[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 38 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 18 ความมุ่งมั่นที่น่าเศร้าแต่เด็ดเดี่ยว
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 38 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 18 ความมุ่งมั่นที่น่าเศร้าแต่เด็ดเดี่ยว
ตอนที่ 18 ความมุ่งมั่นที่น่าเศร้าแต่เด็ดเดี่ยว
“อุ๊ก”
“…..ไม่เป็นไรใช่ไหมค่ะ?”
“……..ไหว”
ฉันออกจากคฤหาสน์มาพร้อมกับคุณพ่อและเบลล์ซัง ตอนนี้พวกเราอยู่ในรถม้าที่ไปยืมมาจากค่ายอัศวินลิลลี่ขาวทันทีหลังจากออกมาจากมาเรียนา พวกเขาไม่เพียงแต่ให้ยืมม้าเท่านั้น แต่ยังให้ยืมรถม้าด้วย บางทีอาจเป็นเพราะ ความเป็นชนชั้นขุนนางของคุณพ่อ หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อเสียงในฐานะวีรบุรุษ
ในตอนแรกคุณพ่อกับเบลล์ซังจะขี่ม้ากันเอง โดยที่คุณพ่อจะเป็นคนขนกระเป๋าเดินทาง และให้ฉันนั่งไปกับเบลล์ซัง ดูเหมือนพวกเขาจะวางแผนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกันแบบนั้น ส่วนฉันก็จะได้เรียนรู้ทักษะการขี่ม้าไปด้วย
แต่เมื่อฉันได้อยู่ต่อหน้าม้าที่ฉันบอกอยากจะขี่ในสักวัน ฉันก็เกิดลังเลขึ้นมา ม้าตัวจริงดูน่าเกรงขามกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก หากโดนเหยียบหรือโดนเตะในจังหวะที่ไม่คาดคิด ฉันคงกลายเป็นเนื้อบดโดยไม่ต้องสงสัย
แล้วในตอนที่ฉันกำลังกลัว จนเกือบจะบอกยอมแพ้ คำพูดของพี่สาวอัศวินที่ว่าจะให้ยืมรถม้าด้วยก็กลายเป็นแสงที่สาดเข้ามาในความสิ้นหวังของฉัน
ในระหว่างที่คุณพ่อกับเบลล์ซังกำลังสับสน ฉันก็ขึ้นรถม้าพร้อมกระเป๋าเดินทางด้วยความยินดี
………..ทุกอย่างดูดีจนกระทั่ง
“อุก……”
“วะ ว่าแล้ว จะมานั่งทางนี้ไหมคะ? อริซซามะ”
เบลล์ซังที่กำลังนั่งคล่อมม้าสีน้ำตาลที่ทำหน้าที่ลากรถอยู่หันกลับมามองถามจนผมไซด์เทลส่ายไปมา
คุณพ่อที่นำหน้าอยู่ก็ดูจะเป็นห่วงฉันเช่นกันจึงดึงเชือกชะลอม้าลงมา
“อือออ……ม๊ายเป็นร๊าย”
“อย่างงั้นเหรอคะ…….ตอนนี้ก็เกือบจะถึงเมืองใกล้ๆแล้ว กรุณารีบบอกดิฉันทันทีที่รู้สึกไม่ดีด้วยนะคะ”
“อืม”
ฉันเป็นพวกดื้อรันแบบครึ่งๆกลางๆ ฉันมีความมุ่งมั่นลึกลับที่ต้องการให้เบลล์ซังขี่ต่อไปอย่างเชื่อฟัง แม้ฉันจะถูกเขย่าอยู่บนรถม้าจนไปถึงเมืองหลวงก็ตาม
ความมุ่งมั่นนั้น ตอนแรกก็เป็นเพราะความกลัวที่จะต้องขี่ม้า
แต่ก็มีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉันยังคงยึดติดอย่างดื้อรั้นอยู่
ในขณะพยายามหันเหความสนใจจากการสั่นของรถม้าเพื่อไม่ให้เมาหนัก ฉันก็นึกถึงสัญญา
“…..ครั้งแรก กับท่านป้อ”
…..ใช่แล้ว การขี่ม้าครั้งแรก ฉันต้องการที่จะทำตามสัญญาในครั้งก่อนที่จะขี่ม้าของคุณพ่อด้วยกันกับเบลล์ซัง
“อุก……”
“อะ อริซซามะ”
