[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 46 ตอนที่ 6 มิตรภาพที่แน่นแฟ้น*
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 46 ตอนที่ 6 มิตรภาพที่แน่นแฟ้น*
ตอนที่ 6 มิตรภาพที่แน่นแฟ้น*
(*水魚の交わりเป็นสำนวนที่มาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นคำเปรียบเทียบสำหรับ “การมีอยู่ของเพื่อนที่ขาดไม่ได้” ดังตัวอย่างที่ว่า “ปลาอยู่ได้ด้วยน้ำเท่านั้น” และ “ความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่แยกไม่ออกเหมือนน้ำกับปลา” การที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จึงถูกนำมาใช้เป็นคำอุปมาสำหรับ “ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้”)
“….อาฟู”
ฉันขยี้ตาที่พร่ามัวของตัวเองก่อนจ้องไปที่เพดาน ตอนนี้กี่โมงแล้ว จากความรู้สึกน่าจะเป็นเวลาประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมงก่อนเริ่มงานเหมือนอย่างเคย
ฉันยกตัวขึ้นในขณะที่หาวสองสามที แล้วก็มีเสียงดังขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อริซซามะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฮิเมะ”
แก้มของฉันผ่อนคลายลงด้วยเสียงที่ได้ยินทันทีหลังตื่นนอน ฉันยังไม่ชินกับห้องนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ เป็นเพราะมีเบลล์ซังกับมิร่าซังอยู่ด้วย
“อรูณสาหวัด”
เสียงยืดยาวหลังหลับมานาน รอยยิ้มทะลักเคลือบหน้าทั้งสองคนในขณะที่ฉันไม่ทันได้สังเกต ฉันยกคู่หูที่กลิ้งอยู่ในอ้อมแขนขึ้นมา สติของฉันยังไม่แจ่มชัดมีหมอกบดบังอยู่ ฉันอ่อนแอในตอนเช้า
ยังไงก็ตามฉันไม่สามารถสะลึมสะลือได้ตลอดไป วันนี้เป็นวันเข้าคลาสเรียนครั้งแรกที่น่าจดจำ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลคือการถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในไอริส แต่ถ้าเป็นในอดีต การนอนมากเกินไปจะทำให้*สูญเสียทุกอย่าง* ฉันจัดการความคิดที่เชื่องข้าของตัวเองในขณะที่ยืดตัวไปด้วย
“อึก อ้า…..ฟู๊ว”
ฉันส่งเสียงที่ไม่สามารถบรรยายได้ออกไปด้วยความรู้สึกดีระหว่างผ่อนคลายร่างกาย ทันใดนั้นฉันรู้สึกได้ถึงการจ้องมองเลยหันกลับไป มิร่าซังกำลังจ้องมาที่ฉัน ฉันอาจรู้สึกไปเองเหมือนจะเห็นตาของเธอมีเลือดไหล
“ช่างน่ายั่วย้ว――――”
“มิแรนด้าซัง”
“ค่ะ”
เบลล์ซังขัดจังหวะตอนที่เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ดูเหมือนมิร่าซังจะโดนโกรธอีกแล้ว ฉันไม่ได้สนใจการพูดคุยเหมือนอย่างเคย ……ถึงจะพูดแบบนั้นฉันก็ยังกังวล ฉันแตะผมของตัวเองดูว่าชี้ฟูไหม แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น ม๊า ก็ดีแล้ว ฉันโยนความสงสัยทิ้งไป จากนั้นฉันก็ก้มหน้าลงอย่างตั้งใจทั้งๆแบบนั้น สีผิวส่วนใหญ่โผล่เข้ามาในสายตาของฉัน
