[นิยายแปล] Tokidoki Bosotto Russia-go de Dereru Tonari no Alya-san - ตอนที่ 1 มันน่าผิดหวังขนาดนั้นเลยหรือไงที่นายพลาดกาชาฟรีน่ะ? (2)
- Home
- [นิยายแปล] Tokidoki Bosotto Russia-go de Dereru Tonari no Alya-san
- ตอนที่ 1 มันน่าผิดหวังขนาดนั้นเลยหรือไงที่นายพลาดกาชาฟรีน่ะ? (2)
(เวรเอ้ยยยย! ลืมเปิดกาชาฟรีตอนเช้า!!)
โดยปกติแล้วมาซาจิกะมักจะสุ่มกาชาก่อนออกจากบ้านทุกเช้า แต่วันนี้เขาดันมัวแต่หลับจนลืมไปซะสนิททำให้เจ้าตัวได้แต่รู้สึกเจ็บใจที่ลืมคิดเรื่องนั้นไป
(เกือบไปแล้ววว เดิ๋ยวค่อยกดตอนหมดคาบละกัน)
มาซาจิกะในตอนนี้ได้กลายเป็นโอตาคุไปเป็นที่เรียบร้อยและไม่สนใจอาริสะที่กำลังปฏิบัติต่อเขาในฐานะเด็กอีกต่อไป ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่ความคิดที่เรียบเฉยของเขานั้นจะถูกเรียกว่าเด็กเช่นกัน แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้ก็ตาม
พอหมดคาบ อาจารย์ก็เดินออกไปนอกห้องเรียนทันที มาซาจิกะเลยรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดเกมอย่างรวดเร็วพร้อมกับย้ายโต๊ะเรียนของตัวเองกลับไปที่เดิม
อาริสะที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มขมวดคิ้วและกล่าวตักเตือนเขาในทันที
“การที่นายใช้โทรศัพท์นอกเหนือจากการใช้เพื่อเหตุฉุกเฉินหรือเพื่อการเรียนมันผิดกฎของโรงเรียนนะ ถึงนายจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วแต่ก็ยังจะหน้าด้านใช้มันเล่นเกมต่อหน้าสมาชิกสภานักเรียนเนี่ยนะ”
“แต่ถ้ามันเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ ก็ไม่ผิดกฎใช่ไหมล่ะ?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะรอฟังละกัน แล้วเหตุฉุกเฉินนั่นคืออะไรล่ะ?”
มาซาจิกะโต้เถียงด้วยสีหน้าไร้แก่นสารเช่นเคยกับอาริสะ ผู้ที่กำลังจ้องมองภายใต้ดวงตาที่เหยียดหยาม
“สุ่มกาชาฟรียังไงล่ะ เหลือเวลาอีกสิบนาทีเนี่ย”
“นายอยากให้ฉันยึดโทรศัพท์ของนายหรือไง?”
“ฉันเชื่อว่าเธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอกน่าาา”
“บางทีฉันคงต้องยึดโทรศัพท์นายสักครั้งแล้วสินะ”
อาริสะที่กำลังสังเกตอยู่นั้น เห็นตัวละครกำลังกระพริบตาพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ อย่างไรก็ตามมาซาจิกะไม่ได้สนใจเป็นพิเศษและเริ่มพูดขณะจ้องมองโทรศัพท์ไปด้วย
“ตอนนี้แหละ ถ้ามีตัวแรร์โพล่ออกมาสักตัวก็คงจะดีสิ…เพื่งรู้ตัวนะเนี่ยว่าเราไม่ได้ตัวละครที่กระพริบตาหรืออะไรทำนองนั้นมาสักพักหนึ่งแล้ว กาชานี้มันโอกาสสุ่มได้ยากจริงแฮะ…หือ? กระพริบตางั้นเหรอ”
“ที่นายพูดมาหมายถึงอะไร?”
“ฉันหมายถึง บางครั้งเวลาที่ไอดอลจะทำท่าแบบนั้นอ่ะ มีแค่ไม่กี่คนที่จะสามารถกระพริบตาได้อย่างสวยงามอ่ะนะ”
“นายคิดแบบนั้นหรือไง”
“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่ามันยากหรอ? การที่จะทำให้แก้มกับมุมปากกระตุกแบบแปลกๆ มันจะทำให้รู้สึกเหมือนกับ ‘อืมมม’ มากกว่า ‘อื้มมม’ นะ”
“ก็ไม่หนิ”
“เหหห? งั้นเธอลองแสดงให้ดูหน่อยได้มั้ยว่าการกระพริบตาสวยๆ น่ะมันเป็นยังไง”
อาริสะเริ่มขมวดคิ้ว ที่มาซาจิกะแสดงรอยยิ้มที่ท้าทายขณะเงยหน้าขึ้นมา และนักเรียนโดยรอบที่ได้ยินบทสนทนา ก็เริ่มสั่นเทาเล็กน้อย
อาริสะทำหน้าผิดหวังและถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่รู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังจ้องมองเธออยู่
“เฮ้อ…ดูซะสิ แบบนี้ใช่มั้ยล่ะ?”
