[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 57 ตอนที่ 17 ตาเท่ากับปาก มากกว่าหู
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 57 ตอนที่ 17 ตาเท่ากับปาก มากกว่าหู
ตอนที่ 17 ตาเท่ากับปาก มากกว่าหู
“เอ๊ะโตะ เพราะอย่างงั้น ร้องเพลงด้วยกัน”
ที่จุดต่าง ๆ ของห้องเรียน ในขณะนี้ถูกแบ่งออกเพื่อให้ฝึกการแสดงตามคู่ในแต่ละบท ระหว่างนั้น ฉันก็ได้อธิบายกับรูนไฮม์ซังอย่างสิ้นหวัง
“ร้องเพลงบทกวี……?”
“อืม”
หลังกระพริบตาไม่รู้กี่ครั้ง ในที่สุดรูนไฮม์ซังก็เอียงหัว ม๊า ก็ควรที่จะเป็นแบบนั้น บทกวีก็คือบทกวี ไม่ใช่เพลง อยู่ ๆ ก็มาบอกว่าให้มาร้องเพลงด้วยกันสองคนเปลี่ยนบทกวีบทสุดท้ายให้กลายเป็นเพลง ไม่แปลกที่จะถูกมองด้วยแววตาสงสัยหลังพูดออกไป ไม่สิ ที่จริงบทเพลงกวีก็ไม่ได้หายากในราชอาณาจักร มีสิ่งที่เรียกว่านักขับร้องหญิงอยู่ วัฒนธรรมอยู่ในระหว่างการพัฒนาและดูเหมือนว่าจะแพร่กระจายไปในทางของตัวเอง กล่าวกันว่ามีการคัดกรองบทกวีที่ใช้บรรเลงเพลงที่ไม่สำคัญต่อสังคม แน่นอนรูนไฮม์ซังก็รู้เช่นกัน
“ฉันไม่แน่ใจ…..หมายความว่าพวกเราจะเลียนแบบนักขับร้องหญิง(เมเนสเตรล*)แบบนั้นเหรอ?”
(*นักแสดง/ร้องหญิง มาจากภาษาฝรั่งเศสเก่า)
ในสายตาของรูนไฮม์ซังมีความรู้สึกด้านลบอยู่เล็กน้อย ก็สมควรที่จะเป็นอย่างนั้น ฉันบอกว่ามีนักขับร้องหญิงอยู่ แต่การมีตัวตนอยู่ของพวกเธอส่วนใหญ่จะต่ำลงไปยิ่งกว่าประชาชนทั่วไปอีก ถ้าให้ยกตัวอย่าง พวกเธอมีสถานะต่ำต้อยใกล้เคียงกับทาส เริ่มแรกพวกเธอเรียนรู้ศิลปะเพื่อใช้หาเลี้ยงชีพ ดังนั้นแม้คนชั้นสูงอย่างพวกขุนนางจะชื่นชอบ แต่ไม่มีใครเคยได้ยินเลยว่าขุนนางจะลงมือทำเอง ฉันไม่คิดว่ารูนไฮม์ซังจะเป็นเหมือนขุนนางคนอื่น ๆ ที่ดูถูกประชาชนทั่วไปและคนเหล่านั้น แต่เธอเกิดบนจุดสูงสุด และเป็นราชวงศ์ด้วย ก็ต้องมีต่อต้านกันบ้าง
“อ….ไม่ใช่ แตกต่าง นิดหน่อย”
“จ๊า งั้นหมายความว่ายังไง”
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดจะทำ ที่ฉันบอกว่าจะร้องเพลงบทกวีนั้นอาจจะมีความหมายเหมือนกัน แต่ที่ฉันคิดไว้เป็นการสร้างเนื้อเพลงตามบทกวีต้นฉบับและร้องเป็นทำนองเมโลดี้ ถึงแม้ต้องเตรียมเมโลดี้ แต่ฉันมีความคิดไว้แล้ว
โดยการใช้เพลงในชาติก่อนที่ฉันรู้จัก ค่อย ๆ ยืมท่วงทำนองเพลงสมัยใหม่ที่ยังไม่มีอยู่ในวัฒนธรรมของราชอาณาจักร ฉันสามารถสร้างเพลงที่ไม่ใช่ต้นฉบับที่คล้ายกันได้ …..ม๊า ถ้าจะให้เรียกตรง ๆ ก็คือการลอกล่ะนะ ถึงแม้จะเรียกว่าการลอก แต่ก็ให้อารมณ์เหมือนกันยืมบางส่วนมากกว่าเอามาทั้งเพลง