“หืม”
ฉันมองลงไปที่ตัวเองอีกครั้งพลางส่งเสียงงี่เง่า ชุดเดรสทรงหลวมที่ถูกใส่เป็นชุดนอนหลุดเผยผิวออกมา บริเวณตั้งแต่ไหล่ขวาไปจนถึงด้านล่างเล็กน้อยถูกเปิดเผยให้เห็นอย่างสมบูรณ์ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกเย็นสบายอย่างประหลาด ฉันกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่แล้วจึงไม่ได้จัดชุด
“มิแรนด้าซัง”
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะค๊า”
“ขออภัยด้วยค่ะ”
ฉันลงจากเตียงในขณะที่ใช้เสียงการพูดคุยของทั้งสองคนเป็นนาฬิกาปลุก ฉันสังเกตเห็นว่าตัวเองยังจับคู่หูเอาไว้โดยไม่รู้ตัว หลังจากคิอเล็กน้อยฉันก็พาคู่หูกลับไปที่เตียง
….ในตอนนี้ ฉันขอแต่งตั้งให้คู่หูเป็นผู้ดูแลเตียงจนกว่าฉันจะกลับมาหลังเลิกเรียน ดูเหมือนว่าสามารถนำสิ่งของเช่นนี้ไปที่ห้องเรียนได้ แต่ถ้าฉันเอาไปด้วยจะทำให้ดูเด่นเกินไป เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็คิดเกี่ยวกับตอนเข้าร่วมพิธีเปิดภาคการศึกษาที่ในตอนนั้นคู่หูเองก็อยู่ในอ้อมแขนของฉัน แต่ในเหตุการณ์นั้น ด้วยเหตุผลบางอย่างคู่หูไม่โดนยึดไป ……จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เคยลองเอาไปฝากด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ปล่อยไว้ที่นี่ก่อน
“ต้องเปลี่ยนชุด”
ฉันหาวลูกใหญ่อีกครั้ง จากนั้นเมื่อฉันพยายามไปที่ชั้นวางที่เก็บเสื้อผ้า เบลล์ซังก็เปิดชั้นวางอย่างรวดเร็วเมื่อฉันออกเดินได้ประมาณสองก้าว จากนั้นเธอก็หยิบชุดออกมาจากลิ้นชักและนำมาให้ฉัน พูดถึงตอนนี้ก็แค่ตอนนี้ แต่ฉันถูกตามใจจนนิสัยเสียสำหรับทุกอย่างแล้วจริงๆ
“วันนี้เป็นคลาสเรียนแรกแล้วสินะคะ”
“อืม”
“กำลังรอคอยอยู่สินะคะ?”
“อืออออ……..”
มิร่าซังรับชุดนอนที่ฉันถอดไปและพับใส่ชั้นวาง ฉันเฝ้าดูโดยไร้เหตุผล และเบลล์ซังก็เปลี่ยนชุดให้ฉันทั้งๆอย่างงั้น หลังจากสวมกางเกงในพักทอง ก็ตามด้วยชุดเดรส เนื้อผ้าแน่นและกระชับปกปิดครึ่งร่างกาย แต่ก็มีเรื่องน่าอายอยู่เล็กน้อย คือช่องรูปตัววีบางๆที่อยู่บนหลังของชุด
แต่สมมติว่าฉันต้องปรากฏตัวต่อสาธารณะในฐานะเลดี้ และสำหรับขุนนางในราชอาณาจักรแห่งนี้ ชุดที่มีการออกแบบเช่นนี้ถือว่าเป็นของธรรมดาๆทั่วไป ดังนั้นฉันจึงทำได้แต่ให้ตัวเองรู้สึกพอใจเท่านั้น ฉันก็ไม่รู้จริงๆว่าจะเหมาะกับฉันหรือเปล่า แต่ถ้าเบลล์ซังเป็นคนเลือกก็คงไม่มีทางพลาดแน่นอน
เบลล์ซังพูดต่อ
“เช่นนั้น เป็นกังวลงั้นเหรอค่ะ?”
