[นิยายแปล] Tokidoki Bosotto Russia-go de Dereru Tonari no Alya-san - ตอนที่ 2 ฉันไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย เข้าใจมั้ย? (2)
- Home
- [นิยายแปล] Tokidoki Bosotto Russia-go de Dereru Tonari no Alya-san
- ตอนที่ 2 ฉันไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย เข้าใจมั้ย? (2)
*****กรุณาอ่านก่อนเพื่อทำความเข้าใจบทพูดตัวละครนั้นๆ*****
『…』 หมายถึงการสนทนาที่ไม่ได้พูดด้วยปากเปล่าออกมา
****************************************************************
“มาซาจิกะคุง ขอนั่งด้วยได้มั้ย?”
พอเธอพูดเช่นนั้น อาริสะที่อยู่ด้านหลังยูกิก็เริ่มขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อย แต่สายตาของทั้งสามคนรวมถึงมาซาจิกะต่างกำลังจ้องมองยูกิอยู่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าของเธอเลย
“อ่า ได้สิ พวกนายเองก็ไม่ว่าอะไรใช่ป้ะ”
“อะ…โอ้วว”
“อืม ได้นะ”
“ขอบคุณมากเลยนะ”
ยูกิกล่าวขอบคุณทั้งสามคนด้วยรอยยิ้มสวยงามของเธอ และเดินไปรอบๆ โต๊ะเพื่อที่จะได้นั่งข้างๆกับมาซาจิกะ ส่วนอาริสะเธอกลับเลือกที่จะนั่งถัดจากทาเคชิที่นั่งตรงข้ามกันกับมาซาจิกะอยู่
“อ๊ะ…กะไว้แล้วเชียว มาซาจิกะคุงก็สั่งเมนูนี้มาเหมือนกันสินะ”
ที่เธอพูดแบบนั้น นั่นก็เพราะบนถาดอาหารของยูกิก็มีชามหม่าโผราเมนแบบเดียวกันกับมาซาจิกะอยู่นั่นเอง
แต่ด้วยความที่ยูกิมีความเป็นหญิงสาวที่แท้จริงออกมากับอาหารที่แสนจะถูกและรสชาติที่ดูอร่อยนั้น มันช่างไม่เข้ากันเธอเสียจริงๆ
“แม้แต้ซุโอะซัง…ก็กินอาหารประเภทนั้นด้วยหรอครับ”
ยูกิยิ้มเล็กน้อยให้กับทาเคชิที่เผลอพูดอย่างประหม่าออกมา และหยิบยางรัดผมจากกระเป๋าของเธอมารวบผมไว้ด้านหลังศรีษะ
“นายไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นก็ได้นะ…ไม่ใช่ว่าพวกเรารู้จักกันอยู่แล้วแถมพวกเราก็อยู่ชั้นปีเดียวกันไม่ใช่หรอ”
“อะ…อื้ม ก็ใช่นะ”
“อีกอย่างฉันเองก็ชอบกินราเมนอยู่แล้วด้วย แต่ก็ไม่ได้กินที่บ้านหรอก ส่วนใหญ่จะไปกินนอกบ้านในช่วงวันหยุดอยู่บ่อยๆน่ะ”
“เหหห คาดไม่ถึงเลยแฮะ”
ยูกิที่แสดงท่าทีนางแบบอยู่นั้น กลับกลายเป็นว่าพูดคุยเป็นกันเองได้อย่างหน้าตาเฉยทำให้ทั้งทาเคชิและฮิคารุเลยรู้สึกประหลาดใจออกมา แล้วทางยูกิเองก็แอบยิ้มเล็กน้อยที่เห็นปฏิกิริยาทั้งสองคนแบบนั้นและพูดอย่างมีมารยาทว่า “จะทานแล้วนะคะ~…” พร้อมกับซดราเมนอย่างสง่างาม ส่วนมาซาจิกะที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ ก็เริ่มส่งสายตาให้กับทาเคชิเพื่อจะส่งซิกให้กัน
『นายประหม่าเกินไปแล้วนะ』
『หนวกหูน่า! แล้วอย่ามาลากฉันไปเอี่ยวกับนายด้วย』
『นายอยากรู้จักกับเธอไม่ใช่หรือไง? แล้วจะมามัวประหม่าแบบนี้ทำเพื่ออะไร』
『ขอโทษด้วยละกัน ก็ไม่คิดว่าเธอจะอยู่ไกลเกินเอื้อมขนาดนั้นนี่』
『นายยอมแพ้เร็วไปแล้วโว้ย!』
ขณะที่มาซาจิกะและทาเคชิกำลังส่งสายตาเถียงกันอยู่ ยูกิก็สูดลดหายใจเข้าลึกๆ ที่หลังจากชิมหม่าโผราเมนเป็นที่เรียบร้อย
“อร่อยดีนะเนี่ย แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะเผ็ดกว่านี้สักหน่อยนะ”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน จนอยากได้น้ำมันพริกมาเพิ่มเลยเนี่ย”