เนื่องจากเพลงนั้นอยู่ภายใต้การเซ็นเซอร์จึงมีแต่เนื้อเพลงที่เป็นการสรรเสริญชนชั้นปกครอง และแรงที่การงานช่างแสนเหนื่อยยาก แต่สุขใจ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังคงมี”เสียง”ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ดึงท่วงทำนองที่ชื่นชอบออกจากเสียงที่สมบูรณ์นับไม่ถ้วนเหล่านั้น บีบให้เข้าคู่กัน และรวมเป็นเพลงเดียว ยังไงก็ตามผลงานชิ้นเอกที่เรียกได้ว่าดีที่สุดของฉันก็จะยังคงเป็นเพลงที่สัญญาเอาไว้กับเบลล์ซัง และมิร่าซัง ยิ่งคิดมากเท่าไรยิ่งกลายเป็นเรื่องที่แย่ขึ้นเท่านั้น การพูดโดยไม่คิดทำให้ฉันย่ำแย่!ทำให้ลงเอยแบบนั้น
ยังไงก็ตามถ้าหากถูกถามว่าเป็นการเลียนแบบนักขับร้องหญิงหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าต่างออกไปเล็กน้อย…….ก็ยังเป็นการเลียนแบบไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อฉันส่ายหัวอย่างคลุม คราวนี้รูนไฮม์ซังแสดงออกด้วยสีหน้ายุ่งยากอย่างไม่ปิดบัง ฉันรีบเสริมออกไป
“เอ๊ะโตะ เหมือน เอนดิ้ง”
“เอนดิ…..อะไรน่ะ?”
ใช่ หรือก็คือ แนวคิดคือการใช้บทกวีใน “ธีมเอนดิ้ง” ที่ไหลลื่นในงานบันเทิงด้านภาพ เช่น ภาพยนตร์ในชาติก่อน ฉันอยากจะแนะนำให้ลองแต่งฉากสุดท้ายในลักษณะที่คล้ายกับละครเพลง ที่เป็นเหมือนส่วนผสมระหว่างการแสดงและการร้องเพลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีวัฒนธรรมทางด้านละครเพลงในราชอาณาจักร และอย่างที่เห็น คำศัพท์ของฉันไม่สามารถสื่อความหมายได้ดีพอ สถานการณ์ปัจจุบันคือฉันกำลังทำให้รูนไฮม์ซังสับสนอย่างไร้จุดหมาย
ในตรงกันข้าม ตอนที่ฉันคุยกับรูนไฮม์ซัง แล้วถูกถามว่ามีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจอะไรไหมในการแต่งบทสุดท้ายไหม และจู่ ๆ ที่ฉันก็คิดขึ้นมาได้ ที่จริงฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องทำมากมายแบบนี้ …..แต่อาจเป็นเพราะอาการหงุดหงิดที่พูดไม่ได้ดั้งใจคิด เลยเกิดอาการดื้อนิดหน่อย
“อือโตะ อือโตะ”
“อืมมมมม ไม่ไหวแล้วล่ะ ถึงจะอธิบายมาหลายรอบแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจที่พูดมาจริง ๆ”
“กู๊นนุ……”
ถึงฉันจะไม่ได้รู้คำศัพท์มากมายนัก แต่เห็นได้ชัดว่าฉันไม่เก่งในการอธิบายบางสิ่งให้คนอื่นฟังมากกว่าที่คิดไว้ บางทีอาจเป็นผลร้ายที่สะสมอยู่ในตัวฉันมาช้านาน โดยพื้นฐานแล้วฉันไม่ได้รับอนุญาตให้พูดแสดงความคิดของฉัน
ปู๊ว ฉันพยายามยอมแพ้ด้วยการพองแก้มตัวเองให้น่าสงสาร แต่รูนไฮม์ซังที่น่าจะสับสนอยู่ก็เข้ามาขัดขวาง
“ถ้าอย่างงั้น ช่วยแสดงให้ฉันเห็นทีสิ ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ฉันจะได้รู้”
“เอ๊ะ”
“เอ๊ะ?”