ไม่ไหว รถม้านี่ไม่ใช่ของสำหรับให้คนมานั่งตั้งแต่แรกแล้ว เดิมทีมีไว้สำหรับการขนส่งสินค้า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งบนกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่มาวางบนโครงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้มีการคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่
อาจจะดีกว่านี้เล็กน้อยหากเป็นคนที่นั่งเป็นประจำ แต่รถม้าก็สั่นเกินกว่าที่คาดไว้ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำความคุ้นเคย
“เขย่า”
กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก กุกกัก เสียงล้อเตะก้อนกรวด วิ่งไปบนถนนขรุขระ ความรู้สึกทั้งหมดส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย การสั่นสะเทือนนี้เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเมา และหากอยู่นานๆเข้าก็อาจทำให้อาการเจ็บหลังแย่เอาได้
ยังไงก็ตามการขี่ม้าเองก็ดูเหมือนว่าร่างกายก็ต้องรับภาระจากการเคลื่อนไหวแนวตั้งขึ้นลงเหมือนกัน เบลล์ซังกับคุณพ่อน่าจะรู้อยู่แล้ว เพราะงั้นหากอาการบาดเจ็บของฉันยังไม่หายดี ทั้งสองคนคงไม่ยอมให้ฉันได้ไปที่เมืองหลวงตอนนี้
“ขอบคุณอายาเมะ …….ใช่แล้ว”
เมื่อฉันนึกถึงอายาเมะ แน่นอนว่าเพราะยังไม่ได้รับการดูแลเลยยังทำให้ไม่นุ่มฟู แต่ก็ยังให้ความรู้สึกดียามกอด ถ้าสั่นมากนักก็ต้องหาอะไรสักอย่างที่นุ่มๆมาใช้เป็นเบาะรองนั่ง
“นุ่มนิ่ม นุ่มนิ่ม”
ฉันกวาดสายตาไปรอบๆกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่รอบตัว มองหาสิ่งที่น่าจะใช้ได้
อย่างไรก็ตามสัมภาระส่วนใหญ่เป็นอาหารและเครื่องดื่ม ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีวัฒนธรรมการนำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนในระหว่างการเดินทาง และแทบจะไม่มีของใช้จากผ้าเลย ของที่ดูจะใช้ได้มากที่สุดคือหญ้าที่ใช้เป็นอาหารม้า แต่นั้นเป็นของสำหรับเหล่าม้าที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพวกเรา ฉันรู้สึกอายเกินกว่าที่จะเอามาใช้
ของอย่างอื่น มีอะไรอีกไหม
ท้ายที่สุดแล้วฉันคงต้องทนแรงสั่นสะเทือนต่อไปอย่างนั้นสินะ
เมื่อฉันกำลังจะล้มเลิกลงกลางคัน ฉันก็รู้สึกตัว
วัตถุนุ่มๆบางอย่างที่ฉันกอดอยู่
ฉันมองดูของนุ่มฟูสีขาวที่ใหญ่ประมาณครึ่งตัวของฉันอย่างรวดเร็ว
――――“ ใช้ผมสิ ”
ฉันรู้สึกว่าดวงตากลมโตสีดำพูดแบบนั้นอย่างแน่นอน
” ―――― คู่หู……. !”
ไม่ ไม่สิ แต่ว่า…….
ถ้าทำแบบนั้น คู่หูจะต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ถึงจะไม่ทำให้ขาด แต่การโดนกดทับด้วยน้ำหนักของคนหนึ่งคนที่ถึงแม้จะยังเป็นเด็กก็แย่แล้ว นี่ยังไม่รวมถึงการสั่นสะเทือนของรถม้าที่รุนแรง การโดนทับก็แทบจะเรียกว่านรกได้เลย
เหนือสิ่งอื่นใด การต้องเหยียบย่ำคู่หูที่อยู่มาด้วยกันตลอดก็เป็นความเจ็บปวดที่สุด
“คุ”
…..แต่ แต่ถึงอย่างนั้น แต่ว่า
ฉันต้องทำตามสัญญา
ฉันต้องเอาชนะสถานการณ์นี้ และมี “ ครั้งแรก ” บนม้าของคุณพ่อกับเบลล์ซัง!
