[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 37 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 17 จดหมายและแสงสว่าง
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 37 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 17 จดหมายและแสงสว่าง
ตอนที่ 17 จดหมายและแสงสว่าง
“ไม่รู้สึกเจ็บ หรือป่วย ตรงไหนสินะ?”
“อืม”
“งั้นเหรอ”
อริซตอบกลับข้ามาด้วยสายตาที่มั่นคง เบลล์ที่ยืนอยู่ข้างๆช่วยยืนยันอย่างเงียบๆ แม้จะเป็นการพยักหน้าเล็กๆ แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจ และหายใจได้ทั่วท้อง
ลูกสาวตัวน้อยสุดที่รักที่ชอบอยู่แต่บนเตียง โดยปกติมักจะมีนิสัยใจเย็นทำตัวนิ่งๆไม่น่าเป็นกังวลเท่าไร แต่บางครั้งเธอก็ชอบทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้ ข้าสงสัยจริงๆว่าคนที่มักจะทำตัวเงียบๆจะชอบทำเรื่องน่าประหลาดใจแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่าน่ะ
“จริงๆเลย……”
จะมีเด็กคนไหนกันบ้างที่จะขอเก็บหมาป่าสีทองมาเลี้ยงทันทีหลังจากพึ่งโดยทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บในการเจอกันครั้งแรก ข้าแน่ใจว่าต่อให้ค้นหาไปทั่วโลกก็ไม่มีเจอเรื่องแบบเด็กคนนี้อีกแน่ๆ
และในความจริงที่หมาป่าสีทองดูจะชอบอริซเอามากๆ ก็ทำให้ข้าคิดอย่างอื่นนอกจากความประหลาดใจไม่ออก
“ข้าควรจะพูดยังไงดี”
อริซสะดุ้งตกใจกลัวและมองมาที่ข้าราวกับคนบาปที่รอการตัดสิน
ข้าต่างหากล่ะที่ต้องกลัว ลูกสาวที่พึ่งจะอาการดีขึ้นต้องไปอยู่ในเหตุการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่อชีวิตอีกครั้ง เป็นร่างกายที่ง่ายต่อการถูกลากไปพัวพันกับปัญหารึไงกัน
……..ข้าไม่สามารถพูดได้ว่าไม่คิดถึงอลิเซีย และไม่สามารถพูดใส่ตรงๆได้ด้วย
“ขอโทษก่ะ”
“อ้า……ไม่สิ นั้นสินะ หากเจ้าบาดเจ็บขึ้นมา ทุกคนจะเสียใจ ระวังเอาไว้ด้วย”
ข้าควรจะพูดแบบนั้น และอีกอย่างปัญหาของอริซก็ไม่ได้เลวร้ายด้วย
ได้ฟังเรื่องราวที่อริซวิ่งเข้าหาหมาป่าสีทองจากเบลล์และคาลเมียร์แล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ข้าควรจะต้องดุออกไป
ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าเป็นการกระทำลงไปเพื่อปกป้องผู้คน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่สามารถโกรธได้โดยไม่คิดให้รอบคอบ ข้าจึงได้แต่ตักเตือนและให้ดูแลตัวเองให้ดี
แรกเริ่มแล้วนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ถูกโจมตี
……..แต่ก็ทำให้ข้าเกิดข้อสงสัย หมาป่าสีทองเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง และออกหากินในเวลากลางคืนโดยแทบไม่ได้ออกจากป่า แล้วทำไมถึงได้มีลูกหมาป่าตัวหนึ่งหลุดออกมาในทุ่งตอนกลางวันได้ ข้าจะขอให้กองอัศวินตรวจสอบในภายหลัง
ในทางกลับกัน ข้าไม่แน่ใจว่าหลังการโจมตีจบลงเช่นไรกันแน่ ที่ได้ยินมาคือ อริซสามารถเคลื่อนไหวท่าทางหลบเลี่ยงการกัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็กลายเป็นการกอดและทำให้หลงใหล คำอธิบายสับสนและไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ดูเหมือนอริซต้องการที่จะดูแลหมาป่าสีทอง
“เลี้ยง เลี้ยง…..นะกะ”
ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องการเลี้ยงหมาป่าสีทองมาก่อน
ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวของข้าจะห่างไกลจากคำว่า “ธรรมดา” และ “สามัญ” ไปมาก
……ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องคิดแบบนั้น ข้าต้องการให้อริซมีความสุขมากที่สุดในแบบที่เธอเป็นโดยไม่ถูกผูกมัดด้วยข้อจำกัดหรือข้อละเว้นต่างๆ
ดูเหมือนตัวข้าเองก็กำลังค่อยๆเปิดใจเหมือนกันสินะ
ยังไงก็ตาม
“อยากเลี้ยงงั้นเหรอ”
“อืม อายาเมะ”
“อายาเมะ?”
