ตอนที่ 10 เพื่อน
“ดีจัง”
ฉันวิ่งกระโดดออกจากหอพักด้วยแรงผลักดันมาที่หน้าน้ำพุ แล้วก็รู้สึกโล่งใจจนหายใจโล่ง เพราะ รูนไฮม์ซังไม่มา เห็นได้ชัดว่าฉันไม่ได้ทำให้เธอต้องรอ
ดูเหมือนว่าฉันจะได้รับความสนใจอย่างมากบนถนน เมื่อออกจากหอพักด้วยท่าทางที่ดูรีบเร่ง แต่ฉันก็ไม่มีเวลามาสนใจ ยังไงก็ตามความคิดของฉันมุ่งเน้นไปที่ข้อเท็จจริงที่ว่าฉันไม่ได้ปล่อยให้รูนไฮม์ซังต้องรอ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถูกปลดปล่อย ความโล่งใจก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน
“ยังไงก็เถอะค่ะ อริซซามะ ทำไมถึงพูดคุยกันเรื่องนี้ได้คะ?”
“อืม………..”
ทำไม ทำไมงั้นเหรอ เมื่อโดนถามโดยเบลล์ซัง ฉันก็คิดอีกครั้ง นั่นคำถามที่สมเหตุสมผล ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมพวกเราถึงได้คุยกันเรื่องกินข้าวด้วยกัน เป็นเรื่องที่พูดถึงอย่างกะทันหัน เป็นข้อเสนอที่กะทันหัน ไม่สิ ฉันเข้าใจครึ่ง ๆ กลาง ๆ ว่าเธอชอบฉัน เพราะเธอแนะนำให้ฉันนั่งข้างเธอ กับคำพูด และการกระทำต่าง ๆ ที่มีต่อฉัน มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ใจร้ายมีเจตนาร้ายหรือวางแผนร้าย ทั้งฉันยังชื่นชอบในบุคลิกของรูนไฮม์ซัง
…….แต่ยังไงก็ตาม ทั้งหมดนี่ก็แค่สองวันจากที่พวกเราได้พบกัน จู่ ๆ ก็ชวนไปกินข้าวด้วยกัน หรือว่านี่เป็นเรื่องปกติในการเข้าสังคมของชนชั้นสูงงั้นเหรอ ฉันเพิ่งเรียนรู้คำว่าการเข้าสังคมทำให้ฉันไม่รู้อะไรเลย ข้อสงสัยของเบลล์ซังคือสิ่งที่ฉันอยากได้ยินที่สุด
“ไม่รู้”
“งะ งั้นเหรอค่ะ”
“อืม”
ม๊า แต่บางทีนี่จะช่วยให้ฉันสามารถเข้ากับเด็กชนชั้นสูงคนอื่นได้ในอนาคต หากมีสถานการณ์ที่คล้าย ๆ กัน มาคิดดูแล้ว ฉันก็รู้สึกขอบคุณเหมือนกันที่ประสบการณ์ครั้งแรกของฉันคือ รูนไฮม์ซังที่ใจดีและอ่อนโยน และเพราะเธอคือเจ้าหญิงที่ได้เรียนมารยาทให้สุภาพกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันแม้จะแค่ในนามมา ในความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางเราไม่สามารถหยาบคายได้ ในทางตรงกันข้ามฉันอาจจะถูกมองว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าเพราะเหตุนั้นเช่นกัน แต่ก็มีความจำเป็นที่ต้องศึกษาไว้ นั่นคือขอบเขตสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ในชั้นเรียน”สังคม”ในอนาคต
ยังไงก็ตามหลังจากเรียนรู้ด้วยการสังเกตมาประมาณหนึ่งปี ฉันก็ได้รับการสอนจากเบลล์ซังเรื่องมารยาทในการรับประทานอาหาร แต่จะทำได้ดีพอไหมนะ ก่อนอื่นปัญหาในตอนนี้คือฉันจะล้มไหม นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ใส่รองเท้าส้นสูงแบบนี้
เมื่อฉันนึกกังวลเล็กน้อยที่เท้าของตัวเอง มิร่าซังก็พูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้าแน่ใจว่าทุกคนต้องตกหลุมรักฮิเมะตั้งแต่แรกเห็นแน่นอน เพราะข้าเองก็เหมือนกัน”
“ระ รักแลกพบ………?”
