[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 76 ตอนที่ 16 ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 76 ตอนที่ 16 ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง
ตอนที่ 16 ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง
“มิร่า โอจี่ซามะ….ลาบูริกซัง”
“อ้า ข้ามาเพื่อความมั่นใจ……ดีจริง ๆ “
ลาบริกซ์ซังที่ยังคงเปียกฝนอยู่หลังพูดแบบนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มิร่าซังกับคุณตาที่อยู่ข้าง ๆ ก็ทำท่าทางคล้ายกัน มีอะไรเกิดขึ้นก่อนมาที่นี่งั้นเหรอ ฉันรู้สึกยินดีมาก ๆ ถึงในความจริงจะกำลังสับสนอยู่ และต้องรู้สึกขอบคุณความคุ้นเคยที่ช่วยทำให้ฉันใจเย็นได้แม้ว่าในอกฉันตอนนี้จะยังอาละวาดอยู่ก็ตาม แต่จากมุมมองของฉันแล้วก็ยังกังวลอยู่ดีว่าจะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ ไม่สิ ยังมีลูน่าอยู่ข้าง ๆ เป็นความกังวลที่เกินกว่าเหตุไปจริง ๆ เพราะไม่มีการเคลื่อนไหวไหนสำคัญไปกว่าการพยายามรับประกันให้ความปลอดภัยส่วนตัวของเจ้าหญิงต้องมาก่อน พวกเราแค่อยู่ในห้องเดียวกันโดยบังเอิญ แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่าพวกเขามีความรู้สึกห่วงใยในตัวฉัน แต่มิร่าซัง คุณตา และลาบริกซ์ซังมีความรับผิดชอบตามตำแหน่งของตัวเอง ไม่สามารถให้ความสำคัญสูงสุดกับฉันได้ การที่ทุกคนสามารถเข้ามาที่ห้องอย่างรวดเร็วได้แทบจะทันทีที่ฉันรับรู้ถึงสถานการณ์ แปลว่าต้องได้ยินจากมิร่าซังว่าลูน่าอยู่กับฉัน ฉันทำให้จิตใจตัวเองสงบลงด้วยการคิดแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้นฉันก็เริ่มได้ยินเสียงดังของผู้คนจากทั่วหอพัก ฉันแน่ใจว่าได้ยินเสียงเหล่านั้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เพราะความสับสนทำให้เสียงเหล่านั้นไม่เข้าหูเลย แม้ว่าจะเป็นเรื่องฉุกเฉิน แต่ก็กำลังรบกวนทุกคน
“นั่น、 นี่คือ”
เมื่อเริ่มรู้สึกโล่งใจที่แต่ละคนรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไปได้ เบลล์ซังก็เอ่ยถามเสียงเบา ใช่แล้ว ถึงเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดลง เพราะเรื่องเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกตอนไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่าง ๆ รอบตัว ต้องใจเย็น ๆ แล้วทำการเคลื่อนย้าย ขั้นแรก ตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันและแบ่งปันข้อมูล
“อ้า ดูเหมือนประชาชนทั่วไปส่วนหนึ่งจะเหนื่อยกับการรอคอยในวิกฤติอาหารที่ไม่ดีขึ้นเลยจนเกิดเป็นการจลาจลน่ะ”
“ว่าแล้ว…….”