“ทั้งสอง”
“ทั้งสองเลยเหรอค่ะ”
“อืม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะได้อยู่คลาสไอริสก็เพราะผลการสอบ”
“อือ……อืม ใช่แล้ว”
“ค่ะ”
ริบบิ้นถูกผูกไว้ที่ด้านหลังในระดับที่ไม่แน่นจนเกินไป สุดท้ายจัดรอยยับและจุดหลวมๆให้เข้าที่ เหมาะมากเลยค่ะ มิร่าซังพูดชม ฉันพยักหน้าขอบคุณ ทำตัวไม่ถูกจนต้องหลบตา
“เมื่อจัดผมเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่ห้องอาหารเล็กกันเถอะค่ะ”
“อะ…..อืม”
ใช่ ห้องอาหาร ห้องอาหารล่ะ ฉันลืมไปเสียสนิทจนกระทั่งเบลล์ซังพูดถึง จากนี้ไปฉันจะไปกินอาหารที่ห้องอาหารของโรงเรียนเป็นหลัก ดูเหมือนว่าจะสามารถนำอาหารที่ทำเองหรือซื้อจากข้างนอกเข้าไปกินได้ แต่ว่ากันว่าค่าใช้จ่ายในห้องอาหารจะรวมอยู่ในค่าเล่าเรียนล่วงหน้าแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็จะไร้ประโยชน์ถ้าไม่ใช้ห้องอาหารให้มากที่สุด
และนอกเหนือไปจากนั้น ฉันก็อยากไปลองกินดูด้วยเหมือนกัน นอกจากค่าเล่าเรียนที่สูงแล้ว ที่นี่ยังเป็นโรงเรียนที่มีแต่ขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าเรียน เนื่องจากความสะดวกในการเรียนรู้สังคมและคณิตศาสตร์ นอกเหนือจากเวทมนตร์ นอกจากนั้นอาหารในห้องอาหารไม่มีทางที่จะไม่อร่อยได้เลย เพราะเล่าลือกันว่ามีการจ้างพ่อครัวชั้นหนึ่งที่สามารถเข้าทำงานที่วังหลวงได้ ฉันจินตนาการถึงกุ๊กสุภาพบุรุษสูงวัยอย่างใจลอย หรือบางทีอาจเป็นผู้เงียบขรึมที่มีจิตวิญญาณของช่างฝีมือที่แท้จริง
“สมบูรณ์แบบที่สุดเลยค่ะ ไม่ว่าจะมองยังไงฮิเมะก็น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“ขอบกุณ…….เอ๊ะ?”
และเมื่อเบลล์ซังหวีผมฉันเสร็จ ความคาดหวังก็เพิ่มขึ้น ทันใดนั้นฉันก็ถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวและชำเลืองมองไปที่มิร่าซังที่พูดคำที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เป็นเพราะว่าคำพูดของเธอเป็นธรรมชาติเกินไปจนฉันเกือบจะปล่อยตัวไหลตามไปชั่วขณะ
มิร่าซังพยักหน้าอยู่ข้างๆขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอัศวินที่คุ้นตาทำให้ความรู้สึกอึกอักและเขินอายเหมือนถูกหลอก ในมือของเธอมีหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์หลายเล่มที่จำเป็นสำหนับชั้นเรียนในวันนี้ มิร่าซังถือหนังสือเอาไว้เพราะดูจะหนักเกินไปหน่อยสำหรับฉัน
“ว่าแล้วว่ามีเพียงแค่มีฮิเมะอยู่ก็ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนภาพวาด! “
“จริงๆเลย ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ดิฉันรู้สึกอิจฉาจริงๆค่ะ ไม่ขี้โกงไปหน่อยเหรอค่ะ? ฟุๆๆๆ……”
“…….อา”
เป็นคำชมที่มั่นคง แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่าใบหน้าของฉันถูกจัดระเบียบมาเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย หากไม่ยอมรับอย่างซื่อๆในระดับหนึ่งก็จะดูเป็นการอวดดีมากกว่าการถ่อมตัว แต่ถึงอย่างงั้นการชมว่าเป็นเหมือนภาพวาดก็ดูเป็นเรื่องที่เกินจริงไปหน่อย
มีเพียงคำชมจากทั้งสองคนนี้เท่านั้นที่ฉันรู้สึกทนทานได้เพียงแค่เล็กน้อยก่อนที่แก้มของฉันจะถูกย้อมไปด้วยสีแดงทุกครั้ง ฉันอยากให้ตัวเองควบคุมตัวเองได้มากกว่านี้อีกหน่อย เป็นความชื่นชมที่เท่าเทียมไม่ใช่ความชื่นชมแบบผู้ติดตาม
“มะ ไม่คุยแล้ว ไปกันได้แล้ว!”
