[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 95 ตอนที่ 15 ใต้แสงจันทร์
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 95 ตอนที่ 15 ใต้แสงจันทร์
ตอนที่ 15 ใต้แสงจันทร์
“นะ นั่นมันอะไรกัน กำลังเสริมเรอะ? บ้าเอ๊ย….”
“นี่มัน….เกิดบ้าอะไรขึ้นกัน”
แน่นอนว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวที่สับสนกับการมาถึงของไลลาและคนอื่น ๆ ที่เรียกตัวเองว่า หน่วยองครักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกคุณพ่อก็แสดงอาการชะงักงันไปชั่วขณะ ส่วนเหล่าชาวบ้านต่างพากันหยุดนิ่งทันที และไม่อาจปิดบังความสับสนเอาไว้ได้ แม้แต่เบลล์ซังที่ค่อยพยุงเอวฉันอยู่ข้าง ๆ เองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทว่าหากเป็นอัศวินจากพื้นที่ข้างเคียงที่รีบเร่งเดินทางมา แต่ละคนก็ควรจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อย ขณะที่พวกเราถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในทางกลับกันพวกเขาต่างกัดฟันด้วยความกระวนกระวาย ยังไงก็ตามเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ภาคีอัศวินทั่วไปที่รีบเร่งมา พวกเขาบางส่วนลงจากหลังม้าเข้ามาแทรกปกป้องพวกเรา บางส่วนก็ยังอยู่บนหลังม้าต่อ แม้จะดูมีระเบียบวินัย แต่ก็สามารถมองเห็นการกระทำที่ยังดูติดขัดไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อัศวินที่ได้รับการฝึกฝนจะแสดงออกมา ไม่สิ ตรงกันข้าม พวกเขาทั้งหมดมีอาวุธที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าดาบสำหรับป้องกันตัว ทั้งยังแต่งกายด้วยชุดที่มีสง่าราศีของขุนนางชั้นสูงที่ปักสัญลักษณ์ของดอกไม้และตราชั่งไว้บนหน้าอก ซึ่งมองยังไงก็เป็นของทำมือ ที่น่าพิศวงยิ่งกว่านั้นคือ มีแต่เด็กผู้หญิง และเด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น หรือก็คือ มีแต่คนที่เป็นลูกขุนนางทั้งนั้น
…..แม้แต่ฉันที่รู้ตัวตนที่แท้จริงก็ยังตกอยู่ในสภาพนี้ ความสับสนของพวกคุณพ่อที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ไม่สามารถคาดเดาได้เลย และถ้ารู้ตัวตนที่แท้จริงอาจจะยิ่งสับสนไปกันใหญ่ ก็ควรจะเป็นแบบนั้น บรรดานักเรียนของโรงเรียนหลวงที่ซึ่งพึ่งทำการปิดไปในนามของวันหยุดยาว ต่างได้มารวมตัวกันและควบม้าห้อตะบึงมาจนถึงที่นี่ได้ เรื่องแบบนี้ใครจะทำนายออกกัน
“เธอ……”
“ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยค่ะ ท่านฮัททีเรีย・ฟอน・แฟร์มีล นามของเราคือไลลา・ฟอน・เอสปรี บุตรีคนโตแห่งตระกูลเอสปรีค่ะ”
“อะ อ้า…….ตระกูลเอสปรี”
เธอผละจากข้างตัวฉัน ไปหยุดอยู่ต่อหน้าพวกคุณพ่อที่ไม่อาจซ่อนการแสดงออกไหว ก่อนที่จะแนะนำตัวว่าชื่อไลลา แน่นอนว่าคุณพ่อก็ไม่เคยได้ยินเรื่องของไลลามาก่อนเช่นกัน ยังไงก็ตามไลลาจบการพูดคุยไว้เพียงเท่านั้น แล้วหันไปหาเหล่าชาวบ้านที่ตะลึงงันพร้อมเครื่องมือทำฟาร์มในมือ
…..ใช่แล้ว ต่อให้พวกเธอมาเพื่อช่วย แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเธอจะตั้งใจมาสู้ด้วยดาบสำหรับป้องกันตัวในมือ ถ้านั่นเป็นความตั้งใจ แต่ละคนก็น่าจะพาอัศวินผู้พิทักษ์ของแต่ละตระกูล หรืออัศวินจากใกล้เคียงมาด้วย แต่ทว่าหากไม่ได้ตั้งใจที่จะมาสู้ การออกไปยืนประจันหน้ากันแบบนั้นก็อันตรายมากเกินไป ถึงแม้การมาพร้อมกับม้าจะมีประสิทธิภาพในการข่มขู่อยู่บ้าง แต่ในไม่ช้าอีกฝ่ายก็จะเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าพวกเธอไม่ได้มีการเตรียมตัวมาเพื่อการต่อสู้ด้วยดาบอย่างดีพอ ถึงจะทำได้ดีที่หยุดสถานการณ์ลงได้ แต่ถ้าถูกจู่โจมอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว คราวนี้คงมีคนตาย ในทางที่เลวร้ายที่สุด จะเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างขุนนางและสามัญชน ไลลาคิดที่จะทำอะไรกันแน่――――
“พวกคุณอาจกำลังคิดว่ากล้าดียังไงที่เสนอหน้ามาตอนนี้ ทว่ากรุณาให้เวลาพวกเราได้พูดด้วยเถอะ ……ภายหลังจากที่ได้ฟังแล้ว จะย่ำยีร่างกายนี้ หรืออยากจะปั่นคอก็เชิญ แต่ทว่าขอเพียงแค่เล็กน้อย ……ให้เวลาพวกเราเพียงแค่เล็กน้อยจะได้หรือไม่?”
