ตอนที่ 16 สิ่งที่ตามหา
“เอ๊ะโตะ เอ๊ะโตะ…….”
ฉันสอดส่ายสายตามองหาสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็ว หลังจากใช้เวลาในการตัดสินบทบาทในคลาส และทานอาหารกลางวันในห้องอาหารจนเสร็จ เมื่อออกจากห้องอาหาร แทนที่จะกลับห้อง ฉันเลือกเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องสมุดแทน ฉันรีบไปหาทันทีเพื่อที่จะได้เข้าใจรายละเอียดของเรื่องตำนานดอกหยาดหิมะให้เร็วที่สุด ยังไงก็ตาม ฉันพึ่งเคยมาห้องสมุดเป็นครั้งแรก แต่……
“โอะ โอ้……”
สิ่งที่แรกที่ทำให้ฉันประหลาดใจคือ หนังสือจำนวนมาก เพียงแค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ห้องสมุดก็ดูเหมือนจะสามารถเรียกได้ว่า หอสมุดสาธารณะแบบสแตนด์อโลนได้เลยทีเดียว มีการกล่าวขานกันว่าที่นี่เป็นแหล่งคอลเลกชั่นหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักร ยกเว้นห้องสมุดที่ไม่ทราบรายละเอียดภายใต้การดูแลของราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ด้านในมีชั้นหนังสือจัดวางอย่างเป็นระเบียบภายในห้องขนาดใหญ่ที่เล็กกว่าหอประชุมประมาณหนึ่ง แม้แต่ในชาติก่อน ก่อนที่หนังสือส่วนใหญ่จะถูกแปลงเป็นดิจิทัล ยกเว้นหนังสือบางเล่ม ในอดีตก็มีฉากแบบนี้กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ต่าง ๆ
หนังสือสื่อสิ่งพิมพ์กระดาษ ดั้งเดิมจะใช้ทรัพยากรกระดาษจากธรรมชาติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นอกเหนือจากของที่มีอยู่แล้ว ก็ไม่มีทรัพยากรเหลือมากพอที่จะบริโภคหรือผลิตหนังสือขึ้นมาใหม่ หนังสือขาดรุ่งริ่งหมดสภาพหลายเล่มถูกบรรจุสุ่ม ๆ เอาไว้ในสถานบันเทิงของโคโลนี่ และหนังสือที่มีมูลค่าสูงที่เหลือถูกแจกจ่ายให้ชนชั้นปกครองเท่านั้นในฐานะของสะสม การที่ได้เห็นหนังสือล้ำค่าเรียงรายกันเป็นแถวจนไม่มีทางอ่านได้หมดเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ
ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยแตะหนังสือมาก่อน ฉันจึงไม่ได้ประทับใจหนังสือภาพที่คฤหาสน์ หรือหนังสือเรียนของที่นี่ ยังไงก็ตาม พื้นที่นี้เต็มไปด้วยหนังสือทำให้ดูเป็นสมบัติล้ำค่าในตัวเอง
“สุดยอด”
ขณะที่ไล่สันหนังสือตามลำดับจนถึงขอบอย่างอยู่ไม่สุขทำให้เกิดผลกระทบที่ท่วมท้นเป็นพิเศษ
…..แม้ฉันจะอดไม่ได้ที่อยากจะประทับใจอย่างนี้ตลอดไป แต่ว่าเวลานั้นมีจำกัด แม้ว่าจะยังมีเวลาเหลืออีกกว่าสัปดาห์ก่อนงานเทศกาลโรงเรียน แต่แน่นอนว่าในระยะเวลานั้นต้องมีการเตรียมพร้อมการแสดงของแต่ละคลาส รวมทั้งบทละครในคลาสของฉันด้วย อาจไม่ใช่การแสดงที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็ต้องให้ความสำคัญ สุดท้าย งานเทศกาลโรงเรียนนี้ก็เป็นงานสำหรับหาเพื่อนและสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ยังไงก็ตามสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี่ได้คือการเสริมสร้างสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว อย่าง เรื่องราวของตำนานดอกหยาดหิมะ สิ่งที่เรียกว่าขุนนางนั้น ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ต่อชนชั้นเดียวกันตามสถานะโดยกำเนิดและมีจิตสำนึกที่ไม่ยืดหยุ่น และมีสิ่งที่เป็นมาตรฐานเดียวกันคือการได้เรียนรู้บางอย่างที่บ้านของแต่ละคน การไม่รู้จัก “สิ่งของ” และ “เรื่องราว” ที่ขุนนางคนอื่นรู้สามารถนำพาไปสู่การถูกดูหมิ่นได้ ค่อนข้างแย่ที่จะต้องพูดว่าเป็นค่านิยมที่มีมาอย่างยาวนานแล้ว อาจพูดได้ว่าเป็นผลข้างเคียงของการแสดงออกที่ต้องหยิ่งทนงเสมอ ฉันไม่ได้ยินเรื่องนี้มาจากใครโดยตรง แต่เป็นการคาดเดาจากบรรยากาศทางสังคมของขุนนางที่ฉันได้รับรู้ในขณะที่ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียน
ถึงยังก็ตาม สาเหตุที่ระยะเวลาเตรียมการสั้นอาจเป็นเพราะสถานการณ์และสมมติฐานดังกล่าว เช่นนั้นแล้วฉันไม่ควรใช้ข้อยกเว้นไปในทิศทางที่ผิด ฉันจะไม่ไล่ตามระดับขั้นต่ำนั้นจนกว่าฉันจะมีความพร้อมสูงกว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันจะสิ้นเปลืองเวลาไปกับการค้นหาไม่ได้ ต้องใช้เวลาในการอ่านตำนานดอกหยาดหิมะให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยังไงก็ตาม
“……โอะโอ้”
ใช่ มีมากมาย จำนวนหนังสือที่จัดเก็บไว้มีค่อนข้างมาก การค้นหาหนังสือเล่มเดียวจากทั้งหมด แน่นอนว่าเป็นงานที่ยากลำบากมาก พื้นที่ที่เต็มไปด้วยหนังสือที่เจิดจ้าที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ความสูงของชั้นหนังสือได้กลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางทาง
“อริซซามะ หาเจอไหมคะ?”
ฮึ่ม เมื่อฉันกัดริมฝีปากและมองขึ้นไปที่ชั้นหนังสือ ฉันก็ได้ยินเสียงของเบลล์ซังพร้อมเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ในมือของเธอไม่มีหนังสือที่กำลังมองหา ดูเหมือนว่าจะไม่มีหนังสือตำนานดอกหยาดหิมะในส่วนที่เบลล์ซังไปค้นหา
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ถูกแบ่งระหว่างหนังสือบันเทิง และหนังสือวิชาการ แต่พูดในทางกลับกันก็มีแค่นั้นจริง ๆ ถ้าจำนวนหนังสือน้อยอาจแบ่งแบบนี้ได้ แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้ ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย ยกเว้นว่าแต่ละประเภทจะมีแบ่งย่อยและจัดระเบียบลงไปอีก แม้ว่าจะแบ่งสองร้อยให้เหลือแค่หนึ่งร้อยแต่สุดท้ายก็ยังเป็นงานที่ใหญ่เกินไปสำหรับฉันที่แค่หลักสิบก็เต็มความสามารถแล้วอยู่ดี ว่ากันว่ามีโอกาสน้อยที่จะได้รับอนุญาตตรวจสอบและค้นพื้นที่นี้ด้วยตัวเอง หรือนี่อาจเป็นผลร้ายของการศึกษาในชาติก่อน
“อืออึ ยังหาได้ไม่ถึงครึ่งเลย”
“เช่นนั้นหรือคะ ไม่ได้อยู่ในแถวที่สองที่ดิฉันไปค้นหาด้วยค่ะ”
“มิร่า?”