“ชื่อ”
“ชื่อ”
ดูเหมือนจะมีความตั้งใจที่จะเลี้ยงอย่างเต็มเปี่ยม
และดูเหมือนจะตั้งชื่อให้แล้ว
แต่ข้าก็อยากจะให้ขออะไรที่ธรรมดาและสามัญมากกว่านี้ แค่นิดหน่อย อีกสักเล็กน้อย
ตัวอย่างเช่น หากต้องการม้าเหมือนลูกขุนนางคนอื่นๆ ข้าก็สามารถตอบได้ด้วยคำตอบสองคำ แม้จะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่จำนวนเงินที่มากจนข้าไม่สามารถจ่ายได้
และถ้าหากทำให้อริซยิ้มได้มากขึ้น ข้าก็สามารถซื้อรถม้าเพิ่มให้เธอได้ด้วยซ้ำ แม้อาจจะทำให้โต๊ะอาหารเล็กๆเงียบเหงาลงบ้างก็ตาม ม๊า ถึงปกติอริซจะเอาแต่สนใจแมเรียนอย่างเดียวอยู่แล้วก็เถอะนะ
“หมาป่าสีทองงั้นรึ……..”
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ข้าจะรู้สึกสับสน กับการที่จู่ๆลูกสาวต้องการจะเลี้ยงหมาป่าสีทองที่เข้ามาจู่โจมทำร้ายตนเอง แม้แต่เบลล์ที่มารายงานเพื่อปรึกษากับข้าเองก็ค่อนข้างสับสน เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ
อย่างที่เบลล์บอกไป แม้ว่าข้าจะอนุญาต แต่ยังไงเราก็จำเป็นต้องเฝ้าระวังและพิจารณาสถานการณ์ไปสักระยะหนึ่งว่าหมาป่าสีทองตัวนั้นจะโจมตีผู้คนหรือไม่ และเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดูเหมือนอริซจะบอกว่าเด็กคนนั้นเข้ามาโจมตีเพื่อให้มีชีวิตรอด เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ นี่ลูกสาวของข้าไปเข้าใจคำพูดของหมาป่าได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ข้าพยายามตีให้กลายเป็นเรื่องตลกในใจเพื่อหนีความเป็นจริง
“อริซ หมาป่าสีทองตัวนั้น…..อายาเมะ ลูกเข้าใจที่เธอพูดใช่ไหม?”
“เข้าใจ”
“โฮ ถ้าอย่างนั้น ถ้าพ่อทำเสียงเห่าของหมาป่าให้ฟังแล้วลูกเดาว่าพ่อพูดอะไร ลูกจะทำได้ไหม”
“ให้เป็นหน้าที่หนูเอง!”
ในขณะที่มองเห็นเบลล์ฝืนยิ้มที่มุมหางตา นี่ทำให้ข้ารู้สึกดีกว่าที่คิด
อลิซรับฟังอย่างจริงจัง ข้าวางศักดิ์ศรีของคนเป็นพ่อ ก่อนที่จะงอมือทั้งสองข้างขึ้นติดกับใบหน้าก้มตัวลงเพื่อเลียนแบบหมาป่า
“ก๊าววววว!”
“มุมุมุ…….”
“เป็นยังไง?”
