[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 9 มาเรียนา・ไอริส
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 9 มาเรียนา・ไอริส
ตอนที่ 9 มาเรียนา・ไอริส
“อิ่มแล้วก๊ะ”
“ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทานอาหารจนหมดนะคะ”
ทำตัวเป็นเด็กดี ยิ้มให้กับเบลล์ซังที่กำลังเก็บจานอาหาร ฉันทานอาหารตามปกติได้จนท้องป่อง และนอกจากนี้ วันนี้ไม่รั่วละ
ฉันมองจานที่ค่อยๆถูกเก็บลงถาดทีละใบจนโต๊ะว่างเปล่า ก่อนถอนหายใจทีหนึ่ง ของที่ฉันจ้องคือเศษผลไม้สีทองที่เหลืออยู่บนจาน แมเรียนที่ถูกเอามาเสิร์ฟเต็มจานเช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้ก็ยังคงอร่อยอยู่ นี่คงเป็นสิ่งลึกลับที่พระเจ้ามอบให้โลกเบื้องล่าง
“แมเรียน……”
“อริซซามะทำท่าราวกับหญิงสาวในห้วงรักเลยนะคะ”
“ห๊ะ….”
เบลล์ซังจ้องมาที่ฉันที่กำลังคร่ำครวญให้กับแมเรียนในจานที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็วเกินไป ความรัก ฉันได้ยินแบบนั้น แต่อาจจะจริงก็ได้ที่ฉันหลงรักแมเรียนไปซะแล้ว
ใช่แล้ว นี่คือ―――
“ความรัก สินะ”
“ค่ะ?”
“ไม่มีอาร๊าย”
ฉันอุตสาหายดีจากความผิดพลาดเมื่อวานแล้ว จะมาพลาดแบบโง่ๆอีกไม่ได้แล้ว ม๊า แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ละนะ ฉันหวังว่าจะไม่มีเรื่องแปลกๆโผล่มาอีกนะ
“ท่านพ่อล่ะ?”
“ฮัททีเรียซามะ ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ค่ะ”
“งั้นเหรอ”
พูดถึงเรื่องเมื่อวานแล้ว เบลล์ซังคงไม่ได้รู้สินะ สายตาที่มาทางฉันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแปลกไปเป็นพิเศษ
แค่คิดว่าต้องถูกเบลล์ซังมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ฉันก็กลัวจับใจแล้ว แต่ถึงเกิดขึ้นมาจริงๆ มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยละนะ แต่ไม่ว่ายังไงก็โชคดีจริงๆที่ไม่มีอะไร
“ยังไงก็ตาม อริซซามะฉลาดหลักแหลมจริงๆเลยนะคะ ดิฉันได้ยินมาว่าสามารถเข้าใจเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้องด้วย”
“เล่ามางั้นเหรอ”
“ค่ะ?”
“ไม่มีอาร๊าย”
สมกับเป็นที่ปรึกษาระดับหัวหน้า ถึงสามารถรู้ได้แทบทุกเรื่องสำคัญแบบนี้
ฉันทำได้แค่หัวเราะแห้งๆส่งยิ้มให้เบลล์ซังที่ถึงยิ้มแต่ก็มีเครื่องหมายคำถามเต็มหน้า ดูเหมือนฉันจะโมโหแล้วพาลใส่เบลล์ซังไปซะแล้ว
“ท่านพ่อเล่าให้ฟังงั้นเหรอ”
“ฟุๆๆ เป็นเช่นนั้นค่ะ นอกจากนี้ยังร่วมทั้ง..”
“หืม?”
“ความเฉลียวฉลาดที่เกินกว่าผู้ใดค่ะ”
“งั้นเหรอ……”
เบลล์ซังยืนขึ้นพร้อมถาดใส่จานในมือ แล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะเปิดประตู เธอก็หันมาพูดกับฉัน
“เมื่อดิฉันกลับมา วันนี้ดิฉันจะเป็นผู้พาอริซซามะเดินชมรอบๆคฤหาสน์เองค่ะ”
“กับเบลล์?”
