[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 18 บุตรีนกน้อยในกรงทองกับการเอาแต่ใจ
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 18 บุตรีนกน้อยในกรงทองกับการเอาแต่ใจ
ตอนที่ 18 บุตรีนกน้อยในกรงทองกับการเอาแต่ใจ
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
ฉันกำลังยืนอยู่ต่อหน้าความอึกทึกและคับคั่งวุ่นวาย
ผู้ขายแสวงหาผู้ซื้อ ส่งเสียงเชิญชวนเรียกความสนใจดังมากๆ แม้จะยังอยู่แค่ที่ทางเข้าก็เห็นสภาพตลาดอันร้อนแรงแล้ว
“อริซซามะ……?”
“……อะ อืม”
เบลล์ซังที่เดินอยู่เคียงข้างมองไปรอบๆตลาดด้วยความกังวล มิร่าซังที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังก็จับตาเฝ้าระวังโดยรอบ
“สุดยอด”
ย้อนกลับไป ในที่สุดฉันก็สามารถตัดสินใจที่จะออกไปข้างนอกไปยัง มาเรียนา หลังเติมเต็มท้องด้วยอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันก็ก้าวผ่านห้องโถงสู่โลกภาพนอกด้วยความกังวลและความหวัง สิ่งที่เห็นไกลออกไปเล็กน้อยคือ ถนนขนาดเล็กที่ถูกบีบอัดอย่างดี และทิวทัศน์ของเมืองที่สร้างจากอิฐและหินดูสวยงาม
สิ่งที่น่าสนใจคือถนนยาวตรงสายหนึ่งที่ตัดผ่านกลางและรอบล้อมไปด้วยภูเขาและทะเลสาบ เบลล์ซังบอกว่ามันเป็นวิธีที่สั้นที่สุดในการเชื่อมต่อจักรวรรดิ์เพื่อนบ้านกับเมืองหลวงของราชอาณาจักรนี้
และเมื่อเดินจากคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบของเขตชานเมืองของมาเรียนาใกล้กับปลายขอบของราชอาณาจักรไปเรื่อยๆ สิ่งที่ฉันเห็นที่ปากทางเข้าของเมืองนี้คือ ตลาดที่มีร้านค้าอยู่มากมาย
“ฟุๆๆ ที่นี่คือมาเรียนาค่ะ อริซซามะ”
เบลล์ซังที่ยืดอกอย่างภูมิใจในขณะที่ถือร่มที่ถูกตกแต่งด้วยจีบระบายอย่างประณีตบรรจงไว้ในมือ ฉันเงยหน้ามองเล็กน้อย ก่อนก้าวเท้าเข้าตลาดทีละก้าว
“ฮิเมะ ได้โปรดระวังอย่าอยู่ห่างจากข้าและน็อกซ์เบลมากเกินไปนะคะ”
“อืม”
ฉันเชื่อฟังคำพูดของมิร่าซังที่ติดตามอยู่ข้างหลังอย่างว่านอนสอนง่าย เพราะแม้บนท้องถนนจะดูสะอาดปลอดภัย แต่ถ้าหลงทางขึ้นมาก็แย่แน่ๆ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คงมีแค่ยืนตัวสั่นและหวาดกลัวเท่านั้น กลายเป็น”ลูกแมวน้อย เด็กหลงทาง เด็กหลงทาง”อย่างแน่นอน
まいごのまいごのこねこちゃん
“…..เบลล์ มือ จับ….?”
“ค่ะ อริซซามะ”
ฉันเสียวสันหลังให้กับความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะข้ามมันไป แล้วขอให้เบลล์ซังเป็นผู้นำทางด้วยเสียงน่าสงสาร เธอตอบรับอย่างยินดี ฉันจับมือที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนนุ่มเอาไว้ ต๊อกแต๊กๆ เสียงส้นรองเท้าที่พยายามเดินอย่างยากลำบาก
แน่นอนว่าฉันกำลังสวมชุดสำหรับออกไปข้างนอก และแม้ฉันจะไม่เคยสวมชุดพวกนี้มาก่อน แต่ดูเหมือนเบลล์ซังจะคอยดูแลชุดเดรสวันพีชลำลองเอาไว้เสมอ
ชายกระโปรงอยู่ต่ำในระดับเฉียดลากไปตามพื้น แต่ว่าช่วงไหล่จนถึงแนวกระดูกไหปลาร้าถูกเปิดโชว์ไว้ มันน่าอายนิดหน่อย ช่างเหมาะเหลือเกินค่ะ ฉันจำได้ว่ามิร่าซังกล่าวชมฉันอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆเบลล์ซัง
“เบลล์ แนะนำ อะไร?”