“…..รักแรกพบ ใช่ค่ะ ความรู้สึกดีตั้งแต่แรกเห็นค่ะ อริซซามะ”
เบลล์ซังอธิบายพร้อมคาดโทษมิร่าซังด้วยสายตา
เป็นคำที่ฉันไม่รู้จักเลย เป็นคำที่ออกเสียงได้ยาก แต่ ความหมายสามารถเข้าใจได้ทันที ชาติก่อนก็มีคำที่คล้ายกัน และบางทีฉันแน่ใจว่าที่เบลล์ซังตำหนิมิร่าซังก็เป็นเพราะถึงแม้จะพูดเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ก็ไม่ควรที่จะพูดถึงความรู้สึกของเจ้าหญิงด้วยการคาดเดา
เว้นเสียแต่ว่าที่นี่คือห้องของฉันที่คฤหาสน์ที่ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน แต่ยังไงก็ตามที่นี่คือโรงเรียน พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีใครฟังอยู่ตรงไหนไหม หากเผลอพูดออกไปอย่างประมาทเลินเล่อจนไปเข้าหูใครสักคน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาใหญ่สำหนับข่าวซุบซิบในห้องอาหาร คงจะกลายเป็นข่าวลือแปลก ๆ แต่ถ้ารูนไฮม์ซังและผู้ติดตามรู้สึกดีก็ถือว่าจบเรื่อง
เบลล์ซังคงกังวลเรื่องนี้และพยายามตำหนิ ……อาจจะ
“……อะ”
และ ใช่แล้ว นึกออกแล้วห้องอาหาร พอมาคิด ๆ ดูแล้ว รูนไฮม์ซังบอกว่าจะพาไปทานอาหารกลางวันด้วยกันกับเธอ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน ตอนแรกฉันคิดว่าพวกเราจะทานด้วยกันในห้องอาหาร แต่พอมาคิดอย่างใจเย็นแล้ว คนเป็นเจ้าหญิงจะทานอาหารในห้องอาหารร่วมกับนักเรียนคนอื่น ๆ ได้หรือเปล่า บางทีฉันอาจถูกพาไปร้านอาหารราคาแพงนอกโรงเรียน ในกรณีนั้นราคาจะยังพอที่จะจ่ายด้วยตัวเองไหวไหม หรือต้องมีมารยาทแบ่งจ่ายกันคนล่ะครึ่งกับเจ้าหญิง ตั้งแต่แรกแล้วฉันมีเงินพอที่จะใช้แบบนั้นหรือเปล่า
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“เอ๊ะ เอ๊ะโตะ…….”