“ค่ะ เพราะดูเหมือนงานวันนี้ของฮัททีเรียซามะจะกินเวลามากกว่าปกติค่ะ จึงต้องไปกับดิฉันแทนค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
“แต่หากยังรู้สึกเหนื่อยเกินไปอยู่ วันนี้จะไม่ไปก็ได้นะคะ”
“ไม่ ไม่เป็นร๊าย”
“รับทราบแล้วค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขออนุญาตไปทำสะอาดก่อนนะคะ”
“อืม”
ฉันมองเบลล์ซังโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนออกจากห้องไป หลังจากมองประตูอยู่สักพัก ฉันก็หันไปมองหน้าต่างที่มีผ้าม่านบังอยู่
“ช้า”
ตอนแรกที่ฉันรู้สึกตัวว่ากลายเป็นเด็ก ฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจเพราะยังไม่ชินกับมัน และหลังจากนั้นไม่นานเมื่อชินจนสามารถขยับร่างกายได้ตามใจ ก็เจออุปสรรคใหญ่ ภาษา
และหลังจากที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดกับเบลล์ซัง และการอ่านหนังสือภาพเมื่อฉันอยู่คนเดียว ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ฉันเริ่มพูดได้เล็กน้อยแล้ว แม้คำศัพท์ยังเพี้ยนๆอยู่ แต่ฉันก็สามารถพูดคุยได้ทุกวันแล้ว
และหลังจากที่ได้พบกับคุณพ่อ ก็กล่าวได้ว่าอุปสรรคของชีวิตในตอนนี้ก็ได้หายไปเกือบหมด
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่การไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นจนทำให้ขี้เกียจมาตั้งสี่ปีแบบนี้ ดีแล้วรึเปล่านะ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาจากชาติก่อน
ไม่ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่สนใจอะไรเลย ในโลกนี้มีเวทมนตร์ที่ฉันไม่รู้จักอยู่จริง มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันสุดๆ ฉันอยากสัมผัสกับสิ่งลึกลับมาตลอด อยากรู้ว่าคนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์จะใช้ชีวิตแบบไหน ฉันมีความปรารถนาที่จะไปให้รอบโลก ไปเห็นสิ่งต่างๆ
แต่ว่าตอนนี้ความปรารถนาที่อยากจะนอนมีมากกว่า ความปรารถนาที่อยากจะนอนกลิ้งไปมาโดยที่มีเบลล์ซังและเหล่าเมดค่อยปรนนิบัติ
ม๊า แต่ท้ายที่สุด ฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ตลอดไป ดังนั้นมาพยายามเปลี่ยนจิตสำนึกขั้นพื้นฐานกันก่อนดีกว่า
“ใช่แล้ว เวทมนตร์”
พูดถึงสิ่งนั้น ในฐานะที่ฉันเกิดมาเป็น “ขุนนาง” ฉันก็ต้องมีเวทมนตร์ด้วยแน่นอน
ดูเหมือนว่าฉันจะได้รับการยืนยันด้วยวิธีบางอย่างในตอนที่กำเนิดขึ้นมา จึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรที่วิเศษแปลกประหลาดในตัวเลย หรือว่าการตื่นขึ้นมาของบางอย่างจะมีช่วงเวลาของมันอยู่?
“อื~~ม”
หลังจากคิดอะไรๆมาหลายอย่าง ฉันคิดว่าต้องลองใช้เวทมนตร์ดู เพราะฉันมีเวทมนตร์ไงละ แต่ว่าฉันไม่รู้ทั้งวิธีการใช้ และวิธีการรับรู้พลังเวทมนตร์ ทำให้ตอนนี้ฉันก็ยังใช้ไม่ได้สักที
“เฮ๊ เอ๊”
ฉันลองเพ่งไปที่ท้องน้อยแล้วลองดู ลองแกว่งมือด้วยท่าแปลกๆ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กุเน๊ะ~~….”
“――― ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ อริซซา….กำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นเหรอคะ?”