“พะ พูดอะไ……..”
“หยุด”
เมื่อชายที่ถูกมิร่าซังเตะล้มลงไปก่อนหน้านี้เริ่มเอามือถูคางพร้อมตะโกน ก็มีเสียงสั่งออกมา ชายสวมเสื้อผ้าที่ดูเหมือนหนังสัตว์เปิดเผยตัวตนออกมาจากด้านหลังต้นไม้ของชายที่ตะโกน และพ่นลมหายใจขณะลดลูกศรที่ขึ้นสายไว้ลง เข้าใจล่ะ เขาคือมือธนูที่ยิงใส่พวกเรามาได้สักพักแล้ว และเป็นนายพรานที่ทำหน้าที่ออกคำสั่งคนที่เหลือชั่วคราว แม้จะยังไม่ได้ตัดสินใจเชื่อ แต่ก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจจนยากจะปฏิเสธ
“พูดมา ขุนนาง”
“……..ขอบคุณค่ะ ทุกท่านกรุณาลงจากหลังม้าด้วย”
ไลลายกไหล่ขึ้นเล็กน้อยเป็นการสั่ง ก่อนสะบัดกระโปรงอย่างนุ่มนวล และยกขาข้างหนึ่งขึ้นด้วยท่าทางติด ๆ ขัด ๆ เมื่อเทียบกับคุณพ่อกับมิร่าซัง แต่ก็สามารถลงจากหลังม้าได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้จะได้เรียนการขี่ม้าด้วยตัวเองมา ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถคุ้นเคยกับการขี่ม้าได้เหมือนคนที่ขี่ประจำได้ง่าย ๆ
“อันดับแรก คงต้องขอทำบางสิ่งก่อน”
“หยุดพล่าม แล้วพูดมาซะ”
“……ค่ะ เรา พวกเรา ――――”
อะ…..ไร แม้แต่คนที่จ้องมาด้วยความเกลียดชังอย่างชัดเจน ก็ยังต้องเบิกตากว้าง ตัวแข็งทื่อ
มีเสียงก้องกังวาลขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ราวกับใบไม้ร่วงหล่นสู่ผืนดิน
เป็นเสียงกดหน้าผากของลูกหลานขุนนางทุกคนที่รีบเร่งมาที่นี่ ของพวกสาว ๆ ……ของไลลา พวกเธอนั่งคุกเข่าลงบนเท้าทั้งสองข้าง วางมือไว้หน้าเข่าโดยไม่กังวลว่าเสื้อผ้าจะสกปรก ผมสวยเปอะไปด้วยโคลนเมื่อเกิดเสียงก้มหัวติดดิน
――――เป็นภาพที่แปลกประหลาดที่ได้เห็นคุณชาย คุณหนูมากกว่าหนึ่งโหลคุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าสามัญชน
“พวกเราต้องการที่จะขอโทษทุกท่าน ……..กับเหล่าประชาชนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อราชอาณาจักร และต้องอดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้วันแล้ววันเล่า และทั้งต้องมอบอาหารที่หามาได้อย่างสิ้นหวังให้กับคนโง่เขลาที่เรียกว่าขุนนางอย่างพวกเรา”
“พูดบ้าอะไร……”
“ได้โปรดยกโทษให้ด้วย เราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะพูดเรื่องที่หยิ่งผยองเช่นนี้ ทว่า ได้โปรดให้พวกเราได้ขอโทษด้วย……ในนามของ 「ขุนนาง」 ที่ได้หลงลืมหนทางที่แท้จริง และนั่งไขว่ห้างอยู่บนความมั่งคั่งและอำนาจ ต้องขอโทษเป็นอย่างสูง ณ ที่แห่งนี้ด้วยค่ะ….. !”
