[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 94 ตอนที่ 14 ลูน
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 94 ตอนที่ 14 ลูน
ตอนที่ 14 ลูน
“นั่นมันอะไร ไฟ?”
“คุ……”
มิร่าซังรีบกลบกองไฟเพื่อปกปิดการมีตัวตนอยู่ของพวกเรา แต่ก็สายเกินไป ฉันได้ยินเสียงนั้นจากตำแหน่งไม่ไกลนัก ในความมืดมิด แม้แต่แสงสลัวก็ยังปรากฏให้เห็นเด่นชัด แม้จะพยายามทำลายกองไฟอย่างรวดเร็ว แต่ถ่านที่ยังคุอยู่ภายใต้กองไม้ก็ดับไม่ง่ายนัก และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ถูกพบเห็นภายในป่าแห่งนี้
ถ้าหากกระโดดขึ้นหลังม้าและรีบหนีทันทีก็อาจจะทันเวลา แต่การเคลื่อนไหวหลังจากถูกตรวจเจอนั้นเป็นอันตราย ที่สำคัญคือต้องทิ้งสัมภาระทั้งหมดไป และต่อให้ห่อทะยานไปบนหลังม้า แต่ด้วยความมืดเช่นนี้ ฉันแน่ใจว่าจะถูกจับได้ระหว่างทางแน่นอน เหนืออื่นใดก็ไม่มีเวลาที่จะแก้สายบังเหียนที่ผูกติดอยู่กับต้นไม้ได้ทัน
แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นประชาชนธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่เกษตรกรเท่านั้น ฉันหมายถึงแปดหรือเก้าในสิบคนน่าจะเป็นนายพราน ไม่อย่างงั้นฉันก็คิดว่าพวกเขาจะกล้าเข้ามาในป่าตอนกลางคืนแบบนี้ แม้แต่อัศวินที่ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้ป่าในตอนกลางคือก็ยังเป็นอันตราย หากปราศจากการนำทางจากนายพรานที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้คอยควบคุม พวกเขาไม่มีทางผ่านมาได้ไกลขนานี้แน่นอน
และการที่พวกเขาคุ้นเคยกับการทำงานในที่มืด หากถูกเล็งมาด้วยธนู ม้าที่พึ่งเริ่มออกวิ่งจะกลายเป็นเป้าหมายชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นม้าศึกที่แกร่งแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถออกตัวพร้อมกับคนบนหลังไปถึงความเร็วสูงสุดได้ในทันที
“แย่ชะมัด ข้าลืมระวังแนวหลังไปซะได้…..วีรบุรุษอะไรกัน”
“ดูเหมือนการต่อสู้แต่กับกองเอกสารจะทำให้ฝีมือข้าทื่อไปเสียแล้วสิน้อ”
คุณพ่อกับคุณตาโทษตัวเองและเสียใจกับการตัดสินใจก่อนหน้าเป็นอย่างมาก และถึงจะมองเห็นได้ไม่ชัด เพราะใบหน้าอยู่ในเงามืด แต่ฉันก็แน่ใจว่ามิร่าซังเองก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกัน
ใช่แล้ว กล่าวให้ถูกคือตอนนี้พวกเรากำลังแทรกซึมเข้ามาในเขตอิทธิพลของศัตรู การที่มาเรียนามีสถานการณ์เป็นมิตร ไม่ได้หมายความว่าภูมิภาคอื่นจะต้อนรับพวกเราในทางที่ดี
……ตามปกติแล้ว คนหนึ่งในหมู่พวกเราจะต้องรู้สึกตัวได้เร็วกว่านี้ แต่เพราะพวกเราต่างเหน็ดเหนื่อยกันจนหมด ความแข็งแกร่งทางกายนั้นไม่เท่าไร แต่เหนืออื่นใดคือพลังจิตใจ ความกดดันที่ว่าถ้าพวกเราไปไม่ทันก็อาจจะเกิดการปะทะกันอย่างนองเลือด และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ราชอาณาจักรจะถูกทำลายจนพินาศ ทำให้พวกเราต้องมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงให้เร็วที่สุด
เรื่องเหล่านี้ทำให้ความระมัดระวังในการระวังหลังลดลงโดยไม่รู้ตัว ……..และอีกหนึ่งความกังวลที่เป็นสาเหตุ ก็คือทุกคนต้องการให้ฉันสามารถพักผ่อนให้ได้มากที่สุด เห็นได้จากที่ฉันหลับสนิท
“พวกหน่วยสอดแนมของกองอัศวินอะไรทำนองไหม……?