“ถึงเราจะมีเกลือกับโชยุให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีน้ำมันพริกให้เติมเนี่ยนะ บางทีพวกเราควรเอาเรื่องนี้มาพิจารณาตอนประชุมสภานักเรียนครั้งหน้าแล้วสิ”
“เฮ้ยๆ เธออย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องส่วนรวมด้วยกันสิ”
ยูกิหัวเราะคิกคักกับการโต้กลับของมาซาจิกะแล้วพูดว่า “มันก็แค่มุกเฉยๆ น่า”
ส่วนอาริสะก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ผู้ซึ่งกำลังกินอาหารอย่างเงียบๆในการพูดคุยที่ดูสนิทสนมกัน แต่ยังไงมาซาจิกะและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สังเกตเธอเหมือนเดิม
ขณะที่อาริสะกำลังย่นคิ้วของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจหลับตาและชักสีหน้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมพร้อมกับถามคำถามด้วยโทนเสียงที่แสนจะธรรมดา
“ฉันสงสัยว่าพวกเธอทั้งสองคนสนิทกันอย่างงั้นหรอ”
ยูกิหันหน้าไปตอบคำถามของอาริสะด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันน่ะ”
“เพื่อนสมัยเด็กงั้นหรอ”
“อื้ม พวกเราเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาลแล้วน่ะ แต่น่าเสียดายที่พวกเราก็ไม่เคยเรียนห้องเดียวกันเลย”
“เข้าใจละ…”
อาริสะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจราวกับว่าเธอกำลังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และคราวนี้มาซาจิกะก็ยิงคำถามกลับไปที่พวกเธอ
“แล้วพวกเธอล่ะเข้ากันได้หรือเปล่า?”
ระหว่างที่อาริสะกำลังลังเลที่จะตอบคำถามอยู่ ทว่าคนที่ตอบกลับนั้นกลับกลายเป็นยูกิพร้อมกับเอียงคอด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน
“พวกเรากำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากันอยู่น่ะ แต่ยังไงฉันเองก็อยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ อาริสะซัง”
ด้วยคำตอบที่ตรงไปตรงมาของยูกิ ดวงตาของอาริสะก็เปิดกว้างและแอบเขินอายอยู่เล็กน้อย
“…..ฉันไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องน่าสนุกอะไรที่จะมาเป็นเพื่อนกับฉันหรอกนะ”
ยูกิกระพริบตาอยู่หลายครั้งและยิ้มให้กับอาริสะที่เธอปฎิเสธแบบแปลกๆออกมาในขณะที่มองทางอื่นอยู่
“พูดอีกนัยนึงก็คือ อาริสะซังก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับฉันใช่ไหม?”
“เออ…ประมาณนั้นมั้ง?”
“งั้น มาเป็นเพื่อนกันไว้เถอะ! พวกเราเองก็อยู่สภานักเรียนแถมอยู่ชั้นปีเดียวกันด้วยนะ…อ๊ะ จริงสิ! ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ จะเป็นไรไหมถ้าฉันขอเรียกเธอว่า อาเรียซัง ด้วยน่ะ ฉันได้ยินมาว่ารุ่นพี่มาช่ากับมาซาจิกะคุงเองก็เรียกเธอแบบนั้นนะ และก็คิดว่ามันดูน่ารักดี ที่จะเรียกเธอแบบนั้นน่ะ”
“ดะ…ได้สิ คงไม่เป็นไรมั้ง”
“เย่ ดีใจจัง! ฉันจะตั้งหน้าตั้งรอที่จะร่วมมือกับเธออีกครั้งนะ อาเรียซัง…อ๊ะ! แล้วก็ช่วยเรียกฉันว่า ยูกิ ด้วยนะ”
“อื้ม…ทางนี้ก็เช่นกันนะ ยูกิซัง”
อาริสะสะดุ้งตกใจที่จู่ๆ ยูกิก็เอามือมาประสานกันพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงของเธอ
“การสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่หรอก แต่ถ้าไม่รีบกินตอนนี้ล่ะกัน ราเมนจะขึ้นอืดเอานะ”
“หวาาา! จริงด้วย!”