นั่นคือ ท่าทางนั้น
“เดี๋ยวสิฟ๊ะ……มาพูดบ้าเอาอะไรตอนนี้! แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าพวกข้ายกโทษให้ที่นี่ตอนนี้ แล้วจะได้ประโยชน์อะไร! แล้วตั้งแต่แรก พวกแกมันก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย! พวกที่พวกข้าต้องการลากลงจากเก้าอี้โง่ ๆ ของพวกแกมาขอโทษพวกข้า คือพ่อแม่ของพวกแกต่างหาก! เด็กอย่างพวกแกไม่ควรออกมาที่นี่ ถอยไปซะ!”
“――――ฮี่ …..นั่น ไม่เกี่ยว ……..นั่นไม่เกี่ยว ไม่เลย!”
ไลลายังคงก้มหัว หวาดกลัวต่อความโกรธของเขา ในทางตรงกันข้าม มีแต่ความโกรธเกรี้ยวที่แสดงกลับมา อารมณ์กับอารมณ์ปะทะกัน ทว่าน่าแปลกที่ฉันไม่เห็นการเผชิญหน้าที่ชัดเจน
การต่อสู้ระหว่างพวกเขากับพวกคุณพ่อเริ่มอย่างกะทันหันนั้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ความโกรธ ความเศร้าที่ไร้ทางงออก และความไม่พอใจต่อขุนนางและราชวงศ์ที่มีมาอย่างต่อเนื่องต่อการที่บังคับให้พวกเขาต้องมีสภาพชีวิตเช่นนี้ พวกเขาต้องพยายามอย่างมากเพื่อมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดเมื่อแรงขับเคลื่อนระเบิดออกมา การที่พวกเขาจะหยิบดาบชี้เข้าใส่เพื่อต้องการความเจ็บปวดและความสำนึกจากกลุ่มขุนนางที่เกลียดชัง ใครจะสามารถโทษพวกเขาได้
อ้า ฉัน หนู
“พวกคุณทราบข่าวเล่าลือเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ทราบเรื่องขององค์เจ้าฟ้าหญิงหรือไม่ ด้วยร่างกายที่อายุน้อยกว่าพวกเราเป็นอย่างมาก แต่กลับเดินเข้าหาเหล่าประชาชนที่บุกเข้าหาด้วยเสียงอันรุนแรง แล้วก้มหัวร้องไห้ และพยายามรับผิดชอบทุกอย่าง――――ทว่าทราบหรือไม่ว่าทั้งสองท่านมีอายุแค่แปดขวบและหกขวบเท่านั้น…… !”
กำลังทำอะไรอยู่กัน?
ไม่ใช่ว่าตัดสินใจที่จะแบกรับเอาไว้แล้วเหรอ
ไม่ใช่ว่าตัดสินใจที่จะก้าวต่อไปเอาไว้แล้วเหรอ
ถูกโจมตีอย่างกะทันหัน? ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี? ……ถูกไหม แน่นอน สถานการณ์แตกต่างจากครั้งก่อน แต่ถึงอย่างงั้นก็มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ยังไงก็ตาม นี่ไม่ใช่สถานการณ์แบบเดียวกันกับที่เคยผ่านมาจนถึงตอนนี้ ที่ฉันสามารถช่วยใครซักคนได้ด้วยการปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ และใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบัง
ฉันได้รับตัวเลือกมาแล้ว
จะละทิ้งความรักและวิ่งหนี เพื่ออุดมคติ(อนาคต) หรือ
จะละทิ้งอุดมคติ(อนาคต)และอยู่ที่นี่ด้วยกันจนวาระสุดท้าย เพื่อความรัก
…..ฉันสงสัยเหลือเกินว่าจะสามารถเลือกได้ในทันทีหรือไม่
เมื่อทางเลือกของตัวเองสามารถที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้ได้ มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งระหว่างชีวิตและความตาย ไม่ต้องพูดถึงว่า อาจจะต้องมีใครบางคนที่สำคัญกับฉันต้องหลั่งเลือดและตายต่อหน้า
จะมีคนไหนบ้างที่จะสามารถเลือกระหว่างตัวเลือกทั้งสองได้ทันทีในสถานการณ์เช่นนี้บ้าง
“แล้วมันทำไม ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย…… ! ถ้าพวกแกรู้ว่าขุนนางที่แท้จริงคืออะไร แล้วทำไมยังเงียบแบบนั้นต่อหน้าพวกข้าอยู่กันหา!?”
