[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 100 ตอนสุดท้าย เหตุใดบุตรีขุนนางฮิคิโคโมริเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 100 ตอนสุดท้าย เหตุใดบุตรีขุนนางฮิคิโคโมริเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์
ตอนสุดท้าย เหตุใดบุตรีขุนนางฮิคิโคโมริเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์
“โดยเบื้องต้นแล้ว ผู้คนยอมรับการปฏิวัติของพวกเรา พื้นที่ที่มีโบสถ์หรือกองรักษาการ์ของอัศวินจะได้รับความร่วมมือเป็นพิเศษ อืม……ก็ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดีล่ะน้อ”
“ครับ เพราะได้เห็นเหล่าอัศวินพยายามแก้ไขปัญหาผ่านการพูดคุยอย่างใกล้ชิดในระหว่างการจลาจลล่ะนะครับ ส่วนทางด้านศาสนจักร แม้จะยังไม่ได้ให้การยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่ก็มุ่งไปในทิศทางยืนยันสถานะของ「สตรีศักดิ์สิทธิ์」เพื่อการรับรองอยู่ครับ”
“อุมุ ตามการวิเคราะห์ของหน่วยข่าวกรองก็มีความเห็นตรงกันว่าการปฏิวัติครั้งนี้ประสบความสำเร็จ พื้นที่ส่วนที่เหลือ แม้จะไม่ให้ความร่วมมือ แต่สำหรับตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังดูอยู่อย่างเงียบ ๆ”
“……ช่วงวิกฤตสงครามกลางเมืองจบลงแล้ว สินะ เบลล์ มีอะไรจะเสริมหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ ทางนี้เองก็มีข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันค่ะ”
“งั้นเหรอ”
กองบัญชาการกองทัพราชอาณาจักร ห้องทำงานแม่ทัพ หลังจากที่เห็นอัศวินที่มาก่อนหน้านี้ปิดประตูจากไป ลาบริกซ์ซามะและแม็กพ็อดซามาะก็พยักหน้าให้กัน อย่างที่ลาบริกซ์ซามะพูด ข้อมูลที่ดิฉันได้รับจากสปายของมาเรียนา・ไอริสก็คล้ายกัน พูดได้ว่าพวกเราสามารถหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองที่จะนำไปสู่การล่มสลายของประเทศได้สำเร็จ และดูเหมือนจักรวรรดิ์จะรับรู้ข้อมูลได้สายเกินไปจึงทำให้พลาดโอกาสในการรุกรานไป ในที่สุดการปฏิวัติของพวกเราก็ยุติลงหลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเราก็ยังคงเศล้าหมองตลอดเวลา ……เหตุผลไม่จำเป็นต้องคาดเดา
ดิฉันถอนหายใจสองสามครั้ง ดิฉันมีอาการมึนงงและเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อหัวใจของดิฉันไม่อยู่ที่นี่
“ขอโทษด้วยที่เรียกเจ้ามา เรื่อง……อริซ”
“……คะ”
“……นั่น สินะ ――――ใกล้วันเกิดปีที่เจ็ดแล้วใช่ไหมน่ะ”
ดิฉันไม่สามารถพูดสิ่งใดได้ ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้ แต่ดิฉันไม่ต้องการพูดความจริงด้วยตนเอง นอกเหนือจากนั้น……เพราะดิฉันรู้สึกเหมือนต้องจบลงด้วยการยอมรับตอนจบที่ไม่สามารถยอมรับได้
ดิฉันออกจากห้องทำงานโดยพยายามไม่มองหน้าทั้งสองท่านที่มองมา
“……อะ”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานนะเจ้าคะ น็อกซ์เบลซัง”
หลังลงบันได มีคนหยุดดิฉันขณะที่กำลังเดินไปตามโถงทางเดินอย่างเหม่อลอย เมื่อหันไปหาตามทิศทางของเสียง ก็พบกับองค์เจ้าฟ้าหญิงกับสเตลล่าซัง ดิฉันแน่ใจว่าที่ได้เจอกันเพราะทั้งสองท่านกำลังจะไปที่ห้องทำงาน
ดิฉันรีบโค้งคำนับทันที แต่องค์เจ้าฟ้าหญิงยิ้มแห้งตรัสว่าไม่เป็นไร ดิฉันจึงยกหัวที่ก้มลงไปแล้วครึ่งหนึ่งกลับขึ้นมา
“ทั้งสองท่าน มาเพื่อเข้าพบลาบริกซ์ซามะและแม็กพอดซามะใช่ไหมเพคะ?”