“อะ อืมม เวทมนตร์ ลองใช้”
เพราะสิ่งที่ฉันพยายามลองทำ เลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเบลล์ซังที่เข้าห้องมาเป็นฉันพอดี ฉันตอบกลับเบลล์ซังที่เอียงคอน่ารักอย่างตรงๆ เธออาจจะสอนให้ฉันได้ก็ได้….หวังอะไรแบบนั้นนะ
“เข้าใจแล้วค่ะ ….แต่ว่าดิฉันเป็นประชาชนทั่วไปจึงไม่ทราบรายละเอียดเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าพลังเวทย์มนตร์จะเอ่อล้นออกจากร่างกายในช่วงอายุเท่าอริซซามะ รู้สึกถึงได้รึเปล่าคะ?”
“พลังเวทมนตร์ ไม่”
“ดูเหมือนว่าอารมณ์ที่รุนแรงบางอย่างจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้น…..แต่ว่ามันก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะต้องสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วแน่นอนค่ะ”
“อืม”
“ฟุๆๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
ในขณะที่ฉันยังรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเบลล์ซัง เธอก็ลูบแปลงผมของฉัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเข้าใจแล้ว
นั้นคือหากร่างกายนี้สุขภาพดี พลังก็จะแสดงออกมาอย่างแน่นอน
ไม่สิ บางทีความทรงจำอัตตาที่ส่งผ่านมาจากชาติก่อน มันอาจจะกำลังรบกวนแรงกระตุ้นและอารมณ์รุนแรงที่จำเป็นอยู่ก็ได้
และมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอามากๆหากว่าเวทมนตร์ไม่แสดงพลังออกมา ถึงจะยังเป็นเรื่องที่ฉันคิดไปเองก็เถอะ
ที่สำคัญที่สุดคือ ฉันในตอนนี้ยังไม่มีความรู้มากพอ ดังนั้นคิดไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ยังมีเวลาอีกมากให้คิด ตอนนี้เอามันไปวางทิ้งไว้ที่สักมุมในสมองไปก่อนจะเป็นความคิดที่ดีกว่า แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ
“เบลล์”
“คะ”
“นี่ก็ เวทมนตร์?”
หลังฟังเรื่องราวของเวทย์มนตร์ ฉันเงยหน้ามองโคมระย้าที่แขวนอยู่บนเพดานแล้วถาม
ตามระดับเทคโนโลยีของโลกนี้ ฉันรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะมีไฟฟ้าใช้แน่นอน และฉันก็ไม่เคยเห็นอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆเลยด้วย ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันต้องมีเวทมนตร์บรรจุอยู่อย่างแน่นอน แต่ฉันก็ต้องการคำยืนยันอยู่ดี
“ค่ะ ถูกต้องแล้ว นอกจากนี้ โคมไฟเกือบทั้งหมดในคฤหาสน์ก็เป็นเวทมนตร์ค่ะ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟที่ใช้ไฟจริงๆอยู่ด้วยค่ะ ฮัททีเรียซามะจะใช้มันเป็นครั้งคราว”
“ทุกอย่าง”
“ค่ะ แต่ประชาชนทั่วไปจะใช้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟจริงๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ และเครื่องมือเวทมนตร์ก็มีราคาแพงเกินไป”
“งั้นเหรอ”
ตามที่คิดไว้เลย มันใช้เวทมนตร์ และมีราคาแพงมากๆ ฉันเข้าใจแล้วละ นอกเหนือไปจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้มีอำนาจจะเพิ่มราคาของมันจากราคาดั้งเดิม เพื่อไม่ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปซื้อได้ เพื่อปกป้องสิทธิพิเศษของตนเอง
“ถ้าเช่นนั้น จะออกจากห้องกันเลยไหมคะ?”
“อืม”
“ค่ะ งั้นไปกันเลยค่ะ”
ฉันจับมือของเบลล์แล้วลุกจากเตียง ระหว่างที่จับมือ ฉันก็นึกถึงความหลังนิดหน่อย
“Let’s Go”
“คะ?”