“ดิฉันไม่เห็นมิแรนด้าซังใกล้ ๆ เลยค่ะ บางทีตอนนี้เธอน่าจะกำลังหาอยู่อีกฝากหนึ่งของห้องสมุดค่ะ”
“งั้นเหรอ ขอบกุณ”
ไม่สิ ฉันรีบส่ายหน้าให้เบลล์ซังที่ดูเหมือนกำลังเสียใจที่ทำประโยชน์ให้ไม่ได้ คนที่ควรขอโทษคือฉันมากกว่า แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เบลล์ซังกับมิร่าซังจะค้นหาได้เร็วกว่าฉัน ในความเป็นจริงคือ เบลล์ซังค้นแถวที่สองจนเสร็จแล้ว ในขณะที่ฉันค้นเสร็จแค่ครึ่งแถว ฉันเสียใจจริง ๆ ที่เหมือนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทั้งสองคน แต่ด้วยอัตรานี้กว่าที่ฉันจะสามารถค้นชั้นหนังสือทั้งหมดด้วยตัวเองได้ ก็คงต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมงถึงจะหาเจอ
ถ้าหากผลสุดท้ายไม่มีตำนานดอกหยาดหิมะอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนท้ายคาบเรียน ฉันได้ยืนยันมาแล้วว่ามีหนังสือถูกเก็บไว้อย่างแน่นอน คุณตาจะตอบอย่างมั่นใจ ดูเหมือนจะรู้ดีว่ามีอะไรเก็บเอาไว้บ้าง แม้จะไม่รู้ว่าอยู่ที่ชั้นไหนกันแน่
ฉันคิดว่าจะง่ายและสะดวกกว่านี้หากมีการสร้างแผนกที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการหนังสือขึ้นมา ม๊า แต่ก็เป็นความฟุ่มเฟือยของฉันคนเดียว หรืออาจตั้งใจให้อยู่ในสภาพแบบนี้เพื่อเตือนให้นักเรียนมองหาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ฉันรู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไปอีกแล้ว
“ต้องหาต่อ”
“ค่ะ เช่นนั้น ดิฉันจะไปหาในแถวต่อไปนะคะ”
“ขอบกุณ”
จากนั้นในขณะที่เบลล์ซังกำลังจะมุ่งหน้าไปยังแถวถัดไป ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบมาจากหลังห้อง เสียงดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ฉันพยายามมองหาต้นทางของเสียง
“ฮิเมะ!”
“ว้า…… !?”
คนที่ปรากฎเข้ามาในทัศนวิสัย คือ มิร่าซังที่ถือหนังสือมาด้วย เมื่อสายตาของเธอเห็นใบหน้าของฉันที่โผล่พ้นเงาของชั้นหนังสือ เธอก็เร่งความเร็วราวกับวิ่งเบา ๆ ก่อนมาหยุดที่ตรงหน้าฉันอย่างกะทันหัน ฉันตัวแข็งด้วยความกลัวว่าจะโดนชนจากแรงเฉื่อยที่เหลือหรือเปล่า เธอรีบขอโทษก่อนจัดผมสีฟ้าอ่อนที่ยุ่งเหยิงด้วยมือ
“มีอะไรเหรอ”
“ฮิเมะ! ดูนี่สิคะ นี่น่ะ!”
มิร่าที่ดูจะตื่นเต้นมากไปหน่อยจนวิธีพูดสุภาพกับพูดธรรมดาตีกันเองยกหนังสือในมือขึ้นมาโชว์ หน้าปกค่อนข้างดูดีเลย กว่าที่ฉันจะเข้าใจความหมายก็ต้องใช้เวลาเล็กน้อย แต่เมื่อยืนยันจนแน่ใจแล้ว วินาทีถัดมา ฉันก็ยิ้มเหมือนกับมิร่าซัง ชื่อเรื่องบนหน้าปกคือ “ตำนานดอกหยาดหิมะ”
“ได้แล้ว!”
“ได้แล้วสินะคะ!”
ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอหนังสือที่กำลังมอง แม้ว่าการแยกกันตามหาจะรวดเร็วกว่า แต่การสามารถหาสิ่งที่ต้องการได้จากกองหนังสือจำนวนมากนี้ ถือเป็นผลลัพธ์ที่ทำให้ฉันมีความสุขมาก ถึงจะไม่ได้หาเจอด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเวลานี้
“ดีใจด้วยนะคะ อริซซามะ”
“อืม ขอบกุณนะ มิร่า เบลล์!”
“ไม่หรอกค่ะ ข้าเป็นอัศวินของฮิเมะอยู่แล้ว!”