คู่หู
ฉันทนต่อน้ำตา และมองไปที่เขา
ไม่ต้องกังวล ปากของเขาวาดเป็นวงโค้งอย่างห้าวหาญ …….ฉันรู้สึกได้
“……คู่หู”
“ ปล่อยให้หน้าที่ของผมเอง”เขาพูดแบบนั้น …….ฉันรู้สึกได้
ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ
ฉันอยู่เพื่อภารกิจของฉัน ได้โปรดให้ฉันใช้เป็นหินเพื่อก้าวเดินทีนะคู่หู
“ฉันจะไม่มีวันลืมคุณ”
ไม่แน่นอน ฉันจะไม่มีวันลืมเรื่องในวันนี้
เพื่อความฝัน เพื่อคำสัญญา เพื่อเพื่อนร่วมทางที่เสียสละตัวเอง……… !
ฉันเช็ดดวงตาที่ชุ่มชื้น ฉัน……คู่หู
” ―――― อริซซามะคะ!มองเห็นไหมคะ? นั้นคือวาล์วล่า เมืองใกล้เคียงของมาเรียนาค่ะ!”
คู่หู
“เอ๊ะ”
เมื่อฉันยกสายตาขึ้นในทันใด ทิวทัษน์ของเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่ามาเรียนาหลายเท่าก็ปรากฎเข้ามา
ในที่สุดฉันก็รู้ตัวว่าพวกเรามาถึงจุดพักแล้วด้วยความรู้สึกที่ล่าช้าไปเป็นเวลาหลายสิบวินาที ฉันรีบอุ้มคู่หูกำลังจะวางลงกลับมาที่อกทันที
“………..เอ๊ะ”
“อริซซามะ?”
ท้ายที่สุดฉันก็ได้เข้าไปในเมืองในขณะที่ยังคงมีความมุ่งมั่นที่น่าเศร้าเรื่องโง่ๆตกค้างอยู่ แล้วคุณพ่อที่เอาใจใส่ก็ซื้อพรมนุ่มๆให้กับฉัน จากนั้นช่วงเวลาประมาณสามวันในการเดินทางไปยังเมืองหลวง ฉันก็ไม่ต้องกังวลกับการสั่นสะเทือนอีก
“ฮิเมะะะะะะะ!!”
“วะ ว้าๆๆ”
ข้าได้มารอต้อนรับขบวนเดินทางของฮิเมะที่หน้าทางเข้าของประตูเมืองหลวง ทางหลวงลำดับที่หนึ่งตามคำสั่ง เมื่อข้ายืนยันการปรากฎตัวของฮิเมะได้เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ ข้าก็วิ่งเข้าไปหาด้วยเสียงที่แทบจะกรีดร้องโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
ด้วยเหตุผลบางอย่างฮิเมะกำลังโดนแกว่งไปมาอยู่ในรถม้าพร้อมกระเป๋าเดินทาง แล้วฮิเมะที่กำลังกอดตุ๊กตาสัวต์อยู่ก็ประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของข้า เมื่อข้าโบกมือให้ก็ทำเพียงมองกลับมาในท่าทางสงบเสงี่ยม
แม้เพียงเท่านั้นก็ยังทำให้ข้ารู้สึกว่าความยากลำบากทั้งหมดที่ผ่านมาได้รับการตอบแทนแล้ว
“อ้า มิแรนดา ขอโทษด้วยที่ติดต่อมาอย่างกะทันหัน”
“ไม่เป็นหรอกค่ะ ฮัททีเรียซามะ โชคดีที่ท่านแม่ลาบริกซ์ได้ช่วยรองรับค่าใช้จ่ายตลอดห้าวันให้ค่ะ!”