“อือ ฉันต้องขึ้นครองราชสมบัติตามธรรมเนียม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาคนช่วยน่ะ ……ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าตำแหน่งราชาจะคงอยู่เช่นเดิม แต่ในทางปฏิบัติการกำหนดนโยบายและการขึ้นครองราชย์เป็นคนละเรื่องกัน……จะจัดให้มีประชุมของผู้มีอิทธิพลที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทั่วราชอาณาจักรและตัดสินใจที่นั่น ประมาณนั้น ฉันก็สงสัยอยู่ว่าจะเป็นวิธีที่ดีไหม”
“จะส่งคำขอไปเช่นกันเพคะ”
“โอ้ จริงเหรอ ……แน่นอน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากโอกาสเช่นนี้”
“เพคะ”
ที่จริงแล้วดิฉันเข้าใจและชื่นชมแผนการที่องค์เจ้าฟ้าหญิงทรงตรัสเป็นอย่างมาก จนถึงตอนนี้ การปกครองทั้งปวงในราชอาณาจักรอยู่ภายใต้อำนาจของราชา แต่ราชาไม่จำเป็นต้องควบคุมทั้งหมด แม้จะเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล แต่หากก่อให้เกิดปัญหาที่สั่นคลอนประเทศเช่นนี้จริง ๆ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะประสบกับปัญหาที่ยากลำบาก แต่ข้อเสนอขององค์เจ้าฟ้าหญิงฟังดูวิเศษมาก
หากการตีความของดิฉันถูกต้อง องค์เจ้าฟ้าหญิงจะไม่สูญเสียสถานะราชาของตน แต่ทว่าอำนาจจริง ๆ จะถูกกระจายออกไป เพื่อรักษา”ราชอาณาจักร”เอาไว้ จึงทำการแบ่ง ถ่วงดุลพระราชอำนาจให้กับคนหมู่มาก ด้วยการสร้างสถานะตรวจสอบซึ่งกันและกัน กล่าวคือ การเมล็ดพันธ์แห่งการชำระล้างตัวเองขึ้นมา ยังมีเรื่องให้คิดอีกมากมาย เช่น ใครควรอยู่ตำแหน่งไหน อย่างไร ตั้งกฎเกณฑ์อย่างไรให้ไม่มีช่องโหว่ และให้การทุจริตเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เพื่อที่จะสามารถหลุดพ้นจากระบบที่ประเทศจะตกอยู่แต่ภายใต้นิสัย และความสามารถของราชาเท่านั้นได้
แน่นอนว่าอาจมีขุนนางและจอมเวทย์คนอื่น ๆ ที่มีความคิดแบบเดียวกัน แต่ องค์เจ้าฟ้าหญิงยังคงทำให้ดิฉันสงสัยว่าพระองค์อายุเพียงแปดขวบจริง ๆ งั้นเหรอเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมปกติหรือไหวพริบ เหมือน……เหมือนกับ
“……อริซซามะ”
“…… ……วันนี้เอง ฉันก็แวะไปที่ห้องมา”
……อ้า แย่แล้ว ดิฉันเผลอหลุดเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจ
ไม่ใช่แค่ดิฉันคนเดียวที่โศกเศร้า แน่นอนว่าทั้งพระสหายสนิทเช่นองค์เจ้าฟ้าหญิง และประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรต่างก็เฝ้ารอวันที่ดวงตาสีทองล้ำค่าคู่นั้นจะกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง
การตื่นขึ้นของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ทำลายห่วงโซ่แห่งความเกลียดชังและนำพวกเราไปสู่อนาคต
“นอนหลับด้วยใบหน้าที่มีความสุขด้วยล่ะ …….ที่จริง แล้ว ―――― “
“……รูนไฮม์ซามะ”
“อึก……ขอโทษด้วย ไปกันเถอะ”
ตึก ตึก องค์เจ้าฟ้าหญิงรับเดินผ่านดิฉันไปราวกับพยายามซ่อนอารมณ์ที่รั่วออกมา น้ำตาไหลร่วงหล่นจากดวงตาที่เหมือนอัญมณีที่มีสีต่างกันคู่นั้น และหยดลงบนหลังมือของดิฉัน
เสียงฝีเท้าหยุดลงหลังจากเดินไปได้สามก้าว เมื่อดิฉันหันไป องค์เจ้าฟ้าหญิงซึ่งหันหลังให้กำลังเช็ดพระเนตรอยู่
“น็อกซ์เบล ……อริซจะกลับมาแน่นอนใช่ไหม…….?”