“คิดว่าพวกข้าจะเชื่อเรื่อง…….ไร้สาระแบบนั้นรึไง! ถึงจะจริงก็สายไปแล้ว! พวกข้าได้เหวี่ยงดาบออกไปแล้ว! พวกข้าได้โจมตีพวกเจ้าไปด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าไปแล้ว! ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว….. ! คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปถ้าพวกข้าได้ยินเรื่องของเจ้าหญิงกับสตรีศักดิ์สิทธิ์อะไรนั้น! คิดว่าความเป็นจริงมันหอมหวานเหมือนเทพนิยายหรือยังไง!”
“แน่นอน จะไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงทันที…… ! แต่――――แต่ทว่าก็ยังสามารถเปลี่ยนจุดจบ(ตอนจบ)ได้!”
――――ถึงอย่างงั้นไม่ใช่ว่าฉันตัดสินใจที่จะแบกรับชื่อ “สตรีศักดิ์สิทธิ์” ไว้บนบ่าของตัวเองแล้วหรอกเหรอ
ถึงอย่างงั้นไม่ใช่ว่าฉันตัดสินใจที่จะมุ่งไปตาม “เทพนิยาย” แล้วหรอกเหรอ
“หนู……..”
ฉันอยากทำอะไร
ด้วยเป้าหมายอันสูงส่งของการปฏิวัติ ฉันต้องการทำอะไรเป็นอย่างแรก
――――ฉัน หนู เป็นใคร
อริซ? อาริสุ? หรือสตรีศักดิ์สิทธิ์? …..ไม่รู้เลย
” ――――คุโซ คุโซ………… เข้าใจแล้ว แต่แค่ครั้งเดียว ข้าจะลองเชื่อในองค์หญิงและสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเจ้า………ที่พวกเจ้าเชื่อแล้วจะยอมถอยไปก่อน…….. แต่จะไม่มีครั้งที่สอง! ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ละก็……. ! ข้าจะไม่ฟังคำพูดของพวกเจ้าเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว!”
…..แต่ ถึงอย่างงั้นตอนนี้
ข้างหน้า ไปข้างหน้าอย่างจริงจัง
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้าวต่อไป
“รูนไฮม์ซามะ”
“…..สเตลล่า”
ขณะกำลังยืนยันจดหมายสนับสนุนในอนาคตด้วยความตั้งใจอยู่บนเตียง สเตลล่าก็กลับมาจากการไปวางรากฐานการสนับสนุนในพระราชวังอยู่เช่นกัน เมื่อสองวันก่อน พระราชวังถูกปิดอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ที่มีรายงานฉบับแรกเกี่ยวกับการเกิดการจลาจลในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มาถึง เป็นสถานการณ์ที่แม้แต่คนของกองทัพหลวงส่วนกลางก็ไม่สามารถเข้ามาข้างในได้ เพราะไม่รู้ว่าไฟจะมาจากทางไหน
เดิมพวกเขามีหน้าที่รักษาการในพระราชวัง แต่ตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเหล่าอัศวินราชองครักษ์ของราชวงศ์โดยสมบูรณ์ มีเพียงอัศวินผู้พิทักษ์ที่ขึ้นตรงต่อเสด็จพ่อเสด็จแม่ กับฉัน และอัศวินผู้พิทักษ์ของขุนนางส่วนกลางที่จ่ายเงินทุนให้กับพระราชวังเท่านั้นที่สามารถประจำการอยู่ในพระราชวังได้ ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าอัศวินสังกัดกองทัพจะรออยู่รอบพระราชวัง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นข้างในก็ต้องใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อให้สามารถรีบมายังที่เกิดเหตุได้ แม้จะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตามที่คาด แต่ยังไงก็ตามก็ยังเป็นเวลาที่มากพอที่จะทำให้แม้แต่ราชองครักษ์และอัศวินผู้พิทักษ์สามารถควบคุมภายในได้ ……..ใช่ ถ้าสามารถทำอะไรเกี่ยวกับเหล่าอัศวินได้
“เป็นยังไงบ้าง?”