หลังจากมาซาจิกะกล่าวตักเตือนเธอแบบนั้น ยูกิก็รีบโซ้ยราเมนของเธอต่อ ส่วนอาริสะก็มองดูด้วยท่าทางที่งุนงง แต่พอรู้ตัวว่ามาซาจิกะกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอกลับทำหน้าบูดบึ้งออกมาทันที
“ยังไงก็เถอะ คุเซะคุง…..ปกตินายพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันให้กับยูกิซังฟังบ้างล่ะ?”
“เอ๋~? ก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ…ก็แค่พูดว่าเธอชอบโกรธอยู่ตลอดเวลาอ่ะนะ”
“อย่าพูดเหมือนฉันเป็นคนอารมณ์ร้อนง่ายสิ มันเป็นเพราะนายเองไม่ใช่หรือไงที่ทำให้ฉันเป็นแบบนั้นน่ะ”
อาริสะขมวดคิ้วขณะที่พูดอย่างตรงไปตรงมา ส่วนมาซาจิกะก็ยักไหล่ให้แล้วพูดว่า “ที่เธอพูดมันก็จริงแฮะ ฮ่าๆ” เลยทำให้ยูกิเผลอหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า
“ไม่เห็นต้องอายหรอกนะ มาซาจิกะคุง”
“หืม?”
“นี่ อาเรียซัง…มาซาจิกะคุงน่ะชอบบอกทุกครั้งเลยว่า เขานับถืออาเรียซังที่ทำงานหนักอยู่ตลอดนะ”
“เอ๊ะ….?”
“หาาา! ใครบอกกันเล่าว่า ฉันนับถืออาเรียน่ะ”
“แต่ว่ามาซาจิกะคุงเองก็นับถือคนประเภทที่ทำงานหนักอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ใช่หรอ?”
“……….”
มาซาจิกะหลบสายตาทันทีเมื่อโดนยูกิมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นมาซาจิกะก็ส่งสายตาอ้อนวอนไปทางทาเคชิที่อยู่ข้างหน้าเขา 『ช่วยพูดอะไรสักอย่างบ้างสิ』 แต่ทว่าทั้งทาเคชิและฮิคารุกลับมองหน้าและพยักหน้าให้กันเบาๆ พร้อมกับจับถาดอาหารในมือ
“คือว่าพวกเรากินกันเสร็จแล้วน่ะ”
“พวกเราขอตัวก่อนนะ”
กลายเป็นว่าทั้งสองคนกลับทรยศเขาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำให้มาซาจิกะจึงส่งสายตาทักท้วงพวกเขาโดยทันที
『เฮ้ยยยย!!』
『ก็นะ มันเปล่งประกายเกินไป และก็มากเกินไปสำหรับฉันน่ะ』
『ฉันก็ไม่ค่อยถูกกับผู้หญิงอ่ะ』
การทักท้วงของมาซาจิกะนั้นกลับไม่ได้ผลเสียแล้ว ทั้งสองคนเลยละสายตาอย่างรวดเร็วและรีบเดินออกไปจากโรงอาหารทันที แต่ทว่ามาซาจิกะที่กำลังส่งสายตาประณีประนามพวกเขาอยู่นั้น ก็ได้ยินคำพูดภาษารัสเซียเข้ามาในหูของเขาจากทางอาริสะ
【ชิ…อะไรกันล่ะนั้น】
มาซาจิกะหันกลับมามองก็เห็นอาริสะที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ที่แม้ว่าจะมีสีหน้าที่ดูมีความสุขและแอบอธิบายไม่ได้บนใบหน้าก็ตาม อาริสะเลยเหลือบมองมาซาจิกะและเห็นเขาหันหน้ากลับมามองเธอเหมือนกัน เธอจึงรีบก้มหน้าก้มตามองมือของเธอแล้วกินอาหารด้วยความเงียบ
มาซาจิกะที่โซ้ยราเมนจนหยดสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการเขาจึงจับจ้องมองร่างอาริสะอีกครั้ง และอาริสะเองก็เหลือบมองเขาด้วยเช่นกัน พร้อมกับสายตามองบนและพึมพำออกมาเป็นภาษารัสเซียเช่นเดิม
【อย่ามามองตรงนี้สิ ตาบ้า】
อาริสะกลับไปก้มหน้าก้มตามากขึ้นเรื่อยๆ และหมกมุ่นกับการกินอาหารของเธอ ทำให้ทางมาซาจิกะเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
(อืม…เธอกำลังอายที่ยูกิพูดว่า ‘ฉันนับถือเธอ’ อยู่สินะ…..ฮึๆ เข้าใจละ)
ยังไงก็ตาม มาซาจิกะก็ไม่ได้หยุดมองเธอ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เข้าใจภาษารัสเซียหรือว่าเขาไม่ได้รู้สึกตัว แต่มันเป็นเพราะเขาเองตั้งใจที่จะเผชิญกับความตายโดยพูดว่า “เอ๊ะ? เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?”
