[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 41 ตอนที่ 1 ความแตกต่างระหว่างลาก่อนและพบกันใหม่
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 41 ตอนที่ 1 ความแตกต่างระหว่างลาก่อนและพบกันใหม่
บทที่ 3 บุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอพบเพื่อนของเธอได้อย่างไร
ตอนที่ 1 ความแตกต่างระหว่างลาก่อนและพบกันใหม่
” ――――ถ้าเช่นนั้น ขอเรียนเชิญเจ้าฟ้าหญิง「รูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย」ขึ้นมากล่าวสัตย์ปฎิญาณตนในฐานะตัวแทนนักเรียนใหม่ด้วยค่ะ”
“……ฟุมุ ดูเหมือนจะเข้าใจถึงวิธีการแสดงความเคารพที่เหมาะสมสินะ ได้สิ”
นับตั้งแต่ตอนที่มาเยี่ยมชมโรงเรียน ในที่สุดฉันก็ได้มาเข้าเรียนที่นี่ ตอนนี้ฉันยืนตัวตรงด้วยความมึนงงอยู่ในพื้นที่ที่เหมือนห้องโถงขนาดใหญ่ที่ควรจะเรียกว่าหอประชุม สถานที่สำหรับการประชุม เป็นหนึ่งในอาคารขนาดใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบจัตุรัส
รอบข้างคือนักเรียนใหม่เช่นเดียวกันกับฉัน จำนวนคนประมาณแล้วอาจจะเกินร้อยมานิดหน่อย คงเพราะว่าคนที่เข้ามาเรียนเป็นชนชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่
ประเมินด้วยสายตาแล้ว ครอบครัวของผู้เข้าร่วม ผู้ติดตาม และบุคลากรของโรงเรียนน่าจะมีรวมกันอย่างต่ำๆก็สิบเท่าของนักเรียนใหม่ และแม้ว่าตามความทรงจำแล้วนี่จะเป็นการเข้าเรียนครั้งที่สองของฉัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า
…….ไม่สิ บางทีอาจเป็นเพราะว่านี่เป็นการเข้าร่วม”พิธีเปิดภาคการศึกษา”เป็นครั้งแรก
โรงเรียนในชาติก่อนของฉัน ส่วนใหญ่เด็กๆจะถูกย้ายจากสถานรับเลี้ยงเด็กไปยังเรือนจำที่เรียกว่าโรงเรียนโดยลิฟต์ อันดับแรกจะมอบหมายเลขประจำตัวสำหรับการควบคุมที่เรียกว่าหมายเลขนักเรียน จากนั้นก็จะถูกส่งไปยังหอพักที่แออัดและไร้ความเป็นส่วนตัว
ในแง่นั้นคงไกลจากพิธีเปิดภาคการศึกษา และอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการเรียนที่”โรงเรียน”จริงๆครั้งแรก
“เบลล์…….”
อาจเพราะความวิตกกังวลทำให้ฉันพยายามจะมองย้อนกลับไปหาเบลล์ซังที่กำลังเฝ้ามองฉันจากที่นั่งผู้ปกครองโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามฉันกอดคู่หูเอาไว้และอดทน
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆมองมาที่ฉันอย่างสงสัย
“เด็ก…….?”