“……เพคะ อริซซามะจะไม่ทำสิ่งใดที่จะทำให้องค์เจ้าฟ้าหญิงต้องทรงเสียพระทัยอย่างแน่น”
ดิฉันสงสัยว่าตนเองซ่อนเสียงที่สั่นไหวไว้ได้หรือไม่ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ายืนมององค์เจ้าฟ้าหญิงพึมพำขอบคุณ แล้วเดินจากไป
ดิฉันจะมีความสุขแค่ไหนถ้าสามารถพูดแบบนั้นได้จากใจจริง …….แต่
อริซซามะยังไงก็ยังคงเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะถูกยกย่องให้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ หรือต่อให้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนั้นได้
ไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าอาจจะไม่ตื่นขึ้นอีกแล้วได้เลย
“……ฮัททีเรียซามะ ดิฉันกลับมาแล้วค่ะ”
“อ้า เบลล์……เป็นยังไง?”
“ค่ะ จนถึงตอนนี้การปฏิวัตินับว่ายังคงประสบความสำเร็จค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ขณะที่กำลังจัดแจงสัมภาระในห้องที่กำลังจะกลายเป็นห้องทำงานส่วนตัวนับจากนี้ ฮัททีเรียฝืนพูดได้เพียงเท่านั้น
ดิฉันจะช่วยเองค่ะ แล้วในตอนที่พยายามหยิบกระดาษปึกหนึ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องไม้ ประตูที่เพิ่งปิดก็เปิดออกอีกครั้ง และเสียงคุ้นเคยที่กล่าวแสดงความเคารพทันทีที่เข้ามา
” ―――― อะ แมม……ไม่ไม่ น็อกซ์เบลซัง ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ”
“…….คาลเมียร์ อืม ขอบคุณ”
“ค่ะ ……เอ๊ะโตะ ขอบพระคุณมากค่ะ ฮัททีเรียซามะ”
“อ้า …..พอแล้วงั้นเหรอ?”
“…….ค่ะ”
ในฐานะผู้นำของการปฏิวัติ พวกเราย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องนั่งในตำแหน่ง(จุดยืน)นี้จนกว่าระบบหลังจากนี้จะเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นห้องหลายห้องในกองบัญชาการทหารจึงถูกยืม เพื่อให้พวกเราพักอาศัยอยู่ชั่วคราว
ด้วยเหตุนั้น เมื่อประมาณเจ็ดวันที่แล้ว ฮัททีเรียซามะจึงเดินทางกลับไปที่มาเรียน่าก่อนหนึ่งรอบ และพึ่งจะกลับมาถึงเมื่อเช้านี้หลังจากที่เตรียมการต่าง ๆ เสร็จสิ้น แม้จะเป็นการไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ว่าก็กังวลที่ต้องอยู่ห่างจากอริซซามะตลอดเวลา มาเรียน่ายังคงสงบสุขด้วยความช่วยเหลือของกองอัศวินลิลลี่ขาว และประชาชนแต่ละคนก็ร่วมมืออย่างแข็งขัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาแม้ว่าจะปล่อยให้ข้ารับใช้และอัศวินที่เหลือเป็นผู้ดูแลกันเองสักพัก
และในช่วงเวลานั้น คาลเมียร์ซึ่งได้ยินเรื่องราวส่วนใหญ่ระหว่างอยู่ที่คฤหาสน์ก็ไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาของเธอเอาไว้ได้แม้แต่น้อย และหลังจากนั้นก็ขอติดตามฮัททีเรียซามะมาด้วย
……ยังไงก็ตามในขณะที่เจ้านายกำลังจัดห้องอยู่แบบนี้ หมายความว่ายังไงที่เธอทิ้งหน้าที่แล้วไปที่อื่นกันล่ะ เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของฮัททีเรียซามะแล้ว ดูไม่เหมือนว่าเธอจะถูกขอให้ไปทำอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าดิฉันไม่คิดว่าคาลเมียร์จะทำแบบนั้นลงไปโดยไม่มีเหตุผล แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ดิฉันต้องตำหนิเธอ
“เธอหายไปไหนมา ระหว่างที่ทิ้งหน้าที่รับใช้ฮัททีเรียซามะไว้เบื้องหลัง?”
“ไม่ค่ะ เรื่องนั้น คือว่า…..”