“ใครจะรู้ โอ้ย ไปดูกันเถอะ”
“โอะ โอ้…… !”
บางทีแม้แต่พวกม้าก็รับรู้ได้ถึงเหตุวิกฤตจึงกระทืบเท้าอย่างกระสับกระส่าย พวกเราตั้งเต็นท์ที่นี่โดยคิดว่าน่าจะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการซ่อนตัว แต่นั่นก็หมายถึงไม่ใช่แค่เหมาะสำหรับพวกเราเท่านั้น ป่าในตอนกลางคืน ไม่เพียงแต่มนุษย์ แต่กับสัตว์ที่สัญชาตญาณธรรมชาติอย่างอายาเมะและพวกม้าเองต่างก็สัมผัสทื่อลง ทำให้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมองเห็นที่ยากและแย่ แม้แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าอื่น ๆ เช่นการได้ยินที่น่าจะพึ่งพาได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังถูกเสียงฝีเท้าการหายใจของสัตว์ป่าที่เคลื่อนไหวในป่า และเสียงของต้นไม้ที่ไหวตามสายลมหลอกหลอนเอาได้ ตัวอย่างเช่น สำหรับผู้คนที่กำลังคิดวางแผนที่จะโจมตีเหล่าขุนนางของเมืองในยามค่ำคืน ไม่มีวิธีใดที่จะดีไปกว่าการซ่อนตัวจนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย
เรื่องพวกนั้นถ้าคิดดูสักนิดก็น่าจะรู้ได้ ถึงจะมีความคิดว่าไม่มีอะไรแน่นอนในเวลาเช่นนี้ แต่สิ่งแรกที่ควรระวัง กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด เพราะว่าเหนื่อย ตอนนี้ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างอีกต่อไป ยังไงก็ตามพวกเราต้องผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปก่อนให้ได้
“อุ………”
…..และถึงแม้ในหัวจะคิดเช่นนั้น แต่ร่างกายกลับไม่ฟังสิ่งที่พูด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าที่ครอบง่ำ สิ่งนั้นบางครั้งก็ทำให้เท้าของมนุษย์ทื่อลง และทำให้เกิดวิกฤติมากขึ้นอีก สิ่งนั้นขัดขวางเหตุผลด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแข็งกระด้าง แต่เดิมเป็นเสียงกริ่งที่ดังขึ้นเพื่อตรวจจับวิกฤตและหลบหนีจากไปอย่างรวดเร็ว
――――「ความกลัว」ยังไงล่ะ
“อริซซามะ ได้โปรดใจเย็น ๆ เอาไว้นะคะ อริซซามะ…….”
ต้องขอบคุณเบลล์ซังที่กระซิบข้างหูพร้อมลูบหลังไปด้วยทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดความคิดอันไม่พึ่งประสงค์ที่ติดอยู่ในใจของฉันออกไปได้
……..ฉันเข้าใจ รีบเคลื่อนไหวกันเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ควรแค่ทำตัวสั่นอยู่ในเต็นท์แบบนี้
“เบลล์ ควรทำยังไงดี……..?”
“สำหรับตอนนี้ อันตรายเกินไปที่จะอยู่ตรงนี้ต่อ รีบไปซ่อนตัวหลังฮัททีเรียซามะกันเถอะค่ะ!”
“เข้าจ๊ายแล้ว….. !”
