ตอนที่ 18 The Ring of Gyges*
(*ชื่อตำนานแหวนล่องหนของกรีก ต้นแบบของนิยายแหวนยุคใหม่)
“…..เข้าใจล่ะ พยายามปิดชั่วคราวโดยอ้างว่าเป็นการเลื่อนวันหยุดยาวสินะ”
“อ้า ถูกต้อง เพราะแม้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา แต่ก็มีผู้ที่คัดค้านมากมายหากประกาศปิดกะทันหัน ดังนั้นจึงใช้ประโยชน์จากชื่อวันหยุดยาว”
ดิฉันกัดริมฝีปากอย่างขมขื่นขณะที่ฟังเรื่องที่ลาบริกซ์ซามะกับแม็กพ็อดซามะคุยกันอยู่
…..ใช่แล้ว การปิดโรงเรียนชั่วคราว แน่นอนว่าเป็นแผนในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามที่ง่ายที่สุด ต่อให้พวกเราพยายามแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางซ่อนเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนในเมืองหลวงได้ มีพยานจำนวนมาก และอัศวินที่วิ่งมาจากทั่วทุกทิศทุกมุมของเมืองหลวง ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจได้ว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น ข่าวลือสามารถแพร่สะพัดไปทั่วราชอาณาจักรได้ในพริบตา
แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดิฉันกังวลหรือคร่ำครวญ และดิฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองท่านที่นั่งนิ่งอยู่ทั้งอย่างนั้น ในที่สุดก็หันหน้ามาทางดิฉัน
“เบลล์ เจ้าคิดว่ายังไง”
“อ้า ยิ่งมีความคิดเห็นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี …….นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้นโดยตรงด้วย อดไม่ได้ที่จะต้องถามเจ้า”
“…..ค่ะ ดิฉันเข้าใจดี แต่ทว่า――――「ปฏิวัติ」งั้นเหรอคะ”
“…..อุมุ”
หลังจากใช้เวลาชั่วครู่ดิฉันก็สงบสติอารมณ์ลงได้ แต่แผนการที่ได้ยินจากทั้งสองท่านคือ การต่อต้านศูนย์กลางอำนาจของราชอาณาจักรในปัจจุบัน พูดง่าย ๆ คือ การปฏิวัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะแม็กพ็อดซามะเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองของราชอาณาจักร และลาบริกซ์ซามะ ที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพของราชอาณาจักรกำลังวางแผนที่จะร่วมมือกันโค่นล้มราชาองค์ปัจจุบัน ดิฉันไม่รู้จะพูดอะไรได้ ด้วยความสัตย์จริง ดิฉันไม่สามารถจัดระเบียบความคิดให้ตามทันได้เลย แม้ว่าจะมีการใช้มาตรการป้องกันเสียง และบริเวณโดยรอบมีการวางกำลังที่ไว้วางใจอย่างแข็งแกร่งจากทั้งสองฝ่าย แต่สถานการณ์คือ พวกท่านกำลังพูดถึงการกบฏในเมืองหลวงอย่างเปิดเผย ไม่ว่ายังไงดิฉันไม่สามารถสงบใจลงได้ ถึงทั้งสองท่านจะทำราวกับว่าไม่เป็นปัญหาใด ๆ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจ อืออ ดิฉันส่งเสียงคราง และจดจ่อความคิดว่าควรตอบคำถามไปทางใด
ประการแรก ทั้งสองท่านกล่าวว่า สงครามกลางเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อมองดูจากสถานการณ์ปัจจุบันของราชอาณาจักร และเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกกำหนดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ และหากเป็นเช่นนั้น ด้วยธรรมชาติของอาณาจักรเพื่อนบ้านเช่น จักรวรรดิลอเรเซียต้องเห็นเป็นโอกาสอันดีในการกลืนกิน ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเราพึ่งทำสงครามกับจักรวรรดิและความสัมพันธ์ก็แย่ถึงขั้นสุด เพราะอาณาเขตที่ถูกแย่งชิงมาจากสงครามครั้งก่อนถูกตั้งเป็นโซนเป็นกลาง …….นอกจากนี้ ในสงครามครั้งก่อนราชอาณาจักรได้เริ่มต้นโจมตีโดยอาศัยช่องว่างที่จักรวรรดิตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองจากการแย่งชิงสิทธิ์เหนือบังลังก์จักรพรรดิ พวกเขามีความรู้สึกที่อยากแก้แค้นไม่น้อยจึงเป็นการยากที่จะมองในแง่ดีที่ว่าพวกเขาจะไม่ฉวยโอกาสนี้ในการทำเช่นเดียวกัน ดูเหมือนยังไงการปฏิวัติโดยประชาชนทั่วไปก็ต้องเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าจะเป็นการดีกว่าหากทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของหน่วยข่าวกรองของแม็กพ็อดซามะ มาเรียน่า・ไอริสของพวกเรา และกองทัพราชอาณาจักรที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของลาบริกซ์ซามะ ขานรับการจลาจลโดยใช้ประโยชน์จากแผนการของกลุ่มต่อต้าน ย้ายโฉมหน้าการเคลื่อนไหวทั้งหมดให้เข้ามาอยู่ใน”ธงแห่งการปฏิวัติ”ในครั้งเดียว….กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การเปลี่ยนเจ้าของตำแหน่งผู้นำเบื้องหลังการปฏิวัติให้กลายเป็นพวกเรา …..แน่นอนว่าหากพวกเราสามารถทำงานร่วมกันได้จริง โอกาสของความสำเร็จก็สูงมาก
ในทางตรงกันข้าม ดิฉันคิดว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หากทำโดยไม่เลือกวิธีการ การป้องกันการก่อกบฎล่วงหน้าโดยใช้พลังทั้งหมดก็เช่นกัน…….แต่แล้วสิ่งนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า สุดท้ายความขัดแย้งก็กลายเป็นสิ่งที่ชี้ขาดที่จะนำไปสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอันยุ่งเหยิง
และข้อสันนิษฐาน การวางแผนอาศัยความชอบธรรมก่อนเหตุผลอื่น ๆ แปลว่าท่านไม่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ในปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว ……ม๊า ตรงกันข้าม ดิฉันคิดว่ามองหาคนที่ยังคงจงรักภักดียังหาได้ยากยิ่งกว่า เหล่าทหารราชองค์รักษ์และข้าราชบริพารต่างทำงานโดยการประจบประแจงพวกขุนนางที่ใกล้ชิดและเหล่าราชวงศ์ พยายามใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตัวเอง
“โครงสร้างพุพังสินะ”
ในระหว่างการพูดคุยสั้น ๆ คำที่กล่าวออกมาโดยแม็กพ็อดซามะค่อนข้างรุนแรง หรือจะบอกว่าเป็นความเห็นที่สามารถถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎได้ในทันที แต่ในเวลาเดียวกัน ดิฉันก็รู้สึกว่าเป็นคำที่แสดงถึงราชอาณาจักรในปัจจุบันได้อย่างเข้าใจง่ายมาก ศูนย์กลางที่พุพังส่งผลถึงภายนอก ประชาชนทั่วไปที่เป็นรากฐานของชาติกำลังกรีดร้อง ด้วยแรงผลักดันเพียงเล็กน้อยก็สามารถพังทลายสู่ภายในอย่างง่ายดาย แม็กพ็อดซามะที่ประชดออกมาอย่างคร่ำครวญ หัวเราะแห้ง ๆ อย่างขมขื่น
“……ข้าพูดเกินเลยไปหน่อยหรือไม่”
“ไม่หรอกครับ ถึงจะน่าเศร้า แต่ท่านก็พูดถูกแล้ว”
ลาบริกซ์ซามะที่เห็นพ้องต่อคำพูดนั้นต่อหน้าดิฉัน ทำให้ดิฉันสามารถพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการเห็นด้วย ถ้าพุพังก็ต้องสร้างใหม่ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของพวกเราที่ไม่มีทางเลือกอื่นให้ผู้คนอีกแล้ว …….ยุคสมัยกำลังร่ำร้องการปฏิวัติ ดิฉันรู้สึกเช่นนั้น
“แล้ว คิดว่ายังไง เบลล์”
“…….นั้นสิ นะคะ”
เรื่องราวย้อนกลับมาถึงจุดที่เกี่ยวเนื่องว่าทำไมถึงต้องปิดโรงเรียน มีสามสาเหตุหลักสำหรับเรื่องนี้
――――ประการแรกคือการทำให้แม็กพ็อดสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
หากยังคงอยู่ในสถานภาพเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นงานเบื้องหน้าอยู่จะเป็นข้อจำกัดใหญ่ในการดำเนินการอย่างใหญ่หลวง จนถึงตอนนี้พูดได้ว่างานส่วนใหญ่ของท่านคืองานเอกสารและใช้วิธีออกคำสั่งในระหว่างที่ฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง ดังนั้นท่านจึงสามารถจัดการกับงานเบื้องหลังงหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียนได้อย่างง่ายดาย แต่ในสถานการณ์ที่ต้องการก่อ…….การปฏิวัติครั้งใหญ่ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ตัวท่านต้องอยู่แถวหน้าด้วยตนเองและเตรียมสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังและรวดเร็ว เพราะแม้ว่าท่านจะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของราชอาณาจักร แต่หน่วยข่าวกรองของราชอาณาจักรก็ไม่ได้เป็นปึกแผ่นแต่แรก