ทว่ายูกิที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้ว่าเธอเองก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ดูแปลกไปนั้น ก็เริ่มพูดกับมาซาจิกะว่า
“ยังไงก็เถอะ….มาซาจิกะคุง ช่วยพิจารณาเรื่องการเข้าร่วมเป็นสภานักเรียนหน่อยจะได้รึเปล่า”
จากคำพูดของยูกิ มาซาจิกะก็แสดงสีหน้าที่เบื่อหน่ายออกมาและพูดว่า “เฮ้อ…อีกแล้วเหรอ” ทำให้ตะเกียบของอาริสะหยุดขยับด้วยเช่นกัน
“ฉันบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าฉันไม่มีเจตนาที่จะเข้าร่วมเป็นสภานักเรียนด้วย และอีกอย่างเธอเองก็บอกอยู่หนิ ว่ามีสมาชิกมาใหม่เมื่อวันก่อนไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่ไง….แต่ก็ตามที่คิดไว้ว่าอยู่ได้ไม่นานหรอกน่ะ”
สภานักเรียนชุดใหม่นี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้ หรือราวๆประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
โดยโรงเรียนแห่งนี้ สภานักเรียนจะค่อนข้างมีความพิเศษอยู่เล็กน้อย โดยมีประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนจะสมัครลงเลือกตั้งกันมาเป็นคู่ๆ ส่วนตำแหน่งที่เหลือจะได้รับการแต่งตั้งผ่านทางประธานและรองประธาน
ด้วยเหตุนี้ จำนวนสมาชิกสภานักเรียนจึงเปลี่ยนแปลงไปทุกๆปี แต่ ณ ปัจจุบันตอนนี้ยังมีแค่ ประธานนักเรียน, รองประธานนักเรียน, เลขานุการ มารีญะ, ฝ่ายบัญชี อาริสะ, และฝ่ายประชาสัมพันธ์ ยูกิ มีเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น และขณะนี้ก็ยังไม่มีใครรับผิดชอบฝ่ายธุรการอยู่เลย
“เธอก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่าพวกผู้ชายจะเอาแต่หมกมุ่นเรื่องรักๆใคร่ๆ และมัวไม่ทำงานทำการน่ะ แล้วตอนนี้ก็มีผู้หญิงสามคนมาช่วยงานอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?….อย่าบอกนะว่าพวกเธอพากันลาออกหมดแล้ว”
“ใช่ ลาออกกันหมดแล้ว…..พวกนั้นบอกว่า พวกเราไม่มีความสามารถมากพอ น่ะ”
“อ่าาา…..”