บางสิ่งผิดปกติ? ขณะที่กลืนเสียงกลับเข้าไปในลำคอตอนที่กำลังจะพูดต่อ เสียงนกแก้วลึกลับก็กลับมาอีกครั้ง หากไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยคำพูด ก็สามารถใช้ท่างทางได้ เป็นบทสรุปที่แน่นอน แต่สำหรับฉันกลับแย่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงความอาย ที่สำคัญตอนนี้ยังไม่มีเพลงเลย เมื่อวานฉันพึ่งใช้เวลาอ่านไปหนึ่งวันอย่างคุ้มค่า มีแนวคิดและบทกวีส่วนใหญ่อยู่ในหัวแล้ว แต่ฉันเพิ่งจะมีความคิดเรื่องทำเป็นละครเพลงเดี๋ยวนี้เอง ฉันยังไม่พร้อมที่จะทำจริงเลย
“อะ อืม ใช่แล้ว จะลองดู……”
ฉันถูกบรรยากาศกดดันจนเผลอหลุดปากพูดไม่คิดว่าจะลองทำดูอย่างเลินเล่อ
มีอะไรบ้างมีอะไรบ้าง อะไรก็ได้ อะไรก็ได้……ในหัวฉันอยู่ในอาการตื่นตระหนกด้วยสมบูรณ์
“……บางที ยังไม่ได้คิดเพลงอะไรออกมาเลยสินะ”
รูนไฮม์ซังคาดเดาออกมาได้แม่นยำ ใช่แล้ว ฉันพยักหน้าด้วนความเร็วเหนือเสียงพึมพำยอมรับ ฉันอาจสามารถทำบางอย่างไปก่อนเพื่อใช้เป็นข้อแก้ตัวได้ แต่ยังไงก็ตาม ความคาดหวังเล็กน้อยดังกล่าวก็หายไปในทันที
“ถ้าอย่างงั้น เรื่องของเพลงก็เอาไว้ก่อน…..ยังไงก็ตาม ฉันอยากรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรแบบไหนบ้าง”
ข้อเสนอที่ห่วงใยแต่ไร้ความปรานี อย่างไรก็ตาม เป็นฉันเองที่เสนอเรื่องนี้แต่แรก และเป็นคนที่ทำตัวดื้อรั้นอย่างน่าประหลาด ที่สุดท้ายก็นำมาซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง นอกจากนี้ฉันรู้สึกต้องขอโทษที่จะทำให้รูนไฮม์ซังเดือดร้อนมากกว่า จนลืมเรื่องอายไปเลย แล้วทันทีที่สงบลงได้ ฉันก็คิดเพลงพิเศษขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวอย่าง
“จ๊า เอ๊ะโตะ มาลองดูกันกะ”
“ได้สิ”
ฉันหลับตาและลืมสิ่งรอบตัว ขับไล่ความอายและมุ่งไปที่สิ่งเดียวเท่านั้น เพราะเป็นการด้นสดโดยสมบูรณ์ ฉันจึงแสดงได้แค่คร่าว ๆ เท่านั้น แต่ถ้าแค่เพื่อเป็นการแสดงตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร ตามรอยความทรงจำ นึกถึงเนื้อเพลงให้แน่วแน่ และทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เป็นไร ฉันจำได้ดี
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ซู๊ว และหายใจเข้าลึก ๆ ……..