จากนั้นอริซก็หลับตาลงกอดอกและพยายามคิดสักพัก ท่าทางเช่นนี้ดูทั้งน่าตลก และน่ารัก ข้าไม่อยากรบกวนความคิดของเธอ แต่ข้าก็ลูบหัวด้วยความเอ็นดู
ผมของอริซร่วงลงมาบังดวงตาข้างหนึ่ง ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นมองขึ้นมาด้วยดวงตาข้างที่ไม่ถูกบัง
ม๊า เป็นการตัดสินใจที่ดีที่ทิ้งหมาป่าสีทองที่เรียกว่าอายาเมะไว้ให้แมเรียนแลนด์ฟาร์มดูแลเพื่อเฝ้าระวังและจับตาดูว่าจะไม่ทำร้ายมนุษย์จริงๆ หากผ่านไปได้ด้วยดีก็อาจจะเก็บมาเลี้ยงที่คฤหาสน์ได้ และถ้าหากฝึกฝนให้ดีก็จะเป็นประโยชน์ในการคุ้มกันอริซ
โชคดีที่ข้าได้ยินมาว่าแฮงค์ล็อตเต้มีประสบการณ์ในฐานะนายพรานกับหมาป่า
แน่นอนว่าการทำร้ายอริซไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถให้อภัยได้ทันที แต่การได้เห็นการรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดด้วยเวทมนตร์รักษาของหมาป่าสีทองซึ่งกล่าวกันว่าเป็นข่าวลือนั้น ข้าถือว่าเป็นการชดใช้แม้จะเพียงน้อยนิด ตามคำยืนยันของเบลล์ ดูเหมือนบาดแผลที่หลังจะหายดีขึ้นถึงแม้จะยังไม่หายขาดก็ตาม
…..ดูเหมือนจะยังเหลือร่องรอยอยู่
“ท่านพ่อ?”
“ว่ายังไง ลูกเข้าใจไหม?”
“อืม เข้าใจก่ะ!”
“โย๊วชิ ว่ามาเลย”
อริซพบอะไรในเสียงร้องเล่นๆที่ทำโดยไม่คิดกัน รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ฟุฟุ อริซยกนิ้วยืดอกภูมิใจในตนเอง
“หนักใจ!”
กระชับและชัดเจน ตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อนจนข้ารู้สึกเหมือนถูกตีเข้าโดยไม่คาดคิด ข้าได้แต่หัวเราะอ้าปากค้าง
“ฮะๆๆๆ นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง!”
“เย้~ สมกับที่เป็นตัวฉัน!”
ต้องขอบคุณใบหน้าภูมิใจมีความสุขอย่างไร้เดียงสา ที่ทำให้ข้าหมดแรงที่จะปฏิเสธคำตอบ“เอาแต่ใจ”
หลังถอนหายใจอย่างหมดแรง ข้าก็ลูบหัวเธอเบาๆ
“…..เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ก็ได้ แต่ต้องเป็นหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าหมาป่าสีทองจะไม่โจมตีอริซและผู้คนแน่นอน”
“จริงเหรอกะ……. !?”
“อ้า จริงสิ”
“ขอบคุณก่ะ ท่านป้อ!”
ดวงตาที่แปรเปลี่ยนยากจะเข้าใจนั้นได้เปร่งประกายแวววาว เธอเข้ามากอดด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมล้น ข้ากอดอริซไว้แน่นจนเธอสงบลง
ในที่แรกที่ข้าถูกอริซถามด้วยใบหน้าเศร้าๆข้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว
ข้าแน่ใจว่าเบลล์และคาลเมียร์เองก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าความตื่นเต้นลดลงไปบ้างแล้ว ข้าจึงค่อยๆคลายมือออก
ถึงแม้อริซจะเอียงหัว แต่ข้าก็เริ่มลูบหัวเธออีกครั้งเพื่อฆ่าความเสียใจและความรู้สึกผิด
ข้าอยากได้โอกาสที่จะทำแบบนี้มานานแล้ว
ไม่สิ ข้าอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา พวกเราควรทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้มากที่สุด
ด้วยเหตุนั้น ข้าควรจะรีบจัดการเรื่องกวนใจล่าสุดให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ยังมีเอกสารอีกจำนวนมากกองอยู่บนโต๊ะในห้องทำงาน
ใช่แล้ว
ข้านึกถึงจดหมายจากท่านพ่อตาที่โดนยัดไว้ในกองเอกสารที่ซ้อนกันสูง
“อริซ เกี่ยวกับเรื่องของโรงเรียน……ทำไมไม่ลองไป“เยี่ยมชม”ดูก่อนล่ะ”
“เยี่ยมชม?”
