[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 96 ตอนที่ 16 พระอาทิตย์เที่ยงคืน
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 96 ตอนที่ 16 พระอาทิตย์เที่ยงคืน
ตอนที่ 16 พระอาทิตย์เที่ยงคืน
“องค์เจ้าฟ้าหญิง การเตรียมการเสร็จสิ้นแล้วเพคะ”
“……ได้”
วันรุ่งขึ้น ในขณะที่จมอยู่ในความฝันจากความทรงจำของวันเวลาที่ใช้กับอริซ ฉันก็กลืนน้ำลายครางในลำคอให้พวกสเตลล่าและอัศวินผู้พิทักษ์ก็เข้ามาในห้องเกือบจะในทันทีที่ฉันตื่นขึ้น ในที่สุดเวลานั้นก็มาถึง ไม่ว่าอริซจะมาทันเวลาหรือไม่ ฉันก็ต้องเคลื่อนไหวแล้ว
แม้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีก็ตาม แต่หากกลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ในกรณีนั้น เงื้อมมือกบฎจะเป็นฝ่ายชนะไปในที่สุด ไม่สิ จะเป็นจักรวรรดิที่จะบุกมาตามข้อมูลที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์ในตอนนี้คงอยู่ตลอดไปได้
“ปัญหาหลังจากเข้าควบคุมได้สินะ……”
ท้ายที่สุด กองกำลังหลักของฝ่ายปฏิวัติของพวกเราก็คือ ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง เช่น ขุนนาง อัศวิน และนักเวทย์ รวมถึงตัวฉันเอง ซึ่งเป็นเหตุให้สามัญชนก่อกบฏจึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไรหากฉันพยายามที่จะคุยด้วย คงจะดีหากสามารถทำให้พวกเขาเก็บอาวุธได้ แต่เรื่องหลังจากนี้ย่อมจะไม่มั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างแย่ที่สุด จะกลายเป็นการต่อสู้สามฝ่ายระหว่างพวกเรา กลุ่มต่อต้าน และส่วนที่เหลือของศูนย์กลางราชอาณาจักร หากกลายเป็นเช่นนั้น ทุกคนคงได้กลายเป็นประชากรของจักรวรรดิกันหมด ประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชอาณาจักรคงได้สิ้นสุดลงที่นั่น
……เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเหตุการณ์เช่นนั้น สิ่งที่พวกเราต้องการคือ อริซ หรือกล่าวอีกนัยคือ ธงที่เรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ในเทพนิยาย นิทานพื้นบ้านอื่น ๆ และวรรณกรรมเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางสำหรับเกือบทุกคนที่อยู่ในราชอาณาจักร ทั้งยังเป็นไปในทางบวกอย่างมาก
และเหนือสิ่งอื่นใดคือการทำให้สามารถศาสนจักรมาอยู่เคียงข้างได้ ประชาชนส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรนับถือเซนต์เนยูมุร์ ตำนานของสตรีศักดิ์สิทธิ์มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับหลักคำสอนของเนยูมุร์ แน่นอนว่าแม้แต่ศาสนจักรก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อตัวตนของอริซได้ ทั้งรูปลักษณ์ของเธอ ทั้งเวทมนตร์ของเธอ ทั้งคำพูดและการกระทำของเธอ ล้วนแล้วแต่เหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเล่าขานในตำนาน จริงอยู่ว่าข่าวลือที่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นห่วงราชอาณาจักร และกำลังพยายามลงมือช่วยเหลือกำลังกระจายแพร่สะพัดออกไป แต่หากเธอปรากฎตัวยืนหยัดขึ้นมาจริง ๆ ก็จะช่วยให้พวกเราได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปอย่างมหาศาล อันที่จริงมีหลายคนที่สัญญาว่าจะให้ความร่วมมือหลังจากที่ได้คำใบ้ที่คลุมเคลือว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ฝ่ายพวกเรา “เส้นทางปลอดภัย”ที่พวกไลลาเดินทางผ่าน ก็คือดินแดนของคนเหล่านี้นั้นเอง ผ่านดินแดนเหล่านั้นด้วยนามหน่วยองครักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกลอบโจมตี และยังคาดหวังเรื่องความร่วมมืออย่างแข็งขันได้อีกด้วย