ฉันตีขาที่สั่นเพื่อปลุกเพื่อกระตุ้นตัวเอง แล้วยืนขึ้นพร้อมกับถือคู่หูเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว เบลล์ซังจับมืออีกข้างที่ว่างอยู่และนำทางไป ฉันตามเธอออกจากเต็นท์ ไปรวมกลุ่มข้างหลังพวกคุณพ่อที่พากันไปซ่อนตัวอย่างรวดเร็วหลังต้นไม้ที่ผูกม้าขาวไว้
….แกร๊บ แกร๊บ เสียงเหยียบใบไม้ที่ร่วงใกล้เข้ามา ไม่ใช่พวกคุณพ่อ ฉันหมอบลงและเอนหลังพิงลำต้น และเมื่อเหลือบมองไปในทิศทางของเสียงก็เห็นเปลวเพลิงเล็ก ๆ ก็วูบวาบระหว่างต้นไม้ คบเพลิงล่ะ สองคนที่มาตรวจดูสถานการณ์ หรืออาจจะมากกว่านั้น ――――
” ―――― พะ พวกเจ้าเป็นใครกัน!?มาทำอะไรกันที่นี่……..”
“เจ้าโง่ ดูที่เสื้อผ้าของพวกมันสิ! ถึงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ต้องเป็นพวกขุนนางแน่!”
“เดี๋ยวก่อน! พวกข้าไม่มีความตั้งใจที่จะสู้กับพวกเจ้า……. !”
ครู่ต่อมา ชายสองคนก็ปรากฎตัวขึ้น ระยะห่างระหว่างพวกเราแค่สิบก้าว แสงที่ส่องสว่างจากคบเพลิงทำให้เห็นของในมือขวาที่เป็นแท่งไม้ที่มีปลายเหมือนส้อม น่าจะเป็นเครื่องมือทำนาที่ปกติใช้ไถพรวนดิน
คุณตาพยายามพูดกับพวกเขา แต่การมาพบพวกเราโดยไม่คาดคิดในช่วงที่จิตวิญญาณแห่งการกบฏกำลังลุกโชน ทำให้คำพูดเหล่านั้นไปไม่ถึงทั้งสองคนที่กำลังเร่าร้อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นที่ถือคบเพลิงหันย้อนกลับไปยังทางที่มา
“ขุนนาง!มีขุนนาง!”
เสียงตะโกนก้องกังวานไปทั่วป่า แต่ไม่นานความโกลาหลก็ปะทุขึ้นเหนือความมืด เมื่อเสียงอันดุดันสงบลง ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก
ไม่นะ ไม่นะ….. ! ถึงจะเป็นพวกคุณพ่อ แต่จำนวนก็แตกต่างกันเกินไป และเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งกำลังเดินทางตามถนนสายนี้โดยตั้งใจที่จะโจมตีตอนกลางคืนตั้งแต่ต้น ดังนั้นพวกเขาจึงพร้อมรบโดนสมบูรณ์แบบ ในทางกลับกัน พวกเราอยู่ในสภาพที่แทบจะเหมือนกับถูกจู่โจมสายฟ้าแลบขณะพักผ่อน แม้จะชักดาบแล้วความโกลาหลก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้ อีกฝ่ายรู้ถึงตำแหน่งของพวกเราอย่างคร่าว ๆ หลังการตะโกนออกไปครั้งก่อน หากถูกโจมตีจากหลายทิศทางในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยหลัง
“กุ…..อย่างน้อยแค่ฮิเมะก็ยังดี…… !”
มิร่าซังบอกเป็นการอ้อม ๆ ให้ฉันกับเบลล์ซังหนีไป แต่สายตาของเธอกลับไม่ได้มองมาทางนี้ เพราะจะเป็นการเปิดเผยว่าฉันกำลังซ่อนอยู่ตรงไหน แต่คุณพ่อก็ตะโกนขัดจังหวะคำพูดและกระโดดออกไป
“หลบไป!”
“นะ――――………. !?”
ชั่วครู่หนึ่ง เงาขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ก็ลอยผ่านคบเพลิงของชายที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ มิร่าซังสามารถตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้ทันท่วงที ถ้าเป้าหมายเป็นฉัน ฉันแน่ใจว่าจะโดนโจมตีเข้าเป้าตรง ๆ
บางทีอาจเพราะยืนไม่มั่นคงดีพอทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะกระโดดหลบได้อย่างรวดเร็ว มิร่าซังจึงเอนลำตัวส่วนบนไปทางซ้าย และวาดดาบในมือขวาตามแนวทแยงมุมในทิศทางของการโจมตี
กิ๊ไง เสียงทุ้มที่เกินจากการไถลไปตามใบดาบและตกลงมาที่ต้นไม้ตรงข้ามกับที่ฉันอยู่
……นั่นคือ หิน หินที่หากมองหาสักครู่ก็จะสามารถพบได้ทุกหนแห่งตกลงมา ถ้าผู้ใหญ่ขว้างด้วยการทุ่มสุดกำลังก็แรงเพียงพอที่จะกลายเป็นอาวุธ หากตีถูกจุดก็ถึงขั้นกระดูกหักได้ ไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ตอนนี้หินที่กลิ้งลงมาไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดงความอาฆาตพยาบาทอย่างชัดเจน และทำให้กระดูกสันหลังของฉันสั่นสะท้าน
“จับพวกมันไว้ อย่าปล่อยให้หนีไปได้!”