“อ้า พ่อได้รับจดหมายอีกฉบับจากท่านพ่อต…….โอจี่จัง ว่าลูกสามารถไปดูโรงเรียนก่อนได้ว่าเป็นยังไง คิดว่ายังไง?”
“คนเดียว……?”
“อ้า ไม่หรอก แน่นอนว่าพ่อกับเบลล์จะไปกับลูกด้วย”
“อืมมมมมม”
อริซก้มลงมองตุ๊กตาสัตว์ที่อกอย่างกังวลเล็กน้อยจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“――――อืม ไป”
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างงั้นพ่อจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการรออกไปข้างนอกกัน”
“อืม”
ข้าไม่รู้ว่าอริซจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายอย่างไร แต่เป็นเรื่องที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างการได้เห็นว่ามีอะไรอยู่ในโรงเรียนกับไม่ได้เห็น เห็นได้ชัดว่าอริซเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน
แต่การไปเยี่ยมชมโรงเรียน ก็หมายถึงเมืองหลวง
อาจจะเป็นการดีก็ได้ที่จะได้ไปพบหน้าม้าแสนรักของข้าหลังจากห่างหายกันไปนาน
ยังไงก็ตามถ้าจะไปก็ต้องเริ่มเตรียมตัวทันที อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจัดการเอกสารภาษีที่ได้รับการชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้
“เอาล่ะ……ขอโทษนะ อริซ พ่ยังมีงานค้างอยู่อีกนิดหน่อย”
“งาน”
“อ้า งาน”
ทันใดนั้น อริซก็เอื้อมมือมาที่หัวของข้า
แปะๆๆ เหมือนกับที่ข้าเคยทำ มือเล็กๆนั้นกำลังลูบหัวข้า
“พยายามเข้านะกะ ท่านพ่อ”
ทันไดนั้นข้าก็รู้สึกความเหนื่อยล้าถูกกำจัดหายไป
……อ้า ลูกสาวของข้า น่ารักขนาดนี้เลยเหรอนี้
“……เอาล่ะ รอก่อนนะ อริซ พ่อจะพาลูกไปเมืองหลวงด้วยม้าของพ่อเอง!”
“จริงเหรอ!? อืม!”
ข้าพยักหน้าให้เบลล์ที่กำลังแสดงความขอบคุณแก่ข้า ฮัททีเรียซามะ และยืนขึ้นด้วยร่างกายที่เบาลงโดยสิ้นเชิง
ข้ามองย้อนกลับไปที่อริซที่กำลังโบกมือให้ข้าที่กำลังเดินไปที่ประตู
“ว่าแต่ว่าอริซซามะค่ะ ดิฉันมีเรื่องที่อยากจะขอร้องหน่อยจะได้ไหมค่ะ”
“ขอร้อง?”
“ค่ะ ดิฉันเองก็อยากจะลองเข้าใจคำพูดของหมาป่าสีทองเหมือนกันค่ะ ดังนั้นคราวนี้ อริซซามะจะช่วยเลียนแบบหมาป่าสีทองแล้วคุยกับดิฉันได้ไหมคะ?”
“……..เอ๊ะ”
เหมือนอย่างเคย ดูเหมือนอันดับหนึ่งของอริซจะยังไม่เปลี่ยนแปลง ถึงตอนนี้เธอก็ยังคงพยายามไม่ปล่อยให้ตุ๊กตาสัตว์ที่ได้รับจากเบลล์แม้เพียงชั่วอึดใจ แต่ก็เป็นหลักฐานของความไว้วางใจและความชอบ
แม้เบลล์จะเป็นคนรับใช้ของข้า แต่ในขณะเดียวกัน ข้าก็รู้สึกเหมือนเธอเป็นลูกสาวอีกคนที่แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ตาม ดังนั้นเมื่อข้าได้เห็นเธอเล่นด้วยกันกับอริซแบบนี้ ข้าก็รู้สึกเหมือนได้เห็นพี่น้องกันจริงๆ แม้อายุจะต่างกันมากๆก็ตาม
“ขอความกรุณาด้วยค่ะ”
“เบลล์?”