และเมื่อเป็นเช่นนั้น หากศาสนจักรไม่อยากเจอความขัดแย้งก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น เดิมทีศาสนจักรนิกายเนยูมุร์แม้จะทรงอิทธิพล แต่ก็มีอำนาจน้อยนิด การเอาเปรียบผู้ศรัทธาเพื่อหาผลประโยชนน์เข้าตัวเองของพวกระดับบนของศาสนจักรนั้นแทบเป็นไปไม่ได้
เพราะธรรมชาติของศาสนจักรนั้นเกิดจากพลังแห่งเวลาอย่างแท้จริง เนื่องจากเจริญรุ่งเรืองในทางที่ดีมาจนถึงตอนนี้ ทำให้แม้แต่ความอยุธรรมเพียงน้อยนิดก็จะกลายเป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว สร้างบรรยากาศอันสมบูรณ์แบบที่จะดิ้นรนตัดเนื้อร้ายออกไปทันที ถ้าราชวงศ์และขุนนางเป็นแบบนั้นบ้าง เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น ……นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันจะตัดทิ้งที่นี่
ยังไงก็ตาม ในแผน นั่นคือบทบาทของอริซ ในขณะเดียวกันก็เป็นหัวใจของการปฏิวัติ
ท่านแม่ทัพลาบริกซ์เข้าควบคุมกองทัพ นั่นคือ ชนชั้นอัศวิน และคุณตาของอริซที่เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองจะคอยเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลในสถานที่ต่าง ๆ และติดต่อกับพวกเขา ฉันอีกมุมหนึ่งในฐานะเจ้าหญิงจะทำหน้าที่ค้นหาเหล่าขุนนางจากวงสังคมที่หากสามารถดึงเข้ามาเป็นพันธมิตรได้ ก็จะทำการดึงเข้ามา จนถึงตอนนี้ ก็ทำการดึงได้ทั้ง ขุนนาง อัศวิน และนักเวทย์ และความรับผิดชอบต่อประชาชนทั่วไป คือหน้าที่ของอริซ
แต่สำหรับกรณีของอริซไม่จำเป็นต้องเตรียมการโดยตรง กล่าวได้ว่าสิ่งที่อริซทำสำเร็จมาจนถึงตอนนี้ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญต่อเหล่าประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น การตอบสนองของอริซที่มีต่อการประท้วงครั้งนั้นที่เกิดก่อนการจลาจลวงกว้าง ส่งผลให้ตอนนี้เหล่าประชาชนในเมืองหลวงกำลังเฝ้าดูการจลาจลอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกันกับที่มาเรียนา
นอกจากนี้แม้ในสถานการณ์ที่เครือข่ายการคมนาคมชะลอตัว ข่าวลือเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังแพร่กระจายไปทั่วราชอาณาจักรได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนทั่วไปมีการสื่อสารในชนชั้นเดียวกันที่แข็งแกร่ง ความสามัญของอริซจะต้องฝังลงท่ามกลางเหล่าประชาชนแล้วแน่นอน
“ได้โปรดมาให้ทันเวลาด้วยเถอะ……อริซ”
เรื่องของอริซ ฉันเข้าใจดี และแน่ใจว่าเธอกำลังจะมาถึงแล้ว ฉันบอกได้ว่าอาจจะได้เจอกับพวกไลลาระหว่างทาง อย่างเร็วที่สุดก็ควรจะมาถึงในเย็นนี้
……ม๊า ถึงในความเป็นจริงอาจจะมีการเลื่อมของเวลาออกไปบ้าง และถึงแม้จะมาไม่ทันในวัน แต่อย่างน้อยหากสามารถยึดครองพระราชวังได้ เมืองหลวงก็ไม่ใช่ปัญหา ยังไงก็ตาม หากมียิ่งมีการปะทะกันระหว่างชนชั้นสูงกับสามัญชนจนหลั่งเลือดมากเท่าไหร่ ปัญหาก็จะยิ่งแก้ได้ยากตามเท่านั้น
ตอนนี้ยังไม่มีรายงานการปะทะใหญ่ใด ๆ แม้ว่าจะมีการจลาจลเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง แต่สามัญชนก็ไม่รู้วิธีต่อสู้เป็นกลุ่ม และคำสั่งเบื้องต้นของอัศวินแต่ละกลุ่มที่ถูกกระจายออกไปคือให้งดเว้นจากการนองเลือดให้มากที่สุด ทำให้ตอนนี้ยังคงอยู่ในสภาวะจ้องตากันเท่านั้น ฉันต้องการทำให้สำเร็จก่อนที่ใครบางคนจะสูญเสียความอดทนและเริ่มเคลื่อนไหว
“…..「องค์เจ้าฟ้าหญิง」”
“เข้าใจแล้ว”