“ได้โปรดรอก่อน …….. !”
พวกเขาจ้องมองกลับมาด้วยอาการคำราม การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ชายหนึ่งในกลุ่มสอดแนมสองคนที่ไม่ได้ถือคบเพลิงวิ่งเข้ามาพร้อมกับเครื่องมือทำฟาร์มที่ถือยื่นออกมาราวกับหอก แม้จะหลบอยู่ที่นี่ฉันก็ยังรู้สึกกลัว และในขณะที่คุณพ่อก็ยังพยายามที่จะเจรจา เขาก็ย่อขาซ้ายไปข้างหลังและร่างกายท่อนบนตั้งท่าก่อนตวัดดาบเข้าไประหว่างซี่ส้อม จากนั้นก็งัดโยนไปซ้ายตามแนวทแยงมุม การเปลี่ยนทิศทางของแรงอย่างกะทันหันทำให้ชายที่พุ่งเข้ามาไม่สามารถหยุดตัวเองได้ จนต้องปล่อยมือจากเครื่องมือทำฟาร์มให้ตกลงและถูกเตะให้ล้มกลิ้งไปด้านหลังพวกเรา
“หลบไปซะ ฮัททีเรีย!”
“ท่านพ่อตา!?”
คุณตาเข้าแทรกด้วยการผลักคุณพ่อจากข้างหลัง จากนั้นก็ฟาดเข้าใส่ไหล่และท้องของชายคนหนึ่งที่กระโจนออกมาจากช่องว่างระหว่างต้นไม้ทางซ้ายมือ แล้วคว้าเคียวตัดหญ้าที่หลุดจากมือของชายที่ส่งเสียงร้องคร่ำครวญกลางอากาศก่อนขว้างไปข้างหน้า แกร๊ง และเสียงการปะทะกันดังก้อง ก่อนลูกศรจะบินมาจากที่ไหนสักแห่งและเจาะลงพื้น ว่าแล้วเชียว มีนายพรานอยู่จริงด้วย
“โอ๊ โอร่าาาาาา!”
“หน๊อย ยัยนี้……… !”
ถัดออกไปไม่กี่ก้าว มิร่าซังกำลังเปร่างเสียงคำรามเข้าโจมตีใส่ชายอีกสองคนที่โผล่มา เธอก้าวถอยหลังหลบเสาไม้สองอันที่ล้มลงมาจนเหมือนรูปไม้กางเขน ก่อนหยุดอย่างกะทันหันและเริ่มจู่โจมอีกครั้งด้วยการเหยียบเสากางเขนแล้วกระโดดด้วยแรงจากขาทั้งสองข้าง ก่อนอ้าขากว้างหมุนตัวครึ่งรอบกลางอากาศเตะเข้าใส่ทั้งสองคนอย่างแรงจนกระเด็นออกไป
“ขอให้โชคดี!”
ทันทีหลังจากลงจอด เธอก็ใช้ดาบรับจอบที่ถูกเหวี่ยงลงมาทางด้านหลัง คว้าไม้แหลมที่ใช้เท้าเหยียบปลายจนเด้งขึ้นมาข้างตัวด้วยมือซ้ายแล้วเหวี่ยงด้วยพละกำลังเข้าตีมือที่ถือจอบอยู่อย่างแรง จากนั้นใช้แรงที่สะท้อนกลับแทงไม้แหลมลงบนพื้นด้านหลังหนึ่งก้าวก่อนใช้เป็นแก่นออกแรงบังคับร่างกายเหวี่ยงตัวหมุนเป็นกงล้อหลบจอบที่ตกลงมา ในขณะเดี๋ยวกันก็วนกลับไปกระแทกเท้าเข้าที่คางของชายที่กำลังจับมือที่ชาจนเขาล้มลงไป
วี๊ด เสียงแหวกอากาศดังเข้ามาใกล้มิร่าซังที่หยุดเคลื่อนไหวเพื่อปรับท่าทางของเธอ อันตราย ――――
” ―――― กรรรรรรรร!”
