะล้มลง และตายไม่ใช่เหรอ
ฉันตรวจดูปริมาณในตอนที่กำลังตอบกลับเพื่อนร่วมงาน……ใช่ อินาบะซังที่กำลังจะหยุดพักในไม่ช้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันก็อดเป็นกังวลไม่ได้
แน่นอน ฉันก็มีความคิดว่าอาจจะเป็นของคนอื่นที่มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เท่ากันก็ได้ ตัวเลขอาจจะเป็นเพียงจินตนาการจากอาการเดจาวูของฉัน แต่ก็ไม่ได้ไร้ความหมายซะทีเดียว
เป็นเพราะเครื่องปั่นไฟฟ้าอื่น ๆ ไม่มีการทำงานและตัวเลขยังคงเป็นศูนย์
“หมายความว่า ยังไงกัน”
คงจะ ใช่ ฉันพยายามพึมพำ ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฉันไหล่สะดุ้งด้วยความตกใจ แล้วรีบซ่อนตัวในเงาของเครื่องปั่นไฟฟ้าอีกเครื่องที่อยู่ด้านหลัง ไม่นานเจ้าของเสียงฝีเท้าก็ปรากฏตัว ――――
” ―――― อา จารย์…… !?”
อะ ขณะที่กำลังอ้าปากค้าง ยังไงก็ตาม เขาไม่ได้สนใจก่อนจะนั่งลงบนเครื่องปั่นไฟฟ้าที่น่าจะเป็นเครื่องที่ฉันเคยใช้ในชาติที่แล้วก่อนที่จะตายช้า ๆ โดยไม่ลังเล กิ้ง กิ้ง และเริ่มถีบอย่างเงียบ ๆ
ใบหน้านั้น ร่างกายนั้น ฉันมองอย่างถี่ถ้วนทับลงบนความทรงจำที่ดึงออกมาเพื่อยืนยัน ……ว่าแล้วเชียว อาจารย์จริง ๆ ด้วย ไม่ผิดพลาดแน่นอน เขาเป็น”อาจารย์ผู้มีพระคุณ”ของฉันที่สอนให้ฉันรู้จักโลกแห่งความจริง สังคมที่แท้จริงที่บิดเบี้ยวอย่างมหันต์ แต่ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้กัน
“……อ้า ไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าภพไหนก็ตาม”
จู่ ๆ เขาก็พูดออกมา
เขาไม่ได้พูดให้ใครฟัง เพียงพึมพำกับตัวเองขณะถีบแบนเหยียบ
แม้จะสับสนแต่ฉันก็ตั้งใจฟัง จากนั้นเขาก็พูดต่อไปราวกับว่ากำลังรออยู่
“ไม่ว่าจะโลกไหน ผู้คนก็ไม่เปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยน”
จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาต่อไป
เขาถูกย้ายไปยังสถานสงเคราะห์หลังจากเกิดได้ไม่นานและไม่รู้จักแม้แต่หน้าตาของพ่อแม่ ได้รับการศึกษาแบบทาสที่แทบจะเป็นการล้างสมอง และตรงไปที่โคโลนี่ และเพียรพยายามปั่นพลังงานซ้ำ ๆ ในคุกเหล็กที่ดูไม่แตกต่างที่นี่…… และก่อนที่เขาจะสาปส่งโลก ชื่อของชายคนสุดท้ายที่เขาพูดด้วยคือ “อินาบะ” เพื่อนร่วมงานที่คอยดูแลฉันเสมอมา มีหลายครั้งที่ฉันคิดว่าเขาน่ารำคาญ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นกำลังใจให้หัวใจของฉันเสมอมา โลกนี้ยังมีคนใจดีอยู่ นั่นคือความหวังเดียวของฉัน
“นั่น……”
รอก่อน ได้โปรดรอก่อน อาจารย์ นั่นไม่ใช่เรื่องของคุณ แต่เป็นของฉัน――――