” ―――― ไม่เป็นไร เบลล์ ข้าเป็นคนบอกให้ไปได้เอง”
จากท่าทางของคาลเมียร์ และคำพูดของฮัททีเรียซามะ ดิฉันก็พอเข้าใจแล้วว่าเธอไปที่ไหนมา ……ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคาลเมียร์ถึงมาอยู่ที่นี่แต่แรก
ปกติดิฉันจะคิดออกได้เร็วกว่านี้
ดิฉันเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ทว่าดิฉันยึดติดอยู่กับอริซซามะอย่างไร้ความหวัง
“……..หลับอยู่ ดูไม่มีท่าทางเจ็บปวดเลยค่ะ”
“…..อ้า”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้อง ดิฉันแทบควบคุมตัวเองไม่ได้
“เบลล์ พวกข้าจะจัดห้องเอง ไปอยู่ข้าง ๆ เถอะ”
“…….. ―――― ค่ะ”
ฮัททีเรียซามะพูดราวกับอ่านใจดิฉันได้ บางทีอาการคงแสดงออกบนใบหน้าอย่างชัดเจน
ดิฉันลืมแม้แต่มารยาทการออกห้อง รีบวิ่งออกจากห้องตรงไปที่ประตูที่อยู่ถัดไปสองบาน อัศวินหนุ่มที่เดินตรวจตราตามทางเดินดูประหลาดใจเมื่อเห็นดิฉันผ่านมาด้วยท่าทางวิ่งรีบเร่ง ยังไงก็ตามเขาก็หลบเข้าไปที่กำแพงฝั่งตรงข้ามทันทีและทำความเคารพดิฉัน
เหตุผลที่เขาปฏิบัติกับดิฉันที่เป็นเพียงผู้ติดตามเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเขารับรู้ว่าดิฉันเป็นหนึ่งในผู้นำของการปฏิวัติ แต่ตอนนี้ดิฉันไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว ดิฉันไม่มีเวลาเหลือให้มาแก้ความเข้าใจผิดแล้ว
“ขออนุญาต นะคะ”
ดิฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับที่พูดแบบนั้น เดิมทีเป็นห้องพักชั่วคราวสำหรับแขกผู้มีฐานะทางสังคมสูง เช่น ขุนนาง เป็นห้องที่เงียบสงบมีการตกแต่งเพียงเล็กน้อย แต่มีพรมหรูหรา และโคมไฟเวทมนตร์แบบแขวนที่ทำให้ดูประณีต
ที่ข้างใน ที่นอนหลับอย่างสงบบนเตียงสีขาว ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สุดที่รักของดิฉัน
“――――อ้า……”
“……น็อกซ์เบลซัง?”
หลังจากเกือบส่งเสียงแปลก ๆ ออกไป ในที่สุดดิฉันจึงรู้สึกตัวว่ามิแรนดาซังกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง
มิแรนดาซังยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ขณะที่เดินผ่านกัน พวกเราก็สบตา และพยักหน้าให้กันและกัน หลังจากที่มิแรนดาซังออกจากห้องไป ดิฉันรอให้เธอปิดประตูจนสนิท ก่อนเดินไปข้างเตียง
ดิฉันไม่แม้แต่จะนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ได้แต่ยืนมองไปยังร่างที่หลับใหล
“อริซซามะ”
……เมื่อมองดูเช่นนี้ ก็เหมือนกับเพียงว่ากำลังนอนหลับสนิท ผ่อนคลาย พร้อมตื่นมาถูเปลือกตาของเธอพร้อมกับหาวอย่างน่ารัก และ เบลล์ เรียกดิฉันด้วยรอยยิ้มที่น่ารักบนใบหน้า
ทันทีหลังจากการประกาศสิ่งที่เรียกว่า Noblesse Oblige Declaration เสร็จสิ้น อริซซามะก็ล้มลงทันทีราวกับว่าได้ใช้ทุกสื้นที่มีไปจนหมดสิ้น ตั้งแต่นั้น จากวันนั้นเป็นต้นมา แม้จะผ่านไปหลายสิบวัน เธอก็ไม่เคยตื่นขึ้นเลยสักครั้ง ไม่ว่าดิฉันจะเรียกหาหมอมาสักกี่คน ไม่ว่าดิฉันจะลองใช้เวทมนตร์สักกี่ครั้ง พวกเขาทำได้เพียงมองไปที่อริซซามะที่หลับใหล และส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร
……ดิฉันสังหรณ์ใจไม่ดีเลย โดยเฉพาะการที่เลือดไหลออกจากทั้งหู ตา จมูกเช่นนั้น ดูไม่ปลอดภัยเลยสักนิดเดียว
แต่ว่าอริซซามะก็พยายามยืนหยัดจนถึงที่สุด
มองเห็นความแข็งแกร่งของเจตจำนงในร่างกายเล็ก ๆ นั่น ผลที่ออกคือดิฉันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
ทั้งที่ความจริงแล้ว ดิฉันควรต้องเข้าไปหยุดทันที
ได้แต่อธิษฐานว่าจะตื่นขึ้นมาในสักวันหนึ่ง ขณะป้อนน้ำและอาหารที่บดแล้วให้ไหลลงคอโดยไม่ให้สำลัก
สิ่งที่พวกเราทำได้คือ การดูแลอริซซามะที่อ่อนแอลงทีละน้อยทุกวัน
“……เบลล์อยู่ที่นี่แล้ว จะอยู่เคียงข้างตลอดไป”
อริซซามะไม่ตอบสนอง
ตุ๊กตาหมีหิมะที่กลิ้งอยู่ข้าง ๆ ไหล่เล็ก ๆ ของเธอได้รับการทำความสะอาดให้สะอาดแล้ว
พอลองคิดดูแล้ว หลังจากที่ดิฉันมอบให้ นับจากนั้นนเป็นต้นมา เธอก็กอดตุ๊กตาตัวนี้ไว้แนบอกโดยไม่ยอมปล่อยเลย
ตุ๊กตาสัตว์ที่ได้รับการทะนุถนอมเสมอมา ไม่ว่าตอนหลับ ไม่ว่าตอนตื่น ยกเว้นในยามที่ไม่สามารถพาไปด้วยกันได้
แต่ในตอนนี้ตุ๊กตาที่ถูกเรียกว่าคู่หู กลับนอนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ถูกโอบกอดไว้
“อริซซามะ”
ดิฉันค่อย ๆ วางเขากลับไปนอนพิงไหล่
โดยหวังว่าเธอจะโอบกอไว้ใกล้หัวใจ และยิ้มอย่างที่เคยเป็นมา
……ดิฉันคาดหวังด้วยความหวังอันริบหรี่ แต่ทว่าก็พังทลายลงเป็นฟองอากาศในลมหายใจยามหลับอันสงบ
“อริซ ซามะ……”
ใจดี ฉลาด และกล้าหาญ
ขี้อายหลุดออกมาเล็กน้อย
มีอยู่ช่วงหนึ่ง เธอแสดงความคิดที่เป็นผู้ใหญ่กว่าดิฉัน ในขณะเดียวกันก็ร้องไห้ด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนแอและอ่อนเยาว์
ยืนหยัดเพื่อ “ความสุข” โดยละสายตาจากตัวเอง
ถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ พยายามอย่างแข็งขันให้เหมาะสม
เธออาจจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ อาจเป็นแสงแห่งความหวัง
แต่อริซซามะยังเป็นเด็กสาวอายุเพียงหกขวบ
“……คุณกำลังฝันเห็นสิ่งใดกันคะ”
น้ำตาไหลไม่หยุด แปะ แปะ
ดิฉันทำให้ปูที่นอนสีขาวเป็นรอยเปื้อนเสียแล้ว
ความนึกคิดที่หยุดไม่ได้ แปะ แปะ
ไหลออกมาจากดวงตาสีดำ
“ที่นั่น……ที่ตรงนั้น เบลล์……. 「ทุกคน」อยู่ตรงนั่นไหมคะ……?”
คุณอยู่ในความมืดหรือเปล่าคะ
คุณอยู่ในแสงสว่างหรือเปล่าคะ
คุณไม่เหงาใช่ไหมคะ
ไม่ร้องไห้ใช่ไหมคะ
สงสัยเหลือเกินว่าได้ไปอยู่ในโลกแห่งความสุขใช่ไหมคะ
“อริซ ซามะ ………..”
ต่อให้เป็นในความมืดก็ดี
ต่อให้เป็นในแสงสว่างก็ดี
ตราบใดที่คุณไม่เหงาก็ไม่เป็นไร
ตราบใดที่คุณไม่ร้องไห้ก็ไม่เป็นไร
แต่ ได้โปรด
แม้จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกต่อไป
“ได้โปรดยิ้มด้วยเถอะค่ะ……ได้โปรดแสดงรอยยิ้มของคุณอีกครั้งด้วยเถอะ อริซซามะ…… !”