คำพูดของยูกิทำให้มาซาจิกะเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบันเหล่าผู้หญิงในสภานักเรียนนี้มีความสามารถในหลายๆ ด้านเป็นอย่างมาก เช่นรองประธานนักเรียนกับมารีญะที่เป็นสาวสวยที่สุดของชั้นปีที่สอง และอาริสะกับยูกิเองก็เป็นสองสาวที่สวยที่สุดในชั้นปีที่หนึ่งเหมือนกัน
แม้ว่าพวกเธอเหล่านั้นจะเพศเดียวกันก็ตามแต่ก็ยังรู้สึกประหม่าด้วยกันเอง แต่ยังไงอาริสะก็มีความสามารถมากที่สุดของชั้นปีที่หนึ่ง และยูกิเองก็เคยเป็นอดีตประธานนักเรียนสมัยตอนมัธยมต้นด้วย
ถ้าหากยังคงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านรูปลักษณ์และการทำงานที่ต่อเนื่องแบบนั้น ก็ไม่แปลกเลยที่ภายในใจของพวกเธอสามคนจะต่างพากันลาออกจากสภานักเรียนกันหมด
และต้องบอกเลยว่า พวกผู้ชายที่มีแรงจูงใจเพื่อที่จะใกล้ชิดกับสาวสวยในสภานักเรียนนั้น ก็ต้องต่างพากันอกหักกับความสามารถของพวกเธอด้วยเช่นกัน
“มาซาจิกะคุงก็ไม่น่าจะติดปัญหาอะไรกับการทำงานหรอกนะ แถมก็ยังเข้าได้ดีกับฉันและก็อาเรียซังด้วย…..ยังไงซะ นายเองก็เคยเป็นอดีตรองประธานนักเรียนนี่น่า”
“เอ๊ะ!?….”
คำพูดของยูกิทำให้อาริสะรู้สึกแปลกใจแล้วเบิกตาโตออกมา ส่วนมาซาจิกะที่กำลังโดนเธอจ้องมองแบบนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมกับชักสีหน้าไม่พอใจ
“นายเคยอยู่ในสภานักเรียนด้วยเหรอ คุเซะคุง?”
“ใช่แล้ว อาเรียซังไม่รู้เหรอ? เมื่อสองปีก่อน ตอนสภานักเรียนในช่วงมัธยมต้น ฉันเป็นประธานนักเรียน ส่วนมาซาจิกะเองก็เป็นรองประธานนักเรียนน่ะ”
“อย่างงั้นหรอกเหรอ…..”
“เรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้วล่ะนะ ยังไงฉันก็ไม่อยากที่จะทำอยู่ดี”
ยูกิแอบยิ้มเล็กน้อยที่เหมือนจะมีปัญหากับมาซาจิกะ ผู้ซึ่งโบกมือไปมาด้วยท่าทางราวกับปฎิเสธอยู่
จากนั้นเธอจึงหันหน้าไปทางอาริสะที่กำลังจ้องมองมาซาจิกะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“อาเรียซังอาจจะรู้สึกแปลกใจนะ ถึงมาซาจิกะคุงจะเป็นแบบนี้ แต่เขาเองก็เป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องต่างๆนะ เขาจะให้ความรู้สึกแบบนั้นอ่ะนะ”
“เฮ้ย ยูกิ…..มันหมายความว่ายังไงที่ ‘ความรู้สึกแบบนั้น’ น่ะ”
“ฟู่ฟูววว ใครจะไปรู้ล่ะ? มันจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกันน้าาา….สงสัยจัง”
การที่ยูกิพูดแบบนั้น อาริสะจึงเริ่มทำหน้าบูดบึ้งและไม่พอใจที่ทั้งสองคนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างสนิทสนมพร้อมกับหันหน้าให้กัน
【ฉันเองก็รู้เรื่องแบบนี้มากเหมือนกันนะ】
ทว่าคำที่เธอพึมพำเป็นภาษารัสเซียออกมา ทั้งสองคนกลับไม่ได้ยินซะงั้น
◇
“งั้น…เดิ๋ยวฉันขอไปห้องสภานักเรียนแปปนึงนะ”
“อย่างงั้นเหรอ งั้นไว้เจอกันใหม่หลังเลิกเรียนนะ ยูกิซัง”
“อื้ม ไว้เจอกันนะ อาเรียซัง”
“เจอกัน……”
“อ้ะ มาซาจิกะคุง ช่วยกลับไปคิดเรื่องการเข้าเป็นสภานักเรียนด้วยนะ ตกลงนะ?”