ไม่ นายก็เด็กเหมือนกัน
ฉันกดปากที่ดูเหมือนจะเปิดออกโดยไม่คาดคิดลงกับคู่หูเพื่อกลั้นเอาไว้ ก่อนเบือนหน้าหนี
ม๊า ถ้าคิดอย่างเป็นกลางฉันก็ดูค่อนข้างไม่เข้ากับสถานที่เอามากๆ
แม้ว่าฉันจะมีอายุขั้นต่ำตามที่กำหนดสำหรับการเข้าเรียนแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริง เด็กส่วนใหญ่ที่นี่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 18 ปี การที่จะมี”เด็กอายุ 6 ขวบ”ที่ถือตุ๊กตาสัตว์มายืนอยู่คนเดียว อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องตลกซะด้วยซ้ำ แม้แต่ฉันเองหากได้เห็นแบบนั้นก็คงสงสัยในสติของตัวเอง
ยังไงก็ตามเรื่องของคู่หู ตามปกติฉันคิดว่าจะสามารถนำมาได้แค่ในช่วงเวลาว่างเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างแม้ว่าพิธีจะเริ่มขึ้นแล้วก็ไม่มีใครพยายามเข้ามาเก็บไปดังนั้นฉันจึงเข้าร่วมพิธีในขณะที่ยังถือคู่หูเอาไว้อยู่
แต่ฉันก็อยากจะให้มาเก็บไปจะดีกว่า นี่ทำให้รู้สึกแปลกแยกตั้งแต่แรก แต่เรื่องผ่านไปแล้วก็คงต้องปล่อยผ่านไป
……ยังไงก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกประหม่า
ในขณะที่แกลังทำเป็นไม่กังวลอย่างเต็มที่จนแทบจะกลายเป็นการดึงดูดความสนใจอย่างโจ่งแจ้งและระยิบระยับ ฉันก็เห็นสาวน้อยผมบลอนด์โรลม้วนๆคนหนึ่งกำลังขึ้นไปบนเวที
“……ฉันรูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย อายุ 8 ขวบ ฉันแน่ใจว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว ยัยนั…..ไม่สิ ฉันเป็นราชธิดาขององค์ราชาเหนือหัวและเป็นผู้สืบทอดราชบังลังก์แต่เพียงผู้เดียวในปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือราชินีองค์ต่อไป”
―――― ใช่ ว่ากันว่ามีเจ้าหญิงเป็นเด็กใหม่ในเทอมเดียวกันกับฉัน
หากมีโอกาสได้ติดต่อกัน จะเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดกันจากท่าทางและภาษาที่ยังไม่ดีพอของฉันรึเปล่านะ แน่นอนว่าฉันจะระวังให้มากที่สุด แต่ฉันมั่นใจว่าเบลล์ซังและมิร่าซังจะติดตามช่วยเหลือฉัน
“จ้าวหญิง”
ไม่ว่าเธอจะรู้สึกถึงอะไรก็ตาม แต่เพียงแค่การเคลื่อนไหวของริมฝีปากที่แทบจะไม่ได้ส่งเสียง เจ้าหญิงก็เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ สายตาของเธอจับจ้องมาที่ฉันอย่างแน่นอน
ดวงตาที่มีสีแตกต่างกันทั้งซ้ายและขวาหรี่ลงอย่างตั้งคำถาม ตาข้างขวาเป็นสีแดงซีดเหมือนทับทิมและตาข้างซ้ายเป็นสีเขียวสดใสเหมือนมรกต ทั้งคู่ดูดีเข้ากับผิวขาวบริสุทธิ์และผมสีทองที่ทำให้รู้สึกสูงส่ง
“…….ฟุมุ ฉันขอบอกทุกคนเอาไว้ก่อน ฉันจะไม่ให้อภัยคนที่คิดเป็นศัตรูกับฉันเด็ดขาด――――”
เธอละสายตาจากฉันกลับไปกล่าวคำสาบานต่อราวกับหมดความสนใจในตัวฉันแล้ว แต่ดูเหมือนคำกล่าวสัตย์ปฎิญาณตนจะมีคำด้นสดผสมอยู่ค่อนข้างมาก สังเกตได้จากพิธีกรสาวที่มีสีหน้าสับสนปนตื่นตระหนกสลับไปมา คุณตาของฉันซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังหัวเราะเสียงดังอยู่ข้างๆเธอ
เด็กๆโดยรอบส่งเสียงโห่ร้องออกมา มีเด็กบางคนทำท่าทางต่อต้านอย่างชัดเจน
…..แน่นอนอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าจนถึงตอนนี้ เด็กๆและพ่อแม่ของแต่ละคนต้องคิดว่าตัวเองอยู่ในอันดับต้นๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตัวเองมาทำอะไรที่ใกล้เคียงกับการข่มขู่แบบนี้ พวกเขาย่อมไม่คิดเชื่อฟังเธออย่างเงียบๆแน่นอน
แต่สำหรับฉันที่เคยชินกับความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่างมาโดยตลอด ราชวงค์ นั่นคือตัวแทนที่อยู่บนจุดสูงสุดของชนชั้นสูง กล่าวอีกนัยคือฉันไม่รู้สึกต่อต้าน หรือรู้อึดอัด ต่อสิ่งที่เธอประกาศออกมาเช่นนั้นแต่อย่างใด