ทุกคนพากันพยักหน้าหงึกหงีกไปทั่วทั่งห้อง ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าที่หวาดผวาของหลายคนจากทางเดิน และเสียงปลอบใจนักเรียนเหล่าที่อยู่ในภาวะตื่นตระหนก น่าจะเป็นคุณครูของโรงเรียน ถึงแม้พวกเขาอาจจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ก็ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เป็นการทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ แต่ฉันมั่นใจว่านี่คือมาตรฐานขั้นพื้นฐานส่วนหนึ่งสำหรับคนที่เรียกตัวเองว่าครูของโรงเรียนแห่งนี้ ถ้าคำนึงถึงเรื่องของคุณตาจนถึงตอนนี้ ก็เป็นการง่ายที่จะตระหนักว่าเป็นผู้ที่สั่งการออกไป
“เท่าที่ข้าสังเกตโชคยังดีที่พวกเขาดูเหมือนจะมีอาวุธ สำหรับตอนนี้ ลูกน้องของข้า ผู้เฝ้าประตูดั้งเดิมของที่นี่ และอัศวินผู้พิทักษ์ของเจ้าฟ้าหญิงบางส่วนร่วมมือกัน………แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเราขาดแคลนกำลังคน”
สมควรที่จะเป็นเช่นนั้น เสียงตะโกนแห่งความโกรธที่ฉันยังคงได้ยิน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเป็นการกระทำโดยคนจำนวนน้อยตั้งแต่แรก ถ้ามองไปทางประตูโรงเรียน จะได้ยินเสียงประชาชนทั่วไปจำนวนมากกรีดร้องด้วยถ้วยคำแห่งการต่อต้าน ความไม่พอใจ และความโศกเศร้า ลาบริกซ์ซังกำลังพูดคุยยืนยันบางอย่างกับคนด้านหลัง หลังจากออกคำสั่งอัศวินที่น่าจะเป็นคนใต้บังคับบัญชาที่พามาด้วยแล้ว เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง
“…..นี่คือเมืองหลวงของราชวงศ์ ทันทีที่ข่าวไปถึง อัศวินจากกองทหารรักษาการณ์ในสถานที่ต่าง ๆ จะมาในทันที แต่ในระหว่างนี้ พวกเราจะไม่ใช่คำพูดที่นำไปสู่การกระทำที่รุนแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่ดำเนินการใด ๆ นี่จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมากหากหอพักถูกวางเพลิง เพื่อให้หนีได้ทันทีในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ข้าอยากให้ทุกคนไปรวมกันที่ชั้นหนึ่ง”
นั่นอาจสิ่งที่เขาสั่งกับลูกน้องของตัวเองเช่นกัน และเสียงที่นำทางนักเรียนไปที่ชั้นหนึ่งก็เริ่มปะปนออกมา ดูเหมือนว่าเขาได้ใช้เวลาจนถึงตอนนี้เพื่ออธิบายสถานการณ์ปัจจุบันให้ลูน่าฟัง แต่ทั้งลาบริกซ์ซังและคุณตาไม่สามารถอยู่พูดคุยกันที่นี่ได้ตลอดไป เดิมทีพวกเขาจะต้องเป็นหัวหอกผู้นำออกคำสั่งในตอนนี้
“ลูน่า ต้องไป”
“เอ๊ะ เอ๊…….นั่นสินะ ขอโทษด้วย”
ระงับร่างกายที่สั่นเทาและออกแรงบังคับขาให้ออกเดิน ฉันจับมือของลูน่าที่ยังคงจับไหล่ของฉันเอาไว้ด้วยความอึ้งตะลึงงัน กระตุ้นให้เธอเคลื่อนย้ายตอนนี้ ลูน่าพื้นคืนสติ และพยายามลุกขึ้นโดยพยายามกดอาการตัวสั่นเอาไว้ ต้องหลีกเลี่ยงอันตราย ลาบริกซ์ซังมองมาโดยไม่พูดอะไรก่อนหันไปหาเบลล์ซัง
“ช่วยคุ้มครองพวกคุณหนูอริซต่อไป และช่วยสนับสนุนพวกครูกับอัศวินผู้พิทักษ์ของเจ้าฟ้าหญิงไปตามสถานการณ์ทีน่ะ”
“ฮ้า ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตนี้ก็ตาม”
“…….มิแรนด้า เจ้าจะมาด้วยกันไหม”
“แน่นอนค่ะ!”