ฉันรีบปิดปากโดยทันที เกือบลืมไปว่ากำลังซ่อนตัวอยู่ แต่อาจารย์ก็พูดต่อเหมือนไม่รู้สึกถึงฉัน
“อา ใช่แล้ว จากนั้นฉันก็รอดมาได้อย่างปาฏิหารย์ แน่นอนว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อฉันอย่างเหมาะสม อินาบะซังก็ช่วยฉันไว้ เพื่อที่จะเป็นอิสระในสักวันหนึ่ง เขาซื้อยาให้ฉันด้วยเงินเก็บเพียงน้อยนิดที่ประหยัดได้ด้วยการบีบส่วนอาหารให้น้อยลง จากนั้นในขณะที่ฉันกำลังพักฟื้น เขาก็ลดโควต้าของตัวเองลงและปั่นเครื่องปั่นไฟฟ้าของฉันตลอดเวลา”
……ไม่รู้เลย ฉันไม่รู้เรื่องพวกนั้นเลย
เรื่องนั้น เรื่องนั้น……ฉัน ฉันทั้งที่ควรจะเป็นอาริสุ ฉันควรจะตายที่นี่
ฉันไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นฉันจะรอดชีวิต และไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนร่วมงานของฉันจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยฉันมากขนาดนั้น
“……และในไม่ช้าเขาก็เสียชีวิต ไม่น่าแปลกใจ เขาสูญเสียรายได้ของตัวเองเพราะพยายามทำงานให้ฉัน จึงทำให้ไม่มีเงินเก็บ มีเพียงความอดอยากที่รออยู่ ทำไมเขาถึงไปไกลขนาดนั้น ……และนั่นคือเหตุผลที่ไม่สามารถยกโทษให้ได้ แล้วความรู้สึกที่ได้รับความไว้วางใจให้รับฝากแสงสว่างเอาไว้ ฉันจะทำให้จบเอง”
เพื่อใครสักคนที่สละชีวิตเพื่อตัวเอง ……ทำไมระหว่างหลังเกิดได้ไม่นาน ฉันไม่มีทางทำงานได้เอง ตอนนั้นฉันก็ถูกย้ายไปสถานที่อย่างสถาบันเลยงั้นเหรอ ฉันรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง
ฉันได้รับความรักมากแค่ไหน เมื่อฉันเยาะเย้ยความรักและแสร้งทำเป็นเข้าใจ
――――พ่อแม่ของฉันมีความรู้สึกแบบไหนที่ใช้ทรัพย์สินอันน้อยนิดที่มีอยู่ทั้งหมดของพวกเขาเพื่อส่งฉันเข้าไปในสถาบัน
ฉันพึ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้ ยังไงก็ตาม ทั้งได้รับมอบชีวิตจากใครบางคนอีกด้วย ยังเป็นผลให้เขาเสียชีวิตหลังจากนั้นในเวลาไม่นาน
ยาหนึ่งเม็ดที่เพื่อนร่วมงานของฉันซื้อด้วยชีวิตของเขาเอง ทำให้ความตายอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่วัน
……ขณะที่พูดอย่างนั้น อาจารย์ก็น้ำตาไหลออกมา
ฉันแค่ฟัง ทำไมอาจารย์ถึงรู้เรื่องของ “อาริสุ” ที่ฉันไม่รู้จัก แม้จะรู้สึกสับสน แต่ฉันก็ได้แต่ฟังเสียงที่ร้องไห้เหมือนเด็กอย่างเงียบ ๆ
ไม่นานอาจารย์ก็หายใจเข้าลึก ๆ และเช็ดตาก่อนมองมาที่ฉัน
จ้องมาที่ตาของฉันอย่างชัดเจน
“――――นา อริซ”
รอบ ๆ จิตสำนึกมาบรรจบกัน บอกตามตรงว่าฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
แต่ ฉันแน่ใจว่าอาจารย์จะให้คำตอบนั้นได้――――