ถึงจะดีใจที่ได้มาตลาด แต่ว่าถึงจะรวมชีวิตชาติก่อนเข้ามา นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาในที่แบบนี้ ฉันไม่รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง ในครั้งนี้ฉันเลยตัดสินใจที่จะให้เบลล์ซังเป็นคนตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนกันดี
จากนั้นเบลล์ซังก็แตะนิ้วชี้ไปที่คาง ก่อนคิดบางอย่าง
“นั้นสินะคะ ถ้าเช่นนั้นไปดูผลไม้กันก่อนดีไหมคะ?”
“ผลไม้”
“ค่ะ แมเรียนที่อริซซามะชื่นชอบยังไงล่ะคะ”
“แมเรียน! ไป!”
หากมีแมเรียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปดู แม้จะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็มองแยกคุณภาพไม่ออกหรอก แต่ฉันก็อยากรู้ว่าพวกเขาขายของโปรดของฉันแบบไหนกัน
“ฮิเมะชอบแมเรียนมากเหรอคะ?”
“อืม ชอบมาก”
ฉันหันกลับไปตอบ มิร่าซังยิ้มกว้างพึ่งพอใจก่อนที่จะพูดต่อ
“ถ้าเช่นนั้น แมเรียนกับดิฉันชอบฝั่งไหนมากกว่ากันคะ?”
ฟุๆๆ มิร่าซังถามด้วยรอยยิ้มซุกซน ฉันยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับอย่างภูมิใจด้วยรอยยิ้มสดใสว่า
“แมเรียน!”
ฟุๆ เบลล์ซังที่ยืนอยู่ข้างๆกลั้นหัวเราะไม่ไหวจนระเบิดออกมา ในขณะที่ฉันได้แต่เอียงคอสงสัย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมิร่าซังอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อ ไม่หยาบคายไปหน่อยเหรอ ฉันพูดต่อไป
“ฉันก็ชอบมิร่าเหมือนกัน แต่ เอ๊ะโตะ……ให้กินคงไม่อร่อยแน่นอน”
“…..คุโออออออออออ! ฮิเมะ ข้าขอโทษ! ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองอร่อยพอออออออ!”
“อะ ฮ่าๆๆ”
เบลล์ซัง หัวเราะ…..?
ไม่สิ เธอหัวเราะเหมือนทุกครั้ง แต่
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะแปลกและมากกว่าปกติ ไม่เหมือนรอยยิ้มของเบลล์ซังที่ฉันมักจะเห็นทุกครั้ง ครั้งนี้เป็นการหัวเราะแบบสบายๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ดูสนุกจริงๆ
ฉันรู้สึกเหมือนถูกมองข้ามไป แต่ฉันก็รีบส่ายหัวทันที
“ฮิเมะ ข้าควรทำเช่นไรถึงจะดูอร่อยคะ?”