สเตลล่าเรียกราวกับตักเตือนช่วยให้ฉันตั้งสติได้ใหม่ แม้ว่าคาดว่าจะมีการต่อต้านเพียงเล็กน้อย แต่ความประมาทก็เป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าฉันล้มเหลวที่นี่การปฏิวัติก็จะเกิดช่องว่างครั้งใหญ่ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ……เอาล่ะ
“ข้าในนามแห่งเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งราชอาณาจักรรูเนเรีย รูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย ข้าขอแจ้งถึงอัศวินองครักษ์ และอัศวินผู้พิทักษ์ทั้งหมด ――――เวลาได้มาถึงแล้ว จงพิชิตพระราชวัง!”
“ฮา!”
“แด่เกียรติภูมิแห่งราชอาณาจักร!”
…….แปล๊บ ฉันรู้สึกเจ็บหน้าอก
รอยยิ้มของพ่อแม่ในวันที่พวกเขามองมาที่ฉันในวันนั้น ทำไมถึงพึ่งมานึกถึงเอาป่านนี้
ค่อย ๆ ลบภาพออกหลังเปลือกตาของฉัน
“เมืองหลวงล่ะ…..”
“จะดีจะร้ายในที่สุดก็มาถึงแล้วสินะ”
ผ่านไปหนึ่งวันหลังจากที่พวกไลลาและหน่วยองครักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าร่วมเดินทาง เมืองหลวงก็เข้ามาสู่สายตาของพวกเรา แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่ต้องขอบคุณพวกไลลาที่รีบเร่งมาถึงและการพยายามอย่างหนักของพวกคุณพ่อ ในทางกลับกันพวกเรามาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ พระอาทิตย์กำลังขึ้นกลางท้องฟ้า เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน
“ทุกคน ช่วยไว้”
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณฮิเมะเช่นกันค่ะ”
แต่สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดคือพวกเราไม่ได้หยุดแวะพักกินอะไรสักอย่างแม้แต่ในเมืองที่คุณตากับไลลาบอกว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย ตอนที่ต้องผ่านเข้าเมืองโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความวิตกังวลและความไม่สบายใจ รีบเข้าเมืองในขณะที่ต้องระแวงระวังไปด้วย สงสัยว่าในที่สุดสถานการณ์ก็จนมุมจนต้องใช้กำลังหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แม้จะบอกให้การช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนสิ่งของโดยตรง เหล่าชาวบ้านในเมืองแค่ปล่อยให้พวกเราผ่านกลางเมืองไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่เห็นพวกเรา พวกเขาก็ถอยหลบไปข้างทางและมองมาที่ฉันด้วยสายตาเป็นมิตร ฉันได้แต่สงสัยว่าหมายความว่ายังไงอยู่บนถนน เมืองต่าง ๆ ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข่าวลือเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของฉันที่กลับมาพร้อมกับพวกไลลา พวกเขาส่วนมากก็น่าจะสามารถคาดเดาได้
ฉันได้ยินมาจากแฮงค์ล็อตเต้ซังว่าคนทั่วไปมักจะได้ยินข่าวสารอย่างรวดเร็ว แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าข่าวลือที่พึ่งแพร่กระจายไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะมีผลกระทบขนาดนี้ ว่าแล้วเชียว สำหรับในราชอาณาจักร สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวตนที่พิเศษมาก ฉันถูกเตือนอีกครั้งถึงความสำคัญของผมสีเงินนี้และบทบาทของฉัน
“…..ช่างน่าแปลกใจจริง ๆ ที่เงียบสงบแบบนี้ ดูทุกอย่างแทบเหมือนปกติ”
“เป็นผลจากการตอบสนองที่รวดเร็วของกองทัพและ การกระทำของแฟร์มีลซ……อริซซังและองค์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงดูเหมือนจะสร้างผลกระทบเป็นอย่างมากค่ะ”
“อ้า ที่ประชาชนบุกไปที่โรงเรียน…….”