“เจ้าค่ะ แม้จะเร็วกว่าที่วางแผนไว้มาก แต่ภายในพระราชวังไม่มีปัญหาอะไรเจ้าค่ะ แล้วก็ตามที่คาดไว้「พวกเขา」ดูเหมือนจะมีความหวั่นวิตกกังวล แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงพวกที่มีแค่นามเท่านั้น”
“…….งั้นเหรอ”
ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริงที่นโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวของเสด็จพ่อเสด็จแม่กลับกลายเป็นประโยชน์แทนแบบนี้
เท่าที่ฉันจำได้ โดยปกติแล้วก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่เคยมีอะไรทำร่วมกับเสด็จพ่อเสด็จแม่เลย ด้วยเหตุผลนั้น ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นเจ้าหญิงเพียงคนเดียว… ไม่สิ หรือเป็นเพราะมีฉันเพียงคนเดียว ฉันจึงอยู่ในตำแหน่งกึ่งอิสระในพระราชวัง หากมองในอีกมุมหนึ่งก็ไม่ต่างกับการที่เรียกได้ว่าโดดเดี่ยว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงเรื่องราวจากมุมมองของเสด็จพ่อเสด็จแม่ และเหล่าขุนนางกลางเท่านั้น จากมุมมองโดยรวมของเหล่าข้ารับใช้ในพระราชวังแล้ว นับว่าห่างไกลจากความโดดเดี่ยว ในทางกลับกัน ในแง่หนึ่ง ฉันสามารถพูดได้ว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของฉันโดดเดี่ยวยิ่งกว่า
อาจเป็นเพราะมีตัวอย่างที่เลวร้ายอยู่ใกล้ ๆ ตัวฉัน จึงทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดาข้ารับใช้ส่วนใหญ่ในพระราชวัง และได้รับความไว้วางใจมากกว่าเมื่อเทียบกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่แสดงออกมาให้เห็น
“มีข้องใจตรงไหนหรือเจ้าคะ”
“เปล่าเลย กลับกันการที่ไม่แสดงท่าทีเคลื่อนไหวตอบสนองต่อการจลาจลจนถึงตอนนี้ ทำให้ดูเหมือนได้รับความไว้วางใจมากยิ่งกว่าเดิม”
“…..หึ ดูเหมือนจะผ่อนคลายไร้กังวลกันมานานเกินไปสินะเจ้าคะ”
โชคดีในความล้มเหลวงั้นเหรอ ดูเหมือนว่าการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจะทำให้เสด็จพ่อเสด็จแม่เกิดความหวั่นวิตกเหมือนกัน แต่กลับกันดูเหมือนว่าผลที่ได้จะช่วยกลบความสงสัยในตัวฉันไป แม้ว่าจะขึ้นสนิมไปบ้าง แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ผ่านสังคมชั้นสูงมาอย่างโชกโชนมาจนถึงตอนนี้ อย่าได้ประมาทสัญชาตญาณที่ได้รับการขัดเกลาจากประสบการณ์เหล่านั้น ในบางสถานการณ์ แผนการอาจล้มโดยไม่เหลืออะไร
ทว่า ปัญหาใหญ่คือ……..
“ข้างนอกสินะ”
“ไม่นานหลังจากที่เหล่าอัศวินภายในพระราชวังถูกขับออกไป ดิฉันก็เห็นกองทหารรักษาการณ์ถูกส่งออกไปยังเขตรอบปริมณฑล สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ แต่….”