ในที่สุดหลังพูดคุยสองสามคำกับคุณตา ลาบริกซ์ซังก็ออกไปข้างนอกที่วุ่นวายอย่างเร่งรีบพร้อมกับมิร่าซัง ยืมตัวผู้เล่นมือหนึ่งไปซะแล้ว ฉันสงสัยว่าที่ทิ้งเบลล์ซังไว้เป็นเพราะ เป็นห่วงความปลอดภับทางจิตใจของฉัน หรือเป็นเพราะได้มอบหมายคำสั่งให้อพยพในกรณีฉุกเฉินไว้กัน บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง คุณตาซึ่งหันหลังให้กับลาบริกซ์ซังและคนอื่น ๆ หันมามองที่ฉันแวบหนึ่ง
“……..ไม่ต้องห่วงนะจ๊า ข้าจะปกป้อง ทั้งอริซ ทั้งเจ้าหญิงรูนไฮม์ และนักเรียนที่น่ารักของข้าทุกคนอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
――――นั่นคือสิ่งที่”ครู”เป็น
รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ออกมาพร้อมคำพูดนั้นช่วยคลายความวิตกกังวลของฉันได้อย่างลึกลับ ทำให้ฉันนึกถึงเหตุผลของครูกับนักเรียน ผู้ใหญ่กับเด็ก นั่นเป็นเหตุผลที่สามารถวางใจได้อย่างหมดห่วง และความเป็นห่วงต่อลูน่าเป็นเหตุผลที่ฉันกล้าเรียกลูน่าด้วยชื่อแทนเจ้าฟ้าหญิง
……ไม่เป็นไร ทุกคนจะปกป้องเธอเอง ดังนั้นฉันเองก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องทุกคน อันดับแรกต้องไปรวมตัวกันที่ลานชั้นหนึ่งตามที่บอก่อน ขณะที่ได้รับการคุ้มครองจากเบลล์ซังและสเตลล่าซังทั้งหน้าและหลัง ฉันก็จ้องไปที่ลูน่าพร้อมจับมือแน่น เราสื่อสารถึงความไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างแรงกล้า และรีบออกจากห้อง ฉันจับคู่หูเอาไว้ในมือซ้ายอย่างแน่นหนา แม้จะเป็นในเวลาเช่นนี้…..ไม่สิ เพราะเป็นเวลาแบบนี้ต่างหาก อาจเป็นเรื่องที่น่าสมเพช แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่ามีการสนับสนุนมากขึ้นเท่าไรก็จะดีสำหรับใจเท่านั้น
“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ เจ้าฟ้าหญิง!อ้า บาดเจ็บกันหรือเปล่าคะ!?”
พวกเราเลือกที่จะเดินแทนที่จะวิ่งลงบันไดไปชั้นสองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้หกล้มจนไปทำให้การจราจรติดขัด เมื่อฉันกำลังจะลงไปที่ชั้นหนึ่ง เด็กสาวที่ฉันพึ่งคืนดีไปเมื่อวันก่อนก็ส่งเสียงเรียกออกมา เมื่อมองไปที่คุณครูที่นำทางและนักเรียนที่ติดตามมา ดูเหมือนว่าจะเป็นลิเลียมคลาส ฉันสามารถยืนยันได้จากใบหน้าบางคนที่จำได้ว่าเคยเห็นในการแสดงชุดแรกของการแสดงเวทมนตร์ในงานเทศกาลโรงเรียน ยังไงก็ตามเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่ถึงแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ยังสามารถเคลื่อนย้ายรวมกันในแต่ละคลาสได้ในระดับหนึ่ง การจัดสรรห้องสำหรับแต่ละคลาสเรียนอาจเป็นเรื่องสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ยังไงก็ตาม แม้จะส่งเสียงเอะอะบ้าง แต่ก็ยังเคลื่อนย้ายกันตามลำดับโดยไม่ทำให้แถวยุ่งเหยิง สถานการณ์ค่อนข้างดูเป็นระเบียบ นี่เป็นผลมาจากการตระหนักรู้ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความเชื่อมโยงอย่างเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับงานแสดงของโรงเรียนงั้นเหรอ
“ม๊ายเป็นร๊าย”
“ค่ะ ท่านหญิงล่ะคะ?”
“ค่ะ หลังได้ยินเสียงเกรี้ยวกราด ฉันก็จมอยู่กับความรู้สึกสับสนและถูกกรีดเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร”
“…..ค่ะ เช่นนั้น รีบไปกันเถอะค่ะ”
ลูน่าที่ไม่ได้พยายามปิดปังสีหน้าที่ยังคงรังเกียจเธอ เรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงเธอ แม้จะเป็นแค่มารยาทชั่วคราวก็ตาม แต่ถึงกระนั้นฉันก็พอใจกับทัศนคติที่ไม่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง อาจจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉันซึ่งเป็นเหยื่อจะพูดเช่นนี้ แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่จะคิดว่าความสัมพันธ์แบบดีย่อมดีกว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ดี และเป็นการเบี่ยงเบนฉันไปจากการที่จะตำหนิเธอที่เรียกฉันด้วยชื่อแปลก ๆ เมื่อกี้
“โล่งอกไปที ในที่สุดก็มากันแล้ว พวกเธอเป็นกลุ่มสุดท้ายเลย”
หลังตามกลุ่มเด็กสาวลิเลียมคลาสมาจนถึงชานบันได คราวนี้ได้ยินเสียงหญิงสาวจากด้านหลัง คนนี้คือ ใช่แล้ว คนที่ทำหน้าตอนที่ฉันไปรับผลสอบแน่ ๆ……….