สิ่งที่ฉันอยากทำคือ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน การรักษาความปลอดภัย และสิ่งอื่นๆใน”มาเรียน่า”ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และด้วยอำนาจที่มี อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะบรรเทาความเกลียดชังที่พุ่งเป้ามาที่”ตระกลูแฟร์มีล”ด้วย”ความสุข” เพื่อไม่ให้เบลล์ซังและคนสำคัญคนอื่นๆต้องมาพัวพันกับการโจมตีเช่นครั้งก่อน
ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีเจตนาที่จะต่อต้านเธอ ดังนั้นฉันจะไม่ทำเรื่องใดๆที่จะขัดต่อจุดประสงค์และทำให้ถูกจับตามองในทางที่ไม่ดีจากบุคคลในราชวงศ์ซึ่งดูเหมือนจะได้เป็นราชินีองค์ต่อไปในอนาคต
“นี่คือทั้งหมด และอย่าได้ดูถูกฉัน เพียงเพราะฉันอายุ 8 ขวบเด็ดขาด”
เธอประกาศอย่างภาคภูมิใจด้วยหน้าอกที่ใหญ่กว่าฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะเชิดคางและสะบัดโรล เดินลงจากเวทีในขณะที่ได้รับการคุ้มครองจากผู้ดูแล
“แปดขวบ”
ฉันมั่นใจว่าถ้าไม่มีฉัน เธอจะเป็นคนที่เข้าเรียนด้วยอายุที่น้อยที่สุดในเทอม ไม่สิ ในประวัติศาสตร์เลยต่างหาก คุณพ่อบอกว่าตอนที่เขาเข้าเรียน นักเรียนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดคือ 14 ปี
…..เข้าใจแล้ว เธอประหลาดใจที่เห็นฉันอยู่ในแถว เห็นฉันระหว่างการพูด เด็กที่เด็กยิ่งกว่าตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หมายถึงตัวเองไม่ใช่คนที่อายุน้อยที่สุดอีกแล้ว
“แย่แล้ว……?”
ถ้าแบบนั้น ถ้าเธอภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดล่ะ
……อาจจะโชคร้ายไปหน่อย
หวังว่าสิ่งที่รวมอยู่ในการถอนหายใจ “ฟู๊ว” หลังจากละสายตาจะไม่ใช่การเป็นศัตรูแต่เป็นแค่ความ “แก่แดด”
“เช่นนั้น ท่านผู้อำนวยการโรงเรียน…….”
“อุมุ”
หลังจากที่รอให้เธอกลับไปอยู่ยังหัวแถว ก็เป็นคราวของคุณตาที่ก้าวขึ้นไปบนเวทีหลังจากที่พิธีกรสาวพยายามเร่งเร้า ว่าแล้ว ฉันรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกใหม่ หรือความรู้สึกแบบแปลกๆที่มีคนในครอบครัวเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
คุณตามองไปรอบๆรอให้เสียงฮือฮาเงียบลง ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเสียงสุดท้ายหายไป
“……ซ้า พวกเจ้าทุกคนจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป”
ฉันตั้งใจฟังคำกล่าวต้อนรับที่เริ่มต้นอย่างเงียบๆ
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเจ้าหญิงแย่งหัวข้อความสนใจไปจนหมด ทำให้ความสนใจที่มุ่งมายังฉันดูดีขึ้น
ฉันรู้สึกโล่งใจและผ่อนคลายไหล่เล็กน้อย ถ้าต้องรู้สึกตึงเคลียดไปตลอด ฉันแน่ใจว่าคืนนี้ฉันต้องปวดกล้ามเนื้อแน่ๆ
“อย่างที่ทราบกันดี โรงเรียนแห่งนี้พิเศษมากเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆที่กระจายอยู่ในเมืองอื่นๆ และมีขนาดใหญ่ที่สุด แสดงให้เห็นด้วยจำนวนเพื่อนร่วมรุ่นจำนวนมากรอบตัวเจ้า”
อืมอืม หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
ฉันคิดว่าจำนวนที่เห็นนี่คือน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น
ไม่สิ ดูเหมือนฉันไม่ควรอ้างอิงถึงการปฏิบัติต่อ “การจัดการทรัพยากรจำนวนมาก” ในชาติที่แล้ว
โรงเรียนจริงๆอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
“ข้ามีหนึ่งคำถาม”
จากนั้นคุณตาก็เว้นช่วงสองสามวินาที
จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่สั่นสะท้าน
” ―――― พวกเจ้ามาที่โรงเรียนนี้เพื่ออะไร?”