“ไม่มีอาร๊าย”
ในขณะที่ตอบว่าไม่มีอะไร เบลล์ซังก็พาฉันออกจากห้องผ่านประตูที่เปิดอยู่ และภาพแรกที่ฉันได้เห็นอีกครั้งก็คือรูปของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทางเดิน ถึงจะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังเป็นรูปที่สีสวยจริงๆ ระหว่างที่แสดงความสนใจในศิลปะเล็กๆน้อยๆที่ฉันก็ไม่ได้เข้าใจความหมายหรอก ฉันก็ถูกเบลล์ซังจูงมือมาจนถึงบันได
“เดินลงเองได้ใช่ไหมคะ?”
“อืม”
การถูกอุ้มลงบันไดมันดูน่าอายเกินไปสำหรับฉัน ถึงตอนนี้จะยังเหลือเรื่องเปลี่ยนผ้าอ้อมกับโถฉี่อยู่ก็เถอะ
“ทีละก้าว ทีละก้าว ค่อยๆช้าๆก็ได้ค่ะ”
“ก่ะ”
ก้าวลงบันไดทีละก้าวโดยจับมือเชื่อมต่อกันและกัน
ฉันรู้สึกว่า วันนี้จะสามารถลงได้เร็วกว่าเมื่อวาน
“โยย โช๊ะ…..ฟู่”
หลังลงมาจนถึงขั้นสุดท้าย ฉันก็ยื่นมือไปพิงกำแพงไว้ แล้วถอดหายใจเล็กๆด้วยความรู้สึกของความสำเร็จ ในขณะที่ปรับลมหายใจให้เข้าที่เล็กน้อย ฉันมองไปที่ทางเดินที่เปิดโล่งทางขวา เอาจริงๆเลย นี่เป็นร่างกายที่ไร้ความแข็งแรงสุดๆไปเลย เป็นความผิดของฉันเอง
“ค่ะ ทำได้ดีมากเลยค่ะ”
“กอบคุณ”
แม้จะเป็นทิวทัศน์เดิมที่ได้เห็นไปเมื่อวานนี้แล้ว ฉันก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ช่างเป็นอาคารที่หรูหรามากๆ ทางเดินในห้องโถงใหญ่เพียงพอที่จะให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆสองคนเดินสวนกัน
ตรงไปตามทางเดิน ประตูสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นห้องนอนของคุณพ่อ
แล้วห้องติดกันจากนั้นคือห้องทำงานที่ฉันเข้าไปเมื่อวานนี้ มีเสียงขีดเขียนอะไรบางอย่างเบาๆผ่านเข้าหูของฉันตอนที่เดินผ่าน ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูคือบันไดขนาดใหญ่ที่พาลงไปยังชั้นหนึ่ง
บริเวณใกล้บันไดเปิดกว้างสองถึงสามเมตร ไม่มีกำแพง มีการตกแต่งด้วยรั้วเพียงเท่านั้น
เพดานของที่นี่สูงกว่าห้องของฉันบนชั้นสาม มีโคมไฟระย้าขนาดใหญ่กว่าในห้องฉันสองเท่า
เมื่อเทียบกับชั้นสามซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องนอนและระเบียงขนาดเล็ก ชั้นสองที่มีจุดเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นหนึ่งรวมถึงพื้นที่ที่เปิดหากัน ทำให้ดูเหมือนว่าชั้นสองจะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณสองเท่า
เมื่อฉันลองมองย้อนกลับจากห้องโถงไปยังสุดทางเดินที่เดินจากมา สายตาของฉันก็สังเกตเห็นว่ายังมีอีกห้องหนึ่ง
เมื่อเบลล์หันตามไป รอยยิ้มอ่อนโยนก็หายไปจากหน้าเธอ กลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองเล็กน้อย
“ที่ตรงนั้น คือ ห้องของอลิเซียซามะค่ะ ภายในยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”
“…..ของคุณแม่?”
“ค่ะ …..อยากเห็นภายในรึเปล่าคะ?”