“พวกเรากำลังมองหาเธอกับเจ้าฟ้าหญิงอยู่เลย เพราะไม่มีใครเห็นพวกเธอที่ชั้นหนึ่ง ดูเหมือนพวกเราคงจะคลาดกันที่ไหนสักแห่ง”
“…..ขอบคุณมากก่ะ”
“ค่ะ แต่ตอนนี้พวกเรารีบไปรวมตัวกันที่ชั้นให้เร็วมากกว่านี้กันดีกว่านะคะ อ้า ทำไมถึงเป็นแบบ….”
เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความหงุดหงิดของตัวเอง สถานการณ์แบบนี้อาจเป็นครั้งแรกของเธอ เท่าที่ฉันรู้และสามารถบอกได้ ฉันไม่เคยได้ยินสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนจนถึงตอนนี้ และเมื่อฉันเห็นลาบริกซ์ซัง และคุณตารีบมาที่ห้องก่อนหน้านี้ ก็น่าจะยืนยันได้ว่าถูกต้อง ทั้งสองคนดูผิวเผินก็เหมือนจะสงบและรับมือได้ แต่เมื่อมาคิดดูตอนนี้แล้ว นั้นแปลว่าพวกเขามาพวกเราก่อนที่จะให้คำแนะนำในการอพยพพวกนักเรียน ซึ่งทำให้ฉันรู้ว่าพวกเขาเองก็วิตกกังวลไม่แพ้กัน
“นักเรียนทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว!อย่าแตกตื่นและรวมตัวกันในแต่ละคลาส!”
เมื่อฉันกับลูน่ามาถึงชั้นหนึ่งได้ในที่สุด ในเวลานี้ที่นี่ก็ดูเหมือนสนามรบไปแล้ว ถึงแม้เหล่านักเรียนจะสงบสติอารมณ์จนลงบันไดมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็เริ่มที่จะไม่ไหว เพราะคำพูดโกรธเกรี้ยวที่พุ่งตรงมายังพวกเราอย่างโจ่งแจ้งจนหูอื้ออึ้งจากบริเวณใกล้เคียง ในตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันในแต่ละชั้นเรียน แต่ก็มีเพียงเสียงกรีดร้องที่สะท้อนออกมา ฉันไม่ได้ยินแม้แต่คำสั่งของเหล่าคุณครู ถึงอย่างงั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่จะรับมือไม่ได้อีกต่อไปจนเสียงที่สิ้นหวังของพวกเขาจะกระตุ้นให้เกิดวิกฤต ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะต้องหลบหนีก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง หญิงสาวที่เหมือนถูกแช่แข็งอยู่ข้างหลังได้เดินผ่านพวกเราไปเพื่อเข้าร่วมความพยายามจำกัดความวุ่นวาย ไอริสต้องไปทางไหน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร
“คุ นี่……”
“…….รีบไปอยู่ให้ใกล้ทางออกให้มากที่สุดก่อนเถอะเจ้าค่ะ สิ่งสำคัญอันดับแรกของดิฉันคือการระบประกันความปลอดภัยของรูนไฮม์ซามะ”
“อริซซามะ พวกเราก็ไปด้วยเถอะค่ะ”
“อะ อืม”
ตามที่สเตลล่าซังกับเบลล์ซังซึ่งตัดสินใจว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะไปเข้าร่วมกับกลุ่มไอริสคลาส พวกเราจึงเคลื่อนตัวผ่านริมผนังไปใกล้กับทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงเหล่านักเรียนที่ส่งเสียงดัง ระหว่างทางฉันได้สบตากับคุณครูที่ทำท่าทางสิ้นหวังหลายครั้ง แต่ทันทีที่รู้ว่าเป็นลูน่ากับฉัน พวกเขาก็หันกลับไปมองที่ความโกลาหล บางทีอาจเป็นเพราะมีข้ารับใช้อยู่เคียงข้าง หรือเพราะลูน่าเป็นเจ้าหญิง