“คนไม่อร่อย”
“ท่านพูดถูกต้องแล้วค่ะ ฮิเมะ”
ในขณะที่พูดคุยกันแบบตลก พวกเราก็เดินข้ามจากเขตถนนเข้าสู่เขตตลาด ฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนจากผู้คนด้วยรอบ และยิ่งเข้าไปข้างในเท่าไรก็รู้สึกร้อนมากขึ้นเท่านั้น ฉันรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่กระทบผิวฉันโดยตรง ทุกคนกำลังตะโกนอย่างมีความหวัง เข้าใจล่ะ ตลาดเป็นแบบนี้นี่เอง
“ผลไม้อยู่ทางนี้ค่ะ อริซซามะ”
“ก่ะ”
เบลล์ซังจับมือฉันเดินฝ่าฝูงชนที่คับคั่งจนแยกซ้ายหรือขวาไม่ออก เห็นคนจำนวนมากกำลังลากรถเข็น อาจมีหลายคนที่มาจากที่ไกลๆเพื่อทำการค้าขาย บางคนแต่งตัวแปลกกว่าทั่วไป บางทีคงเป็นพ่อค้าที่มาค้าขายจากประเทศเพื่อนบ้าน
อาจเป็นเพราะว่าฉันเป็นขุนนางชั้นสูง คนที่สังเกตเห็นฉันรีบเคลียร์ทางให้อย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นฝูงชนแออัดขนาดใหญ่ แต่พวกเขาก็ขยับกันอย่างรวดเร็วน่าทึ่งไม่หยุด หลังฉันเห็นฉากนั้น ผู้คนรอบๆก็เริ่มมองสังเกตฉันอีกครั้ง เมื่อฉันสังเกตเห็นก็เริ่มรู้สึกว่ามันกำลังจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยแล้ว
มุมมองส่วนใหญ่คือ อยากรู้อยากเห็น แต่สายตารังเกลียดขุนนางก็มีปรากฏขึ้นและหายไปเหมือนกัน
ฉันไม่เก่งเรื่องการเป็นจุดสนใจ ดังนั้นฉันเลยขยับหลบเข้าตรงกลางและเผลอจับมือแน่นขึ้นด้วยไม่รู้ตัว ซ่อนตัวข้างเบลล์ซังประหนึ่งว่าไม่มีตัวตน
“เห็นไหม….?”
“อ้า นั้นคือลูกสาวอัจฉรัยะของฮัททีเรียซามะผู้มีชื่อเสียง…”
“ไม่มีใครเคยได้เห็นเธอเลยใช่ไหม? แล้วจะรู้ได้ยังไง”
“เจ้าบ้า เห็นผมสีเงินนั้นไหม ก็ต้องเป็นเธออยู่แล้ว”
“เด็กอัจฉริยะสินะ ฮัททีเรียซามะเป็นขุนนางที่ดีกว่าขุนนางคนอื่นมากๆ แม้แต่เธอก็ต้องแตกต่างจากขุนนางคนอื่นอย่างแน่นอน ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย”
“สวย……”
ทุกคนหยุดมองฉัน และเริ่มซุบซิบนินทากัน อย่างที่คิดไว้ฉันทั้งรู้สึกอึดอัดทั้งมีปัญหา มิร่าซังที่ได้ยินเสียงซุบซิบเบาๆทั้งหลาย พูดกับฉันว่าโปรดวางใจได้เลยค่ะ แล้วกระโดดออกไปอยู่ต่อหน้าพวกเขา
“ข้าคือมิแรนด้า・คูเรีย อัศวินแห่ง อริซ・ฟอน・แฟร์มีล ฮิเมะกำลังมีปัญหากับสายตาสนใจของพวกเจ้า เพราะเช่นนั้นพวกเจ้าทุกคนจงทำตัวตามปกติซะ!”
เมื่อมิร่าซังตะโกนอย่างสง่างาม ฝูงชนโดยรอบก็หยุดซุบซิบและรีบคุกเข่ากัน
“เอ๊ะ”
อย่าสิ จริงอยู่ว่าร่างกายในตอนนี้เป็นขุนนางชั้นสูง เพราะแบบนั้นภาพที่เห็นเลยไม่แปลกอะไรสำหรับอาณาจักรนี้
แต่ว่าการกระทำตรงหน้าที่เกิดจากการถูกพูดใส่ด้วยอารมณ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ฉันจะก้มหัวร้องขอความเมตตาจากพระเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตายจนได้มาอยู่ในตำแหน่งที่ตรงข้ามกับชีวิตในชาติก่อน ฉันเคยฝันหลายต่อหลายครั้งสมัยที่ยังเป็นเด็กว่าอยากเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ได้รับมันกลับกลายเป็นฝันร้ายแทน
กรุณาหยุดเถอะ พวกคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ฉัน ฉันแค่อยากจะกินและก็นอนเท่านั้น
ไม่ว่าฉันจะหวังไว้แค่ไหน แต่หากต้นตออย่างฉันยังไม่รีบกลับไปโดยเร็ว พวกเขาก็จะไม่มีวันเงยหน้าขึ้น
…….ไม่ถูกต้อง ใช่แล้ว นั้นไงล่ะ
ฉันปล่อยมือจากเบลล์ซัง แล้วเดินไปข้างมิร่าซัง
“กรุณา เงย หน้า เถอะ”
“อะ อริซซามะ….. !?”