“ภายใต้แสงจันทรา อา เพื่อนของฉันเอย เธอจะให้ยืมตะเกียงหน่อยได้ไหม ฉันอยากจะเขียนจดหมายมอบให้เธอ”
ฉันเลือกเพลงนั้น เนื้อเพลงค่อนข้างเศร้านิดหน่อย และช่วงเสียงดนตรีที่ร้องก็เข้าใจง่าย เพลงกล่อมเด็กที่เบลล์ซังร้องให้ฟังในวันหนึ่ง ขณะที่ร้องตามที่นึกไปด้วย อารมณ์ก็ค่อย ๆ ท่วมท้นขึ้นมา ดื่มด่ำไปกับโลกของตัวเอง ถึงจะเป็นแค่เพลงกล่อมเด็ก และมีเรื่องอื่นที่ฉันจำได้ แต่เพลงกล่อมเด็กเพลงแรกที่ได้ฟังก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของฉัน นี่เป็นเพลงพิเศษสำหรับฉัน วันนั้นหลังจากเหตุการณ์ที่ตลาดนั้น เพลงที่ปลุกฉันที่หลับไปหลายวันให้ตื่นขึ้นมา ร่างกายของฉันเคลื่อนไหวตามเนื้อเพลงอย่างเป็นธรรมชาติ
เอื้อมมืออกไปยกค้างไว้ แสดงท่าทางราวกับเคาะประตู คิดว่านิ้วเป็นปากกาที่สามารถเขียนจดหมายในอากาศได้
“เทียนละลายหายไปในยามราตรี แสงอาทิตย์อัสดงลับขอบฟ้า”
โยโยโย ฉันร้องไห้เหมือนกับพยายามโอบกอด”ไฟ(ใครบ้างคน)”ที่กำลังจะหายไป นั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ก้มหัวหดหู่ตลอดเวลา ท่ามกลางความมืดมิดอันสิ้นหวัง
“ได้โปรด เปิดประตูบานนั้นด้วยเถอะ……”
อา วาดภาพเอื้อมมือออกไปมุ่งสู่รัศมีของแสงสว่างท่ามกลางความมืด ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือจากเพื่อนจริง ๆ จับหน้าอกด้วยมือซ้าย เงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยมืออีกข้าง อย่าลืมการแสดงออกที่แสนเศร้า ฉันดึงมือที่ยืดออกไปกลับมาแตะที่หน้าอกพร้อมเสียงร้องเพลง ที่ค่อย ๆ ลดระดับลงจนเงียบในท่าท่างเหมือนกำลังโอบกอดอะไรบางอย่างไว้ในอก
“….จบ”
ฟู๊ว ฉันลืมตาที่ปิดไว้เพราะหมกมุ่นอยู่กับบทบาทขึ้นมา ในขณะที่เปลี่ยนความตึงเครียดที่เหมือนด้ายที่ใกล้ขาดเป็นเสียงถอนหายใจ
ตอนแรกฉันลังเลที่จะแสดง เพราะว่าทั้งยากทั้งน่าอาย แต่…..จะว่ายังไงดี พอได้ลองแล้วก็สนุกอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าการแสดงของฉันจะดูเป็นยังไงจากผู้คนโดยรอบ ฉันก็รู้สึกสบายใจที่ได้ดื่มด่ำกับบทบาทสำหรับตัวฉันเอง มาลอง ๆ คิดดู การหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงเข้าไปในโลกส่วนตัวก็ถือเป็นความสามารถพิเศษของฉัน จะเก่งหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่การไม่มีสติรับรู้ถึงโลกภายนอก อาจจะค่อนข้างมีประโยชน์เหมาะกับการแสดงสวมบทบาท
“อาริซ……”
“ฮะเอ๊ะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงของรูนไฮม์ซัง มีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอตัวสั่นมาก ๆ ไม่น่ะ มือเธอสั่นจริง ๆ ฉันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะป่วย ฉันรีบลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบและหยุดอยู่ข้างเธอ
“มะ ม๊ายเป็น รัยนะกะ…… !?”