“ขอความกรุณาด้วยค่ะ”
ตอนนี้ ก่อนอื่นมาจัดการเรื่องภาษีที่เก็บรวบรวมมาแล้วดีกว่า
อ้า ข้าต้องส่งจดหมายไปหามิแรนดาที่นั่นด้วย
การได้เห็นการแลกเปลี่ยนรอยยิ้มเช่นนี้ คำว่าเจ้านายและบริวารดูจะเป็นคำพูดที่ไม่ดีนัก ข้าออกจากห้อง――――
“เอะโตะ……..กาโอ้~!”
“――――กูฟู๊วววววววว!?”
…….หลังจากนั้น
“นั่นคือทั้งหมดสำหรับรายงานค่ะ ท่านแม่ทัพ”
“ลำบากหน่อยนะ ….เข้าใจล่ะ ดูจะเป็นปัญหายุ่งยากเล็กน้อย ข้าก็อยากพูดแบบนั้นอยู่หรอกนะ”
ท่านแม่ทัพดูจะเดาสถานการณ์บางอย่างได้จากการที่เห็นข้าโผล่มาที่กองบัญชาการทหารโดยไม่ใช้พลส่งสาร ท่านขอเวลาโดยไม่พูดอะไร ทำให้ฉันต้องอยู่รอที่โรงแรมสองสามวัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
และในวันนี้ หลังเคลียร์คนหมดแล้ว ข้าก็เข้าไปในห้องของท่านแม่ทัพก่อนที่จะส่งรายงานให้ จากนั้นข้าก็เอ่ยถึงเรื่องเวทมนตร์ของฮิเมะตามที่คาลเมียร์แนะนำเอาไว้
ในขณะที่ข้ากำลังรู้สึกถูกกลืนกินด้วยความตึงเครียดจึงทำให้พูดออกไปด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะได้มีเพียงท่านแม่ทัพคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน แต่ข้าก็รอการตอบรับโดยไม่ได้ลดความตึงเครียด
ท่านแม่ทัพวาดนิ้วบนหน้าผากและหลับตา ดูเหมือนว่าท่ากำลังใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว เพราะเด็กคนนั้นเป็นเป็นลูกสาวของอลิเซียด้วยล่ะนะ แต่พูดตรงๆ ข้าอยากประกาศเฉลิมฉลองซะด้วยซ้ำ”
“ฮิเมะ…….ท่านแม่ของอริซซามะเองก็มีเวทมนตร์คล้ายเช่นนี้หรือคะ?”
ข้าพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนข้ากำลังตั้งคำถามต่อการคาดเดาของท่านแม่ทัพโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม ข้าอุดปากของตัวเองพร้อมพยายามขอโทษ แต่ท่านแม่ทัพก็หยุดไว้ก่อน
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ตามเจ้าอาจจะรู้ได้หากสังเกตเวทมนตร์ของคุณหนูอริซให้ดีพอ ……และมิแรนดา เจ้าคือคนที่ถูกเลือกสำหรับภารกิจในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยที่ข้าได้ฟังมาจากคาลเมียร์ และข้าก็เป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองจากผลลัพธ์โดยตรงจากช่วงการฝึก”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆค่ะ ท่านแม่ทัพ”
ข้าเข้าใจว่านี่คือการบอกว่าท่านเชื่อใจในตัวข้าแบบอ้อมๆ และข้าก็ขอบคุณท่านด้วยความเคารัแม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วครู่ก็ตาม
“ข้าไม่สามารถพูดอะไรได้มากเกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์ของอลิเซีย แต่คนที่รู้ก็มีข้า และผู้ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น ยกเว้นคุณหนูอริซคนเดียว ส่วนที่เหลือก็เป็นพ่อแม่ของอลิเซีย แต่ข้าก็ไม่สามารถบอกอะไรเจ้าได้ แม้เจ้าอาจจะได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นั้นอย่างลึกซึ้งในอนาคตก็ตาม”
ดวงตาที่เฉียบแหลมแบบเดียวกับใน“การฝึก”มองมาที่ข้าเพื่อยืนยันว่าข้าเข้าใจแล้ว
ฮึก ข้าอดทนพยายามไม่ทำหน้าเหมือนกินยาขม และพยักหน้า