ฉันเข้าใจแล้ว แม้แต่ในชาติก่อนของฉัน ก็มีช่วงเวลาแบบนี้ในระหว่างการตรวจดูงาน พวกเราจะถูกให้โค้งคำนับเอาไว้จนกว่าจะถูกบอกว่าดี แล้วไล่กลับไปทำงาน
ฉันคิดในโลกนี้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่จะเงยหน้าขึ้นก่อนได้รับอนุญาต ดังนั้นพวกเขาจึงก้มหัวเอาไว้จนกว่าจะได้รับอนุญาตโดยตรง
หากเข้าใจแล้ว ฉันก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว ฉันไม่มีความคิดที่จะใช่อำนาจของขุนนางมากดขี่พวกเขาเลยแม้แต่น้อยนิด ดังนั้นมาทำพิธีการตามธรรมเนียมให้เสร็จโดยเร็วกันเถอะ
“ด้วยความช่วยเหลือ ของพวกคุณ ทำให้ฉัน สามารถมี…..จีวิตอยู่ ขอบกุณ”
ฉันยกปลายกระโปรงทั้งสองด้านขึ้น วางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหลังอีกข้างหนึ่ง และโค้งคำนับเล็กน้อยด้วยความรู้สึกขอบคุณ และเพราะเป็นท่าที่ดึงมาจากความความทรงจำที่เบลล์ซังเคยบอกฉันก่อนหน้านี้ ทำให้ฉันเป็นมือใหม่ที่ทำท่าอย่างงุ่มง่าม แต่ฉันก็พยายามทำท่าถอนสายบัวด้วยมารยาทมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
การที่ฉันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกและสนุกกับทุกสิ่งทุกๆวัน มันได้ได้เกิดจากความว่างเปล่า แต่เป็นเพราะพวกเขาที่ทำงานมากมายหลากหลายอย่างรวมถึงการจ่ายภาษี เรื่องพวกนั้นคือเรื่องที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่มาได้ และนี่คือเรื่องจริง
ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจพูดไม่ไหลลื่นบางส่วน ถ้ามันถูกบันทึกไว้ ฉันคงโดนล้อจนอับอายไปจนวันตายแน่ๆ
“อริซซามะ…….”
“ฮิเมะ……… !”
ทันใดนั้น ก็มีคนโห่ร้องด้วยความซาบซึ้งใจ มีอยู่สองคนที่ร้องไห้น้ำตาซึมที่หางตา แน่นอนว่าขุนนางคนอื่นๆคงไม่พูดอะไรมากขนาดนี้ ทุกคนเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนพวกเขาที่ส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไปจะตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
วิธีพูดของฉันจะอวดดีไปหน่อยรึเปล่านะ แต่ฉันสงสัยว่าจะได้รับการยอมรับอย่างราบรื่นแล้วสินะ
“โออออออ้….นี่คือ บุตรีของฮัททีเรียซามะ……..ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน”
“……ช่างแตกต่างจากเหล่าลูกสาวขุนนางคนอื่นๆที่มาในบางครั้งเลย”
“……ฟู ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเธอเป็นอัจฉริยะหรือไม่ แต่ ม๊า ข้ามั่นใจเลยว่าเป็นบุตรีของท่านผู้นั้นจริงๆ”
“สวย……”
ดูเหมือนในตอนนี้ บรรยากาศในสายตาของพวกเขาที่จับจ้องมาจะเปลี่ยนไปแล้ว แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะค่อนข้างแรงขึ้น แต่สายตารังเกลียดที่ปะปนอยู่ดูเหมือนจะหายไปเกือบจะหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การกระทำที่ผิดพลาด
“ดีจัง เบลล์ ไปดูแมเรียนกัน”
“อะ…..ค่ะ คะ อริซซามะ! ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันแสดงกริยาไม่เหมาะสมไปซะแล้ว”
“ฮิเมะ……ข้าจะอุทิศชีวิตของตนเองให้แก่ท่านค่ะ!”