“อา……อะไร อะไรกัน”
“เป็นอะไรไปกะ”
ในที่สุด รูนไฮม์ซังก็หลับตาและจับหน้าอกของเธออย่างทรมาน ท่าทางเลื่อนลอย ฉันลืมเรื่องการเสียมารยาทและเขย่าไหล่ของเธอ ทำไมไม่ใครสังเกตเห็นเรื่องนี้กัน ฉันหันไปที่โพเดียมเพื่อเรียกคุณตาเพื่อขอความช่วยเหลือ……
ฉันตัวแข็งทื่อทันที
“เอ๊ะ”
คุณตาไม่ใช่ไม่รู้ตัว แต่กำลังมองมาที่ฉัน คุณตาจ้องมองด้วยท่าทางสนใจ ขณะลูบเคราตัวเอง และ”สายตา”ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง ทั้งวัยรุ่น ทั้งเด็กผู้หญิง เพื่อนร่วมชั้นทุกคน ทุกคนในห้องเรียนให้ความสนใจฉัน ส่วนใหญ่ตัวแข็งตกตะลึงและประหลาดใจ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันหันไปหารูนไฮม์ซังเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไม่ใช่การแสดง
” ――――ช่างงดงามอะไรเช่นนี้!”
“เอ๊ะ?”
ยังไงก็ตาม ไม่ใช่มือแห่งความเมตตาที่ยื่นออกมาให้ แต่เป็นดวงตาสีแดงเข้มและสีเขียวเข้มที่สวยงามของเด็กสาวซึ่งกำลังเปล่งประกายสมวัย เสียงเชียร์ดังขึ้นมาในทันที เริ่มจากรูนไฮม์ซัง ทุกคนปรบมือราวกับฟ้าผ่า และห้องเรียนที่เต็มไปด้วยความเงียบก็เต็มไปด้วยเสียงในทันที
“แฟร์มีลซัง วิเศษมาก!”
“วิเศษสุด ๆ เลย!”
เสียงยกย่องดังขึ้นเหมือนฟ้าร้องต่อเนื่องที่ทำให้ทะเลเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมดมุ่งตรงมาที่ฉัน หนึ่งคนที่อยู่ ณ ศูนย์กลางของการระเบิด กลับด้านจากก่อนหน้านี้ คราวนี้เป็นฉันที่ตกตะลึงและราวกับเวลาถูกหยุดลง คุณตายิ้มให้และมีสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อมองย้อนกลับมาอีกทาง รูนไฮม์ซังพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“นี่สินะ คือสิ่งที่อริซต้องการทำ…..ฉันเข้าใจแล้ว การผสมผสานของละครและเพลงอย่างแท้จริง มหัศจรรย์ น่าทึ่งจริง ๆ ! เหนือสิ่งอื่นใด เสียงร้องและการแสดงที่ซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์แบบนั้นช่างน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน ไม่สิ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ในโลกของเธอเลย!”
“เอะ เอ๊ะโตะ อืม!?”
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย รูนไฮม์ซังรัวลิ้นของเธอด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันไม่เคยเห็นหน้าตาด้านนี้ของเธอมาก่อนเลย และไม่ใช่แค่รูนไฮม์ซังเท่านั้น ทุกคนที่สรรเสริญฉันก็พูดในแบบเดียวกัน แน่นอนว่าฉันไม่มีแรงต้านทานต่อสถานการณ์ลักษณะนี้ ฉันจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับคำชมที่ลอยเข้ามา ไม่มีแม้คำว่าขอบคุณ ในหัวของฉันลัดวงจรไปแล้วเรียบร้อย
“ต้องทำแบบนี้ด้วยกัน? ฉันสงสัยจริงว่าฉันจะสามารถทำได้หรือไม่……ไม่สิ ฉันต้องทำให้ได้ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้ความคิดที่ยอดเยี่ยมและแปลกใหม่เช่นนี้ถูกฝังไปได้!”