อริซ บางทีนี่อาจเป็นเสียงที่เหมือนของคุณแม่ที่เรียกหาฉันเข้าไปที่ไหนสักแห่ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความเชื่อมั่นนั้นฝังรากอยู่ภายในตัวฉัน
และอาจารย์ก็ก้าหน้าลงครั้งหนึ่ง
แล้วมองตาฉันอีกครั้ง
“เพราะอย่างงั้น เธอถึงมีชีวิต อย่าให้ชีวิตของทุกคนที่แม่ของเธอเชี่อมโยงไว้ต้องจบลงแค่นี้”
ใช่ พูด
อา จารย์ อาจารย์……”เขา”ขัดจังหวะอย่างแผ่วเบาด้วยของเหลวที่ทะลักออกมาราวกับจะหลบหนีจากบางสิ่ง
“……ฉันไม่ใช่อาจารย์เธอ เธอน่ะะ ไม่สิ จริง ๆ เธอน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว”
หมุน
โลกกำลังหมุน
หมุน หมุน หมุนวน
และแล้วโลกก็
“「อาริสุ」ไม่ได้มีอยู่แต่แรก”
――――”ฉัน”คลายออกมา
“อะไร……”
“เธอไม่เคยสงสัยเลยงั้นเหรอ ว่าทั้งที่ตัวเองซึ่งควรตะเป็นผู้ชายกลับสามารถปรับตัวเข้ากับร่างกายของเด็กผู้หญิงได้โดยไม่มีการต่อต้านอะไร ไม่คิดว่าดูแปลกไปหน่อยเหรอ เหมือนกอดความรู้สึกของการก้มมองตัวเองในกระจกเลยจริงไหม”
หน้ากากกำลังลอกออก
ตั้งแต่เกิดใหม่ แม้ว่าจะรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับความแตกต่างในร่างกายของตัวเอง แต่ฉันก็สามารถยอมรับได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ตัวฉันเองมีความอิจฉาของเพศหญิงเล็กน้อยกับหน้าอกใหญ่นุ่มของเบลล์ซัง
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับความบอบช้ำจากเหตุการณ์ในตลาด ฉันรูสึกถึงความรู้สึกแปลก ๆ ในตอนที่อออกไปทดสอบเวทมนตร์
“ทั้งที่ได้ใช้ชีวิตมาในโลกอันน่าสังเวชที่ย้อมด้วยความเคียดแค้นและสิ้นหวัง แล้วทำไมถึงยังมีความกังวลมากมายว่าจะถูกกลั่นแกล้งโดยเด็กผู้หญิงที่พึ่งได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ทำไมถึงพูดอะไรเหมือนขอโทษออกไปต่อหน้าแม่ที่ไม่รู้จักหน้ากัน”
ถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนั้นก็ควรจะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ แต่ฉันเจ็บปวดมาก
ฉันขอโทษสำหรับ “บางสิ่ง” กับคุณแม่ที่ฉันจำหน้าหรือเสียงของเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เหตุผลอะไรที่ทำให้เธอซึ่งปรารถนาจะปฏิวัติ และตัดสินใจแบกชื่อของสตรีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้บนหลังตั้งแต่แรก จึงคิดอะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่าง 『ครั้งนี้ฉันจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จ』”
ทั้งร่างกายและความอิจฉาของหญิงสาวนั่นไม่ใช่การปรับตัว
เพราะนั่นคือฉันเอง