“อะ อืม…..ขอบกุณ”
ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นการพูดเกินจริงกันไปนิดหน่อย แต่ถ้ามีบุคคลที่มีอำนาจมาตรวจสอบแล้วพูดอะไรที่คล้ายๆกันนี้ จะต้องมีความตื่นเต้นหรือความยินดีอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน
…… อย่างไรก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ ฉันอยากจะหนีจากสถานการณ์ที่ถูกยกย่องนี้โดยเร็วที่สุด
การตัดสินใจของฉันได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ฉันรีบกลับไปอยู่ข้างๆเบลล์ซังด้วยการเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต แล้วจับมือเธอไว้ก่อนซ่อนตัวที่ด้านหลัง
ฉันเสียใจที่ไม่ได้เอาตุ๊กตาสัตว์ตัวโปรดมาด้วย เพราะมันจะแย่หากทำตกหาย ดังนั้นในตอนนี้ฉันจึงไม่มีอะไรที่จะเอามาซ่อนใบหน้าที่แดงได้
“ตอนนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาซื้อของที่อริซซามะต้องการทันทีที่พบเลยดีไหมคะ”
“เอ๊ะ….? มะ มายเป็นรัย”
เบลล์ซังพูดอย่างนั้นพร้อมลูบหัวฉันทีหนึ่ง ฉันพยายามที่จะหักห้ามใจ ก่อนจะนึกถึงบทสนทนาเมื่อเช้านี้ เบลล์ซังบอกว่าอย่าลังเลที่จะทำอะไรในสิ่งที่ต้องการ เช้านี้ไม่ จำกัด หากมีบางอย่างที่ต้องการสามารถบอกได้ทันที
“….เร็วๆนี้ก็ใกล้จะถึงวันเกิดปีที่5ของอริซซามะแล้ว ถือซะว่าเป็นของขวัญจากเบลล์ก็แล้วกันนะคะ?”
เบลล์ซัง ขี้โกง พูดแบบนี้ฉันก็ปฏิเสฐไม่ได้นะสิ
งั้นเหรอ ใช่แล้ว อย่างที่พูดใกล้ถึงวันเกิดแล้วจริง ๆ
…..นั้น จะมีการเฉลิมฉลอง เป็นเรื่องไม่ปกติที่กลายเป็นอารมณ์อันลึกซึ้งสามารถยอมรับได้เป็นเรื่องปกติแต่โดยดีอีกครั้ง
ลองคิดๆดูแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงตอนนี้ ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยร้องขออะไรแบบนี้สักครั้ง ถ้าฝืนพูดอะไรแบบนี้ไปก็จะกลายเป็นกบฏต่อระบบนะสิ?
ไม่สิ เรื่องนั้นมันจบไปแล้ว
“…..อืม ขอบกุณนะ เบลล์”
“ค่ะ อริซซามะ”
จากที่เห็นเบลล์ซังมีใบหน้าที่มีความสุข ถึงยังงั้นฉันก็ยังขจัดความรู้สึกไม่ดีออกไปไม่ได้ แต่ถ้าทำให้เบลล์ซังยิ้มได้ จะความภาคภูมิหรือความเกรงใจก็ลืมๆมันไปซะ ไม่ต้องลังเลที่จะอ้อนเอาแต่ใจ
“ถ้าเช่นนั้นไปดูผลไม้กันเถอะค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็ไปดูสิ่งที่อริซซามะสนใจกันต่อ”
“อืม”
“ฮิเมะ ให้ดิฉันได้มอบของขวัญแสดงความยินดีด้วยคนนะคะ!”