เบลล์ซังเอียงหัวสังเกตเห็นฉันที่จู่ ๆ ก็วิตกกังวล และเมื่อฉันพยายามจะตอบกลับ ตึก ก็มีเสียงกระทบพิ้นถนนที่ปูด้วยหิน
“อาร๊า ฉันคิดว่าตัวเองมาเร็วเกินไปหน่อย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสินะ”
“จ้าวหญิง…….รูนไฮม์ซัง”
สายตาแหลมคมเสียดแทงฉันทันทีที่พยายามจะเรียกเธอว่าเจ้าหญิงจนต้องรีบเปลี่ยนคำเรียก เบลล์ซังกับมิร่าซังแสดงความเคารพด้วยความสุภาพอย่างใจเย็น ข้ารับใช้ของทางนั้นก็ตอบกลับมาเล็กน้อย แล้วฉันพยายามที่จะคุกเข่าต่อ แต่รันไฮม์ซังก็หยุดไว้ด้วยมือ
“ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเกร็งขนาดนั้น วันนี้ฉันไม่ได้มาในฐานะขุนนาง แต่……อืม! เรียกว่าเพื่อนที่โรงเรียน”
“เอ๊ะ อะ ค่ะ”
รูนไฮม์ซังพูดทบทวนบางอย่างเบา ๆ เธอดูประหม่าจริง ๆ …..ราวกับว่าท่าทางที่สง่างามอยู่เสมอไม่เคยเกิดขึ้น ฉันเริ่มปฏิเสธความทรงจำของตัวเอง แต่ในเวลาเดียวกัน ท่าทางเขินอายของเธอในตอนที่ชวนฉันไปทานอาหารกลางวันด้วยกันก็เป็นสิ่งยืนยัน ว่าแล้วพวกเราพึ่งเจอกันไม่นาน ฉันยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรูนไฮม์ซังเลย ในตอนแรกฉันนึกว่าตีความผิดไป ฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างเดาไม่ได้
――――ฉันหลงเสน่ห์เธอ
“สวย…….”
ตั้งแต่แรกฉันบอกได้เลยว่าเธอมีรูปลักษณ์ที่หาที่เปรียบไม่ได้ แต่เมื่อมีการแต่งตัวเพิ่มเติมด้วย ชุดเดรส กิ๊บติดผม และเครื่องประดับต่าง ๆ ก็ช่วยยกระดับความระยิบระยับให้สูงขึ้นไปอีก ความสวยนี้ ฉันรู้สึกว่าแทบไม่ต่างไปจาก”ความสวยงาม”สำหรับงานศิลป์ไปเสียแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่าง รูนไฮม์ซังที่ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก็ก้มหน้าลงมา
“….อ้า เธอสิที่สวยกว่า”
คราวนี้แก้มของฉันเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ฉันก้มหน้าลงเลียนแบบรูนไฮม์ซัง อาร๊า ม๊า ข้ารับใช้ทั้งสามพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าฟ้าหญิง ท่านควรเชิญชวนโอฮิเมะซามะให้ถูกต้อง ไม่ใช่เอาแต่มองก้มหน้าแบบนั้นนะเจ้าค่ะ”
“หวนกหูน้า หล่อนน่ะเงียบไปเลย!”
ถ้าพูดถึงตามบทบาทที่ตั้งไว้แล้ว โอฮิเมะซามะควรเป็นรูนไฮม์ซังจะตรงกว่า หลังโดนข้ารับใช้แกล้ง ความลังเลของเธอก็หายไป หรือว่าต้องช่วยเปลี่ยนบรรยากาศงั้นเหรอ งั้นก็ไปกันเถอะ ฉันรีบวิ่งไล่ตามไปทันทีที่เธอเริ่มเดิน ฉันรีบถามเพื่อยืนยันให้สบายใจ เพื่อไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินทั้ง ๆ ที่เท้ายังไม่ทันได้เข้าประตู
“อาโน๊…..ห้องอาหาร เหรอกะ”
“หืม? ……อ้า ใช่ ถูกแล้ว ในเมื่อจ่ายค่าเล่าเรียนไปแล้ว ถ้าไม่ได้กินถือว่าพลาดน่ะ”