“ใช่ค่ะ”
ไลลาที่กำลังอธิบายในขณะที่ส่งสายตามาที่ฉัน รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ในที่ตอนที่กำลังพูดว่าแฟร์มีลซัง
แน่นอนว่าเมืองหลวงดูสงบสุขจนยากที่จะจินตนาการว่ากำลังมีการลุกฮือขึ้นทั่วราชอาณาจักร หากไม่ได้รู้ว่ากำลังมีเรื่องเกิดขึ้น ยังไงก็ตามนั่นก็เป็นแค่การชำเลืองมองจากภายนอกเท่านั้น หากมีเวลามากพอให้มองเข้าไปใกล้ ๆ อีกนิดจะเห็นว่ามีอัศวินรักษาการอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าอ่านบรรยากาศความเงียบสงบของเมืองได้ ก็จะรู้ว่าเกิดจากความตึงเครียดของทุกคน
พูดถึงอิทธิพลของฉันกับลูน่าแล้วก็น่าจะเกี่ยวข้องกับการประท้วงวันนั้น เหล่าประชาชนที่บังเอิญอยู่ที่นั่นต่างเชิ่อในพวกเราและบอกว่าจะรอ หลังจากนั้นก็คงมีการเกลี้ยมกล่อมประชาชนคนอื่น ๆ เพิ่มด้วยเช่นกัน พวกเขายอมเก็บความวิตกกังวลและความไม่พอใจไว้ให้หนึ่งครั้งตรงตามที่ว่าไว้ในวันนั้น และแน่ใจได้เลยว่าพวกเขากำลังเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ว่าจะคืบหน้าไปอย่างไร
“พ่อก็อยากจะให้โอกาสได้พักกันสักครู่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาให้พักแล้ว รีบไปกันเถอะ”
“อืม”
เมื่อพยักหน้ารับคำพูดของคุณพ่อแล้ว แต่ละคนก็ใช้เท้าส่งสัญญาณให้ม้าเริ่มเดินอีกครั้ง อาจเป็นเรื่องของอารมณ์ แต่ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเราเข้าไปใกล้กับประตูเมืองหลวง อากาศที่สัมผัสผิวหนังทำให้รู้สึกเสียวซ่าจนเจ็บ
“พวกเจ้าเป็น――――อภัยครับ กำลังรอท่านอยู่เลยครับ จะรีบไปตามท่านแม่ทัพในทันที ได้โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ครับท่าน”
“ช่วยได้มาก”
คุณพ่อกำลังจะอธิบายให้กับอัศวินรักษาการที่หยุดพวกเราไว้ที่หน้าประตู แต่ดูเหมือนเขาจะเดาได้ทันทีจึงให้พวกเราขี่ม้าผ่านประตูข้างก่อนที่จะวิ่งตรงไปยังทิศกลางเมือง ฉันเดาว่าเขาน่าจะรีบไปที่กองบัญชาการทหาร
หลังจากลงจากหลังม้า พวกเราก็ได้รับคำแนะนำจากคนนำทางให้ย้ายไปที่กระท่อมเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นป้อมรักษาการณ์ เมื่อผ่านประตูเข้ามา ฉันก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเตรียมตามคำร้องขอของคุณพ่อ อึกๆๆ ฉันดับกระหายด้วยน้ำที่มิราซังเทให้
“ยังไงก็ตามถึงเมืองตามรายทางที่พวกเราผ่านมาจะเป็นเช่นนั้น แต่พื้นที่อื่น ๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง…..”