“…..อืม มิร่า ขอบกุณ”
ช่วยไม่ได้ ฉันไม่สามารถปฏิเสธมิร่าซังที่พูดพร้อมรอยยิ้มกว้างได้ แต่ฉันก็ตอบกลับไปด้วยคำพูดและรอยยิ้มที่ไม่ดีนัก ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจว่าจะชดเชยให้ทีหลัง
“ทางนี้ค่ะ อริซซามะ”
“ว้าววววว……”
และในขณะที่ถูกเบลล์ซังจูงมือเข้าสู่ตลาดตรงไปยังแผงขายของริมทางด้านซ้ายมือ
มีเต็นท์ตั้งเรียงรายจำนวนมาก กล่องไม้ของผักและผลไม้หลากหลายชนิดเรียงอยู่หน้าร้าน
“แมเรียน แมเรียน…..”
ฉันเดินไปรอบๆจ้องๆเงยๆจากซ้ายไปขวาราวกับกำลังหาขุมทรัพย์
พอทำแบบนี้แล้วก็ไม่มีโอกาสมองพลาดอย่างแน่นอน และในที่สุดฉันก็เจอสิ่งที่กำลังค้นหา
“แมเรียน!”
แมเรียนพวกนั้นกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่จริงๆงั้นเหรอ หรือว่าจะเป็นตาของฉันกัน
ฉันรีบไปนั่งหน้ากล่องไม้ทันที ฉันจ้องแมเรียนจำนวนมากที่มีปริมาณมากพอจะกินได้ทุกวันไปหนึ่งเดือน มะ ไม่ได้มีความหมายแฝงหรอกนะ
“……ยะ ยินดีต้อนรับ….อริซซามะ สินะ? ชอบแมเรียนยังงั้นรึ?”
เมื่อได้ยินเสียงที่เหนือหัว ฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นชายวัยกลางคนที่ดูหน้าตาท่าทางกำลังกังวลเล็กน้อย อาจจะเป็นเจ้าของแผงนี้
“ชอบมาก”
“ยะ ยังงั้นรึ นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ที่ร้านนี้มีสินค้าต่างๆวางขายมากมาย แต่นี่คือสินค้าขายดีเลย เด็กๆพวกนี้ถูกดูแลมาด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง”
“สวย น่าอร่อย”
ดวงตาของฉันหันกลับไปหาแมเรียนในทันทีหลังพยักหน้ารับ ขอโทษด้วย แต่ตอนนี้ฉันสนใจเฉพาะแมเรียนเท่านั้น
จากนั้นเบลล์ซังที่เฝ้าดูอยู่ข้างหลังหนึ่งก้าวก็ก้าวมาข้างหน้า แล้วกระซิบเบาๆที่มีเฉพาะฉันที่ได้ยิน
ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่มากระทบหู
“ฮี่…..เบลล์?”
“…..อริซซามะ ถ้านั่งลงไปมากกว่านั้น กระโปรงจะเปิดออกจนเห็นด้านในนะคะ……”
เมื่อฉันมองลงไปที่เท้าตามคำพูดของเบลล์ซัง
ฉันพูดอะไรไม่ออก แต่ในนาทีสุดท้ายนั้นเอง
“….กรี๊ด!?”
ฉันรีบดึงชายกระโปรงลงและยืนขึ้นซ่อนตัวทันที
แก้มของฉันกลายเป็นสีแดงทันที ดูเหมือนว่าเจ้าร้านจะเป็นห่วงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“ขอโทษด้วย ข้าก็อยากจะพูดเตือนอยู่น่ะ แต่คิดว่ามันคงจะเป็นการหยาบคายเกินไป…..”
“อูอ มะ มายเป็นรัย…..”
ไม่เป็นไรที่ไหนกันล่ะ ฉันต้องระวังตัวเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ ที่นี่ไม่ใช่ในห้องของฉัน
ฉันมองไปที่เบลล์ซังเพื่อกลบเกลื่อน และฝืนยิ้มไป มันน่าอายมาก ในเวลาแบบนี้ถ้าคู่หูอยู่ด้วยจะต้องช่วยหยุดยั้งความอายจากเรื่องนี้ได้มากแน่นอน ฉันเชื่อแล้วว่านี้เป็นความผิดพลากครั้งใหญ่ที่ไม่เอาตุ๊กตามาด้วย
“……คุณหนูน้อย ไม่โกรธเลยน้า”
“หืม……?”