อายาเมะพุ่งเข้าแทรกอยู่หน้ามิร่าซังที่กำลังกลิ้งหลบไปด้านข้างอย่างกล้าหาญ จากนั้นกระโจนไปด้านข้างของลูกศรที่พุ่งมา อ้าปากกว้างและงับหยุดลูกศรด้วยหัวเล็ก ๆ ก่อนปรับท่าทางกลางอากาศลงพื้นอย่างนุ่มนวล เธอส่ายหัวนิดหน่อยแล้วโยนลูกศรที่เกือบหักลงต่อหน้าพวกคุณพ่อ ระหว่างที่ชายที่ยิงลูกศรกำลังประหลาดใจกับลูกศรที่ยิงไป เขาก็โดนเครื่องมือทำการเกษตรกระแทกเข้าระหว่างกลางจมูกระหว่างที่วิ่งจนเสียกลางทรงตัวและล้มลงอย่างรุนแรง
“……ขอบคุณ”
“โฮ่ง”
ระหว่างที่มิร่าซังกับอายาเมะชมเชยกันและกัน การต่อสู้ด้วยดาบก็สงบลงครู่หนึ่ง พวกเขาต่างสับสนว่าควรจะจู่โจมยังไงดี เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดต่างกันมากเกินไป แม้ว่าจะยิงลูกศรหรือขว้างหินไปที่ช่องว่าง ก็จะมีคนอื่นมาเข้ามาป้องกันให้ในทันที แม้จากมุมมองมือสมัครเล่นแบบฉันก็ยังคิดว่าเป็นการร่วมมือกันได้ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้แม้ว่าแต่ละคนจะต้องเผชิญหน้ากับหลายคนก็ยังมีพลังเหลือพอที่จะทำให้คนเหล่านั้นหมดสภาพได้อย่างสบาย ๆ ไม่สิ ทุกคนไม่ได้มีพลังไม่จำกัด แต่อย่างน้อยก็ไม่แสดงท่าทางประมาทออกมาให้เห็น หากไม่นับอายาเมะ ฉันเข้าใจว่าพวกคุณพ่อทั้งสามคนมีความาสามารถโดดเด่นมากที่สุดในราชอาณาจักร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อที่ถูกเรียกว่าวีรบุรุษ และคุณตาที่เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่สามารถเอ่ยปากยอมรับได้อย่างมั่นใจ แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่ามิร่าซังจะมีความสามารถเหนือกว่าที่คิดเอาไว้มาก
แน่นอนว่าลาบริกซ์ซังไม่มีทางเลือกเธอมาเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉันเพียงเพราะว่าเธอเป็นเพื่อนของคาลเมียร์ซัง ฉันเคยคิดว่าเธอได้ติดตามเขามาเพราะความสามารถ แต่ถึงอย่างงั้น…….ความเร็วที่ปลดปล่อยออกมาและเทคนิคที่ไม่ปกติเหมือนก้าวข้ามเวลา ฉันสงสัยว่าเทคนิคทั้งหลายพวกนั้นเธอเรียนรู้ด้วยตัวเองใช่ไหม
ฉันค่อนข้างมั่นใจว่ามิร่าซังเคยบอกว่า เวทมนตร์ของเธอเป็นพลังที่เอาไว้เพิ่มประสิทธิภาพทางร่างกายได้อย่างไม่เหมือนใคร ฉันสงสัยว่าความพิเศษที่ว่าคืออะไร และในตอนนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว บางทีเวทย์มนตร์เสริมความแข็งแกร่งทางร่างกายของมิร่าซังอาจจะเป็น เวทมนตร์ของ”การเร่งความเร็ว” ด้วยการส่งกระแสพลังผ่านเส้นประสาท……เข้าไปเสริมความแข็งแกร่งเพื่อเร่งความเร็วปฏิกิริยาของร่างกาย ต่างจากรูปแบบทั่วไปที่จะไปเพิ่มแรงกาย หรือความแข็งแกร่งของร่างกายแบบง่าย ๆ
เท่าที่เรียนมาในโรงเรียน รูปแบบเฉพาะตัวเป็นของที่หายากอย่างที่สุด เพราะไม่ใช่เวทมนตร์รูปแบบที่สืบทอดผ่านทางสายเลือด เข้าใจแล้วว่าทำไม มิร่าซังถึงแสดงออกมาว่าพิเศษ
“ได้โปรด ได้โปรดฟังข้าด้วย!”