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด และสามัญมาก แน่นอนว่าฉันไม่ได้พูดออกไป โดยเฉพาะในอาณาจักรที่คำว่า “สามัญชน” ยังหมายถึงบุคคลที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ เป็นการดูถูกที่อย่างยิ่งที่สุดที่จะพูดกับราชวงศ์
“นอกจากนี้ยังอร่อยกว่าพวกร้านหรูไร้ฝีมือ ที่นี่ล่ะ”
“แน่นอนก่ะ”
จริง ๆ ฉันเห็นพ้องด้วย ถึงฉันจะไม่รู้รสชาติของร้านหรูเพราะยังไม่เคยกิน แต่ก็ยากที่จะจินตนาการว่ามีร้านอาหารที่อร่อยมากกว่าในห้องอาหารของโรงเรียน ฉันเคยใช้บริการไม่กี่ครั้ง แต่ฉันก็รู้สึกว่ามีระดับความคุ้มค่าที่สูง ถึงจะไม่ดีเท่าแมเรียน แต่จุดแข็งของห้องอาหารคือรสชาติที่เปลี่ยนไปการตามเมนูอาหาร แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเสิร์ฟเมนูอาหารที่ไม่ซ้ำกันเลยตั้งแต่ตอนนี้ถึงจนจบการศึกษา แต่ก็ต้องมีรายการไปตามนั้น อาหารแบบไหนที่รออยู่ ฉันจะเพลิดเพลินกับความรู้สึกนั้นตั้งแต่นี้ไป
……และ ฉันเผลอใช้คำเยินยอออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอดูจะไม่ได้สังเกตเห็น
“เธอน่ะ ฉันสงสัยว่ามีของอะไรที่เธอไม่ชอบบางไหม”
“ไม่ชอบ……อืมมมมม”
ของที่ไม่ชอบ จะมีบางรึเปล่านะ จนถึงตอนนี้ ทุกสิ่งที่ฉันได้กินดูเหมือนจะอร่อยในระดับที่แตกต่างกัน ฉันไม่เกลียดผักสีเขียวรสขม ฉันสามารถทานพริกหยวกที่เสิร์ฟมาเป็นอาหารตอนที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บได้ แต่ก็อาจจะอยากเลี่ยงนิดหน่อยถ้าต้องกินเดี่ยว ๆ ยังไงก็ตาม ฉันนึกไม่ออกเลยว่ามีอาหารที่ฉันไม่ชอบไหม แล้วรูนไฮม์ซังจะมีของที่ชอบและไม่ชอบอยู่เยอะไหม
“ไม่มี ก่ะ รูนไฮม์ซังล่ะกะ….มีบ้างไหม?”
“ฉัน? อืมมมม ถ้าต้องให้พูดโดยเฉพาะก็คงเป็นอาหารไร้รสนิยมที่เสิร์ฟออกมาตอนมื้อเย็น”
“ระ ไร้รสนิยม……”
เมื่อพูดถึงมื้อค่ำของราชวงศ์ ฉันคิดว่าจะต้องเสิร์ฟอาหารฟูลคอร์สอย่างดี แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สำหรับรูนไฮม์ซัง แต่ไร้รสนิยมหมายความว่ายังไงกัน น่าจะไม่ใช่”ไร้รสนิยม”แบบคำธรรมดา ๆ
“พวกนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับรสชาติของอาหาร เอาแต่ยึดติดกับความหายากเท่านั้น ตัวอย่างเช่น นั้นสินะ”
หัวใจสำคัญดูเหมือนตั้งใจที่จะบอกว่าไม่อร่อย อาจกล่าวได้ว่ารสชาติเป็นเรื่องรองจากความหายากของวัตถุดิบ ซึ่งจากมุมมองของการทำอาหารอาจพูดได้ว่าเป็นการหยาบคาย รูนไฮม์ซังครุ่นคิดด้วยใบหน้าที่ไม่อยากนึกถึง
“เป็นนกแปลก ๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ถูกทาเครื่องเทศจนพูนก่อนเอาไปย่าง พอฉันกินก็แทบจะอาเจียนอย่างที่คาดไว้ แต่คนรอบตัวฉันกับกินเหมือนไม่มีอะไร”
ไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่ว่าลิ้นเสียกันหมดแล้วเหรอ แต่เธอปากร้ายค่อนข้างมากกว่าที่คิด ดูเหมือนรสชาติจะแย่เอามาก ๆ ฉันสงสัยว่าเป็นการอบด้วยเครื่องเทศโดยไม่มีการเตรียมเอาไว้ก่อน …….คิดว่าไม่ผิดแน่นอน ฉันไม่คิดว่าควรพูดออกไป
“จริง ๆ เลย ฉันล่ะอยากจ้างเชฟของที่นี่ไปจริง ๆ เอ๊ะโตะ เราไปนั่งข้างหลังกันเถอะ”
“อะ ก่ะ”
ฉันแน่ใจว่าด้วยตำแหน่งของรูนไฮม์ซังแล้ว ถ้าเธอต้องการก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ในขณะที่ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเราก็มาอยู่หน้าห้องอาหารแล้ว วันนี้ก็ได้กลิ่นชวนหิวเช่นเคย เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของการอบ น่าจะเป็นจานเนื้อ บางทีพวกเราอาจจะมาเร็วเกิน เพราะดูเหมือนจะไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา
พวกเราเดินไปยั่งที่นั่งด้านในสุด หลังยืนยันว่ารูนไฮม์ซังนั่งลงอย่างมั่นคงแล้ว ฉันก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่เบลล์ซังดึงให้ ที่นั่งหน้าเคาเตอร์ล่ะ บริกรยืนอย่างสุภาพเงียบสงบรอให้พวกเรานั่งเข้าที่เข้าทาง
เมื่อพูดถึงเรื่องก็นึกขึ้นได้ว่าเบลล์ซังกับคนอื่น ๆ จะเข้าร่วมโต๊ะได้ด้วยหรือเปล่า รูนไฮม์ซังหันไปทางข้ารับใช้ที่ดูเหมือนจะชื่อสเตลล่า และพูด
“สเตลล่า กับ เอ๊ะโตะ……”
“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ ดิฉันชื่อว่า น๊อกซ์เบลค่ะ ข้ารับใช้ของอริซซามะ”
“เช่นเดียวกัน ดิฉันชื่อ มิแรนด้า・คูเรีย อัศวินผู้พิทักษ์ค่ะ”
“เหรอ จ๊า ทั้งสองคน ฉันสงสัยว่าพวกเธอจะกินที่โต๊ะข้าง ๆ กับสเตลล่าได้ไหม”
“ไม่ค่ะ เรื่องนั้น การเพิกเฉยเจ้าฟ้าหญิงแล้วไปทานอาหารเช่นนั้น”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่สามารถพูดแบบสบายใจได้ถ้ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง”
“ขะ เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้น……”
ยังไงดี เป็นการกระทำที่ใจกว้าง แต่ด้วยเหตุนี่นั่น ครั้งนี้พวกเบลล์ซังดูจะไม่สบายใจ ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกของข้ารับใช้อย่างถ่องแท้ ฉันเข้าใจว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติมากที่จะนั่งกินข้าง ๆ เจ้านายตัวเองและเจ้าหญิงที่กำลังทานอาหารอยู่ ในระหว่างที่ฉันกำลังเห็นใจทั้งสองคน บริกรที่รอมาสักพักก็ได้เข้ามา
“ท่านเจ้าฟ้าหญิงรูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย ขออภัยที่ทำให้ต้องรอขอรับ กระผมจะนำอาหารออกมาในทันทีขอรับ”
“ดี ขอบคุณ”
แล้วเขาก็หายเข้าไปในครัวทันที เรื่องนี้อาจจะดีกว่าที่จะไม่ถาม แต่ฉันก็พูดเรื่องที่คิดออกไปเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี่
“….เมื่อกี้นี่?”