จึงดูเหมือนพวกเขามองข้ามความจริงที่ว่าพวกเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มอย่างถูกต้อง ในที่สุดพวกเราก็สามารถหลุดพ้นจากความวุ่นวายมาได้ และค่อย ๆ เข้าไปใกล้ประตู ทิศทางนั้นมีคนอยู่นับสิบทุกเพศทุกวัย ผู้เฝ้าประตูและอัศวินที่อยู่รับมือด้านหน้าจะรู้สึกกดดันและอันตรายแค่ไหนกัน และด้านหลังกลับมาหนึ่งก้าว ฉันก็เห็นผมสั้นสีแดงและผมหางม้าสีฟ้าอ่อนที่คุ้นเคย ลาบริกซ์ซังกับมิร่าซังล่ะ บางทีสิ่งที่ช่วยหยุดฝูงชนเอาไว้ได้ด้วยจำนวนคนที่แตกต่างกันนั้นคือการสั่งการและเกียรติของลาบริกซ์ซัง เขาถูกเรียกว่าเป็นสองวีรบุรุษรวมกับคุณพ่อ แม้แต่ประชาชนทั่วไปที่ต่อให้ไม่พอใจขุนนางแค่ไหน ก็ยังต้องลังเลที่จะทำอันตรายทั้งทางอารมณ์และทางกายต่อวีรบุรุษที่ช่วยประเทศให้รอดพ้นจากหายนะและนอกจากนี้ในขณะที่พวกเขาไม่มีอาวุธ แต่คนที่ปกป้องประตูอยู่ในตอนนี้ต่างมีดาบคาดไว้ที่เอวทุกคน แม้จะยังไม่ได้ชักออกมา นอกจากนี้ลาบริกซ์ซังและผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน รวมทั้งมิร่าซังกับอัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่าต่างสวมเกราะอย่างแน่นหนา หากพวกเขาพยายามข้ามประตูโดยการใช้กำลัง ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น พวกลาบริกซ์ซังก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้การหยุดยั้งด้วยกำลังทันที แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ชัดเจนแล้วว่าเหมือนมองเข้าไปในกองเพลิง ดูเหมือนว่าการใช้เหตุผลจะยังคงอยู่แม้ว่าจะมีแรงกระตุ้นที่บ้าคลั่งอยู่ข้างกัน แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็รู้ว่าในไม่ช้าอัศวินจำนวนมากจะมาถึง
…..ในกรณีนั้น บางทีตอนนี้ อาจจะ
“――――อริซซามะ”
“อะ อุ…..บะ เบลล์?”
“ได้โปรด อย่าทำอย่างนั้นเลยนะคะ ถ้าอริซซามะเป็นอะไรขึ้นมาดิฉัน เบลล์คนนี้คง!”
บทสนทนาที่แทบเป็นไปไม่ได้ …….ความคิดของฉันถูกมองออกได้ในทันที มือของเบลล์ซังบีบแขนของฉันแน่นราวกับจะหยุดการเคลื่อนไหวของทั้งร่างกาย ลูน่าที่สังเกตเห็นช้ากว่า ผสานมือที่ฉันพยายามจะปล่อยกลับเข้าไปใหม่ สเตลล่าซังชำเลืองมองมาระหว่างเฝ้าระวังสิ่งรอบข้าง
“แต่ แต่ เบลล์……”
“อริซซามะ อริซซามะไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองเลย! ต่อให้พูดยังไงดิฉันก็ไม่ฟัง!”
เบลล์ซังทั้งขอร้อง และเพิ่มแรงที่จับแขนมากขึ้นไปอีกจนต้องยืนนิ่ง
ฉันเข้าใจดี เป็นเรื่องอันตรายแค่ไหน แม้จะมีคนปกป้องอย่างลาบริกซ์ซังและมิร่าซัง แต่ก็รู้กันดีว่าการที่คุณหนูขุนนางปรากฎตัวต่อหน้าในสถานการณ์เช่นนี้อันตรายแค่ไหน และอันตรายนั้นไม่เพียงจะตกอยู่กับแค่ฉัน ฉันหันกลับไปมองด้านในหอพักทันที ใบหน้าของทุกคนดูไม่สบายใจ มีบางคนตัวสั่นจนน้ำจะไหล ไม่สิ บางคนกำลังร้องไห้อยู่จริง ๆ …….แต่ว่า
“ต้องไปตอนนี้…… ――――ต้องทำตอนนี้ ไม่ได้เหรอ!”