ฉันจ้องไปที่เบลล์ซังที่จ้องมาที่ฉันสลับกับจ้องไปที่ประตู หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันก็ตัดสินใจพยักหน้าให้
แน่นอนอยู่แล้วว่าในห้องนั้นไม่มีความจำใดๆของฉัน แต่ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถละสายตาไปจากห้องนั้นได้เลย
“รับทราบแล้วค่ะ ภายในมีของแตกง่ายอยู่ โปรดระวังด้วยนะคะ”
คี เมื่อเบลล์ซังเปิดประตูออก กลิ่นหอมอ่อนหวาน แต่หรูหราและสง่างามก็ลอยออกมาแตะจมูก โอบล้อมรอบร่างกาย การตกแต่งภายในห้องนั้นเรียบง่าย และดูเหมือนกับห้องของฉัน
พูดถึงความแตกต่างก็คงมีแค่ชุดขนาดใหญ่ถูกเรียงไว้ในห้องจำนวนมาก ฉันสงสัยจังว่าพวกนี้มีไว้ใช้ทำอะไรกัน
ฉันรู้สึกเหมือนมีเงาถูกฉายอยู่ที่นั่น เงาของคุณแม่ที่ฉันไม่เคยเจอ
“ท่านแม่…..”
“อึก….อริซซามะ…..”
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ทำเสียงเศร้าๆด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเหม่อลอยราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปทีกลางห้อง
ที่ถัดจากเตียงมีแจกันวางอยู่บนหิ้งข้างหน้าต่าง มีช่อดอกไม้สีขาวสวยเสียบอยู่ในแจกัน กลิ่นหอมหวานอ่อนโยนก่อนหน้านี้มาจากดอกไม้พวกนี้งั้นเหรอ
ฉันเดินเข้าไปเงยหน้าขึ้นหาดอกไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะเล็กน้อย ก่อนเอาจมูกแนบกลีบดอกแล้วสูดดมกลิ่นเบาๆ
มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ฉันได้กลิ่นตอนเข้ามาในห้อง ฉันหลับตาลงรับกลิ่นนุ่มนวลที่เข้ามาโอบล้อมให้ความรู้สึกปลอดภัย
ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เงาของคุณแม่เด่นชัดขึ้นมาในใจ จนทำให้ฉันเผลอเปล่งเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจ
“กลิ่นของ ท่านแม่”
“――― อริซซามะ…..”
เมื่อมองกลับไปที่เบลล์ซัง เธอพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเข้ามากอดฉันจนตัวลอยด้วยความซาบซึ้งใจแบบสุดๆ
เธอกอดรอบหัวของฉัน ใบหน้าของฉันถูกฝังลงในหน้าอกใหญ่หนานุ่ม และหัวใจของฉันก็เต้นตึกตักๆเช่นเคย
เธอใช้มือลูบหลังของฉันไปด้วย
“เอ๊ะ”
“อริซซามะ อริซซาม๊า……”
“มู่ว อู้วๆๆๆ”
“ถึงดิฉันจะไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านแม่ของอริซซามะได้ แต่ดิฉันจะรักอริซซามะให้มาก มากกว่าใครๆ….”
“อาอูๆ….”
ฉันส่งเสียงผิดปกติเหมือนเสียงอู้อี้ในหู ฉันพยายามเพิกเฉยกับความรู้สึกแปลกๆของตัวเองให้มากที่สุด การเคลื่อนไหวของฉันถูกหยุดอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นเบลล์ซังก็กอดรัดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ถึงมันจะรู้สึกดีที่ได้ฝังหน้าลงกับหน้าอกนุ่มๆแบบนี้ แถมได้ซ่อนหน้าแดงๆของตัวเองได้ด้วย แต่ว่าตอนนี้ฉันหายใจไม่ออกแล้ว
“มู้วววว อูว~~ อูว~~~”
“อริซซามะ….? อ๊า”
ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการดิ้นรนแปลกๆของฉัน จึงรีบปล่อยฉันออกทันที คราวนี้ฉันหน้าแดงในอีกแง่หนึ่ง หลังถูกปล่อยฉันก็รีบปรับลมหายใจทันที
“ขะ-ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ดะ-ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะ…..”
“……ม๊ายเป็นร๊าย”
ฉันทำปากจู๋เหมือนไม่พอใจนิดหน่อย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มาจากความโกรธ แต่มาจากความห่อเหี่ยวที่ฉันพึ่งสังเกตได้ว่าตัวเองลืมตุ๊กตายัดนุ่นตัวโปรด มันทำฉันรู้สึกเศร้า
“…..ให้ดิฉันไปนำมาให้ดีไหมคะ?”