เหตุผลที่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังมองลงไปผ่านกำแพงโปร่งแสง ไม่ใช่เพราะหัวใจของฉันหยุดเติบโค
เพราะนั่นคือฉันเอง
“……อาริสุไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรก ไม่มีการเกิดใหม่ตั้งแต่แรก”
――――『จงจดจำไว้ แท้จริงทั้งสองก็คือตัวลูกเอง』
แม่ของเธอ เสียชีวิตในขณะที่ให้กำเนิดเธอ เธอเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณว่าถ้าเกิดมาทั้งแบบนี้แม่ของเธอจะตาย ……เพราะแบบนั้น เธอจึงพยายามย้อนเวลา เธอพยายามใช้เวทมนตร์แห่งเวลานั้นเพื่อหยุดการเกิดของตัวเอง”
ฉันขอโทษคุณแม่ เพราะฉันไม่สามารถช่วยคุณแม่ไว้ได้
เพราะฉันไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคุณแม่เอาไว้ได้ พรากความสุขของพ่อแม่ไป
“แต่แน่นอนว่าล้มเหลว แม่ของเธอซึ่งมีเวทมนตร์ที่สามารถแทรกแซงเวลาได้เช่นกัน ปฏิเสธที่จะให้เธอทำเช่นนั้น ……ผลลัพธ์คือ เวทมนตร์ของเธอซึ่งไม่มีที่ไปก็ระเบิดออกมา เธอที่กลัวว่าจะทำให้คนรอบข้างติดร่างแห เธอจึงพยายามระงับเอาไว้ภายในตัว”
และฉันก็หนีไป
เพื่อที่จะกำจัดอารมณ์ด้านลบที่ทนไม่ได้ออกไป การป้องกันหัวใจจึงเกิดขึ้น
“แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ「การทวนกระแส」ของความทรงจำ เธอได้ย้อนเวลาภายในตัว……พูดให้ชัดก็คือวิญญาณภายในตัวของเธอกลับมา และหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาอันยาวนานที่เธอถูกขังอยู่ในความทรงจำนั่น”
เพราะแบบนั้นจึงลืม
“หนู”ถูกทับด้วยความทรงจำนั้น และพยายามที่จะลืม
“ในประสบการณ์ที่ฟื้นกลับมา เธอได้สร้างผู้เฝ้ามองความทรงจำขึ้นมา……เปลือกนอกที่เหมือนกึ่งตัวละครที่จะปกป้องหัวใจที่อ่อนเยาว์และเปราะบางของตัวเอง ―――― นั่นคือ「อาริสุ」ไงล่ะ ……และเธอสร้างบุคคลหนึ่งคนที่ได้รับการนับถือขึ้นมาใหม่จากข้อมูลของโลกนั้นที่มาพร้อมกับดวงวิญญาณที่ทวนกระแสกลับมา คนที่เรียกว่าอาจารย์ บุคลิกภาพที่ฉันกำลังพูดถึงตอนนี้คือ เศษซากของเจ้าของเดิมของความทรงจำนั้น และเป็น「อาจารย์」ด้วย ในอีกความหมาย อาจจะบอกว่าฉันคืออาริสุตัวจริงก็ได้”
และหลังจากความทรงจำนั่นประทับลงบนตัวเองอย่างไม่เร่งรีบ ในที่สุดฉันก็กลับมายังโลกนี้……สู่โลกแห่ง “ความเป็นจริง”
ตัวฉันเองได้สร้าง”ความเข้าใจผิด”เป็นเงื่อนไขให้คิดว่าตัวเองไม่ใช่อริซ แต่เป็นอาริสุที่กลับมาเกิดใหม่
“ยังไงก็ตาม ถึงเธอจะสร้างเปลือกที่เรียกว่าอาริสุขึ้นมา เธอก็ไม่สามารถเป็นอาริสุได้ ……เพราะมีคนคอยเฝ้าดูตัวจริงของเธอตลอดมา”