แต่ สมมติว่าอัศวินสนับสนุนรีบเข้ามาและสถานการณ์ก็คลี่คลายไปทั้ง ๆ แบบนี้ สิ่งต่าง ๆ จะเข้าสู่การวนลูปไร้ที่สิ้นสุดไปอย่างแน่นอน ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนมีความเสี่ยงเหมือน ๆ กัน เรื่องครั้งนี้อาจถูกจดจำว่าเป็นเหตุการณ์สยองขวัญที่ยากจะลืมเลือน และประชาชนทั่วไปก็ด้วย พวกเขาจะจดจำว่าได้มีการประท้วงต่อต้านขุนนางที่สมเหตุสมผลแต่ถูกปราบปรามโดยประเทศชาติด้วยอำนาจของอัศวินและกองทัพ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เป็นเรื่องง่าย ๆ ความหวาดกลัวกลายเป็นความรู้สึกเป็นศัตรูในที่สุด การกดขี่ก็กลายเป็นศัตรูในที่สุด สิ่งที่รออยู่มีแต่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น อาจเป็นเรื่องขี้ขลาดที่มุ่งเป้ามาที่โรงเรียนและเด็ก ๆ แต่น่นอนว่าลูก ๆ ของพวกเขาก็ถูกคุกคามอยู่ทุกวันในรูปแบบของความอดอยากโดยระบบชนชั้นสูง มีอะไรที่แตกต่างกัน บรรดาขุนนางผู้มั่งมีมั่งคั่งมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเหล่าแรงงานที่สิ้นหวัง ขุนนางทั้งหลายที่รับผลประโยชน์ทั้งหมดมาจนถึงตอนนี้ยังกล้าเรียกพวกเขาว่าขี้ขลาดอีกงั้นหรือ ฉันตั้งแต่ที่เกิดมาเป็นขุนนาง ไม่สิ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ฉันต้องการแก้ไข เช่นนั้นแล้วฉันจะทำอะไรได้หากไม่ก้าวออกไปที่นี่ตอนนี้ เหนือความกล้าบ้าบิ่นคือ อัตตา ถ้าไม่ได้ทำที่นี่จะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
ฉันสังเกตเห็นว่าทั้งนักเรียน คุณครู และทุกคนในโรงเรียนต่างมองมาที่ฉัน ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว เสียงกรีดร้องก็หยุดลงไปแล้ว จากนั้นก็เป็นคุณตาที่เดินเข้ามาจากด้านหลังแหวกกลางออกมาจากกลุ่มคนที่ค้างแข็งเหมือนเวลาได้หยุดลง ดวงตาที่แสดงความลังเลก็หันมาหาฉันอย่างเงียบ ๆ อย่างผิดปกติ และ
“…..อริซ ตาเข้าใจความรู้สึก ความสำคัญของเรื่องนั้นเช่นกันจ๊า แต่――――”
“ฉันไปเอง”
และโชคชะตาที่กำลังจะหมุนกลับถูกขวางกั้นด้วยประกายสีทอง ฉันมองไปข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกที่เหลือเชื่อ เปลือกตาที่เคยปิดลงทำสมาธิมาระยะหนึ่งค่อย ๆ เปิดออก ――――ดวงตาของลูน่ากำลังแผดเผาไปด้วยสีสันแห่งความมุ่งมั่น
“ถ้าอริซไปไม่ได้ ฉันจะไปเอง”
“จะ เจ้าฟ้าหญิง!? จะทำอะไรนะ……… !”