เบลล์ซังถามฉันหลังเห็นว่าตุ๊กตาหายไปจากมือของฉัน ฉันพยักหน้าให้ ในขณะที่รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองดูออกง่ายขนาดนั้น ฉันขอโทษเบลล์ซังเล็กน้อยที่ต้องให้เดินขึ้นลงบันไดไปหยิบตุ๊กตามาให้ฉัน
“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ได้ไหมคะ?”
“….อืม”
เอาล่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันอยู่ห่างจากมือเบลล์ซังในที่ๆไม่คุ้นเคย แล้วพอมาดูชุดเดรสของวันนี้ สีฟ้า สีฟ้าอ่อน สีขาว มันมีสีโทนเย็นมากเกินไป ฉันมองไปที่ชุดเดรสสีดำในห้อง แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันลองนึกภาพตัวเองที่มีผมสีทองสวมชุดเดรสพวกนี้ ฉันเดาว่ามันต้องออกมาดูดีแน่นอน
แต่พอมาคิดแบบนี้แล้ว ผมสีเงินของฉันไม่ได้มาจากคุณพ่อหรือคุณแม่ มันทำให้ฉันไม่รู้จะอธิบายเรื่องสีผมของตัวเองยังไงดี จากนั้นฉันก็ทำได้แค่เอียงคอตัวเอง
“รอนานรึเปล่าคะ?”
“อึอ…..ผมของท่านแม่ สีอะไร?”
“เอ๊ะโตะ รู้สึกว่า จะเป็นสีทองสวยบริสุทธิ์ค่ะ”
สีเหมือนสีดวงตาของอริซซามะ เบลล์ซังตอบกลับมาแบบนั้นหลังจากที่ฉันถาม น่าสับสนจริงๆ ถ้าเธอตอบกลับมาว่าท่านแม่เป็นแค่แม่บุญธรรมที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน ฉันคงไม่ต้องสับสนขนาดนี้
อื~~ม เบลล์ซังมั่นใจว่าฉันกำลังมีเรื่องในใจจึงรีบเข้ามาหวีผมให้จนฉันรู้สึกดีทันที ราวกับสัญชาตญาณของคนรัก และเบลล์ซังยังตอบเรื่องที่ฉันคิดเหมือนมีพลังจิตอ่านใจได้เลย
“สีของเส้นผม จะถูกกำหนดโดยคุณสมบัติพิเศษของเวทมนตร์ที่ติดตัวมายามเกิดค่ะ”
“คุณสมบัติ?”
“ใช่ค่ะ นอกจากนี้ยังมีประเภทความถนัดของเวทมนตร์ด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่น ถนัดเวทมนตร์ธาตุไฟ ก็จะเชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือสร้างบางอย่างขึ้นมาค่ะ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปตามแต่ละคนด้วยค่ะ
ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีเวทมนตร์ จะมีผมสีดำหรือสีน้ำตาลค่ะ แต่ในบางกรณีที่หาได้ยาก พวกเขาอาจจะมีสีผมสีอื่นๆได้ค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ฉันเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้ามีพลังเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันก็ไม่แปลกที่พลังพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกายที่ไหนสักแห่ง อืมๆ ฉันพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนที่จะมีคำถามใหม่ผุดขึ้นมา
“ท่านพ่อ สีดำ เป็นขุนนาง….?”
ใช่ ถ้าจะถูกเรียกว่าขุนนางก็ต้องมีพลังเวทมนตร์ หรือมีลักษณะเด่นของเวทมนตร์ หรือว่าจะมีผมสีดำพิเศษที่แยกจากผมสีดำของประชาชนทั่วไป?
“อะ เอออออ ค่ะ ฮัททีเรียซามะไม่ได้เป็นขุนนางแต่กำเนิดค่ะ”
“หืม?”