ด้วยควมาชื่นชมยินดีในสายตาของกันและกันกับมิร่าซัง เบลล์ซังก็ก้มลงให้สูงประสานกับหัวของฉัน ขณะที่ฉันรู้สึกขอบคุณการทำงานอย่างหนักของทั้งคู่อย่างแข็งขัน พวกเราก็แบ่งปันความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของความสำเร็จด้วยรอยยิ้ม ด้วยสิ่งนี้ฉันก็สามารถฝึกซ้อมได้อย่างอิสระ ฉันผ่อนคลายไหล่เล็กน้อยด้วยการถอนหายใจโล่งใจ
“เช่นนั้น กลับห้องกันเลยไหมคะ?”
“อืม อ่านที่ห้อง!”
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นโปรดรอสักครู่นะคะ ดิฉันขอกรอกข้อมูลก่อนค่ะ”
“ก่ะ”
และ ระหว่างที่มิร่าซํงจูงมือฉันไปที่ทางออก เบลล์ซังก็ตรงไปที่ที่เหมือนเคาน์เตอร์ขนาดเล็กใกล้ประตู บนโต๊ะยาวมีเครื่องเขียนและกระดานไม้ขนาดใหญ่ที่เขียนชื่อหนังสือและชื่อของบุคคลไว้อย่างละเอียด ในตอนที่ฉันถามคุณตาว่ามีหนังสือตำนานดอกหยาดหิมะในห้องสมุดไหม ตอนนั้นคุณตาก็แนะนำมาสั้น ๆ ว่ามีของที่เอาไว้เขียนชื่อหนังสือและชื่อคนยืมเอาไว้อยู่ ดูเหมือนจะใช้ชื่อว่า”กระดานยืม”ตรงตัว ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าพวกเขาจัดการการเข้าออกของหนังสือยังไง
ต้องบอกว่าเป็นระบบที่หากคุณไม่เจอหนังสือที่ต้องการยืม ให้มามองหาชื่อคนสุดท้ายที่ยืมได้จากบนกระดาน และไปเยี่ยมเขาโดยตรง หรือบอกอาจารย์ประจำคลาสของเขา ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าบางครั้งอาจจะมีเหตุการณ์ที่มีคนนำหนังสือไปโดยไม่เขียนอะไรบนกระดานยืม แต่เรื่องนี้ก็แก้ไขได้ด้วยความจริงที่ว่านักเรียนทุกคนที่นี่เป็นลูกหลานขุนนาง
…….เป็นเรื่องที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องขโมย แน่นอนว่าตัวหนังสือเองนั้นมีราคาแพง บางเล่มก็ทำมาจากกระดาษแท้――――หนังสือตำนานดอกหยาดหิมะเองก็ดูเหมือนจะทำมาจากกระดาษที่ดูมีคุณภาพสูงเหมือนกัน―――― แต่หากต้องการจริง ๆ ก็สามารถหามาได้ด้วยอำนาจของชนชั้นสูง และพลังทางการเงิน โดยสรุปคือ จากมุมมองของพวกเขา หากมีหนังสือที่พวกเขาต้องการสักเล่ม สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็แค่ขอไปที่บ้าน หรือซื้อด้วยเงินค่าขนมในกระเป๋าของพวกเขาเอง ไม่มีประโยชน์ที่ต้องไปทำอะไรสิ้นคิดให้เสียชื่อเสียงตระกูลของตนเอง และการจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไปก็มีความเสี่ยงสูงเกินไป จากสถานการณ์ดังกล่าว ระบบกระดานยืมนี้ดูเหมือนจะใช้งานได้ปกติ
“……เอาล่ะ ค่ะ เท่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“ขอบกุณ เบลล์”
ขณะคิดอย่างนั้น ดูเหมือนเบลล์ซังจะเขียนเสร็จแล้ว และเมื่อเธอยืนยันสิ่งที่เขียนจนแน่ใจอีกครั้ง สุดท้ายเธอก็วางเครื่องเขียนกลับคืนที่เดิม เดิมทีฉันควรจะเขียนเอง แต่เพราะยุ่งยากเกินไปจนฉันอาจทำผิดพลาดอะไรแปลก ๆ ไป ตอนนี้ก็ขอเป็นเด็กที่ถูกเอาใจแบบนี้ไปก่อน ถ้าคราวหน้าต้องมายืมอะไรอีก ครั้งนั้นฉันจะเป็นคนทำเอง
“เหนื่อยหน่อยนะคะ ฮิเมะ”
“อืม แค่นิดหน่อย”
“ถ้ากลับไปถึงแล้ว แมเรียน――――”
“กิน”
“เร็ว”
หลังจากนั้น ในขณะที่เพลิดเพลินไปกับแมเรียน ฉันก็ใช้เวลาทั้งวันไปกับการอ่านเรื่องราวของตำนานดอกหยาดหิมะ ฉันร้องไห้ตามที่คาดไว้ นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ฉันเริ่มฝึกด้วยตัวเองนอกเวลาเรียน
“ว่าแล้ว นี่เป็นการบังคับกันนิดหน่อยสินะ?”