“ครับ เมื่อลาบริกซ์มาถึง สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน”
คุณตาและคุณพ่อพยักหน้าให้กันขณะที่ทำหน้าเคร่ง ฉันเอนตัวลงขณะเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ
…..เบลล์ซังเองก็นิ่งเงียบมาตลอดนับตั้งแต่หลังจากที่พวกไลลามาช่วยเอาไว้
เมื่อลองเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็ได้รับรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจกลับมา
ฉันรู้เหตุผลได้โดยไม่ต้องถาม เกี่ยวกับฉันในตอนนั้น ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจและมุ่งมั่นมากขนาดนั้นไว้แล้ว แต่เมื่อเวลากลับพบว่าชะตาของทุกคนจะเปลี่ยนไปตามทางเลือกของตัวเอง ถ้าใครได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงแบบนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องวิตกกังวล และเบลล์ซังย่อมสามารถสังเกตว่าอารมณ์ของฉันแตกต่างจากปกติ
……ใช่ แตกต่างจากปกติ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่แตกต่างกันจนมาถึงตอนนี้ แต่ไม่ใช่เลย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติไปได้ไม่นาน เมื่อฉันมาถึงที่นี่ ความคิดที่สงบลงแล้วได้แสดงให้เห็นวิธีแก้ไขแบบอื่น แน่นอนว่าการโจมตีกะทันหันก็เป็นปัจจัยเช่นกัน แต่ก็เป็นในทางอ้อม
ไม่ว่าสถานการณ์จะแตกต่างกันแค่ไหน ถึงไม่อยากโอ้อวด แต่ฉันก็สามารถก้าวข้ามวิกฤตการณ์มากมายจนถึงตอนนี้ได้
แล้วทำไม ในตอนนั้นฉันจึงทำแบบนั้นไม่ได้
แล้วทำไม ถึงหวั่นไหวในตอนนั้น
สาเหตุโดยตรงน่าจะอยู่ในตัวฉัน ไม่อย่างงั้นก็คงไม่อยู่ในสภาพที่ความคิดและตัวตนแยกออกจากกันแบบนั้น ฉันไม่สามารถพูดได้อย่างใจเย็น ในขณะที่ฉันสามารถสงบใจเข้าใจสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน อารมณ์ของฉันกลับวุ่นวาย ไม่นะ อย่านะ ไม่เอาอีกแล้ว…..มีแต่ความสิ้นหวังและความยอมแพ้ดังก้องอยู่ในใจของฉัน นั่นคือทั้งที่รู้ว่าเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด
“อะไร……”
ถ้าลองไล่ตามความทรงจำตามลำดับ “สิ่งนั้น”ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการโจมตี แม้ว่าฉันในตอนนั้นจะประหลาดใจ แต่ฉันมีเหตุผลเพียงพอที่จะขอคำแนะนำจากเบลล์ซังและทำตามทันที พูดตรง ๆ ฉันยังเหมือนเดิม
หลังจากนั้นมีความผิดปกติเกิดขึ้น ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ ถามสถานการณ์การต่อสู้ เริ่มต้น――――ตรงนี่ ความคิดและความรู้สึกที่แตกแยกเกิดขึ้นตรงนี่ พูดอีกอย่างคือช่วงเวลาที่ถูกบังคับให้เลือกว่าจะหนีหรือจะอยู่ ดูเหมือนจะไปกระตุ้นบางอย่างที่อยู่ในตัวฉัน เกิดอะไรขึ้นในตัวฉันกัน……
――――『หนูจะทำให้เป็นจริงเอง โอก้าซามะ โอบ้าซามะ ด้วยเวทย์มนตร์นี้ที่เชื่อมต่อทุกคนเอาไว้』
นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ หรือ?
ความแบ่งแยก……ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ตัวเอง เป็นครั้งแรกจริง ๆ หรือ?