“ไม่ว่าทั้งพวกข้า หรือพวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะมาหลั่งเลือดในที่แบบนี้……!”
คุณพ่อและคุณตาพยายามคุยกับพวกเขาอีกครั้ง แล้วเหมือนพอหัวเย็นมีเวลาคิด ครั้งนี้จึงส่งไปถึง เพราะไม่มีการขว้างหินกลับมาเป็นคำตอบ แต่ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีคำตอบกลับมาในทันที บางคิดคงกำลังคิดกันอยู่
บางทีฝั่งนั้นอาจจะคิดว่าไม่สมเหตุสมผลกันอยู่ พูดไม่ได้ว่าไม่มีคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็แค่ปากแตก ล้มกระแทก และแผลถลอก ไม่มีเหตุถึงขั้นเสียเลือดเนื้อกันมากกว่านั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นเป็นการต่อสู้อย่างหนักจนถึงเมื่อกี้ก็ตาม อย่าแสดงช่องว่างให้อีกฝ่ายโจมตี ขอบเขตนั้นชัดเจนสำหรับทางฝั่งนี้
และในไม่ช้าพวกเขาอาจจะสังเกตเห็นถึงการคงอยู่ของฉัน หากยังสามารถถูกเข้าโจมตีได้จากหลายทิศทางแบบนี้ ไม่มีทางที่จะไม่เริ่มเปิดฉากโจมตีพวกเขาก่อนเพื่อสร้างความวิตกกังวล หากพุ่งเข้าไปทำให้ปั่นปวนสักนิดก็จะทำให้ง่ายต่อการหลบหนี ถ้าสร้างสถานการณ์เช่นนั้นก็จะสามารถสลัดการไล่โจมตีจำนวนเล็กน้อยได้ด้วยกำลัง
หรือก็คือมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มีใครบางคนที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้หลบซ่อน และพยายามที่จะปกป้องอยู่แน่นอน น่าสงสัยว่ากำลังซื้อเวลาเพื่อให้ใครบางคนสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย และไม่ให้เกิดเรื่องอย่างโดนลูกหลงจากลูกศรของผู้ไล่ล่ายิงเข้าใส่โดยบังเอิญ
……..ไม่คิดว่าพวกเขากำลังคิดเช่นนั้นอยู่เหรอ
นอกจากนั้นจริง ๆ เหมือนจะมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถทำร้ายประชาชนาทั่วไปได้ แต่ที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพยายามซื้อเวลาจนกว่าฉันจะหลบหนีไปพร้อมกับหาทางแก้ไขผ่านการสนทนาอยู่ ถัดจากฉัน เบลล์ซังกำลังปลดสายบังเหียนของม้าขาวที่พันอยู่รอบลำต้นไม้ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตเห็น
“อริซซามะ อีกนิดเดียวค่ะ อีกนิดเดียว…….”
ฉันรู้ดี ต่อให้นึกถึงการปฏิวัติ ต่อให้นึกถึงความรู้สึกของทุกคน ฉันก็ควรหนีไปกับเบลล์ซัง และต้องไปให้ถึงเมืองหลวง แม้จะมีเหลือแค่เราสองคนก็ตาม ถ้าหากภาระอย่างฉันหายไป พวกคุณพ่อก็จะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย เป็นการตัดสินใจสุดท้ายที่ดีที่สุด
……แต่ว่า
แต่ว่า ฉันทำแบบนั้นไม่ได้
“ม๊ายเอา……….”
เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว เพื่อที่จะบรรลุการปฏิวัติ จะยอมทิ้งคุณพ่อ คุณตา มิร่าซัง และอายาเมะไว้ข้างหลังแล้วหนีไปไหม? ทำแบบนั้นแล้วพวกคุณพ่อจะหนีง่ายกว่าใช่ไหม? ถึงกระนั้น ความน่าจะเป็นที่ทุกคนจะหลบหนีได้อย่างปลอดภัยจะเป็นเท่าใดกัน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามีกันเท่าไหร่ จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังเข้ามาสมทบกันทีละคนสองคน หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ พวกเขาจะสามารถเข้ามารุมโจมตีทั้งระยะประชิดและระยะไกลได้จากทุกทิศทาง แม้แต่พวกคุณพ่อเองก็มีขีดจำกัด ถ้าไม่ใชสถานการณ์ที่ถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ถ้าหากพวกเรามีสภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มร้อย หรือบางทีพวกเราอาจจะอยู่ในสภาวะที่แบกรับความเหนื่อยล้าอย่างมากมาแต่แรกแล้ว ฉันไม่สามารถนึกภาพที่ว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ จะไม่มีใครถูกจับ………จะไม่มีใคร ไม่มีใครที่จะตายได้เลย
……..นั่นคือการให้ความสำคัญที่กลับกัน จะทำอย่างไรเมื่อสูญเสีย “ความสุข” ในการกระทำที่ทำเพื่อหวัง “โลกที่มีความสุข” ฉันตัดสินใจที่จะแบกรับชื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์ในเทพนิยาย ตอนนี้ ฉันมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริง
ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันก็อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้จะหมายถึงการสูญเสียชีวิตของตัวเอง ฉันอยากอยู่เคียงข้างทุกคนจนจบ
“……ลูน่า สเตลล่าซัง ลาบริกซ์ซัง คลอริน่าซัง อาจารย์………….”
แต่ แต่ถึงอย่างงั้น ในเวลาเดียวกันก็เป็นการกระทำที่ทรยศต่อความคิดของทุกคน ไม่ใช่แค่พวกคุณพ่อที่อยู่ที่นี่ แต่ยังรวมถึงลูน่า และคนอื่น ๆ ที่กำลังดิ้นรนอยู่ในราชอาณาจักร และความคิดของ คาลเมียร์ซัง ข้ารับใช้ทุกคน แม้กระทั่งชาวมาเรียนาที่มาส่งพวกเราออกเดินทางด้วยรอยยิ้ม ไม่สิ อย่างแรกเลย ถ้าฉันหนีให้เร็ว ความน่าจะเป็นในการเอาชีวิตรอดของทุกคนจะสูงขึ้น
….แต่ แต่ ไม่เอา เรื่องแบบนั้นไม่เอา ฉันไม่ต้องการเห็นรอยยิ้มที่อาจไม่มีทางได้เห็นเป็นครั้งที่สองเป็นภาพสุดท้ายของทุกคนที่ได้เห็น
“คุ กุ อุ………..”
เหตุผลกับเหตุผล ตรรกะและอารมณ์กำลังปะทะกัน ฉันควรทำยังไง ฉันควรทำอย่างไร ฉันควรทำอะไรดี
…..อก ปวดร้าว เจ็บ
“อุ ฮิ๊ว แฮ่ก…….”
“อริซซามะ…….. ? อริซซาม๊า!”
เบลล์ซังตะโกนจนลืมเกี่ยวกับการซ่อนตัว ฉันตระหนักว่าสายตาของพวกเขามองมาที่นี่ทั้งหมดในคราวเดียว
อ้า ไม่นะ เพราะฉัน ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ…….เป็นความผิดของฉัน――――
“――――บรู๊ววววーー!!”
“……อายา เมะ?”
ช่วงเวลาที่ฉันยอมแพ้กับทุกสิ่ง เสียงคำรามสีทองก็ดังก้องใต้ท้องฟ้าที่มีแสงจันทร์
เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนฉีกอากาศ ความมืดมืดถูกกัดและบดขยี้
……..เหตุผลที่หมาป่าหอนขึ้นท้องฟ้าคือ เพื่อความเศร้าโศกและความรัก หมาป่าสีทองเองก็ไม่ต่างกัน
ใช่ เสียงที่ดังก้องขึ้นสู่ท้องฟ้า การปรารถนา
ถึง”พวกพ้อง”ที่แง่นหน้ามองฟ้าอยู่เช่นกัน ได้โปรดอีกครั้ง และ――――
“――――ตรงนั้น! เร็วเข้า!”