“นายท่านได้รับการยอมรับจากพระราชา และกลายเป็นขุนนางค่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเล็กน้อยดังนั้นรอให้อริซซามะโตกว่านี้อีกสักนิด แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ดีกว่านะคะ”
“ก็ได้”
ท่าทางของเบลล์ซังดูจะเลือกคำบางคำด้วยอาการหงุดหงิด บางทีคงมีเบื้องหลังอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ฉันเลยไม่คิดอะไรอีก จากนั้นฉันเลยกลับไปที่คำถามเดิมที่เกี่ยวกับตัวเอง
“ผมสีเงิน มีเวทมนตร์ คืออะไร?”
“…..”
แล้วเบลล์ซังก็เงียบลงไปเหมือนนึกคำพูดไม่ออก ก่อนที่เธอจะเปิดริมฝีปากพูดกับฉันอย่างอายๆ
“นั้น นั้นสินะคะ…..ดิฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“ไม่รู้?”
“ค่ะ ผมสีเงินเหมือนของอริซซามะ ไม่มีใครในอาณาจักรนี้เคยมีมาก่อนเลยค่ะ”
“เอ๊ะ”
เรื่องราวดูยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าสีผมของฉันจะเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษหายาก ถึงอย่างงั้นจะเป็นไปได้เหรอที่จะไม่มีใครเคยมีมาก่อน? อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ ถ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็หมดคำพูดใดๆที่จะตอบกลับแล้ว แต่แบบนี้ฉันก็กลายเป็นของหายากเลยนะสิ ฉันยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ มันไม่จริงใช่ไหม
“อะ แต่ว่า……”
“คะ?”
ฉันคุ้นเคยกับการมีชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในชีวิตนี้แล้ว แต่ถ้าให้พูดตรงๆฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้คนของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ จริงอยู่ว่าฉันในตอนนี้เกิดและใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉันในตอนนี้คือความทรงจำและประสบการณ์ของชีวิตก่อน
อาจเป็นเพราะว่ามีจิตสำนึกของอีกโลกผสมปนเปเข้ามา จึงทำให้ไม่มีใครที่มีสีผมเหมือนของฉันจนถึงตอนนี้ ――― บางทีคุณสมบัติเวทมนตร์อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาจากโลกเก่า ยังไงก็เถอะตอนที่ฉันคิดว่าเข้าใจได้แล้ว ฉันกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
“เข้าใจแล้ว”
“อริซซามะ?”
“……อ อือึอ ไม่มีอาร๊าย”
“เช่นนั้นเหรอคะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะพิเศษยิ่งกว่าใคร ดิฉันรักผมสีเงินแสนสวยของอริซซามะมากๆเลยนะคะ?”
เบลล์ซังกอดฉันอีกครั้ง อย่างที่คิดไว้เลย หลังๆมานี้ฉันรู้สึกว่ามีพวกเราจะกอดสกินชิพกันมากขึ้น ถ้าบอกว่านี่คือช่วงเวลาของสาวน้อยในห้วงรักจะเป็นการเสียมารยาทไปรึเปล่านะ? ถ้าฉันปล่อยไว้แบบนี้คงไม่เป็นไร ฉันปล่อยให้เธอกอดจนพอใจถือว่าเป็นความใจกว้างของฉัน แต่ฉันรู้สึกเหมือนถูกความรักของเบลล์ซังโจมตีจนตกหลุมรักเธอแบบถอนตัวไม่ขึ้น
“เบลล์…..”
“อริซซามะ…..”
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ จมลงในห้วงรัก
ฉันเสมองออกไปรอบๆหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อสลัดความรู้สึก รีบเปลี่ยนบรรยากาศ
“บางที พิเศษ รึเปล่านะ”
“นั้นสินะคะ ดิฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เลยจินตนาการไม่ออกเลย”
ฟุๆๆ เบลล์ซังกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ เธอก็ยังคงชมฉันเหมือนที่ผ่านมา
“บางทีอริซซามะอาจจะสามารถใช้เวทมนตร์รักษาอาการบาดเจ็บและอาการเจ็บป่วยได้ก็ได้นะคะ เพราะอริซซามะมีผมสีเงินเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เลย”
“ฮีล”
“คะ?”