คุณตาส่งเสียงดังทันทีก่อนที่จะพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ และพยายามห้ามอย่างเร่งรีบ
…..แต่ลูน่าตอบกลับมาเพียงคำเดียว
“เพราะเป็นขุนนางไงล่ะ”
คำพูดก้องสะท้อนจนหายไป สเตลล่าซังเบิกตากว้าง ดูเหมือนมือจะสั่นเล็กน้อย ตึก ร่างกายเต็มไปด้วยความร้อนรนราวกับตอบสนองต่อเสียงของลูน่า พลัง และความกล้าหาญล้นออกมา
“เพราะฉัน เพราะพวกฉันคือขุนนาง ………บางทีอาจจะเป็นการดึงพวกท่านทุกคนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เรื่องนี้ฉันขอโทษจริง ๆ”
ลูน่า เจ้าหญิงกำลังก้มหัว เธอกำลังขอโทษ และ ก้มหน้ารับผิดชอบในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น โม๊ว ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้อีกต่อไป แต่ฉัน ฉันรู้ดี เสียงที่องอาจและเด่นชัดของเธอ แต่แท้จริงแล้วเธอก็เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เท่ากับอายุน้อย ๆ ของเธอเอง นี่คือเด็กผู้หญิงอายแปดขวบที่ชื่อ รูนไฮม์ มือเล็กบางที่ผสานกันอยู่มีเหงื่อซึมออกมาและสั่นเทา
“แต่ฉันเป็นขุนนาง พวกเราเป็นขุนนาง….. !. ตอนนี้พวกเราสามารถไปโรงเรียนได้ทุกวัน มีอาหารแสนอร่อยให้กินทุกวัน …..ตอนนี้ที่ข้าง ๆ พวกเรามี「เพื่อนคนสำคัญ」อยู่! “
ลูน่าตะโกนด้วยเสียงที่แทบจะร้องไห้
ฉันทำได้เพียงบีบมือกลับไป
“ที่เป็นแบบนั้นเพราะมีพวกเขา มีเหล่าสามัญชนช่วยสนับสนุนพวกเรา! บุญคุณ ความรับผิดชอบ และหน้าที่ผูกพัน! หากไม่ลงมือทำตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะทำให้สำเร็จได้กัน….. !”
“…..ลูน่า”
ตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงดี เหมือนเธออาจจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว ในที่สุด ฉันก็ลูบผมของลูน่าซึ่งกำลังน้ำตาไหลเบา ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ เงยหน้าขึ้นมองอย่างกังวลขณะเช็ดหยดน้ำตาที่แก้ม แล้วฉันก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา
“เบลล์”
“…..เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันเอง เรื่องของอริซซามะ……ดิฉันรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง”
เบลล์ซังกำลังจะร้องไห้ แต่ก็มีรอยยิ้มที่เหมือนจะยอมแพ้และความระอาซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทุกคนเรียงแถวกันเงียบ ๆ และจับมือกันแน่น ขอโทษ ฉันขอโทษไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“….จะอยู่ข้าง ๆ หนูใช่ไหม”
“ค่ะ อริซซามะ ในด้านของดิฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่พูดแบบนั้นไป ตั้งแต่แรกเริ่ม ดิฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างและร่วมเส้นทางเดินของอริซซามะตลอดไปค่ะ”
ติ๊ก น้ำตาไหลท่วมท้น
“….หน้าที่ของดิฉันคือดูแลความปลอดภัยของรูนไฮม์ซามะเจ้าค่ะ”
“เพราะแบบนั้น ดิฉันจะวนเวียนอยู่ข้าง ๆ จนรำคาญตลอดไปตลอดชีวิตเช่นกันเจ้าค่ะ”
เป็นคำพูดที่เหมือนจะห่างเหิน แต่แม้จะพูดอย่างนั้น ลูน่าก็ยังหัวเราะเล็กน้อยขณะเลิกคิ้วชั่วร้ายปลอม ๆ
“แต่ ขอบคุณ”
“….ไม่สิเจ้าคะ เช่นนั้นไปกันเลยไหมเจ้าคะ ถึงมีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่ตรงนั้น แต่พวกเราก็มีพรคุ้มครองของสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่เคียงข้าง”
สเตลล่าซังพึมพำมุกตลกตามปกติด้วยความพึงพอใจ ท่ามกลางความเห็นแก่ตัวที่ชักนำพาตัวเองไปสู่อันตราย เป็นความเห็นแก่ตัวของพวกเราเอง ……ว่าแต่ใครเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์กัน แต่ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
“「ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง(โนเบลส・คลาร่า)」งั้นรึ…..”
คำพูดที่ออกจากปากของคุณตาดูเหมือนมีทั้งความสุขและความเจ็บปวด พวกเราหันหลังกลับ
เพื่อประนีประนอมกับ”พวกเขา”