“ช่วยท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!”
ตึกตึก ตึกตึก เสียงกีบเท้าซ้อนทับกันนับไม่ถ้วนจนเหมือนเสียงคำราม
หนึ่งในเสียงเหล่านั้น มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังของฉัน ขณะที่เบลล์ซังพยายามพยุงร่างที่ทรุดลงของฉันอย่างแผ่วเบา เมื่อมองย้อนกลับไปที่หางตาของฉัน นอกจากเส้นผมสีเงินที่สว่างไสวจากแสงจันทร์เปร่งประกายสีขาวงดงามแล้ว
“นั่นคือ…….”
เบลล์ซังพึมพำอย่างตกตะลึง มีเสียงที่ดูคุ้นเคย
ทำไม. ทำไมผู้หญิงคนนั้น …..พวกเธอมาอยู่ที่นี่
“――――โกกิเกงโยะ แฟร์มีลซัง นี่ต้องเป็นโชคชะตาของเรา ของพวกเราที่ถูกกำหนดโดยพระเจ้าเป็นแน่แท้ …….อ้า ไม่อาจดับแสงของท่านหญิงได้เลย”
“ทำ ไม……”
“ทำไมงั้นหรือค่ะ เพราะท่านหญิงบอกว่าเราเป็น「เพื่อน」กันยังไงละคะ”
เด็กสาวที่ต้องลาจากกับเธอทันทีหลังจากการที่คืนดีกันได้โดยที่ยังไม่ทันรู้จักชื่อของเธอ
ในโรงอาหารนั้น ในห้องสมุดนั้น และในวันจลาจลนั้น
มือที่เชื่อมต่อกันไม่สำเร็จ “เพื่อนคนที่สอง”ที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ แต่ตอนนี้กลับกำลังแกว่งเปียสีซากุระนุ่ม ๆ บนบ่าอยู่ตรงหน้าฉัน
เธอยกตราสัญลักษณ์ตาชั่งและดอกลิลลี่ขาว(ลิเลียม)ขึ้นมา อยู่ตรงนี่แล้ว
“ก็อกลิโก้ ลิเลี่ยม ไอริส พวกเราในวันนั้นได้เรียนรู้ความหมายของคำว่าขุนนางที่แท้จริง หลังจากที่ได้เห็น「ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง(โนเบลส・คลาร่า)」ยอมก้มศีรษะให้กับสามัญชน ถึงแม้จะเปอะเปื้อนไปด้วยโคลนก็ตาม ในวันที่โรงเรียนปิดก็ได้มีการลุกขึ้นมาจัดตั้งองค์กรสำหรับสนับสนุนทั้งสองท่าน ………. 「*หน่วยองครักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์*(ลูน・ไนท์)」”
“ลูน เน…..?”
แปลว่าอายาเมะ หมาป่าสีทองได้เรียกหา”พวกพ้อง(ลูน・วูล์ฟ)” คงจะพูดแบบนั้นได้สินะ
เธออธิบายให้ฉันฟังจากบนหลังม้าว่า สาว ๆ เพื่อนร่วมชั้นต่างยกย่องความยอดเยี่ยมของฉันกับลูน่าระหว่างที่พวกเราเดินกลับมายังที่นั่งหลังเสร็จจากการแสดงละครในงานเทศกาลโรงเรียน ระหว่างเล่า”เพื่อน”ของฉันก็แกว่างผมสีซากุระที่ได้รับสืบทอดมาอย่างภูมิใจอีกครั้ง
“ขอให้เราได้แจ้งนามให้ทราบอีกครั้ง ―――― เราคือ「ไลลา・ฟอน・เอสปรี」เรามาเพื่อรับตัวท่าน ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเรา แฟร์มีลซัง?”
เธอพูดราวกับกำลังแสดงละครอยู่ เธอ….ไลลายื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเธอ
คราวนี้พวกเราได้เชื่อมต่อกัน