ปฎิกิริยาตอบสนองต่อคำถามนั้นหลากหลายไปตามแต่ละธรรมชาติของแต่ละคน
มีทั้งคนที่หัวเราะว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ทั้งคนที่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ บางทีคงได้รับความกดดันมาสูงมากๆล่ะมั้ง
ทั้งคนที่รอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
และ
“เพื่อความสุข”
คนที่ทำให้ความเชื่อมั่นที่ซ่อนอยู่ในอกของฉันได้รับการเติมเต็มมากยิ่งขึ้น
ฉันปิดเปลือกตาลง ยืนยันความมุ่งมั่นจองตัวเองอย่างไม่หวั่นไหว
แม้ว่าจะเรียกว่าโรงเรียนเวทมนตร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเรียนรู้เวทมนตร์เพียงอย่างเดียว ในระหว่างการนำเยี่ยมชมของคุณตา บอกว่ามีขุนนางจำนวนมากที่ต้องการเงื่อนไขที่เหมาะสมกับการเดินทางไปกลับประจำวัน ดังนั้นจึงมีสอนเรื่องทัศนคติและการเข้าสังคมในฐานะขุนนาง โครงสร้างของสังคม และยังอธิบายด้วยว่าจะได้เรียนวิชาป้องกันตัวง่ายๆนอกเหนือจากวิชาเลข เพราะเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับตำแหน่ง”บริหาร”เสมอ
และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฉันต้องการในอนาคต
ทั้งหมดเพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่แค่เพียงเพราะเป็นขุนนาง ฉันต้องเรียนรู้อีกมาก
“แน่นอน พวกเจ้าบางคนมาเพื่อเรียนรู้ บางส่วนเน้นการเข้าสังคม ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้ชีวิตเช่นไร ข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย …….ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนได้เรียนรู้”
แต่คุณตามีบางอย่างที่สำคัญกว่านั้น
ฉันรู้สึกว่าตัวเอง ไม่สิ พวกเราทั้งหมดกำลังถูกดึงไปที่เรื่องราวของคุณตา
“「เพื่อน」”
เสียงของคำว่าเพื่อนดังก้องสะท้อนเพดานสูงและกำแพงใหญ่อย่างช้าๆ
ห้องโถงที่ถูกครอบงำด้วยความเงียบ นั่นเป็นคำพูดเพียงคำเดียวของคุณตา แต่เหนือสิ่งอื่นใดกลับดังก้องกังวานกว่าคำพูดอื่นๆ
คราวนี้ทุกคนเบิกตากว้าง
“……ความรู้ เทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน แน่นอนว่าทุกสิ่งที่พวกเจ้าได้เรียนรู้จากที่นี่รวมถึงเวทมนตร์คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องใช้ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้น ข้าอยากให้พวกเจ้ารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ดาบและโล่”
ความหมายของคำนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันรู้
สิ่งที่คุณตาต้องการจะบอก “พรสวรรค์” อาขเป็นจะเป็นความรู้สึกนี้
“ไม่ว่าโล่จะแข็งแกร่งแค่ไหน ไม่ว่าดามจะคมเพียงใด หากพวกเจ้าใช้ไม่ถูกต้องก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เหนือสิ่งอื่นใดพวกเจ้าต้องฝึกฝนตนเอง”