“ไม่ใช่”
――――『กลิ่นของก้าซามะ』
ในตอนที่ฉันออกจากห้องเพื่อไปเยี่ยมห้องของคุณแม่เป็นครั้งแรก
――――『หนูน่ะ หนูน่ะนะ จริง ๆ แล้ว อยากเจอมาตลอด ที่ช่วยไว้ไม่ได้ เสียใจมาตลอด…… 』
ในความฝันที่ฉันได้”กลับมาเจอกันอีกครั้ง”กับคุณแม่
“อะ เอ๊ะ……?”
เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วทำไมฉันถึงไม่คิดว่าแปลกกัน
ในใจฉัน มีเพียงอารมณ์ที่บิดเบี้ยวราวกับจะถูกแยกจากกัน จนถึงตอนนี้มีหลายครั้งที่ฉันโพล่งสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยตัวเอง
ทำไมถึงไม่เคยคิดว่าแปลกเลยล่ะ
ทั้ง ๆ ที่มีหลายครั้งที่หน้ากากหัวใจที่เยือกแข็งถูกละลายและรู้ตัวถึงความไร้เดียงสาของตัวเอง
“ก้าซามะ”
――――『จริง ๆ แล้วทั้งสองคือตัวเธอเอง』
“อริซซามะ……? ไม่เป็นไรใช่ไ――――
“ขอโทษที่ทำให้ต้องรอกัน!”
…….จิตสำนึกที่กำลังจะลอยไปที่ไหนสักแห่งถูกดึงกลับด้วยเสียงเปิดประตูกระท่อมและเสียงของลาบริกซ์ซัง
เมื่อฉันหันกลับไป ก็เจอใบหน้าของเบลล์ซังที่มองมาที่ฉันด้วยสีหน้ากังวลใจ
“…..งั้นเหรอ”
ยังไงก็ตามฉันรู้สึกเหมือนได้รับคำตอบแล้ว แต่ยังก่อน ฉันแน่ใจว่ายังไม่ควรไปเผชิญหน้าด้วย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่มีความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิวัติเป็นเดิมพัน ……ไม่เป็นไร หากการปฏิวัตินี้สำเร็จแล้ว ฉันก็มีเวลาให้เผชิญหน้ากับตัวเองอีกมาก ตอนนี้เราควรเดินหน้าต่อไป เพื่อไม่ให้ทุกสิ่งที่”สะสมมาเป็นเวลานาน”ต้องเสียเปล่า
“อริซซามะ”
“ม๊ายเป็นร๊าย ขอบกุณนะ เบลล์”
“ไม่หรอกค่ะ……ดิฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอไปค่ะ”
“……อืม”
การที่เบลล์ซังกล้าเรียกฉันว่าคุณ ดูเหมือนเธอน่าจะรู้ว่าฉันกำลังสั่นไหวเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ยังไม่รู้รายละเอียดว่าอะไร สมกับเป็นเบลล์ซังล่ะ ฉันขอพูดเหมือนทุกครั้งว่า รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่เบลล์ซังอยู่ข้าง ๆ เสมอ
เมื่อฉันได้สติแล้วหันกลับที่เดิม ก็เห็นลาบริกซ์ซังกำลังมองมาที่ฉันอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนจะทำให้เขาต้องรอแล้ว ขอโทษ ฉันก้มหน้าและพร้อมที่จะฟัง อันดับแรก แบ่งปันและรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันใหม่ ๆ
“ดีจริง ๆ ที่มาถึงที่นี่กันจนได้ ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามุ่งหน้าไปช่วยเหลือตามรับสั่งขององค์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกันสินะ ข้าต้องขอขอบคุณจากใจอีกครั้ง”
“มะ ไม่ค่ะ เรื่องนั้น……พวกเราคือหน่วยองค์รักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นขุนนาง ดังนั้นพวกเราแค่ทำตามหน้าที่ที่แท้จริงเท่านั้นเองค่ะ”
“……อนาคตช่างดูสดใสเหลือเกิน”
ฟุๆๆ รอยยิ้มรั่วออกมาอย่างปิดไม่มิด พวกไลลาหลบตากันอย่างเขินอาย และแก้มผ่อนคลายลงอย่างมีความสุข ในบรรยากาศที่ตึงเครียดเช่นนี้ ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยทำให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านไปโดยไม่รู้ตัวสงบลงบ้าง หลังจากแลกเปลี่ยนการทักทายกัน ลาบริกซ์ซังก็อธิบายสถานการณ์ปัจจุบันต่อไป