“เอ๊ะ อ้า ฉันเกลียดการถูกจ้องมองน่ะ”
อ้า เจ้าหญิง…… เธอมีความรู้สึกเป็นกังวลกับเบลล์ซัง แล้วกับฉันที่เป็นเพียงแค่ขุนนางมาอยู่ที่ตรงนี้ขนาดนี้จะดีแล้วเหรอ ยังไงดีฉันรู้สึกเหมือนอยากขอโทษ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับรูนไฮม์ซัง แต่สำหรับฉันเมื่อมองด้วยความเป็นจริง เธอเป็นเจ้าหญิงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมาคิดถึงที่ฉันทำลงไปแล้วก็ค่อนข้างเสียมารยาท ยังไงก็ตาม ก็ไม่น่าแปลกใจที่ฉันจะรู้สึกกลัวที่ได้รับการต้อนรับจากใจจริงเช่นนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งรูนไฮม์ซังได้จองที่ตรงนี้เอาไว้สำหรับตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าต้องทำขั้นตอนคำขอแบบไหน แต่ก็เข้าใจได้ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเพราะไม่มีใครอื่นที่จะสามารถทำได้อีกแล้ว
“ขอบกุณมาก ๆ เลยก่ะ”
“ปะ เปล่าซะหน่อย ฉันไม่ได้ทำอะไร……”
…..ฉันเริ่มค่อย ๆ สงสัยแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเจ้าหญิงจริงหรือ อาจจะเป็นความคิดที่ไร้มารยาทอย่างน่าขัน แต่คนที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้คือเด็กผู้หญิงใจดีที่มีท่าทางเงอะงะเล็กน้อย
บางที บางที ยังไงก็ตาม มื้อเที่ยงนี้เองที่ทำให้สงสัยว่าตัวเองกำลังแอบคาดหวังอะไรอยู่หรือเปล่า อาจเป็นเพราะฉันอยากจะสานสัมพันธ์กับเธอแค่นั้นจริง ๆ
เมื่อกี้ การพูดคุยระหว่างรอมีคำถามที่ทำให้เธอตื่นตัวอีกครั้ง ความเข้าใจผิดแบบหลงตัวเองเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจอย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง แต่แน่นอนว่าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอจริง ๆ แต่ฉันไม่สามารถถามเธอโดยตรงได้
ความรู้สึกผิดหวังนี้คืออะไร ตามหลักเหตุผลฉันไม่ควรถามเธอด้วยตัวเอง แต่ฉันก็อกไม่ได้ที่จะยืนยันความคิด
“อู”
ฉันหายใจเข้าลึก ๆ
ฉันตัดสินใจถามเธอออกไป
“อาโน รูนไฮม์ซัง”
“อะไร?”
“วันนี้ทำไมวันนี้กับหนู…..?”
รูนไฮม์ซังดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้า ส่ายหัว ดูลุกลี้ลุกลน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็หลบตาออกไป
“――――กะ……. ก็「เพื่อน」…..กันใช่ไหม?”
ฉันจับน้ำเสียงที่แหบแห้งของเธอไว้แน่น
ฉันเคี้ยวคำนั้นหลายสิบวินาทีแล้วกลืนเข้าไป
แน่นอนว่าพวกเราอาจจะพึ่งรู้จักกันแค่สองสามวัน อาจจะรู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่จะพูดยังไงดี ต่อจากนี้ฉันก็แค่ต้องทำความเข้าใจเธอให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อ้า จริง ๆ ฉันตระหนักถึงความรู้สึกที่แท้จริง แต่หลอกตัวเองด้วยความรู้สึกแปลก ๆ …..หยุดหาข้อแก้ตัวสำหรับความเข้าใจผิดที่แปลกประหลาดและความตึงเครียดที่มากเกินไป เธอคือเจ้าหญิง แต่ว่าก่อนนั้นเธอคือรูนไฮม์ซัง เธอไม่ได้ต่างจากฉันมากอย่างที่คิด เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องการ「เพื่อน」เหมือนกับที่ฉันต้องการ
เมื่อฉันลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว ฉันพบเพื่อนคนแรกที่กำลังกลัวที่จะถูกปฏิเสธ
“――――อืม ใช่แล้ว!”
ตั้งแต่ที่รูนไฮม์ซังพบฉัน
ตั้งแต่ที่ฉันพบรูนไฮม์ซัง
――――ฉันก็อยากที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ
MANGA DISCUSSION