“ม๊ายมีอาร๊าย”
มันไม่สำคัญว่าชีวิตก่อนหน้าจะเป็นยังไง แต่คำที่หลุดออกมาจากความรู้ที่ได้จากงานอดิเรกเพื่อความบันเทิงก็มีประโยชน์เหมือนกัน
ถึงกระนั้นความสามารถในการรักษา ถ้าใช่จริงๆก็ยอดเยี่ยมมาก มันอาจเป็นความสามารถที่ฉันต้องการในชาติก่อนก็ได้
….ไม่สิ แต่ว่า นั้นน่ะ นั้นน่ะแปลว่าฉันจะสามารถถูกบังคับให้ต้องทำงานทั้งๆที่ร่างกายเสียหายหนักก็ได้ หรือก็คือ
“ถูกใช้งานจน…..”
” ――― อึก อริซซามะ นั้น….”
ใช่ มันหมายถึงการถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดมากยิ่งขึ้น ฉันเผลอพูดโดยไม่ระวังตัว ฉันต้องการได้รับการให้อภัย พอคิดขึ้นได้ ฉันก็ผงะทันที ดูเหมือนว่าอิทธิพลจากชาติก่อนจะยังไม่สิ้นสุด
ฉันไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ฉันส่ายหัวขับไล่ใบหน้าขมขื่นออกไป
“….อริซซามะเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆค่ะ ถูกต้องแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นอริซซามะอาจถูกจับเข้าไปอยู่ในวังวนของปัญหาต่างๆได้”
เบลล์ซังที่แสดงออกอย่างจริงจัง จนดึงฉันกลับสู้ความเป็นจริง
ไม่สิ ฉันอยากให้เธอหยุดรอสักหน่อย เรื่องราวเหมือนกำลังเดินหน้าไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด นอกจากนี้เหมือนจะเกิดความเข้าใจผิดที่แปลกประหลาดขึ้น มันกลายเป็นความวิตกกังวลไปแล้ว ฉันเลยพยายามที่จะหยุดแม้ในขณะนี้ฉันจะคุมการแสดงออกของตัวเองไม่ได้เลยก็ตาม
“บะ เบลล์?”
“อ้า……ได้โปรดอย่าทำใบหน้ากังวลเช่นนั้นเลยนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เวทมนตร์แห่งการรักษาเป็นเพียงแค่จินตนาการของดิฉันเอง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นจริง เบลล์คนนี้ จะขอปกป้องอริซซามะจนชีวิตจะหาไม่เองค่ะ”
“เอ๊ะ เอ๊?”
เบลล์ซังให้ความมั่นใจในขณะที่จับมือฉัน เธอปลอบโยนฉันมากมายจนฉันไม่สามารถตามทันได้
“ตลอดไปๆ ดิฉันจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป อริซซามะ…..”
“อะ อืม…..”
กุเอ๊ะ และฉันก็ถูกหน้าอกสุดนุ่มกอดบดขยี้จนร้อนไปทั้งหน้าอีกครั้ง ฉันลองคิดดูว่าตอนนี้เบลล์ซังกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย แต่เช่นเดียวกับคำว่าเดจาวูก่อนหน้านี้ คำว่าฮีลจะออกเสียงเหมือนคำสักคำในภาษาของจักรวรรดิไหมนะ
และจากนั้นระหว่างค้นหาคำตอบ ฉันก็เงยหน้าขึ้นและประสานสายตาเข้าให้กับสายตาหวานเยิ้มของเบลล์ซัง
ความรู้สึกรักอันรุนแรงถูกถ่ายทอดผ่านดวงตาสีดำสวยทำให้ฉันละลายหลงเสน่ห์ทันที
“อริซซามะ…..”
“เบลล์…..”
ม๊า ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าในที่สุดความเข้าใจผิดจำนวนมากจะได้รับการแก้ไขแล้ว และ ความคิดบางอย่างก็ถูกโยนทิ้งไป
อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ผ่านมาก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ส่วนตอนนี้ฉันขออยู่แบบนี้อีกสักนิด ขอถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของเบลล์ซังอีกสักนิด