ด้วยการใช้ชีวิตอย่างประหยัดเป็นเวลาห้าวัน และเมื่อตกลงในความสิ้นหวังและความกระวนกระวาย ข้าก็จะอ่านจดหมายที่ได้รับมา ข้าก็จะกลับมายิ้มได้เสมอ เมื่อได้ฟังฮัททีเรียซามะก็ผงะไปเล็กน้อยราวกับรู้สึกตัวขึ้นมา
“…….ขอโทษด้วย”
ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนจะรู้สึกขอโทษจริงๆ ข้าก็ลดอารมณ์ลง ฮัททีเรียซามะเป็นเจ้านายของเจ้านายข้า ถึงแม้ข้าจะเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ที่ขึ้นตรงกับฮิเมะ แต่ข้าก็ต้องทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตั้งแต่แรกหากข้านำเงินมาให้มากกว่านี้ก็จะไม่มีปัญหาให้ใครต้องกังวลแล้ว นอกนี้ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ฮิเมะถูกโจมตีด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากจะพลาดบางอย่างไปโดยไม่ได้ตั้งใจจากงานที่ยุ่งๆ
แต่ข้าก็รู้สึกโล่งใจที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในงานสำคัญของเขา
“ข้าล้อเล่นค่ะ แค่ได้เห็นใบหน้าของฮิเมะเช่นนี้ข้าก็รู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ และเป็นข้าที่ควรจะนำมามากกว่านี้เอง”
ในขณะที่ข้าได้รับการเยี่ยวยาโดยฮิเมะที่ทันใดนั้นก็ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ข้ารู้สึกเหมือนใบหน้าของเธอที่ตึงและแข็งจะคลายลง……
“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก มิร่า”
“ฟุเฮะ”
ข้าตัวแข็งทื่อ
“มิร่า?”
“ไม่มีอะไรค่ะ อริซซามะ นั้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ได้โปรดอย่าใส่ใจเลยค่ะ”
“อะ อืม”
น็อกซ์เบลซังกล่าวเสริมฮิเมะ ในขณะที่ในดวงตาของเธอมีสีสันแห่งความเข้าใจ พวกเรามองตาและพยักหน้าให้กันตามปกติ ข้ารู้สึกว่าฮิเมะดูไม่พอใจเล็กน้อย กำลังรู้สึกว่าโดนกันออกจากกลุ่มสินะคะ น่ารัก
“น่ารัก”
“มิแรนด้าซัง รั่วออกมาหมดแล้วค่ะ”
“……ห๊ะ!?”
“ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณนะคะ”
“อะแฮ่ม ขอประทานโทษด้วยค่ะ ฮิเมะ แมม”
ข้าพยายามจัดการไม่ให้ตัวเองกรีดร้องเพราะความรักที่มีให้ต่อฮิเมะ ข้าก้มหน้าด้วยการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหวจนแม้แต่ตัวเองก็ต้องตะลึง
จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาฮิเมะที่ความง่วงยังเอาชนะความสนใจต่อเมืองหลวงอยู่บนรถม้า ข้าคิดว่าอาจจะแปลกที่จะพูด แต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป และข้าก็ได้พูดต้อนรับฮิเมะที่ยังคงสับสนอยู่
” ―――― ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวงค่ะ ฮิเมะ”
ในทันใดนั้น ข้าก็รู้สึกว่าดวงตาของฮิเมะเปร่งประกายออกมา
“สุดยอด!”