จากนั้นเจ้าของร้านก็เกาแก้มของเขาเหมือนกับกำลังระลึกถึงความหลังอันแสนขมขื่น
“เพราะข้าพูดได้แต่ภาษาบ้านๆเท่านั้น ตอนที่ขุนนางจากเมืองหลวงมาที่นี่ ก็ถูกด่าว่ายกใหญ่เลย แม้ผู้ดูแลซังจะขอให้มองข้ามไปด้วยความเมตตา แต่ก็เกือบจะถูกลากไปประหารแล้วเหมือนกัน”
“เอ๊ะ”
ประหารชีวิต …….เพราะแค่ไม่พูดสุภาพ?
ไม่สิ เมื่อชาติก่อนเองถ้าพูดบ่นระหว่างมีการตรวจสอบก็จะถูกลงโทษริบเงินเดือนของเดือนนั้นทั้งหมดเพื่อเป็นการลงโทษ แต่….ม๊า ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คือการโดนบังคับให้รีไทร์ก่อนกำหนดเพราะขาดสารอาหารจนทำงานไม่ได้นั้นล่ะ แบบนั้นความหมายก็ไม่ต่างจากการโดนสั่งประหารชีวิตล่ะนะ
แม้จะอยู่ที่นี่ แต่ความแตกต่างระหว่างขุนนางกับประชาชนทั่วไปก็ดูเหมือนจะมากกว่าที่คาดไว้ ต่อให้เรื่องที่เล่าเป็นเพราะทำตัวเองซะครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าถึงกับประหารชีวิตเลย เข้าใจล่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าขุนนางถึงโดนเกลียดนัก
“ฉัน มายเป็นรัย”
“งั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ ไม่รู้ทำไมแต่ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีจริงๆ ข้าขอพูดให้ชัดเจนเลยนะ ว่าข้าไม่ชอบขุนนาง แต่ข้าชอบฮัททีเรียซามะกับคุณหนูน้อย …….โย!ต้องการซื้ออะไรล่ะ? หากเป็นคุณหนูน้อย ข้าขายให้ถูกๆเลย!”
“จะ จริงเหรอ……?”
“อ้า จริงแน่นอน!”
ฉันเหลือบมองเบลล์ซังเพื่อที่พยายามจะอ้อนขอ ทันใดนั้น ฉันก็สัมผัสได้ถึงสายตาของมิร่าซังที่แทรกเข้ามา เธอทำท่าทางเหมือนจะส่งสัญญาณว่า ซ้า ฮิเมะ เชิญสั่งซื้อได้ตามต้องการเลยค่ะ ฉันได้แต่ฝืนยิ้มและยอมรับความมีน้ำใจนี้ไว้
“จ๊า…..เอ๊ะโตะ นี่ ขอ แมเรียนก่ะ”
“ไอโย! เดิมราคายู่ที่ 200 เรย์ แต่ข้าขายให้ 100 เรย์เท่านั้น!”
ฉันไม่เข้าใจบางคำเท่าไร เพราะยังไม่ได้เรียนเรื่องสกุลเงิน แต่เพราะตัวเลขลดลงครึ่ง ดังนั้นนี้เป็นบริการที่ยอดเยี่ยม
ฉันไม่รู้วิธีดูคุณภาพของแมเรียน ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะมองอยู่ข้างๆแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ
เจ้าของร้านนำของออกมาจากกล่องอย่างกระตือรือร้นมาก นี่ยอดมาก เบลล์ซังกับมิร่าซังช่วยกันคัดเลือกอย่างพิถีพิถันตามการชี้แนะ
“โยชิ เสร็จแล้วค่ะ ฮิเมะ!”
“ทั้งหมดสุกกำลังพอดีตรงตามที่อริซซามะชอบเลยค่ะ ต้องการทำอะไรต่อไปรึคะ?”
แมเรียนที่ทั้งสองกับเจ้าของร้านช่วยกันเลือกมา ดูเปล่งปลั่งสดใสกว่ากล่องไม้ทุกกล่อง
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่การเอาแต่ใจทำให้หัวใจเต้นระรัวได้ขนาดนี้ แก้มของฉันยิ้มไม่หุบเลย