ฉันพยายามดึงมือของทั้งสองคนที่ยังคงพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอยู่ ――――ถึงจะพูดว่า”ดึง” แต่ฉันก็ไม่มีพลังเพียงพอจึงทำได้แค่จับแขนเสื้อของทั้งสองคนอย่างหมดหวัง ――――พาพวกเธอไปที่ประตู
ด้วยเหตุผลบางอย่างจู่ๆฉันก็สั่นและกลั้นไม่อยู่ ฉันได้แต่เอียงคอสงสัยด้วยความเงียบ แต่เมื่อตัดสินใจมาอย่างจริงจังแล้ว ฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจ
หลังปิดประตูให้เรียบร้อย พวกเราก็เดินไปตามทางเดินและลงบันได
ฉันเริ่มเห็นนักเรียนคนอื่นๆระหว่างทาง ดูเหมือนว่าข่าวลือเรื่องที่ว่าฉันได้อยู่ในคลาสไอริสได้แพร่กระจายไปยังกลุ่มรุ่นพี่เช่นเดียวกันแล้ว และเพราะเดิมทีฉันก็เป็นเด็กเล็กอยู่แล้วจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้จ้องมองมาอย่างโจ่งแจ้ง ดูเหมือนพวกเขาจะเกรงใจกันอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าสายตาที่มองมาของพวกเขามีความห่วงใย ฉันไม่ถนัดในเรื่องการเป็นจุดเด่น ฉันเริ่มซ่อนตัวอยู่หลังเบลล์ซังกับมิร่าซัง
“อริซซามะ”
“…..ขอบกุณก่ะ”
บางทีพวกเขาอาจไม่เห็นท่าทางที่หวาดกลัวของฉัน เบลล์ซังจับมือฉันไว้และโอบนิ้วแน่นเหมือนวันเก่าๆ เพราะความอายเล็กน้อยที่ถูกคนรอบๆเห็น ทำให้ฉันเดินช้าลง
“ลาลัน ลาๆๆๆๆ~”
“มีเพลงใหม่อีกแล้วเหรอคะ? เป็นท่วงทำนองที่สมบูรณ์แบบสำหรับเช้าวันใหม่ที่แจ่มใสจริงๆค่ะ”
“อะ อืม”
แน่นอนว่าฉันไม่ได้แต่งเอง แต่เบลล์ซังและมิร่าซังยอมรับว่าเป็นของฉันแล้ว และฉันก็ไม่สามารถนึกวิธีตบตาที่ดีไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ยังไงก็ตามฉันจะแต่งเพลงเพื่อให้พวกเธอได้ฟังในอนาคต เป็นคำสัญญาที่เกิดจากความเข้าใจผิด ถึงจะเป็นการทำตัวเองแต่ก็ต้องสบายมากอีกครั้งแน่นอน
ม๊า เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน พวกเราออกจากหอพักทั้งแบบนั้น ตรงไปที่จัตุรัสน้ำพุ มุ่งตรงไปยังอีกฝั่งของอาคารหอประชุม นอกเหนือจากหอพักและอาคารเรียนแล้วก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกประเภท ในช่วงเวลาของการเยี่ยมชม มีการเข้าชมเฉพาะหอประชุมเท่านั้น แต่ในความจริงที่นี่ยังมีร้านอาหาร ห้องสมุด และอื่นๆอีกด้วย ดูเหมือนว่าจะมีแม้แต่ห้องดนตรี ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายที่ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากกว่าโลกก่อนของฉัน อาจจะถูกแล้วก็ได้ที่อารยธรรมไม่ควรก้าวหน้ามากเกินไป
“ข้าว ข้าว”
แต่ว่าในตอนนี้อาหารที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า จะมีอาหารแบบไหนออกมากันนะ
ฉันสงสัยจริงๆว่าจะมีเจ้าไหนที่อร่อยกว่าเนื้อที่ฉันได้กินที่คฤหาสน์บ้าง ชีสเองก็น่าจะมีรึเหล่าน้า และสิ่งที่ฉันเป็นห่วงที่สุดคือ……….