ข้าไม่อยากเจอเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณการฝึกครั้งนั้นที่ทำให้ข้าสามารถพัฒนาความอดทนต่อความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานได้มากขึ้น นั่นดูเหมือนจะเป็นหนทางสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจข่าวกรอง
“เพื่อฮิเมะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ข้าก็จะไม่พูดค่ะ”
“……ดีมาก จงเชื่อมั่นในการเตรียมใจนั้นซะ แต่ข้าจะบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่งแล้วกัน”
จากนั้นท่านแม่ทัพก็ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอีกครั้งอย่างรอบคอบ และบอกให้ข้าตั้งใจฟังให้ดี นอกจากนี้แม้จะพยายามตั้งใจฟังให้ดี ก็ยังได้ยินเป็นเสียงเบาๆที่แทบจะไม่ได้ยิน
“…….คุณหนูอริซเป็น――――”
ตอนแรกข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสิ่งที่ท่านจะสื่อ ได้แต่เอียงหัว แต่เมื่อใช้เวลาคิดช้าๆ ข้าก็ตะลึงจนสิ้นคำพูด
“นั่น หมายความว่า……”
“ใช่ เรื่องเล่าขานนั้นเป็นเรื่องจริง …….และแม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงเป็น แค่ยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่สินะ?”
“ค่ะ ท่านแม่ทัพ ขอบพระคุณมากค่ะที่บอกข้า……ต้องขอขอบพระคุณจริงๆค่ะ”
ผลกระทบมาถึงในไม่ช้าทั้งความรู้สึกประทับใจและยินดี มากไปกว่านั้นคือ ความจริงที่ว่าหน้าที่อัศวินผู้พิทักษ์ของฮิเมะได้วางอยู่บนไหล่ของข้าอย่างน่าภาคภูมิใจ บางทีตอนนี้ข้าอาจจะได้รับเกียรติสูงสุดในฐานะอัศวินแล้วก็ได้
ไม่สิ ยังหรอก
“…….ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าอยู่หรอกน่ะ แต่ถ้าจะร้องไห้ก็เอาไว้เป็นตอนที่อยู่คนเดียวเถอะ จะเป็นปัญหาสำหรับข้าเหมือนกันน่ะ ถ้ามีผู้หญิงมาร้องไห้ต่อหน้าแบบนี้”
“ค่ะ ค่ะ ต้องขอประทานอภัยด้วยค่ะ”
เรื่องราวที่เหมือนฝันที่ข้าโหยหาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ทุกครั้งที่ข้าเติบโตขึ้น รูปร่างของความฝันก็เปลี่ยนไป แต่ในตอนนี้เป็นความจริงแล้ว และเมื่อมาคิดว่าตอนนี้ได้สัมผัสเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง ข้าก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้
จากนั้นแม้ท่านแม่ทัพจะพูดว่ามีปัญหา แต่ท่านก็นิ่งเงียบรอให้ข้าตั้งหลักได้
“…..สงบใจได้แล้วรึยัง?”
“ค่ะ ต้องขอโทษอีกครั้งด้วยค่ะ”
“ดี …..อ้า จริงด้วย”
ท่านแม่ทัพพูดเหมือนพึ่งนึกอะไรได้ ท่านค้นในอกเสื้อชั่วครู่ก่อนที่จะหยิบจดหมายออกมา
ท่านส่งมาให้ข้าที่รับมาด้วยความสับสน
“จากฮัททีเรียถึงเจ้าน่ะ”
“จากฮัททีเรียซามะ…….?”
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องอะไร ข้าเพิ่งได้รับมาเมื่อวันก่อนเพราะว่าจ่าหน้าซองถึงข้า แต่ประโยคแรกที่เปิดเจอคือบอกให้เอามาให้เจ้า”
พอจะเข้าใจได้ แม้จะรู้ว่าข้าอยู่ที่เมืองหลวง แต่ก็คงไม่สามารถรู้ได้ว่าปัจจุบันข้าพักอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำจึงถูกส่งตรงไปยังท่านแม่ทัพ การทำเช่นนี้ หมายความว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการติดต่อข้าอย่างเร่งด่วน
…..คือเรื่องอะไรกัน
ข้าคลายเชือก และดูข้อความบนแผ่นหนัง
“เอะโตะ…..”