“ตามรายงานยังไม่มีอะไรที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้เกิดขึ้น มีหลายพื้นที่ที่กองอัศวินและกลุ่มจลาจลกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ แต่ทุกพื้นที่ยังคงทำแค่จ้องมองกันและกัน ยังไม่มีรายงานว่าขุนนางคนไหนถูกจับหรือสังหาร ถึงทุกอย่างจะกะทันหันไปหมด แต่ท้ายที่สุดการออกคำสั่งบางอย่างส่วงหน้าไปสำหรับอัศวินทุกคนก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”
“เข้าใจล่ะ …..ข้าเดาว่าพวกเราสามารถพูดว่าดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้วสินะ”
“อ้า ฮัททีเรีย เจ้าล่ะสบายดีสินะ มาเรียนาเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีปัญหา ตรงกันข้าม พวกเขาบอกให้ฝากที่นี่ไว้ให้พวกเขาและออกมาส่งพวกเราด้วย คาลเมียร์เองก็สบายดีเหมือนกัน”
“….งั้นเหรอ”
ลาบริกซ์ซังพยักหน้าและดูโล่งใจเหมือนกัน ในเรื่องของมาเรียนานั้นแน่นอนอยู่แล้ว สาเหตุหลักมาของความโล่งใจมาจากที่คาลเมียร์ซังยังปลอดภัยรวมอยู่ด้วย ไม่น่าแปลกใจ เพราะพวกเขาเป็นพ่อกับลูกสาว
“สำหรับเมืองหลวง…….แม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว สามารถลงมือได้ตลอดเวลา พระราชวังเองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน”
“เช่นนั้น หลังจากนี้…….”
“ใช่ครับ แม็กพ็อดซามะ รอเพียงสัญญาณจากองค์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเท่านั้น”
คราวนี้เป็นฉันที่รู้สึกโล่งใจที่ยินว่าพระราชวังไม่มีปัญหา ดีจัง แปลว่าลูน่ายังปลอดภัยดี ฉันคิดว่าก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเมืองหลวงเองก็อยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็รู้สึกโล่งใจที่สามารถยืนยันได้อีกครั้ง
หลังจากนั้นตามแผนที่วางไว้ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอให้ลูน่าเข้าควบคุมพระราชวังพร้อมกับอัศวินผู้พิทักษ์และราชองครักษ์ของเธอ อย่างที่คาดไว้ พวกเราไม่สามารถช่วยเรื่องต่าง ๆ ในพระราชวังได้ นี่เป็นงานที่ไม่อาจดันทุรังฝืนบุกเข้าไปได้ พวกเราไม่รู้สภาพภายในของพระราชวัง หรือไม่รู้แม้กระทั่งหน้าตาของคนที่ให้ความร่วมมือด้วยซ้ำ หากสามารถควบคุมจากภายในได้จะถือว่าดีที่สุด ลูน่าบอกว่าเธออาจจะควบคุมข้ารับใช้และอัศวินเกือบทั้งหมดในพระราชวังได้ ยกเว้นของพ่อแม่ของเธอ แต่ก็อาจจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เหมือนกัน ฉันอยากจะรีบเข้าไปตอนนี้เลย แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจลูน่าและรอ
สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนแผนจะดำเนินไปอย่างราบรื่นแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวก็ตาม เมื่อไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ฉันก็กอดคู่หูไว้แน่น ปิดบังความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในความเงียบ สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ฉัน――――
“――――ขออภัยครับ! มีส่งสารจากหน่วยรักษาการณ์รอบนอกพระราชวังครับ!”
“เคลื่อนไหวแล้วสินะ! สัญลักษณ์คือ…… !?”
“「พระจันทร์ขึ้น」 ย้ำอีกครั้ง 「พระจันทร์ขึ้น!」”
ภายใต้แสงแดดอันเจิดจ้า
และตอนนี้ พระจันทร์ที่กำลังขึ้นในพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ประกาศการต่อสู้ครั้งสุดท้าย