ฮัททีเรียซามะและน็อกซ์เบลลซังหัวเราะให้กับท่าทางของฮิเมะที่ตะโกนความประทับใจออกมาเสียงดังด้วยความไร้เดียงสา แม้แต่คนรอบข้างยังยิ้มให้ฮิเมะ
ฮิเมะสังเกตเห็นรอบๆ เธอจึงกลับไปกอดตุ๊กตาและซ่อนใบหน้าเอาไว้
“……….อู”
“น่ารัก”
“มิแรนดาซัง”
“ค่ะ”
ในขณะที่รับคำติเตือนจากน็อกซ์เบลซังว่าเสียงรั่วออกไปอีกแล้ว ข้าก็รับตัวฮิเมะและพาลงจากรถม้า
ข้าสัมผัสได้ถึงความน่ารักและความกลัวผ่านมือที่จับกันแน่น ยังคงกลัวฝูงชนอยู่สินะ
ว่าแล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นคงจะไม่ลืมได้ง่ายๆ
“ดิฉันจะนำม้าไปฝากให้นะคะ”
“ไม่ ไม่เป็นไร ข้าจะไปเอง ข้าอยากให้เบลล์กับมิแรนดาเป็นคนดูแลอริซ”
“แต่ว่า……ไม่สิ เข้าใจแล้วค่ะ ฮัททีเรียซามะ”
“อ้า ข้าจะรีบกลับมา รออยู่แถวๆนี้ก่อนแล้วกัน”
ต้องขอบคุณฮัททีเรียซามะที่กำลังเดินไปที่คอกม้าพร้อมม้าทั้งสองตัว ข้ามองกลับมาที่ฮิเมะ
ใบหน้าเล็กๆที่แม้จะดูมีความกลัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ก็มองไปรอบๆด้วยท่าทางแปลกๆ และมีความอยากรู้อยากเห็นปรากฎให้เห็น
“ฮิเมะ มีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษไหมคะ?”
“เยอะ”
“ถ้าไม่รังเกียจ ข้าจะเป็นคนนำทางเอง!”
ข้ารู้สึกเหมือนโดนน็อกซ์เบลซังเหลือบมองรุนแรง
ข้าขอโทษ แต่มาก่อนได้ก่อน ข้าจะเป็นคนนำทางฮิเมะในเมืองเอง!
ข้าไม่รู้ว่าน็อกซ์เบลซังรู้เรื่องเมืองหลวงมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยสำหรับทางหลวงลำดับที่หนึ่ง ข้ามั่นใจว่าตัวเองรู้ละเอียดกว่าแน่นอน
หลังจากที่ข้าต้องเดินเตร่ฆ่าเวลาอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งสัปดาห์
“อือ…….งั้น นั้นคือ?”
ร้านแรกที่ฮิเมะชี้นิ้วไปคือ ร้านขายแก้วประเภทต่างๆตั้งแต่แบบใสไปจนถึงแบบสีระดับไฮเอนด์ ข้าแน่ใจว่าที่ฮิเมะสนใจของที่ขายที่ร้านนั้นเป็นเพราะเป็นของที่เหมือนกับที่เธอเคยเห็นที่โบสถ์ของมาเรียนา
“นั่นร้านแก้วค่ะ ฮิเมะ”
“ร้านแก้ว”
“ค่ะ ข้าไม่เคยเข้าไปหรอกนะคะ เพราะข้างในไม่ใช่ของที่ข้าจะมีเงินพอที่จะสามารถซื้อได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและมักจะมีข้ารับใช้ของชนชั้นสูงและนักเวทย์แวะเวียนมาเสมอ”
“งั้นเหรอ สวย”
“ค่ะ สวยมาก”
แน่นอนว่ากระจกสีที่แสดงอยู่หน้าร้านนั้นสวยงามมากเมื่อต้องแสงแดด แต่เหนือสิ่งอื่นใดใบหน้าของเจ้าหญิงที่หลงใหลนั้นช่างงดงาม
“สวยมากจริงๆ”
“……มิร่า?”
“อะไรรึคะ ฮิเมะ”
“นั่น……หน้าฉัน ไม่ใช่”
“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ”
ดูเหมือนน็อกซ์เบลซังอาจจะยอมแพ้เรื่องการเป็นผู้นำทางฮิเมะไปแล้ว เธอถอยไปเฝ้าดูอยู่ข้างหลังหนึ่งก้าวขณะที่ให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างไปด้วย บางทีอาจไม่ใช่แค่ฮิเมะคนเดียวที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
สำหรับข้าแล้ว มือข้างที่ถนัดของข้ามีอิสระพร้อมที่จะดึงดาบที่เอวออกมาอยู่เสมอ
“มิร่า มิร่า นั้นล่ะ?”