หลังจากนั้นเธอก็เอียงหัวพร้อมกับกระพริบตาอย่างสมบูรณ์แบบ
ดวงตาของเธอปิดลงได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไมได้ฝืนใช้แรงส่วนอื่นๆ ของใบหน้า
ทำให้เป็นฉากกระพริบตาที่ล้ำค่าของเจ้าหญิงสันโดษ และบริเวณรอบข้างต่างส่งเสียงเชียร์ดัง “โอ้วววว!!” พร้อมกับเสียงปรบมือเบาๆ
แต่ทว่ามาซาจิกะที่เป็นคนเรียกร้องเธอนั้น…
“เยส! SSR สุคุโยมิ ก็ได้มาแล้วโว้ยยยยยยย!!….ฮะ โทษที พอดีเมื่อกี้ไม่ทันได้มองน่ะ”
“เอาโทรศัพท์มานี่!”
“ม่ายยยยยยย!!”
มาซาจิกะกรีดร้องที่โดนยึดโทรศัพท์ ส่วนทางอาริสะก็มองลงมาที่เขาขณะยืนอยู่อย่างไร้ปราณี
ถึงเธอจะโกรธหรืออายอยู่ แต่ใบหน้าของเธอกลับแดงเล็กน้อย
และทันใดนั้น อาริสะก็ได้ยินเสียงนักเรียนชายสามคนแอบคุยซุบซิบกัน
“(เฮ้ยๆ ถ่ายได้เปล่า?)”
“(ไม่ได้แฮะ คือมุมนี้มันค่อนข้าง…)”
“(นี่ ดูของฉันซะก่อน ฉันถ่ายได้ตอนกระพริบตาพอดีเป๊ะ)”
“(โอ้ววว! จริงจัง นายโคตรเก่งเลยว่ะ)”
“(ส่งรูปนั่นมาให้ฉันด้วย เดิ๋ยวให้ไปเลยพันเยน)”
“พวกนายก็เอาโทรศัพท์มานี่ด้วย!”
“““คุโจวซังงงงงงงง”””
เด็กหนุ่มทั้งสามคนกรีดร้องพร้อมกันเมื่อโดนยึดโทรศัพท์ที่แอบถ่ายรูปอาริสะออกไป
“เดิ๋ยวสิคุโจวซัง พวกเราไม่ได้…..”
“ไม่ได้ทำไรอย่างงั้นหรอ?”
“ปะ…เปล่า ไม่มีอะไรครับ…”
ทั้งสามคนพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่ทำลงไป แต่ก็หันกลับมามองอาริสะที่จ้องมองพวกเขาอยู่
อย่างไรก็ตาม ร่างของอาริสะที่เชิดคางขึ้นและจ้องมองลงมาที่พวกเขานั้นทรงพลังเป็นอย่างมากแม้แต่ชายที่ร่างสูงใหญ่ก็ยังสะดุ้งออกมา
ทั้งความเย็นชาและสายตาที่จ้องมองของเธอราวกับว่าอยู่ในขั้วโลกเหนือ
ด้วยพลังพายุที่พัดมาจากข้างหลังของเธอ ทำให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่ตื่นเต้นจากการกระพริบตาของอาริสะต่างหันหน้าหนีอย่างรวดเร็วและกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบมาถึงตัวเอง
อาริสะกลับมานั่งที่ของตัวเองพร้อมกับโทรศัพท์สี่เครื่องในมือราวกับกำลังเดินผ่านทุ่งหิมะที่ไม่มีคนอยู่ในระแวกนั้น
เพื่อนร่วมชั้นต่างก้มหน้าลงเพื่อรอพายุหิมะนั้นผ่านไป แต่ทว่ามีนักเรียนคนนึงที่ไม่เกรงกลัวความหนาวเหน็บนั้น
“ช่วยยกโทษให้ผมด้วยเถอะครับ~ เมตตาผมที~”
มาซาจิกะทิ้งตัวลงไปที่เท้าของอาริสะขณะที่เธอกลับมาที่นั่ง พร้อมกับพนมมืออ้อนวอนอย่างน่าสมเพช ทำให้สายตารอบข้างต่างมองเป็นคนงี่เง่าคนนึง
“ฉันก็ช่วยไม่ได้นะ ถึงนายจะได้ระดับ SSR มาจากกาชาฟรี แต่ฉันขอดูก่อนละกัน”
มาซาจิกะพยายามปกป้องตัวละคร SSR ของเขา ทำให้ทุกคนต่างจ้องมองเขาและพูดว่า “ไอ้หมอนี่ เอาจริงดิ?!” แต่ยังไงอาริสะยังคงแสดงความหนาวเหน็บของเธอออกมาและจ้องมองลงไปที่โทรศัพท์ของมาซาจิกะ
“…SSR สึคุโยมิ? เธอเป็นเทพแห่งดวงจันทร์ไม่ใช่หรอ? ทำไมผมของเธอถึงไม่สีดำแต่เป็นสีเงินแทนล่ะ?”