――――ติดอยู่ในความทรงจำของฉัน…… มีใครบางคนที่คอยเฝ้าดูฉันตอนที่ฉันหนีตลอดมา
เป็นเวลากว่าสองปีที่ความเข้าใจผิดนั่นจะเสร็จสมบูรณ์ สองปีจนกระทั่งฉันโกหกว่าตัวเองได้รับอัตตา และกลับชาติมาเกิดใหม่
มีใครบางคนที่กอดฉันไว้ ในขณะที่ฉันจ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่าด้วยดวงตาที่มืดมนและขุ่นมัว หนีจากความเป็นจริงที่เจ็บปวด
“……นา ฉันเฝ้าดูเธอมาตลอด ฉันเห็นเธอพยายามก้าวออกไปทีละนิด พยายามที่จะหยุดไม่ให้ดึงตัวเองลงไปลึกยิ่งกว่าเดิม พยายามทิ้งเปลือกที่เรียกว่า อาริสุ”
เพราะแบบนั้น ฉันแสดงละครต่อไม่ได้อีกแล้ว ไม่สามารถปล่อยให้เข้าใจผิดได้อีกต่อไป
หนูไม่สามารถปล่อยให้คนเพียงผู้เดียวที่เฝ้าดูหนูมาเป็นเวลานาน ไม่สามารถปล่อยให้เบลล์ต้องโศกเศร้าอีกต่อไปได้อีกแล้ว
“โม๊ว ดีแล้ว”
หยักหน้า หนูก็คือหนูเพียงหนึ่งเดียว ขณะที่เช็ดน้ำตาที่บดบังการมองเห็น หนูกอดคู่หูของตัวเองไว้แนบอกที่กำลังหอบด้วยความกลัวและความเจ็บปวด
แต่ถึงอย่างงั้น พยักหน้าอย่างมั่นคง หนูจะเปิดหัวใจทั้งหมด จะไม่มีความเข้าใจผิดอีกต่อไปแล้ว
“อืม….. ―――― อื๊ม……. !”
โม๊ว จบแล้วล่ะ
ตัวฉันที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ต้องก้าวออกจากห้อง(ความฝัน)นี้
……และ
“เธอไม่จำเป็นต้องบอกใครก็ได้ เข้าใจสินะ”
“……อืม”
ส่วนหนึ่งของความทรงจำของคุณแม่ที่ฉันหลีกเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แค่เทพนิยาย
จุดเริ่มต้นของเวทมนตร์ที่เบลล์เล่าให้ฟังเมื่ออ่านหนังสือภาพเรื่องแมวสีทอง
เป็นในตอนนั้นเองที่เธอได้แสดงสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ออกมาเป็นครั้งแรก เธอที่เกิดมาพร้อมกับผิวและผมสีขาว
สายเลือดที่ถูกส่งต่อจากอดีตอันไกลโพ้น สู่เหล่าผู้สืบทอด
นั่นคือการมีอยู่ของ “สตรีศักดิ์สิทธิ์” ที่พูดถึงในเทพนิยาย
เวลาที่ล่วงเลยไป สายเลือของเธอก็ยังคงสืบทอดมาอย่างมั่นคง
เหมือนกับฉันในตอนนี้
“……โฮล๊า ใกล้ได้เวลาที่ต้องตื่นแล้ว อย่าทำให้คนที่รอเธออยู่ต้องโศกเศร้าอีก”
คนที่รักฉันที่เป็นแบบนี้
เหล่าคนที่ฉันรัก
ทุกคน
คน(เบลล์)ที่ฉันรักกำลังรออยู่
『หนูเป็นใคร? อริซ? อาริสุ? หรือสตรีศักดิ์สิทธิ์? 』
……ตอนนี้ฉันสามารถตอบได้แล้ว
ฉันไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แม้แต่อาริสุ
หนูคือ ―――― อริซ・ฟอน・แฟร์มีล
เด็กสาว คุณหนูขุนนางที่มีอายุเกือบเจ็ดขวบ และมีสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์
“ลาก่อนค่ะ อาจารย์”
“อ้า ……ลาก่อน「อาริสุ」”
――――ระฆังแห่งรุ่งอรุณ (น๊อกซ์เบล) ดังขึ้นในตอนเช้า