แน่นอนว่าประโยคแรกเป็นคำทักทายที่เป็นกันเองกับท่านแม่ทัพ และจากนั้นเป็นข้อความที่บอกความต้องการให้ส่งมอบให้ข้า
ดูเหมือนท่านแม่ทัพเองก็ดูจะสนใจอยากรู้เนื้อหาเหมือนกัน บางทีท่านอาจจะไม่ได้อ่านมาล่วงหน้า เนื่องจากเป็นการส่งผ่านท่านแม่ทัพ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรที่ท่านแม่ทัพจะรู้เนื้อหา
ข้าจึงอ่านออกเสียงทั้งแบบนั้น
『ข้าขอโทษด้วยที่ส่งจดหมายมาอย่างกะทันหัน ข้าได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่นั่นเพื่อการเยี่ยมชมโรงเรียนของอริซ โปรดรออยู่ที่เมืองหลวงตามเดิม จุดนัดพบคือ ประตูเมืองหลวง ทางหลวงลำดับที่หนึ่ง ในอีกห้าวัน ฮัททีเรีย』
เข้าใจแล้ว ฮิเมะจะมาที่นี่
“เอออออออออออ๋!?”
“ฮ่าๆๆๆๆ เข้าใจล่ะ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันจริงๆ”
ท่านแม่ทัพดูจะมีความสุข แต่ไม่เห็นต้องหัวเราะเลย ข้าวางแผนที่จะกลับทันทีหลังเข้าส่งรายงาน ดังนั้นจึงไม่ได้นำเงินมาให้เพียงพอสำหรับการอยู่ในเมืองหลวงจนถึงอีกห้าวันข้างหน้า แน่นอนว่าข้ามีเงินสำหรับกรณีฉุกเฉินติดตัวมาเผื่อไว้อีกเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็มีพอสำหรับที่พักอีกประมาณสามวันเท่านั้น
…….นอนกลางแจ้ง
คำพูดดังกล่าวผ่านเข้ามาในหัวของข้า
“ดูเหมือนจะเป็นชายที่ไม่สนใจความละเอียดอ่อนเช่นเคย ไม่สิ ในหัวก็มีแค่เรื่องของคุณหนูอริซซะมากกว่ามั้ง …….มิแรนดา”
“ค่ะ คะ……”
หมู่นี้ ข้ารู้สึกเหมือนเหมือนโดนปั่นหัวด้วยจดหมายเต็มประตู
ท่านแม่ทัพหัวเราะด้วยท่าทางแตกต่างจากปกติ เอ่ยขอโทษแทนเพื่อนของตนเองที่ทำให้ข้ากำลังคอตกอยู่
“ข้าจะจ่ายค่าที่พัก และค่าอาหารในระหว่างที่รอให้เจ้าเอง แล้วเดียวข้าจะไปเรียกเก็บเงินจากฮัททีเรียทีหลังเอง”
“ทะ ท่านแม่ทัพ…… ! จะไม่เป็นไรหรือคะ!?”
“อ้า ไม่มีปัญหา”
แสงที่ส่องเข้ามาในความมืด……!
ตอนนี้ข้ารู้สึกราวกับว่ามีแสงสว่างส่องออกมาจากเบื้องหลังท่านแม่ทัพ
ว่าแล้ว ท่านแม่ทัพคือวีรบุรุษจริงๆ
“ขอบพระคุณมากค่ะ!”
“อะไรกัน ข้าเองก็ต้องขอบคุณสำหรับการที่เจ้ามารายงานเรื่องสำคัญด้วยตัวเองแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องกังวลไป”
แล้วท่านแม่ทัพที่ได้รู้เนื้อหาของจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรที่งดงามก็แกว่างจดหมายไปมา
ในวันนี้ข้าขอขอบคุณคาลเมียร์ ผู้ที่ส่งข้ามาจริงๆ