“ฉันบอกไปแล้วไง ว่าไม่อยากเข้าน่ะ”
“ฟู่ฟูววว”
“เฮ้อ แล้วนั่นมันหน้าอะไรของเธออย่างกับเหมือนจะเข้าใจอยู่แล้วน่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
หลังจากออกมานอกโรงอาหารได้ไม่นาน ยูกิจึงโค้งคำนับอย่างสง่างามพร้อมกับอำลาทั้งสองคนแล้วเดินแยกจากทั้งคู่ไป ส่วนมาซาจิกะก็โบกมือทิ้งท้ายเธออย่างช้าๆ
แล้วตอนนี้ก็เหลือกันอยู่แค่สองคน ทำให้อาริสะตั้งคำถามด้วยเสียงที่เย็นชามากกว่าเดิม 20%
“พวกเธอทั้งสองคนดูสนิทกันดีนะ”
“มันน่าแปลกใจหรือไง?”
“ใช่ ฉันแปลกใจที่นายเองก็มีเพื่อนผู้หญิงด้วย”
มาซาจิกะขมวดคิ้วที่อาริสะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแบบนั้นออกมา
“หาาา? เธอแปลกใจเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?”
“อะไรล่ะ?”
“ก็ ฉันหมายถึง…..”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หน้าอาเรีย ที่ดูเหมือนเขาพูดราวกับว่า ‘เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรเนี่ย?’
“เธอไงที่เป็นเพื่อนผู้หญิงของฉันน่ะ”
“……..”
จากคำถามที่ดูไร้แก่นสารนั้น อาริสะจึงกระพริบตาอย่างช้าๆ พร้อมกับใบหน้าที่นิ่งเฉยแล้วเอียงคอด้วยความสงสัย
“พวกเรา….เป็นเพื่อนกันด้วยเหรอ?”
“เอ๊ะ? ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
“…………”
พอเธอถามคำถามด้วยสายตาที่ประหลาดใจอย่างสุดซั่ง อาริสะจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันหน้าหนีให้กลับมาซาจิกะ และเธอก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยของเธอออกมาราวกับว่าเธอนั้นเหมือนจะถืออะไรสักอย่างซ่อนไว้ภายในใจของเธอ
“ใช่ พวกเราเป็นเพื่อนกันสินะ….”
หลังจากพูดแบบนั้นออกไป เธอจึงเดินมุ่งหน้าไปทางที่ยูกิได้จากไป
“เฮ้~! เธอจะไปไหนน่ะ~?”
“ฉันลืมไปว่ามีธุระต้องทำที่ห้องสภานักเรียนน่ะ….แล้วไม่ต้องตามมาด้วยล่ะ”
อาริสะแสดงท่าทางปฎิเสธอย่างชัดเจนแล้วก็เดินหนีจากไปโดยไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย
“อะไรกันวะเนี่ย…..เออ จริงสิ ต้องไปจัดการพวกบ้าที่แอบหนีไปก่อนสินะ”
มาซาจิกะที่โดนเพื่อนทิ้งไว้ข้างหลัง ก็พึมพำบางอย่างที่เป็นลางไม่ดีออกมา แล้วเดินกลับไปที่ห้องเรียนด้วยตัวเขาคนเดียว
และแล้วในวันเดียวกันช่วงตอนบ่าย ก็มีข่าวลือในหมู่นักเรียนบางกลุ่มกัน ว่าเจ้าหญิงอาเรียกำลังฮัมเพลงตอนกำลังเดินบนทางเดินไปด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม ก็น่าเสียดายที่ข่าวลือนั้นไม่ได้ถือหูของมาซาจิกะเลย
——————————————————————-
สวัสดีครับ Launchmind เช่นเคยครับ คือผมลองอ่านบทนี้ตั้งหลายครั้งแล้วรู้สึกว่าตัวเองแปลได้แห้งมากเลยว่ะ 5555 โอเค มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า บทนี้ดูมีกลิ่นอาความเป็น ‘คางุยะ-ซามะ’ พอสมควรหรือผมคิดจะไปเองกันแน่เนี่ย แล้วบทที่ 3 ขอบอกเลยว่าสนุกแน่นอนครับน่าจะเป็นบทที่ผมอ่านแล้วยิ้มไปด้วยตลอดเลยจากที่อ่านมานะ ขอบคุณครับ
สามารถติดตามการอัปเดตได้ทางเพจ : Launchmind & Elaina
https://www.facebook.com/LaunchmindElaina