“แมเรียน…..”
หากไม่มีสิ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นความสิ้นหวังอย่างแท้จริง และเนื่องจากแมเรียนน่าจะเป็นอาหารพิเศษ แม้จะเป็นห้องอาหารของโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรก็มีแนวโน้มที่ว่าจะไม่มีเตรียมไว้ นี่เป็นเรื่องของชีวิตและความตายสำหรับฉัน ร่างกายนี้ไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไปหากขาดแมเรียน
“อยากให้มีจังน้า……”
“แมเรียนหรือค่ะ?”
“อืม”
หลังพูดว่าชอบจริงๆเลยนะคะและฝืนยิ้มออกมา เบลล์ซังก็วางนิ้วลงบนริมฝีปากบางสีลูกพีชและครุ่นคิดสักครู่
“นั้นสินะคะ ถึงแม้อาจจะหาไม่ได้ที่นี่ แต่ที่นี่ก็ยังอยู่ในเมืองหลวง ดิฉันแน่ใจว่าหากได้ออกไปในเมือง อาจจะมีขายที่ใดที่หนึ่งอยู่แน่ๆค่ะ”
แน่นอน ถึงแม้ว่าที่ห้องอาหารของโรงเรียนจะไม่มี แต่ที่นี่นคือเมืองหลวงของโลก ยากที่จะจินตนาการว่าจะไม่มีแมเรียนขายอยู่ในเมืองใหญ่ขนาดนี้ จะต้องมีผู้ขายที่ส่งออกมาที่นี่อย่างแน่นอน
ผลไม้สีทองที่ไม่ว่าใครก็……ไม่สิ นั้นสินะ ฉันแน่ใจว่าแมเรียนจะต้องเป็นที่นิยมในเมืองหลวงอย่างมาก งั้นก็เป็นไปว่าจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า”ขายเกลี้ยง”ไปแล้ว นี่ช่องโหว่ ฉันสงสัยว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอร้องให้คุณพ่อส่งแมเรียนมาให้โดยการเขียนจดหมายถึงถ่ายถอดชะตากรรมในเวลานี้
――――จากนั้นฉันก็เริ่มคิดถึงเนื้อหาของจดหมาย นั่นคือเวลา ที่แสงได้ตัดผ่านเมฆดำ เช่นเดียวกับอัศวินในเทพนิยายที่ช่วยเจ้าหญิงในวิกฤต
“อะ ข้ารู้จักร้านค้าบางร้านที่น่าจะมีขายค่ะ”
สาบานได้ว่ามิร่าซังพูดราวกับเหมือนไม่มีอะไร ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยเจตนาดีที่บริสุทธิ์ ช่างเป็นอัศวินที่น่าภาคภูมิใจ ฉันถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่ได้ตั้งใจ
“จริงเหรอ!? “
“ว้าๆๆๆ!? “
มิร่าซังลนลานรีบร้อนเข้ามากอดฉันแนบอก เบลล์ซังมองอยู่ข้างๆอย่างสงบ ตาที่ส่องประกายคิระคิระของเธอเข้ามาใกล้
“โอ้ๆ ใจเย็นๆก่อนนะคะ ฮิเมะ…… ! จริงค่ะ จริงๆแน่นอนค่ะ”
“แมเรียน!”
“ค่ะ ข้าไม่แน่ใจเพราะยังไม่ได้ไปดูให้ชัดๆ แต่ข้าจำได้ว่าเห็นแมเรียนวางเรียงรายอยู่กับผลไม้อื่นๆที่ร้านค่ะ”
“แมเรียน!”
“ฮิเมะ…….”