เข้าใจดี
โลกนี้ไม่ใช่เทพนิยาย
ยังไงก็ตาม อย่างน้อย อย่างน้อยแม้เพียงเล็กน้อยเพื่ออริซซามะที่ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง
แม้จะเป็นปาฎิหาริย์เล็ก ๆ ก็ได้โปรดเกิดขึ้นด้วยเถอะ ――――
――――กำลังเรียกอยู่
มีใครบางคนกำลังเรียกหาฉันอยู่
มีใครบางคนกำลังร้องไห้อยู่ข้างฉัน
ไม่ต้องคิดเลยว่าเป็นใคร
เพราะแบบนั้นฉันจึงเอื้อมมือออกไป
นำทางด้วยเสียงระฆังยามค่ำคืน
“……..บะ เบลล์?”
เมื่อพูดออกไป เสียงของฉันแหบอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันแน่ใจว่าเสียงถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นดังของเบลล์ซังจนส่งไปไม่ถึง
แม้ว่าฉันจะพยายามยกร่างกายขึ้นเบา ๆ ฉันก็ขยับไม่ได้อย่างที่ควรทำได้เพียงแค่สั่น
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกตัวเบากว่าปกติเล็กน้อย
…….อ้า งั้นแหรอ ถ้าฉันหลับไปนานกว่าที่คิดไว้มาก ก็ไม่แปลกที่ร่างกายจะผอมและอ่อนแอลง ถึงอย่างงั้นฉันก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีเนื้อหนังอยู่ แน่ใจเลยว่าเบลล์ซังกับคนอื่น ๆ ดูแลด้านอาหารให้ฉันเป็นอย่างดี
ยังไงก็ตาม ก็ไม่เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าฉันอ่อนแอลง เบลล์ซังยังคงร้องไห้ และดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกตัวว่าฉันตื่นขึ้นแล้ว แสงที่ส่องผ่านเปลือกตาที่เปิดเล็กน้อยของฉันนั้นพร่างพราว ดูเหมือนว่าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่ฉันจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
ดูแนวโน้มแล้ว เบลล์ซังอาจจะนอนคว่ำหน้าอยู่ที่ขอบเตียง น้ำเสียงแสนเศร้ารุนแรงยิ่งกระตุ้นต่อมน้ำตาของฉันด้วย อย่าร้องไห้ เบลล์ ม๊ายเป็นร๊าย หนูอยู่ที่นี้แล้ว
ยังไงก็เถอะ เสียง――――ใช่แล้ว
“แสง…..จัน แค่กๆๆ”
“เอ๊ะ อะ……?”
ฉันรู้สึกได้ว่าเบลล์ซังเงยหน้าขึ้นมา …..พลาดล่ะ
จริง ๆ แล้ว ฉันอยากให้เธอรู้สึกตัวด้วยบทเพลงแห่งความทรงจำนั้น แต่ฉันกลับไอซะก่อน ไม่สิ แค่นี้ก็ดีแล้ว ถึงจะค่อนข้างไม่น่าพอใจนิดหน่อย
พร่ามัว ฉันเริ่มมองเห็นโครงร่างของเบลล์ซังที่มองมาที่ใบหน้าของฉัน
อ้า เร็วเข้า รีบปรับตัวเข้ากับแสงเร็วเข้า พยายามเข้าตาของฉัน ฉันมองไม่เห็นหน้าของเบลล์ซังเลย
“――――「ใต้แสงจันทรา」”
คราวนี้เสียงออกมาอย่างถูกต้อง
ฉันร้องเพลงต่อ ต่อเนื่องจากที่เบลล์ซังร้อง
เบามาก ฉันแน่ใจว่าเป็นเสียงที่ไม่สามารถเข้าใจได้หากไม่ตั้งใจฟัง
แต่ถ้าเป็นเบลล์ซัง ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“「อ้า ที่รักของฉัน เงี่ยหูเข้ามาสักหน่อยได้ไหม ฉันอยากอ่านจดหมายถึงคุณ」”
เน๊ เบลล์
ยังคงเกี่ยวกับเพลงนี้ แต่ตอนนี้ฉันสามารถออกเสียงได้อย่างไม่ผิดพลาด
ตอนนี้ฉันพูดภาษาของฉันได้ถูกต้องแล้ว
“「จนกว่าเสียงระฆังรุ่งสางจะดังขึ้น จนกว่าหิมะจะละลายใต้แสงตะวัน」”
เน๊ เบลล์
ฉันยังคงกลัว หวาดกลัว และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หนูสามารถออกไปข้างนอกได้แล้ว
สามารถเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงของฉันได้แล้ว
“「เพราะฉันจะไม่ปิดประตูบานนั้นอีกต่อไป」”
――――เกิดอะไรขึ้นกับการปฏิวัติ?