“อืม เขาสามารถทำได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ สงสัยจริงว่าจะสามารถเจรจาขอการสนับสนุนจากแต่ละพื้นที่ได้ทันไหม”
อ้า แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านแม่ทัพลาบริกซ์ก็ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ในเมืองหลวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ สมแล้ว นามของวีรบุรุษไม่ได้มีไว้แค่โชว์ แต่ถึงอย่างงั้นก็มีบางอย่างที่เขาทำไม่ได้ การรับมือในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่เมืองหลวง เมืองใหญ่และถนนที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้นไม่เป็นปัญหา แต่นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อื่น ๆ ที่ขึ้นอยู่กับภาคีอัศวินและกองกำลังของขุนนางที่ควบคุมแต่ละเขต ที่เราได้เอื้อมมือออกไปบ้างแล้ว แต่ ยกเว้น……การตอบสนองจากเขตที่ยังไม่เคยไปปูเส้นทางเอาไว้ก่อน เขาบอกว่าต้องรีบลงมือก่อนที่จะถูกชิงตัดหน้าไป
เนื่องจากตำแหน่งของเขาในฐานะแม่ทัพ สำหรับอัศวินแต่ละคนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ยกเว้นเวลาที่ต้องใช้ในการถ่ายทอดคำสั่ง แต่กลับขุนนางนั้นต่างออกไป ระยะเวลาที่เตรียมการสั้นเกินไป ทำให้มีขุนนางไม่มากนักที่สัญญาว่าจะร่วมมือในแผนการนี้
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจพวกเขาเจ้าค่ะ”
“ม๊า ก็นั้นสินะ ―――― ฮ้า อริซ……………”
แน่นนอว่าการถามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ออกไปนั้นเป็นการถามจริงจัง แต่ก็เป็นข้ออ้างอยู่ครึ่งหนึ่ง ที่จริงฉันต้องการได้ยินเกี่ยวกับมาเรียน่าโดยเฉพาะ สเตลล่าดูเหมือนจะเดาได้ทันที และพูดอย่างชัดเจนในขณะที่หลบตา
ใช่ การวางแผนเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่ฉันกังวลมากที่สุดคือเรื่องของอริซ จากข้อมูลที่ฉันได้ยินมาก่อนหน้านี้ ความน่าจะเป็นของการเกิดจลาจลขึ้นในมาเรียน่านั้นค่อนข้างต่ำ แต่กังวลใจก็คือกังวลใจ
จะสบายดีไหม กำลังเสริมที่ส่งไปอย่างเร่งรีบจะไปถึงทันเวลาไหม เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ฉันอยากอยู่เคียงข้างด้วยตลอดไป ฉันไม่ต้องการที่จะสูญเสียเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ทำเอาอิจฉาเลยเจ้าคะ”
“จะให้คิดถึงทำไมกัน หล่อนก็อยู่ข้าง ๆ ฉันตลอดไม่ใช่รึไงยะ”
“ก็เพราะเป็นข้ารับใช้「ของรูนไฮม์ซามะ」ไงเจ้าคะ”
จริง ๆ เลย ถ้ารู้อยู่แล้วก็อย่าให้ฉันต้องพูดสิยะ พอพวกเราอยู่ด้วยกันมานาน การต้องมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าก็น่าอายเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องพูดให้แน่ใจ ฉันคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราจะอยู่ด้วยกัน
ม๊า แต่ฉันก็เข้าใจความตั้งใจของเธอที่กล้าพูดแบบนั้นออกมาตอนนี้ นี่เป็นสถานการณ์ที่ฉันเดาว่าเธอกำลังพยายามทำให้จิตใจที่ตึงเครียดอยู่เล็กน้อยของฉันสงบลง ตอนนี้ร้อนใจไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แม้แต่ตอนที่ฉันซ้อมละครสำหรับงานเทศกาลโรงเรียน อริซบอกฉันหลายครั้งว่าฉันมีปัญหาในการผสานการร้องเพลง การเต้น และการแสดงเข้าด้วยกัน
……ใช่แล้ว ใจเย็น ๆ เข้าไว้ ไม่เป็นไรหรอก แม้จะไม่สามารถโน้มน้าวขุนนางทั้งหมดได้ทันท่วงที แต่ก็ได้ทาบทามเหล่าบุคคลสำคัญไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สามารถร่วมมือกับตระกูลเอสปรีซึ่งอยู่ภายใต้การได้รับแรงสนับสนุนจากสมาคมนักเวทย์ ถือว่าเป็นรางวัลใหญ่ นั่นหมายความว่าพวกเราสามารถคาดหวังความร่วมมือของเหล่านักเวทย์ได้