แน่นอนว่าข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในของพวกเขาก็รวมอยู่ที่ดิฉัน ในฐานะหัวหน้าข่าวกรองมาเรียน่า・ไอริสด้วยเช่นกัน กองข่าวกรองทั่วไปมักมีหัวหน้าคนเดียว หัวหน้าจะทำหน้ารายงานข้อมูลสำคัญและมีประโยชน์ให้แก่ลาบริกซ์ซามะและอลิเซียซามะที่ตอนนี้เสียไปแล้ว หรือขอคำแนะนำโดยรวม เป็นหน้าที่ในการคัดเลือกและตรวจสอบข้อมูลที่สมาชิกในกองรวบรวมมา การผสมกองหินกรวดเข้าด้วยกันทำให้เป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้สามารถเข้าใจเรื่องเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย ยังไงก็ตามเมื่อดิฉันเดินทางมาที่โรงเรียนในปัจจุบัน งานของหัวหน้าหน่วยข่าวกรองส่วนใหญ่จึงถูกทิ้งไว้ให้คาลเมียร์ นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาและความพยายามในการส่งข้อมูลให้กับดิฉันดังนั้น สิ่งที่รู้อยู่ตอนนี้อาจจะเก่าไปซะหน่อยแล้ว
….ตอนนี้สถานการณ์ที่คฤหาสน์เป็นอย่างไร ดิฉันไม่ทราบข่าวคราวจากมาเรียนาเลย…..แต่ก็ขออธิษฐานให้ฮัททีเรียซามะ คาลเมียร์ คลอริน่าซัง แฮงค์ล็อตเต้ซัง และทุกคนปลอดภัย
“กังวลงั้นรึ”
“……ค่ะ”
“ณ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ยินเรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นที่อื่นอีก ข้าแน่ใจว่ามาเรียน่ายังปลอดภัยอยู่แน่นอน นอกจากนี้ที่คฤหาสน์ยังมีหัวกะทิอย่างคาลเมียร์และ…..วีรบุรุษอย่างฮัททีเรียอยู่ด้วย ต่อให้มีผู้บุกรุกหลายสิบหรือหลายร้อยก็ไม่คณามือหรอก ไม่ต้องกังวลไป”
ข้าเองก็เห็นด้วยตามนั้น แม็กพ็อดซามะกล่าวเสริมโดยไม่รอให้ดิฉันเอ่ยถาม อย่างที่ลาบริกซ์ซามะพูด แต่ละคนมีความสามารถเป็นอย่างมากราวกับมีกองอัศวินอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลแฟร์มีล และฮัททีเรียซามะก็ไม่ใช่ผู้ที่จะมองข้ามอันตรายที่จะเกิดแก่บุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอริซซามะ เชื่อได้ว่าจะปลอดภัยแน่นอน ตอนนี้จึงควรจะมาจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่มากกว่า ….ดิฉันจำการฝึกของอลิเซียซามะได้ ตั้งแต่ที่มาเป็นคนรับใช้ของอริซซามะ หัวใจของดิฉันอ่อนแอลงอย่างงั้นหรือ
แต่นั่นสำหรับปัจจุบัน
ประการที่สองคือ หลีกเลี่ยงการถูกใช้เป็นตัวประกัน
ตัวประกันคืออะไร ก็คือเหล่านักเรียนที่มาเรียนยังที่แห่งนี้ เป็นไปได้ว่าในระหว่างการปฏิวัติฝ่ายขุนนางจำนวนมากจะทำงานร่วมกันปกป้องประชาชนทั่วไป แม้แต่ลูก ๆ ของพวกเขาที่เข้ามาเรียนยังโรงเรียนหลวงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เด็กชนชั้นสูงโดยทั่วไปจะเข้ามาเรียนยังที่นี่
และนั่นคือปัญหา ……เพราะลูกหลานของขุนนางที่เลือกฝั่งปกป้องเกือบทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่ หากสัญญาณของกบฎถูกรับรู้ได้ สิ่งที่เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นคือ การส่งทหารส่วนตัวและทหารราชองค์รักษ์มาล้อมที่นี่เอาไว้ ซึ่งการทำแบบนั้นเพียงอย่างเดียวก็สามารถยับยั้งไม่ให้ขุนนางสามารถเคลื่อนไหวทำงานร่วมมือกันได้แล้ว สำหรับพวกเขา เด็ก ๆ เป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือทายาทของตระกูล โดยการปิดโรงเรียนชั่วคราว เด็ก ๆ จะถูกส่งกลับไปยังบ้านของตน และด้วยการป้องกันที่บ้านแต่ละหลัง ความปลอดภัยโดยรวมจะมั่นใจได้ อาจจะดูเจ็บปวดที่ปฏิบัติกับเด็ก ๆ เหมือนสิ่งของ แต่ก็เป็นแผนที่จะกระจายความเสี่ยงออกไป
และประการที่สาม ประการสุดท้ายที่ถ้าพูดให้ถูกต้องจะเป็นเหมือนหมายเหตุพิเศษต่อเนื่องจากประการที่สอง
….ใช่ การรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญซึ่งเป็นหัวใจหลักของแผนการครั้งนี้ หรือก็คือผู้เป็นนักแสดงนำของ”บทสนทนา”เมื่อวานนี้
ภายใต้สถานการณ์นั้นบุคคลหนึ่งใช้แค่คำพูดและหัวใจคลี่คลายสถานการณ์ ทั้งยังให้ความหวังและความเชื่อมั่นแก่พวกเขา――――
“อริซซามะ……….”