――――ทุกคนปลอดภัยดีไหม?
มีหลายอย่างที่ฉันอยากจะถาม
“……อริซ ซาม๊า……อะ ริส ซา ――――อริซซาม๊าาาาาาาาา……… !”
“ฟุกิ๊ว”
――――ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ
――――ขอบคุณ
มีหลายสิ่งที่อยากจะพูด
“อ้า อ้า นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหมคะ จริง ๆ สินะคะ จริง ๆ ใช่ไหม………”
“อืม อยู่ นี่ แล้ว เบลล์”
“….อะ อุ อุ อืออออออออออออ อริซซา อึก อริซซาม๊าาาา……….”
แต่
คำพูด(ความคิด)ใดที่คุณต้องการสื่อมากที่สุดในตอนนี้
“เบลล์”
“อึก ฟู ฟู๊ว ………ค่ะ อริซซามะ”
และฉันก็หลับตาและคิดถึงความทรงจำต่าง ๆ
เหมือนวันนั้นที่ได้เริ่มคุยกัน
“หนูน่ะนะ พยายามที่สุดแล้ว”
“……ค่ะ”
“หนูพยายามสร้างโลกแห่งความสุข เพื่อมีรอยยิ้มร่วมกับทุกคน”
วันที่ฉันได้เรียนรู้ความโกรธ และความรัก ในยามที่เลือดของคนสำคัญไหลริน
วันแห่งการเฉลิมฉลองที่ฉันได้เรียนรู้ความสุขและความกตัญญู ในยามเฉลิมฉลองวันเกิด
วันที่ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลก รู้จักเพื่อน และเรียนรู้เกี่ยวกับความสนุกสนานและมิตรภาพ
วันที่ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับความโศกเศร้าและความกล้าหาญจากการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงและตัวฉันเอง
วันที่ก้าวออกจากห้อง(หัวใจ)ครั้งแรก
วันที่ได้เจอกันในห้อง(หัวใจ)ครั้งแรก
“……แต่ ผิดแล้ว แค่นั้นยังไม่เพียงพอ ต้องการเปลี่ยนจริง ๆ สิ่งที่ต้องเปลี่ยนคือ ตัวหนูด้วยเหมือนกัน”
“อริซซามะ”
เธออยู่เคียงข้างฉันเสมอ
เธอเฝ้าดูฉันเสมอมา
เธอเข้าใจฉันเสมอ
เธอกอดฉันไว้แน่นตลอดเวลา
“หนูไม่สามารถทำได้ทันที แต่ถ้าได้อยู่กับทุกคน หนูแน่ใจว่าจะต้องเปลี่ยนได้”
ให้เธออีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใชจากภายหลังกำแพง พราะฉันอยากจะบอกเธอด้วยการจ้องมองหัวใจของกันและกันอย่างที่เป็นอยู่
“ทีละเล็ก ทีละน้อย ……จากนี้ไป จะอยู่เคียงข้างหนูไหม?”
ในที่สุดฉันก็เห็นใบหน้าของเบลล์ซังได้ชัดเจน เธอจ้องนิ่งสนิทกลับมาด้วยสายตาคุ้นเคยราวกับจะถาม ก่อนจะหลับตาลงแน่น
เบลล์ซังลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำตาคลอเล็ก ๆ
“แน่นอนค่ะ อริซซามะ”
อุเนี๊ยวอย่างเป็นธรรมชาติ แก้มของฉันผ่อนคลายเช่นกัน
……เรามาเริ่มกันใหม่จากตรงนี้ ในครั้งนี้กับทุกคนเรื่องราวของการปกป้องความสุข
เพื่อที่จะได้อยู่กับทุกคนด้วยรอยยิ้ม เรื่องราวของ “จุดจบ อวสาน” ที่ไม่ได้เล่าในเทพนิยาย
ก่อนอื่น ฉันจะเริ่มต้นด้วยการถ่ายทอดความรู้สึกของฉันอย่างตรงไปตรงมา
คราวนี้จะบอกให้ชัดเจน ไปให้ไกลกว่า”ชอบ”ที่ผ่านมา
ฉันไม่กล้าบอกว่าหมายถึงอะไร ฉันรู้ว่ามีปัญหามากมาย และฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะ
แต่ ฉันรู้แล้ว ฉันรู้ว่าเบลล์ซังต้องเข้าใจ
ฉันรู้ว่าเบลล์ซังก็ต้องกำลังรู้สึกแบบเดียวกันแน่นอน
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าฉันไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้เอาไว้ได้อีกแล้ว
ตอนนี้ ขอเพียงครั้งเดียว แค่คำเดียว