ความตึงเครียดพุ่งสูงขึ้น แม้จะมีแมเรียนอยู่ในห้องอาหาร แต่จำนวนก็คงไม่พอให้กินได้ทุกวัน จะมีความสุขแค่ไหนกันนะที่สามารถเก็บแมเรียนได้ตลอดเวลา ฉันมีความฝันเล็กๆที่เมื่อได้กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนในอนาคต ฉันจะทำงานปรับปรุงขยายการผลิตของแมเรียนให้มากยิ่งขึ้น
“แมเรียน มาริมาริมาริแมเรียน~~”
เมื่อฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นก็เริ่มฮัมเพลงของแมเรียนที่พึ่งจะด้นสดขึ้นมา――――ฉันไม่อนุญาตให้เรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญแมเรียนได้หากไม่สามารถร้องเพลงแมเรียนได้ ――――ในขณะเดียวกันพวกเราก็กำลังเดินลอดประตูหลักผ่านห้องโถงเพื่อมุ่งหน้าไปยังด้านหลัง ห้องอาหารที่เป็นจุดหมายเนืองแน่นไปด้วยนักเรียนจำนวนมาก บางคนกินอาหารในขณะที่เปิดตำราอ่านเงียบๆคนเดียว ในขณะที่คนอื่นๆจับกลุ่มกินอาหารกันอย่างมีความสุข มีมุมหนึ่งที่ดูเหมือนเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ที่ด้านในสุด มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย บางทีน่าจะเป็นบริกร
“เช้านี้ดูเหมือนจะมีขนมปังกับซุป และจานหลักดูเหมือนจะเป็นปลาค่ะ”
“ปลา?”
“ค่ะ ปลา”
ปลางั้นเหรอ บ้านเกิดของฉันในชาติก่อน ดูเหมือนจะเคยมีชื่องเสียงในเรื่องของอาหารประเภทปลาที่หลากหลายเอามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่เรียกว่า”ซูชิ” ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างเมล็ดข้าวและปลาดิบ ดูเหมือนจะเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
ฉันจำได้ว่าจู่ๆก็ได้ยินเรื่องราวดังกล่าวจากอาจารย์ของฉัน อันที่จริงฉันไม่เคยแม้แต่จะเคยเห็นปลาจริงๆมาก่อนนับประสาอะไรกับที่จะได้กิน อย่างไรก็ตามฉันก็รู้สึกคิดถึง เนื้อวัวนั้นชุ่มฉ่ำและอร่อยมาก แล้วเนื้อปลาจะมีรสชาติยังไงกันนะ
ในขณะที่เหม่อลอยจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่รู้จักบนลิ้น ฉันก็พยายามหาที่นั่งและนั่งลง ในเวลาไม่นานหลังจากที่เรียก บริกรชายก็มองมาที่พวกเราก่อนที่จะยิ้มและคำนับหนึ่งครั้ง แล้วเขาก็หายไปหลังเคาน์เตอร์ อาจจะเข้าไปยังห้องครัว บางที ฉันคิดว่าเขาไปเพื่อรับอาหาร การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
……แต่ยังไงซะ
“เบลล์ กับ มิร่า? ข้าว”
“เอ๊ะโตะ…..อา ว่าไปแล้วก็ยังไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้อริซซามะฟังเลยสินะคะ”
ชั่วพริบตาที่มองกันอย่างว่างเปล่า ทั้งสองคนก็พยักหน้าเข้าใจกัน
เมื่อฉันเอียงหัวงงกับคำพูดของเบลล์ซัง มิร่าซังก็เข้ามาอธิบายเหตุผลด้วยเสียงแผ่วเบา
“ดูเหมือนว่าจะมีการเตรียมอาหารสำหรับผู้ติดตามและผู้คุ้มกันที่นับรวมค่าอาหารเข้าไปไว้ในค่าเล่าเรียนแล้วค่ะ ถึงจำนวนเงินจะดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม”
นั่นเป็นข้อตกลงที่ดี โดยสรุปคือ ในรูปธรรมฉันจ่ายจำนวนเงินแค่สำหรับฉันคนเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วจะได้ถึงสามคน