เจ้าหญิงทองคำและสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเงิน
เจ้าฟ้าหญิงรูนไฮม์และ…..อริซซามะจะเป็น”ธงแห่งการปฏิวัติ”
“อืมมม ฟู๊……..”
“ฮิเมะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“อืม”
เสียงสดใสดังต้อนรับทันทีที่ฉันตื่นนอน หลังการตอบกลับที่แทบจะเป็นการตอบกลับโดยอัตโนมัติไปแล้ว ฉันถึงรู้ว่าเป็นมิร่าซัง ไม่สิ ไม่ใช่เพราะรู้ว่าเป็นมิร่าซัง แต่เป็นเพราะมีเสียงของมิร่าซังเสียงเดียวต่างหาก ไม่มีเสียงของเบลล์ซังที่ปกติจะเป็นคนอรุณสวัสดิ์ก่อนเสมอ ฉันถูกตาที่ยังเบลอเล็กน้อยแล้วมองไปรอบ ๆ ห้องในขณะที่ยังนอนอยู่ ว่าแล้วไม่มีร่างของเบลล์ซัง ฉันจ้องไปที่มิร่าซังราวกับกำลังถาม เธอจึงหยุดมือที่กำลังจัดชั้นวางของอยู่แล้วเข้ามาหา เธอพึมพำเสียงเบาว่ามีอะไรรึเปล่าคะ หลังจากนั้นเธอก็เดาคำถามออกถึงจะช้าหน่อย
“น็อกซ์เบลซังตอนนี้อยู่ที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการค่ะ เธอออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ได้ยินว่าต้องไปคุยกับแม็กพ็อดซามะและลาบริกซ์ซามะค่ะ”
“……งั้นเหรอ ขอบกุณ”
ฉันเกือบจะเอียงคอให้กับชื่อที่พูดมา อ้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้เอง ถ้ามีเพียงลาบริกซ์ซังกับคุณตา ฉันคิดว่าคงเป็นเรื่องการประท้วงเมื่อวาน แต่การที่เบลล์ซังเข้าร่วมด้วย เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการพูดคุยข่าวกรอองบางอย่างเพิ่มเติม ลาบริกซ์ซังกับเบลล์ซังเป็นระดับสูงของมาเรียน่า・ไอริส…..และใช่ คุณตาเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ฉันรู้สึกประหลาดใจอีกครั้งกับข้อมูลจากความทรงจำที่คุณแม่ทิ้งเอาไว้ให้ ความรู้สึกลึกลับของการไม่รู้แต่ก็เหมือนรู้ ไม่รู้ว่าจะเซอร์ไพรส์ได้หรือเปล่า สำหรับตอนนี้ ลุกขึ้นก่อน ยิ่งไปกว่านั้นก่อนอื่น ฉันต้องขอโทษมิร่าซังก่อน
“มิร่า”
“คะ?”