เพื่อน ด้วยเหตุผลนั้น ต้องการให้เติบโตด้วยการใช้เวลาสานสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันกับเพื่อน นั่นคือสิ่งที่คุณตาพูด
“เพื่อน”
……เพื่อน เพื่อนงั้นเหรอ ว่าไปแล้ว ฉันเคยมีคนที่เรียกว่าเพื่อนไหมนะ
เบลล์ซัง มิร่าซัง คาลเมียร์ คลอริน่าซัง และอาจารย์ ลาบริกซ์ซังด้วย สำหรับความสัมพันธ์ที่ฉันมีมัก”ขึ้นๆลงๆ”อยู่เสมอ
แม้จะเรียกอายาเมะว่าเป็นเพื่อน แต่ก็เป็น”เพื่อน”จริงๆไม่ได้
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงชาติก่อน
“…..เพื่อน”
ทันใดนั้นเมื่อฉันมองลงยังมีสหายอยู่ที่นั่น
ฉันรู้สึกเหมือนเบลล์ซังกำลังลูบหัวฉันและบอกว่าไม่เป็นไรอยู่ข้างๆทั้งๆที่ควรจะเฝ้าดูอยู่ข้างหลังห่างๆ
ฉันยิ้มเล็กน้อย
“ม๊ายเป็นรัย”
ว่าแล้วว่า ฉันกังวลการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากที่ออกจากอาคาร
สงสัยจังว่าฉันจะหาเพื่อนไห้ไหม
สงสัยจังว่าฉันจะเรียนทันไหม
แม้ว่าฉันจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาแล้วก็ตาม ฉันควรจะต้องจัดการความคิดให้เรียบร้อยและหยุดคิด แต่เมื่อเริ่มต้นคิดก็จะผุดขึ้นมาอย่างแน่นอน
……แต่ใช่ ไม่เป็นไรหรอก ถึงแม้ว่าฉันอาจจะทำคนเดียวไม่ได้ แต่เบลล์ซังและมิร่าซังจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ นอกจากนี้ยังมีคุณตา
“ข้าคือ แม็กพ็อด・มอริสตา ในฐานะผู้อำนวยการ ข้าขอยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคนสู่โรงเรียนแห่งนี้และปรารถนาให้พวกเจ้าทุกคนเติบโตอย่างสมภาคภูมิ”
ฉันสังเกตเห็นว่านักเรียนใหม่ทุกคนมองไปที่คุณตาด้วยสายตากระตือรือร้น
แม้แต่ดวงตาของฉันก็เปลี่ยนแปลงอย่างยากที่จะเข้าใจ ฉันแน่ใจว่าส่องแสงมากพอๆกับความรู้สึกไม่ยอมแพ้
“――――ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนเวทมนตร์หลวงรูเนเรีย!”
แน่นอนว่ามีเสียงปรบมือดังกึกก้องสะท้อนไปทั่ว
“ท่านพ่อ”
อริซที่อยู่ข้างๆเบลล์และมิแรนด้าจ้องมาที่ข้าพร้อมส่งเสียงที่ไพเราะราวกับกระดิ่งที่สั่นด้วยการสอดประสานความหวังและความวิตกกังวล ข้า คาลเมียร์ และคลอริน่โดโนะมองย้อนกลับไป
ข้ากับลูกสาวยืนลากันอยู่คนละฝั่งของประตูโรงเรียนมาได้สักพักแล้ว
ข้าอยากใช้เวลามาเยี่ยมดูสถานการณ์ให้ได้มากเท่าที่ทำได้ แต่คงจะไม่ดีหากจะเข้าไปยุ่งมากเกินไป เพื่อความเป็นอิสระและการเจริญเติบโต ให้กลับบ้านในช่วงวันหยุดยาว ข้ามั่นใจว่ากำลังดี
“หนู จะทำห๊ายดีที่สุด”
“อริซ…….”
ข้าเข้าสวมกอดอริซที่พูดด้วยลิ้นที่ยังขยับเป็นเด็กๆอยู่นิดหน่อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
…..อ่า ไม่นะ น้ำตาที่น่าจะแห้งไปตั้งแต่เมื่อคืนกำลังซึมออกมาแล้ว
“ท่านป้อ……”
“อ้า อริซ……”
บางทีอริซอาจจะเห็นน้ำตาของข้า เธอเลยกอดข้าด้วยมือเล็กๆและทำให้เสียงของเธอสั่นเคลือ
จากนั้นอริซก็ฝังใบหน้าลงกับอกของข้า เสื้อข้าเปียกชื้นขณะซับเสียงสะอื้น
“คุณหนู…….”
เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาสีม่วงของเธอที่เกิดจากอารมณ์อ่อนไหว
ข้าประหลาดใจมากที่เธอปรารถนาที่จะเข้าร่วมในพิธีเปิดภาคการศึกษาด้วย ดูเหมือนอริซจะเป็นที่รักมากๆ
“อริซซาม๊าาาาาาาาา!”
ข้าอมยิ้มเล็กน้อยให้กับท่าทางของคาลเมียร์ที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ
จริงๆเลย เมื่อเทียบกับตอนที่มาใหม่ เธอแสดงออกมากขึ้นจนแทบจะเป็นคนละคน
แต่สำหรับลาบริกซ์ ดูเหมือนจะยังเป็นเหมือนอย่างที่เป็นมา
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มแลกเปลี่ยนจดหมายกัน เวลาที่เจ้าหมอนั่นพูดถึงเรื่องนี้ก็จะมีน้ำเสียงที่ชัดเจนว่ามีความสุขในขณะที่แสร้างทำเป็นสงบนิ่ง
……และเหตุผลที่คาลเมียร์เริ่มส่งจดหมายก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะคำพูดของอริซ
ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับคำแนะนำว่าเมื่อมีสิ่งใดที่ต้องการพูดก็จงพูดออกไป คำแนะนำจากเด็กที่อายุยังไม่นับเลขสองหลัก
เป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดจริงๆ เพราะเป็นคำแนะนำที่สามารถโน้มน้าวใจราวกับอิงมาจากประสบการณ์จริง
“ฮาฮา……..”
“ท่านพ่อ…….?”
อริซเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่บวมแดง ข้าจึงลูบหัวเธอ
ถึงดูเหมือนจะทำให้ผมร่วงลงปิดใบหน้าของอริซจนดูไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่คิดที่จะหยุด
“ถ้าเป็นอริซ สบายมาก”
…..อ้า ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเด็กคนนี้ ไม่เป็นไรหรอก
ข้าแน่ใจว่าจะทำได้ดีในโรงเรียน
จนถึงตอนนี้มีผู้คนมากมายที่ให้ความช่วยเหลือ
ข้าแน่ใจว่าพวกเขาทำให้ด้วยความตั้งใจดีโดยไม่มีเงื่อนไข และขยายออกไปด้วยความปรารถนาดี
“…….อืม”
“โย๊ว น่าจะได้เวลาแล้ว …….ถึงเวลาที่พ่อจะต้องกลับไปมาเรียน่าแล้ว”
ยังมีงานอีกเป็นภูเขาเลากาที่ต้องทำ
และนอกจากนี้ถ้ายิ่งอาวรณ์กับการร่ำลามากเท่าไร ข้าก็รู้สึกว่าไม่ดีสำหรับอริซ
อริซก้มหน้าลงอย่างเหงาหงอย สุดท้ายข้าก็กอดเธออีกครั้งก่อนยืนขึ้นเตรียมตัวและหันมองทุกคนรอบตัว จากนั้นอริซก็เงยหน้าที่ดูเปาะบางขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างเงอะงะ
“ดูแลตัวเองด้วยนะกะ”
“อ้า”
ท้ายที่สุดด้วยความเป็นห่วง ข้าไม่พลาดที่จะก้มลงจูบหน้าผากนั้น
“…..เบลล์ มิแรนด้า ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้านะ”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเองค่ะ เพราะข้าคืออัศวินผู้พิทักษ์ของฮิเมะ!”
“แน่นอนค่ะ ดิฉันคือผู้ติดตามของอริซซามะ”
สายตาของทั้งสองคนที่จับมือของอลิซเอาไว้ พูดสิ่งที่คล้ายกันและน่าเชื่อถือ
“พยายามเข้าน่ะ อริซ”
“……อืม!”
ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ขอเฝ้าดูการเติบโตของลูกสาวตัวน้อยจากเงามืดอย่างอ่อนโยน