“รู รูนไฮม์ซัง”
“อ้า ฉันหวังว่าจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่สามารถบันทึกฉากนี้ได้ ฉันต้องการดูอย่างพิถีพิถันอีกสักครั้งตอนนี้เลย ฉันรู้สึกเหมือนพลาดรายละเอียดไปอย่างโง่เขลา”
“รูนฮา”
“ยังไงก็ตาม เมื่อกี้นี้เป็นการด้นสดงั้นหรือ? พูดจริงงั้นหรือ? เป็นงานที่ยอดเยี่ยมที่ฉันคิดได้เพียงว่าได้เตรียมการมาอย่างดีตั้งแต่ก่อนหน้านี้”
รูนไฮม์ซังพูดไม่หยุดพูดเร็วจริงจัง ขณะถูกกดดันด้วยอิทธิพลของวิธีพูดที่ไม่ตอบสนองต่อการสนทนา ในที่สุดฉันก็เข้าใจสถานการณ์จากเนื้อหา เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้ของฉันดูเหมือนจะเกิดขึ้นคล้ายกับละครเพลงก่อนหน้านี้ แน่นอนมีการตอบกลับที่ดูเหมือนจะตัดสินใจบางอย่าง ฉันรู้สึกพอใจในตัวเองแล้ว ยังไงก็ตาม ถึงจะมีเสียงตอบกลับ แต่……
“รู”
“ฉันสงสัยจริงว่าฉันจำเป็นต้องมีพรสวรรค์โดยธรรมชาติมากแค่ไหนกันเพื่อทำให้ได้เช่นนี้ นอกจากนี้มองรอบ ๆ สิ? ที่นี่ไม่มีใครอิจฉาเธออีกแล้ว ด้วยเสน่ห์ที่ท่วมท้มได้บังคับอารมณ์ด้านลบให้ต้องยอมแพ้ นี่ไม่ง่ายเลยแม้แต่กับผู้สืบทอดเชื้อสายราชวงศ์!”
ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องราวจะใหญ่โตขนาดนี้ ฉันไม่สามารถควมคุมได้อีกต่อไปแล้ว คนที่ควรสามารถพึ่งพาได้ในเวลานี้อย่างรูนไฮม์ซังเองก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง คุณตาทำเพียงแค่ยิ้มและไม่เข้ามาหยุดด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันตื่นตระหนกกระสับกระส่าย ไม่ไหวแล้ว และตาหมุนไปมา…..
“ฮิเมะ! เกิดอะไรขึ้น กัน…..คะ….. อาเร๊ะ?”
“นี่……เป็นอะไรกันคะ?”
“เอ๋โต๊ะ….ดิฉันเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ สำหรับตอนนี้ดิฉันขอปิดปากที่เปิดกว้างของเจ้าฟ้าหญิงรูนไฮม์ให้เล็กลงสักนิดก่อนนะคะ ขอประทานอภัยด้วยค่ะ”
ปัง ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง นอกจากเบลล์ซัง มิร่าซัง และสเตลล่าซังที่เป็นข้ารับใช้ของรูนไฮม์ซังแล้ว ที่ข้างหลังนั้นยังมีอัศวินคุ้มกัน และเหล่าข้ารับใช้ทั้งหมดที่รออยู่ในห้องถัดไป ฉันแน่ใจว่าพวกเขารีบกระโจนเข้ามาอย่างรีบร้อนเมื่อได้ยินเสียงอีกทีกครึกโครมราวกับโลกจะพลิกกลับด้านอย่างกะทันหัน
ถึงทิศทางเรื่องราวจะต่างออกไปจากนั้นนิดหน่อย แต่ทั้งสองคนก็ช่วยให้ฉันรอดจากวิกฤตได้อีกครั้ง
“เบลล์ มิร่า……..”
“อะ อริซซามะ…….. !?”
ความรู้สึกปลอดภัยผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจโอบรอบตัวฉัน ส่งให้ฉันวิ่งเข้าไปหาพวกเธออย่างน่าสงสาร เป็นการเสียมารยาทระหว่างที่ได้รับคำชมเชย แต่ฉันก็ตกใจอย่างมากจนกลายเป็นตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นกันคะ อริซซามะ เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว เบลล์ของอริซซามะอยู่ที่นี่แล้วค่ะ”
“….ใครกันที่ทำให้ฮิเมะต้องร้องไห้!”
ขณะที่รีบอธิบายสถานการณ์ให้มิร่าซังซึ่งดูเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไป ฉันก็จับมือเบลล์ซังไว้แน่นไม่ปล่อย หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์เริ่มที่จะสงบลง ทุกสายตาในห้องเรียนก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นสิ่งที่ทำให้ยิ้มได้ ตามปกติแล้ว คู่หูของฉัน จะถูกฝากให้เบลล์ซังดูแลระหว่างที่เรียน แต่ในตอนนี้ฉันกำลังซ่อนใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่หลังคู่หู