“เมื่อวาน ขอโทษนะ”
แม้ว่าฉันจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น แต่ฉันก็ออกไปอยู่ต่อหน้าผู้คนที่ประท้วงอย่างรุนแรง และท้ายที่สุดเข้าไปพยายามคุยโดยไม่ยั้งคิด ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้โกรธ แต่ฉันก็ควรจะขอโทษอีกครั้ง หลังจากตอนนั้น ฉันได้พูดกับเบลล์ซัง ลูน่า และสเตลล่าซังแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดกับมิร่าซังให้เรียบร้อย เพราะเธอกับลาบริกซ์ซังรีบไปจัดการตามกระบวนการหลังการมาถึงของเหล่าอัศวิน มิร่าซังมีใบหน้าเศร้าเล็กน้อยก่อนส่ายหัว
“….ไม่หรอกค่ะ”
เธอพูดแค่นั้นคำเดียว ฉันแน่ใจว่าเบื้องหลังในใจต้องมีคำพูดมากมายที่ถูกบีบเก็บอารมณ์ไว้ ……แต่ ฉันเองก็มีอุดมคติของฉัน ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้เรื่องนั้น ฉันต้องทำอย่างนั้นเพราะฉันรักมิร่าซังและทุกคน และแม้ว่ามิร่าซังจะรักฉันเหมือนกัน แต่เธอก็กังวลว่าฉันจะโยนตัวเองเข้าสู่อันตราย ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังมั่นคงกับฉันที่เป็นแบบนี้ แม้จะเจ็บปวดมาก ๆ ที่ต้องทำแบบนั้น แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำ
“ยะ ยังไงก็เถอะ! ทานอาหารเช้ากันเถอะค่ะ ฮิเมะ!”
“…..อะ อืม”
มิร่าซังส่งเสียงสดใสด้วยท่าทางเกินจริงราวกับต้องการสลัดบรรยากาศที่หนักอึ้งออกไป คงไม่ดีเหมือนกันที่จะมีเรื่องหนักอึ้งแต่เช้า ฉันตัดสินใจปล่อยไป
“ว่าไปแล้ว”
ฉันยืดตัวออกหนึ่งทีแล้วนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมคู่หูข้างมิร่าซังที่เตรียมอาหารอย่างขะมักเขม้น ระหว่างที่มองดูน้ำในขวดถูกเทลงในถ้วย ฉันก็ส่งเสียงออกมาทันทีที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ว่าไปแล้วนักเรียนคนอื่น ๆ ทำอะไรกันอยู่ แน่นอนว่าฉันควรจะพักผ่อนต่อไป แต่ปกติวันนี้ควรจะเป็นวันเรียนปกติ แต่เพราะมีเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ดูเหมือนชั้นเรียนจะถูกยกเลิกอย่างที่คาดไว้ เป็นเพราะแรงกดดันและความเครียด หลังจากนั้นพอกลับถึงห้องฉันก็ผล็อยหลับไปทันที ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ยินอะไรเลย
“มิร่า”
“คะ ฮิเมะ”
ฉันถามมิร่าซังขณะที่กัดเนื้อแห้งที่เสิร์ฟบนจาน ฉันแน่ใจว่าเธอรู้ ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเป็นพิเศษ แต่มาจากความไว้วางใจที่คลุมเครือต่อมิร่าซังโดยไม่รู้สาเหตุ และมิร่าซังก็ตอบกลับมาจริง
“ค่ะ ดูเหมือนวันนี้จะให้เป็นวันหยุด และได้ยินมาว่าองค์เจ้าฟ้าหญิงจะเสด็จมาเยี่ยมประมาณเที่ยงวันตามกำหนดการเดิมค่ะ”
“…..งั้นเหรอ”
พอบอกมา ฉันก็จำได้ว่าเคยสัญญาไปแบบนั้น วันนี้ลูน่าจะมาที่ห้อง ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษ แต่ใช่ อยากอยู่ด้วยกัน ลูน่าดูเหมือนจะมีความคิดแบบนั้นเหมือนกัน ในตอนที่กำลังอำลากันเมื่อวาน ก่อนที่ฉันจะได้ทันพูด เธอก็ชวนขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นว่าฉันยิ้มได้มากขึ้น มิร่าซังก็ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ถึงแม้จำนวนจะเหลือไม่พอถวายให้องค์เจ้าฟ้าหญิงได้เพลิดเพลิน แต่ยังไงก็ตามออกจะค่อนข้างหยาบคายไปนิดที่จะไม่นำออกมาทั้ง ๆ ที่อยู่ตรงนั้น…….”
และ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีทองก็ถูกย้ายจากชั้นวางของสู่โต๊ะ อารมณ์ถึงจุดสุดยอดทันที มาทานกันตอนนี้กันเถอะค่ะ มีดที่ดึงออกมานั้นเปล่งประกายอย่างภาคภูมิ
“แมเรียน!”
ขนมปังที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งอยู่ในมือข้างหนึ่ง ในขณะดวงดาวลอยอยู่ในดวงตาของฉัน
ฉันส่ายขาอยู่ใต้โต๊ะ ฟุรุฟุรุ
MANGA DISCUSSION