“ยังไงก็ตามก็ทำให้ฉันประหลาดใจจริง ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเอสปรี……”
“เจ้าค่ะ เป็นเรื่องที่พอตระหนักได้แล้วก็รู้ว่าสู้แฟร์มีลซามะไม่ได้จริง ๆ”
“ใช่ แย่เลยน่ะ ……ผลสุดท้าย การผูกสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจของเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นก็แข็งแกร่งที่สุดเลย”
“อาร๊า รูนไฮม์ซามะเองก็ทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเช่นกันนะเจ้าคะ”
“….หนวกหูน๊า”
ฉันไม่อยากนึกมากเกินไป เพราะความทรงจำแย่ ๆ ที่เชื่อมโยงจะฟื้นกลับมาบนลิ้นด้วย แต่ก็อย่างที่สเตลล่าพูด ทำไมฉันถึงไม่รู้ตัวจนกระทั่งตรวจดูจดหมายที่ได้รับจากอองตวน เมื่อฉันได้เห็นประโยคที่บอกว่า ได้ยินเรื่องราวของพวกเราจากลูกสาวของตน ในที่สุดฉันก็นึกออกว่าเอสปรี คือนามสกุลของเด็กผู้หญิงที่รังแกอริซ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเดจาวู
….ยังไงก็ตาม แค่ในตอนนี้ อริซบอกว่าเธอเป็นเพื่อนคนที่สอง และฉันจำได้ว่าเธอพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความต้องการที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างแน่นอน แม้กระทั่งทันทีหลังจากที่โรงเรียนปิด ฉันก็ได้ยินมาว่ามีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่รวบรวมเพื่อนร่วมโรงเรียนภายใต้หน้ากากของงานพบปะทางสังคม แต่ในสถานการณ์ตึงเครียด ฉันไม่คิดที่ว่าเธอจะบอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น แม้ว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป แต่ไม่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับแผนการปฏิวัติ และไม่ได้คาดหวังว่าจะผูกพันกันจนมาที่นี่ได้
ไม่ว่าจะการปฏิวัติ ไม่ว่าจะตัวฉันเอง ความอยู่รอดของอริซมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ยังไงก็ตาม การลุกขึ้นมาช่วยในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ การมีตัวตนที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอย่างพวกเธอ พูดตามตรงฉันรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
“น่าสงสัยว่าจะเป็นหน่วยองครักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า”
“เป็นรสนิยมที่ค่อนข้างดีเหมือนกันนะเจ้าคะ …..แต่สำหรับเรื่องนั้น ดิฉันก็มีข้อสงสัยอยู่นิดหน่อย”
“อะไร?”
“ดิฉันรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำเช่นนั้น แต่จะไม่เป็นอันตรายไปหน่อยหรือเจ้าคะ?”
คำถามของสเตลล่าสมเหตุสมผลอย่างมาก กองทัพที่พึ่งพาได้มากที่สุดก็กำลังยุ่งอยู่กับการจลาจล ส่วนสงครามแบ่งฝ่ายในหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักรก็ยังคงไม่ยุติ คุณตาของอริซที่เดินทางไปยังมาเรียน่าอย่างรีบเร่ง เป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเคลื่อนไหวเอ่ยปากบังคับได้ในลำดับหนึ่ง จึงเหลือเพียงพวกเธอเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
แต่ แต่ว่า การที่มีเฉพาะลูกหลานของชนชั้นสูงเคลื่อนไหวกันตามลำพังในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากเชื้อไฟที่วิ่งเข้าใส่น้ำมันร้อนระอุที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟโหมกระหน่ำ
สำหรับประชาชนทั่วไปมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นห่วงราชอาณาจักร และกำลังเคลื่อนไหว จะเป็นยังไงถ้าหากเธอ…..ไลลา และคนอื่น ๆ หลุดปากปล่อยให้เรื่องการปฏิวัติรั่วไหลออกไป แต่ถ้าข้อมูลมาไม่ถึงพระราชวังอันโดดเดี่ยวแห่งนี้ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรในตอนนี้