“นั่นคือร้านเสื้อผ้าสำหรับชนชั้นสูงค่ะ แต่สำหรับฮิเมะไม่ว่าจะชุดไหนๆก็ดูดีค่ะ”
ฮิเมะชื้นิ้วอีกครั้งขณะดึงมือของข้า คราวนี้ดูเหมือนจะสนใจร้านที่มีชุดเดรสตั้งเรียงรายอยู่
แต่ละท่าทางเหมือนกับการกระตุกสายแห่งจิตวิญญาณของข้าทีละเส้นทีละเส้น ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าอดทนอย่างเต็มที่ที่คงไว้ซึ่งเหตุผลและหน้าตาที่ใกล้แตกสลายเต็มที บอกตามตรงว่าข้าใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
“แบบไหนดีที่สุด?”
“นั้นสินะคะ ชุดที่มีดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ประดับอยู่นั่นเป็นยังไงคะ”
ฮิเมะจ้องมองชุดเดรสที่ข้าชี้ใกล้ๆ และใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อย
“……ระ เหรอ?”
“คุฟู๊ว…….”
ข้ากรอกตาขึ้นอย่างกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขและเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างน่าขนลุกโดยไม่ได้ตั้งใจ
นั้นเพราะชุดที่ข้าชี้มีเปิดเผยร่างกายเป็นอย่างมากตั้งแต่แผ่นหลังจนถึงสีข้าง ข้าแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่ด้วยสิ่งนี้จะช่วยเปิดเผยร่างกายชวนกระตุ้นความลามกของฮิเมะออกมา
“มิร่าซัง”
“ค่ะ”
เมื่อมองย้อนกลับไปที่น็อกซ์เบลซัง เธอก็มีรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าที่ทำให้อากาศรอบข้างเย็นยะเยือก ข้าทำได้แต่ยืนตัวตรงขอโทษและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ……….ไม่ควรทำเกินไปเลยจริงๆ
ตอนนี้ หากข้าเปิดปากของตัวเอง ความรักที่ข้ามีให้แก่ฮิเมะคงพรั่งพรูออกมาจนควบคุมไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจอยู่เงียบๆอย่างเศร้าๆไปสักพัก
“ดิฉันคิดว่าชุดเดรสสีชมพูนั่นเหมาะกับอริซซามะที่สุดเลยค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“ค่ะ ชุดมีริบบิ้นกับจีบเยอะแยะเลย ดิฉันมั่นใจว่าอริซซามะต้องใส่ชุดนั้นแล้วน่ารักที่สุดในโลกแน่นอนค่ะ”
ถัดจากนั้นน็อกซ์เบลซังก็เลือกชุดที่มีการตกแต่งที่สวยน่ารัก ไม่ดีแน่ ชุดของข้ากำลังจะพ่ายแพ้
ทันใดนั้นก็มีเด็กสาวที่ข้ามั่นใจว่าเป็นชนชั้นสูงคนหนึ่งเดินผ่านหน้าร้านและชำเลืองมองชุดนั้นก่อนเดินผ่านไปอย่างเสียดาย แม้จะไม่ดูดีเท่าฮิเมะ แต่เธอก็มีใบหน้าที่ครบครันจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่สวยมากกว่าน่ารัก และแน่นอนว่าดูไม่เหมาะในชุดนั้น
ฮิเมะรู้สึกเขินอายอีกครั้ง กับคำชมที่เลือกมาอย่างเป็นธรรมชาติและเจือปนรสนิยมส่วนตัว
“อะ ขอบคุณ เบลล์”
“――――กู๊ว……. !?”
“น็อกซ์เบลซัง”
“ค่ะ…….”
เห็นได้ชัดว่าข้าไม่ใช่คนเดียวที่ต้องอดทนต่อการหลุดอย่างสุดชีวิต สุดยอดเมดที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติที่ใครๆก็อิจฉาก็ดูเหมือนจะไร้ตัวตนต่อหน้าฮิเมะ
“ขอโทษที่ให้รอ ไปที่โรงเรียนกันเถ…….มีอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น?”
ฮิเมะซ่อนใบหน้าของเธอด้วยตุ๊กตา น็อกซ์เบลซังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ส่วนข้ากำลังหยิกแก้มตัวเอง ฮัททีเรียซามะที่กลับมาเอ่ยปากพูดก่อนจะชะงักไป
จากนั้นแต่ละคนก็เงียบด้วยเหตุผลของตัวเองจนกระทั่งพวกเราไปถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือ Royal Capital Academy