……เน๊ เบลล์ หนูน่ะ
หนูอยากบอกคุณ
“――――รัก นะ”
เบลล์ซังอ้าปากค้างราวกับประหลาดใจ กินเวลาไปหลายวินาที กลืนคำต่าง ๆ หายไป
ฉันกังวลแต่ก็มีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ
เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง
“――――ดิฉันก็รักคุณเหมือนกันค่ะ อริซซามะ”
ความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอกของฉัน ความรู้สึกหวานอมเปรี้ยว ร้อนจนละลายหิมะ
……แก้มแดงก่ำมอบรอยยิ้มให้กัน นิ้วเรียวขาวบางของเบลล์ซังลูบไล้ที่แก้มของฉัน
เบลล์ซังค่อย ๆ ปีนขึ้นมาบนเตียงอย่างเงียบ ๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมสีเงินและสีดำเข้าพัวพันกัน
จากนี้ไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ่ายทอดความรักทั้งหมดของฉันให้เธอ
ในขณะที่โอบกอดโลกที่ฉันไขว่คว้ามาได้อย่างระมัดระวัง
ในที่สุด อีกนิด ริมผีปาก――――
“――――ว๊าก เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ มิแรนด้า! อย่าผลัก……..อะ”
“……ขะ ข้าไม่ได้ผลัก ฮิเมะ! เจ้าฟ้าหญิงต่างหากที่ผลัก! กรุณายกโทษให้ข้าด้วย!”
“ห๊า!? ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ เดี๋ยวเถอะ!”
“รูนไฮม์ซามะ……อิจฉาหรือเจ้าคะ”
“เงียบไปเลย!”
“ฮาๆๆๆ ……ฮัททีเรีย ถ้าเป็นแบบนี้ ดูเหมือนเจ้าไม่จำเป็นต้องมองหาลูกเขยที่ไหนแล้ว”
“ฮะ ฮั……แต่ ไม่สิ……..เจ้าคิดยังไง ลาบริกซ์”
“…….อย่ามาถามข้าสิ”
…….อ้า เดจาวู
ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว เหล่าคนสำคัญของฉันก็กำลังแอบฟังฉันอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตู
ทุกคนหัวเราะเมื่อเห็นเบลล์ซังและฉันที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดและตัวแข็งทื่อ
“ฮะ ฮะๆๆๆ…….ยังไงก็ตาม มาม พักเที่ยงของดิฉันคงจะ”
“ยังต้องถามอีกเหรอ?”
“อีกแล้วเหรออออออออ!?”
เป็นพวกเราต่างหากที่อยากพูด อีกแล้วเหรอ อุตส่าห์ จูบ……จูบปาก ……ไม่เอาสิ พอคาดหวังความคิดอย่างงั้น ก็ทำให้หน้าร้อนระอุขึ้นมาอีก ฉันหยิบคู่หูขึ้นมาทำหน้าที่สะท้อนกลับสายตาเพื่อหลบหน้าเหมือนอย่างเคย
ทิวทัศน์ตามปกติ(เดลจาวิว)
ฉันกับเบลล์ซังมองหน้ากัน แล้ว
จุดจบของความฝันอันยาวนาน
ตอนนี้ สั่นระฆังที่ประกาศการเริ่มต้นของวันใหม่
…..เน๊ กาซามะ
ฉัน ตอนนี้ มาก มาก ๆ ――――
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อริซซามะ!”
“อรุณสวัสดิ์ เบลล์!”
มีรอยยิ้ม(ความสุข)แล้ว
ผลงาน「ノブリス・オブリージュ」ก็ได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว
หลังจากนี้ จะทำส่วนที่สอง ที่เป็นภาคต่อ แต่ฉันอยากจะมีสมาธิกับงานใหม่สำหรับการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับส่วนที่สอง จะเริ่มลงเป็นตอน ๆ ทันทีที่งานทางนั้นเสร็จสิ้นไประดับหนึ่ง
ขอบคุณมากอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนของคุณ
ฉันจะทวีตเกี่ยวกับความคืบหน้าใน Twitter (@noblesse_Alice) ฯลฯ ดังนั้นหากคุณสนใจโปรดดูประกอบ
แล้วพบกันใหม่ในผลงานใหม่หรือภาคสองนะ!