ยังไงก็ตาม ไม่ใช่กับความปลอดภัยส่วนตัวของพวกไลลา ในตอนแรกอาจเป็นการจลาจลต่อต้านชนชั้นกลางและชนชั้นสูง แม้ว่าพวกเธอจะยังเด็กแต่ก็แตกต่างจากเด็กทั่วไป ในกรณีนั้นไม่มีทางที่พวกเธอจะถูกมองข้ามและหลีกเลี่ยงได้
ฉันแนะนำเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัยผ่านพื้นที่ของภาคีอัศวิน ขุนนาง และสามัญชนที่วางรากฐานสำเร็จแล้ว แต่ก็ปลอดภัยเพียงครึ่งทาง ฉันกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับระยะทางกึ่งกลางที่เหลือระหว่างเมืองสุดท้ายไปถึงมาเรียนา เนื่องจากพื้นที่มาเรียนาเดิมเป็นดินแดนชายแดนกับจักรวรรดิ จึงมีสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับด้านการทหารอยู่มาก เช่น ค่ายกองทหารรักษาการณ์ภาคีอัศวินระดับ และเมื่อไม่มีเมืองขนาดใหญ่มากนัก จึงแทบไม่มีโอกาศเจอกับกลุ่มก่อจลาจล แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน
เพราะแบบนั้นสเตลล่าถึงได้ถาม ทำไมเป็นพวกเธอ
ตรงกันข้ามกับคำพูด สิ่งที่ปรากฏในดวงตาคู่นั้นไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นความวิตกกังวล นั่นเป็นท่าทางที่ไม่ควรมีในฐานะข้ารับใช้ของเจ้าหญิง …..ใช่ ถูกแล้ว เพราะเธอเป็นข้ารับใช้ของฉัน ไม่ใช่ของเจ้าหญิง
“……ไม่เป็นไร ถึงฉันยังไม่ชอบพวกขุนนางเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ใช้พวกไลลาเป็นเครื่องมือหรอกนะ”
“มะ ไม่ใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ ดิฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“หลุดแล้วนะ ฉันรู้จักสเตลล่าเหมือนที่สเตลล่ารู้จักฉันดีใช่ไหม?”
“……ต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องโทษตัวเองขนาดนั้นก็ได้ ต้องขอบคุณเธอ…..กับอริซด้วยซ้ำ”
ฉันหน้าเงยโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พอพูดออกไปอย่างชัดเจน ฉันที่เหลือมมองย้อนกลับไปก็เห็นสเตลล่าก็ยิ้มเขินอาย หายาก
ลองคิดดู สเตลล่ายิ้มอย่างมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ฉันไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับพ่อแม่และกลุ่มอำนาจกลาง
“มีความสุขจังเจ้าค่ะ”
“ฉันหวังว่าเธอจะยิ้มแบบนั้นได้ตลอดไปน่ะ”
“ดิฉันจะแสดงรอยยิ้มให้ท่านเห็นเท่าที่จะทำได้เจ้าค่ะ”
“สำหรับฉันสินะ”
“ดิฉันจะแสดงให้เห็นกับเพียงคนที่มีคุณค่าเทียบเท่าแฟร์มีลซามะเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ฟูฟุๆๆๆ ฮาๆๆๆ แพงมากเลยไม่ใช่รึไง?”
“เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ไงเจ้าคะ”
ฮะแอม ฉันกระแอมไอ ก่อนอธิบายต่อคร่าว ๆ
ม๊า ถึงคิดว่าจะไม่จำเป็นแล้วก็ตาม
“เพราะนัยน์ตาของพวกไลลาตอนที่มาที่นี่เปร่งประกายเจิดจ้างดงามไงล่ะ”
“นัยน์ตาหรือเจ้าคะ?”
“ใช่ เหมือนเด็กสาว(เพื่อนสนิท)ที่ไหนสักแห่ง”
“……เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ นอกจากนั้นยังไม่ฟังคำพูดของใครด้วยสินะเจ้าคะ”
“จริง ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ปกติชอบทำตัวนุ่มนิ่มขี้อายแท้ ๆ แต่พอเวลาจะลงมือทำขึ้นมา ในช่วงเวลาแบบนี้เท่านั้นที่ดูพึ่งพาได้มากกว่าใคร ๆ”
ใช่ไหม อริซ
ในเวลาเช่นนั้นที่ทุกคนต่างยอมแพ้ กลับมีเธอที่มักกล้าเผชิญหน้าเสมอ
สีทองคู่นั้นที่ส่องสว่างในความมืด และสีเงินเปร่งประกายอ่อนโยนที่ช่วยนำทางฉัน
ตอนนี้เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้า
ฉันเชื่อเธอ ฉันเชื่อในตัวเธอที่เชื่อในตัวฉัน
…….ร่วงหล่น มัวหมอง เสื่อมถอย จมดิ่ง แต่เธออุ้มหัวใจของฉันขึ้นมาและโอบกอดให้ความอบอุ่น
――――ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอสูญเสียแสงสว่างของตัวเองแน่นอน