….เข้าใจล่ะ ไม่ว่าจะนักเรียนคนไหนก็มีผู้ติดตามมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ทุกคนอยู่ในตำแหน่งของชนชั้นสูง ที่มีแม้แต่บางคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดเป็นเชื้อพระวงศ์อีกด้วย จึงเป็นเรื่องยากและหยาบคายที่จะเรียกเก็บเงินจากบรรดาผู้ติดตามสำหรับค่าอาหารหรือค่าอื่นๆ
ในขณะเดียวกันกรณีของฉันก็พิเศษกว่าเล็กน้อย เพราะฉันได้รับอนุญาตให้มีผู้ติดตามดูแลได้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังเด็กเกินไปไม่ใช่จากสถานะใดๆของฉัน ฝั่งโรงเรียนเองก็คงสงสัยว่าจะจัดการกับกรณีของฉันยังไงดี แต่ฉันมั่นใจว่าสุดท้ายแล้วคุณตาของฉันจะเป็นผู้จัดการเอง อาจจจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกนินทาลับหลังได้ แต่ถ้าฉันนิ่งเงียบไว้รอบๆก็อาจไม่มีใครสังเกตเห็น ฉันขอบอกอย่างซื่อตรงว่าการที่อุตสาได้มีโอกาศกินอาหารพร้อมกันสามคนทำให้ฉันมีความสุขมากๆ
และในยามที่ฉันเชื่อมั่นเช่นนั้น บริกรชายก็กลับมาจากครัวพร้อมถาดอาหาร นั่นเป็นสิ่งที่เบลล์ซังมักจะเป็นคนทำมาตลอด การได้อยู่กับเบลล์ซังและมิร่าซังทำให้รู้สึกสดชื่น
“ขออภัยที่ทำให้ต้องรอครับ อาหารเช้าวันนี้คือ ปลาแซลมอน”
เขาวางถาดรูปนก และตามที่เขาอธิบาย เมนูวันนี้คือ ปลาย่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นปลาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ปลาแซลมอน ซึ่งพบมากในราชอาณาจักร ว่ากันว่ามีเป็นจำนวนมากจนแม้แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถหากินได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งที่สามารถตกปลาได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าดูเหมือนจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับเมืองหลวงของราชอาณาจักรที่ไม่ได้อยู่ใกล้ทะเล ส่วนที่เหลือคือซุปผักและขนมปังที่คุ้นเคย น่าเสียดายที่ไม่มีแมเรียน ในระหว่างที่ตกใจ บริกรชายก็กลับไปยืนมองอยู่ที่เดิม
“จ๊า กินกันเถอะ”
“ค่ะ อริซซามะ”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ทานอาหารจากปลาเลยค่ะ……”
เห็นได้ชัดว่ามิร่าซังเองก็เป็นครั้งแรกสำหรับปลา เว้นแต่จะเป็นพื้นที่ชายฝั่ง ดูเหมือนว่าแม้แต่ชนชั้นอัศวินซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับสองรองจากขุนนางก็แทบจะไม่มีโอกาศได้เห็น เมื่อพิจารณาถึงค่าอาหารที่รวมอยู่ในค่าเล่าเรียนแล้วก็ทำให้กระดูกสันหลังของฉันเย็นวาบ ถึงคุณพ่อ หนูต้องขอขอบพระคุณจริงๆค่ะ ฉันจะทำให้ดีที่สุดในวันแรกของคลาสเรียน ฉันไม่สามารถถอยหลังจากไอริสได้อีกแล้ว
“ทานแล้วนะกะ”
ในขณะที่พวกเรากล่าวเช่นนั้นและจับมือกันแน่นเหมือนเช่นเคย หญิงสาวที่อยู่โต๊ะถัดไปก็มองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด
“――――อร่อย…… !”
รสชาติของปลาที่ฉันได้กินเป็นครั้งแรกนั้นเต็มไปด้วยความอร่อยที่ไม่รู้จัก