“ไม่ค่ะ เท่าที่ดิฉันสามารถบอกได้ ดิฉันคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วค่ะ รูนไฮม์ซามะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี…..”
ถ้าสเตลล่าพูดอย่างนั้นแล้วพยักหน้าในหน้ากากโนห์ตามปกติ ฉันจัดการระงับความวิตกกังวลที่ล้นออกมาได้ในที่สุด พูดได้ว่าครั้งนี้ฉันใช้อำนาจของเจ้าหญิงเป็นเกราะกำบังอย่างเกินเลยไป ถึงจะบอกว่าเป็นการทำไปเพื่อช่วยอริซก็ตาม แต่ฉันก็ไม่อยากทำเลย แต่ฉันคิดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากการทำแบบนั้นเลย
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันปล่อยเอาไว้เฉย ๆ ทั้ง ๆ อย่างงั้น แม้จะดูค่อนข้างดีขึ้น แต่ก็ยังมีความริษยาต่ออริซในไอริสคลาส แค่เพียงเพราะอริซได้อยู่ในไอริสคลาส นับแต่นั้นก็ทำให้ฉันหัวแทบหมุนไปหมด แม้พวกเขาจะยังไม่ทำอะไรเหมือนที่บุตรีผู้โง่เขลาทำในห้องอาหารนั้น แต่สายตาที่พวกเขามีต่ออริซนั้นมีอารมณ์เชิงลบอยู่อย่างแน่นอน ต้องขอบคุณเสน่ห์ของเธอที่ทำให้เธอค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เด็กผู้ชาย ทำให้โล่งใจได้บ้าง แต่กลุ่มเด็กผู้หญิงคือกลุ่มที่ถืออำนาจเสียงข้างมากไว้เสมอ หากอารมณ์เชิงลบของพวกเธอแสดงออกมาในตอนนั้น ไม่สิ แม้จะไม่ได้ทำอะไร อริซก็คงโดนยัดบทบาทที่เหลือให้โดยไม่ให้ออกความเห็น ตัวอย่างเช่น บทของนักกวีชายที่ไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหนอยากแสดง และคงถูกทิ้งให้แสดงในฉากที่น่าเบื่อที่สุด
“ยอมรับไม่ได้”
ใช่ และนั่นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สำหรับฉัน อริซไม่ใช่เด็กประเภทที่สามารถเล่นบทบาทตัวร้ายได้ แน่นอนว่าควรจะเป็น”ตัวเอก”ของละคร นับประสาอะไรกับฉัน แม้แต่แม่….ราชินีที่แสดงตนราวกับจะล่มอาณาจักรได้ก็ยังมิอาจเทียบได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักงดงามไม่มีใครเปรียบ แต่งแต้มไปด้วยความงดงามและความเศร้าสร้อยราวกับสัตว์ตัวน้อย บริสุทธิ์ ใสซื่อ ไร้เดียงสา และบอบบางราวกับจะแตกสลายได้ในชั่วพริบตา แต่ชาญฉลาด พฤติกรรมและบรรยากาศที่ขัดแย้ง แต่รับรู้ได้ทั้งหมดในเวลาเดียวกันนั้นทำให้ดูลึกลับ นอกจากนี้ บางทีเธออาจจะฉลาดที่สุดในคลาส ไม่สิ อาจะฉลาดที่สุดในโรเรียน ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ฉันสงสัยว่าอริซจะไม่ใช่นางเอกได้งั้นหรือ ไม่ว่าจะคิดยังไง เธอก็เหมาะกับตำแหน่งนั้นเหนือกว่าใคร ๆ และเหนือสิ่งอื่นใด
“ผู้มีพรสวรรค์ควรได้รับโอกาส”
พรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นของเธอนั้นมีนับไม่ถ้วนจากการตอบสอบของสเตลล่า ―――― ดูเหมือนว่าระหว่างที่เธอได้พูดคุยกับผู้ติดตามทั้งสองของอริซระหว่างที่พวกฉันกำลังเรียนอยู่นั้น ―――― ผลลัพธ์ที่ได้คือ อริซเข้าใจระบบภาษีตั้งแต่อายุสี่ขวบ ชนะไพ่ทาโรต์จูวี่กับสองวีรบุรุษแห่งราชอาณาจักร และฝึกหมาป่าสีทองให้เชื่อง ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ และดูเหมือนจะยังเป็นนักแต่งเพลงที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย
อันที่จริง ฉันยังพบพรสวรรค์บางอย่างของอริซด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่นในคลาสคณิตศาสตร์ ในระหว่างคาบเรียน เธอได้ใช้สิ่งที่เรียกว่าการ”การคำนวณบนกระดาษ”อย่างเป็นธรรมชาติ วิธีการคำนวณง่าย ๆ ที่ดูเหมือนเป็นการนำปาสคาโลนมาประยุกต์ใช้ ฉันพูดได้เลยว่าสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าสิ่งที่อาจารย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังสอนอยู่ เท่าที่ฉันสามารถบอกได้ คือ ยังไม่มีการค้นพบวิธีการคำนวณดังกล่าวจนถึงขณะนี้ หรือก็คือ นั่นคือสิ่งประดิษฐ์ของเธอ
……ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะหรือวีรบุรุษที่ยังเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่แล้วจะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเจาะจงไปแค่อย่างเดียว แต่ในกรณีของอริซ เธอมีมากกว่าหนึ่ง ที่ฉันรู้คือเธอมีความสามารถที่โดดเด่นทั้ง คณิตศาสตร์ บริหาร ดนตรี ยิ่งไปกว่าคือ หมาป่าสีทองที่เธอครอบครองเอาไว้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงบุคลิกภาพอันยอดเยี่ยม และศักยภาพที่ไม่ธรรมดา
――――เหตุผลที่ฉันอยากให้อริซมีความโดดเด่นไปพร้อมกันสองคนกับฉัน ประการแรกเพื่อประกาศข้อเท็จจริงให้รู้กันทั้งโรงเรียนว่า เธอกับฉันเป็นเพื่อนรักกัน
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ฉันชอบอริซมาก ๆ จะแพร่กระจายออกไปค่อนข้างดี แต่ท้ายที่สุดข่าวลือก็คือข่าวลือ จากเหตุการณ์ที่ห้องอาหารก็ทำให้ฉันเข้าใจดีแล้วว่าพลังในการป้องปราบของฉันยังไม่ยิ่งใหญ่พอ
เช่นนั้น สิ่งที่ฉันได้บอกผู้อำนวยการโรงเรียนไปก่อนหน้านี้ คือ สถานการณ์ปัจจุบันอาจเกิดเหตุการณ์คว่ำบาตรถูกโดดเดี่ยวได้ และฉันจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยป้องกันให้เอง นั่นคือเหตุผลที่ฉันได้รับอนุญาตให้ใช้วิธีที่ก้าวร้าวเล็กน้อยเช่นนั้นได้
ยังไงก็ต้องทำให้พวกเขารับรู้ว่าข่าวลือนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันทั้งโรงเรียน ใช่ นั่นควรจะสามารถช่วยป้องกันสถานการณ์อันตรายที่มาอย่างโจ่งแจ้งได้ ฉันไม่สามารถทำอะไรกับเหตุการณ์น่ารังเกียจที่เกิดขึ้นนอกสายตาได้ แต่คงจะง่ายกว่านี้ ถ้าฉันแค่ปล่อยไปอย่างที่เป็นอยู่ และมีอีกหนึ่งเหตุผล
“……ผู้คนจะมารวมตัวกันที่งานเทศกาลโรงเรียน”
งานเทศกาลโรงเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์หลวงรูเนเรีย ไม่ใช่งานกิจกรรมที่จัดขึ้นเฉพาะบุคคลภายในโรงเรียนเท่านั้น ในวันนั้น ประตูโรงเรียนจะถูกเปิด แล้วผู้ชมจากทั่วราชอาณาจักรจะมารวมตัวกัน…..แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นขุนนาง อัศวิน จอมเวทย์ และสามัญชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง รวมถึงเหล่าพ่อค้าต่างแดนที่จะเดินทางมา เป็นงานระดับนั้น พูดโดยทั่วไปคือเป็นเทศกาลที่ส่งเสริมความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวง
สำหรับการแสดงของนักเรียนใหม่ กิจกรรมเล็ก ๆ ของพวกเราเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีในรุ่นเดียวกันให้ลึกซึ้งขึ้น แต่เรื่องนี้จะแตกต่างออกไปเมื่อกลายเป็นนักเรียนรุ่นพี่ ในกรณีของพวกเขา มีเวลาให้เตรียมการอย่างระมัดระวังเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ ผู้ชมที่ไม่ใช่ญาติและข้ารับใช้ของนักเรียนโดยปกติมักจะมาเพื่อการณ์นั้น แน่นอนว่าเพื่อความบันเทิง แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้มีเพียงแค่จุดประสงค์นั้นเพียงอย่างเดียว ผู้มีอิทธิพลจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะกลุ่มนักเวทย์ จุดประสงค์ของการเยี่ยมชมงานเทศกาลโรงเรียนคือการค้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ
เพราะแบบนั้น ไม่มีที่ไหนที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้วในการให้โอกาสพรสวรรค์ของอริซ เพื่อนรักของฉัน โชคดีที่เธอโดดเด่น ถ้าเธอได้แต่ง(ประดับ)คู่กับฉัน ผู้เป็นเจ้าหญิงในตอนจบของละคร ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่แต่เธอก็จะได้รับความสนใจอย่างแน่นอน ก็รู้สึกผิดที่อาจจะทำให้ลำบากไปสักหน่อย แต่ในฐานะเพื่อนและในฐานะเจ้าหญิง ฉันจะปล่อยให้พรสวรรค์ของเธอถูกทิ้งเปล่าไปไม่ได้ เพราะมูลค่าอาจจะเป็นความสูญเสียทั้งสหัสวรรษต่อไปของราชอาณาจักรเลยก็ได้ นั่นคือ เหตุผลที่สอง
จากนั้น เมื่อฉันกำลังจัดระเบียบความคิดใหม่ ฉันก็ได้ยินเสียงจงใจกระแอมไอ ปลุกจิตสำนึกที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดให้กลับมา ดูเหมือนฉันจะใช้เวลาคิดคนเดียวนานไปแล้วเหมือนกัน สเตลล่าที่ถือชุดนอนอยู่ในมือติดปัญหาเล็กน้อยที่ฉันไม่ยอมถอดชุดเดรสออกสักที อ้า โทษที ก่อนที่จะทันได้พูดสักคำ สเตลล่าก็นำไปก่อนหนึ่งจังหวะ
“ดิฉันเห็นด้วยกับแนวคิดที่ยอดเยี่ยมของรูนไฮม์ซามะ แต่ดิฉันอยากให้ซื่อสัตย์ขึ้นกว่านี้อีกสักเล็กน้อยค่ะ”
“หืม……?”
“ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นก็แค่ข้ออ้างสำหรับการได้จู๋จี๋กับแฟร์มีลซาม ――――”
“เงียบไปเลย”
ฉันสั่งให้เงียบ ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับข้ารับใช้ที่พูดเรื่องอุกอากออกมา ฮ๊า ขณะถอนหายใจ ฉันก็รู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนนิดหน่อย สเตลล่าแค่พูดกึ่งล้อเล่นเหมือนทุกทีอย่างไม่ต้องสงสัย …..แต่ ฉันก็มีความปรารถนาที่อยากจะสัมผัสและสานสัมพันธ์อันดีกับเธอให้มากกว่านี้จริง ๆ
“…….อริซ”
――――ไม่ใช่ความคิดที่ผิดพลาด ใช่ไหม
MANGA DISCUSSION