“เออ…ใครจะไปรู้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะอ้างอิงมาจากดวงจันทร์อะไรแบบนั้นหรอกเหรอ? แต่ยังไงเธอก็ยังน่ารักอยู่ดี ไม่ต้องไปสนเรื่องยิบยับหรอกน่า”
“…ฟูววว”
มาซาจิกะยิ้มหวานให้อาริสะที่หลับตาลงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน อุณหภูมิรอบตัวของอาริสะอย่างกับอยู่ในขั้วโลกเหนือ ทำให้มาซาจิกะพึมพำภายในความคิดของเขาว่า “เอ๊ะ? ทำไม?” พร้อมกับรอยยิ้มที่กระตุก
“ก่อนอื่น ฉันจะปิดเครื่องและเก็บไว้จนกว่าจะเลิกเรียนละกัน”
“เดิ๋ยวก่อน! ถ้าเธอปิดไปแบบนั้นเกมมันจะไม่เซฟให้ก็ได้นะ”
มาซาจิกะเริ่มกระวนกระวายเมื่ออาริสะพยายามจะปิดเครื่องอย่างไร้ปราณี
“เธอกำลังโกรธฉันอยู่ใช่มั้ยล่ะ? แต่สึคุโยมิไม่ผิดนะ! ฉันไม่สนหรอกนะว่าจะเกิดขึ้นอะไรขึ้นกับฉัน เพราะงั้นช่วยปล่อยเธอไปเถอะ”
“แล้วทำไมฉันถึงได้ดูเหมือนคนร้ายอย่างนั้นล่ะ!”
มาซาจิกะรู้สึกสิ้นหวังอย่างกับว่าคนรักของเขาถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ และพยายามขอร้องให้ปล่อยเธอออกไป
อาริสะมองลงมาที่เขา พร้อมกับถอนหายใจและยื่นโทรศัพท์คืนให้
“ขอบคุณ ขอบคุณ!!”
“…เฮ้อออ”
ขณะที่มาซาจิกะยกมือไหว้ขอบคุณ อาริสะก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งโดยไม่เก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้พร้อมกับคืนโทรศัพท์ที่เหลือให้กับสามคนด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เธอแน่ใจว่ารูปที่เธอโดนแอบถ่ายนั้นลบไปแล้ว เธอก็กลับมานั่งที่โต๊ะของเธอตามปกติ
“อูวะะะ~ เป็นท่านสึคุโยมิจริงๆ ด้วย คิดว่าจะไม่ได้เธอแล้วซะอีก”
“……..”
อาริสะหันไปม้วนผมของเธอและแอบเหลือบมองมาซาจิกะที่ใจจดใจจ่อกับโทรศัพท์ด้วยแววตาแวววาว ทำให้เธอเม้มปากพูดภาษารัสเซียออกมา
【ฉันเองก็ผมสีเงินเหมือนกันนะ】
มาซาจิกะตัวชะงักที่ได้ยินคำพูดของอาริสะแบบนั้นออกมา
“…เธอพูดว่าอะไรนะ?”
มาซาจิกะเงยหน้าด้วยใบหน้าที่กระตุก ส่วนอาริสะนั้นเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับหยุดเล่นผมของเธอ
“ฉันแค่พูดว่า ‘เด็กติดเกม’”
“เฮ้ พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“กะ…ก็ฉัน”
อาริสะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมาซาจิกะขึ้นเสียงด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว แต่เธอกูพูดทันทีว่า “ก็ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดหนิ” พร้อมกับจ้องมองเขาอย่างรุนแรง ทำให้สายตาภายในห้องเรียนกลับมาจ้องมองอีกครั้งด้วยความตึงเครียด ส่วนมาซาจิกะเริ่มแสดงสีหน้าอย่างจริงจัง
“เธอไม่คิดว่ามันหยาบคายหรือไงกับเด็กติดเกมที่เสียตังไปกับมัน แล้วมาเรียกฉันว่าเด็กติดเกมที่ไม่เสียอะไรเลยเนี่ยนะ”
“แน่นอน ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นคนประเภทเดียวกับนายอยู่แล้ว”
“อึกกก!?”
มาซาจิกะที่พูดแบบนั้นออกไป ทำให้อาริสะจึงจ้องมองเขาเหมือนกับเศษขยะชิ้นหนึ่ง ราวกับว่าทะลุร่างกายของเขา จนทำให้มาซาจิกะจับหน้าอกของตัวเอง
อาริสะทนไม่ไหวกับการแสดงท่าทางแบบนั้นของมาซาจิกะ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“แปลกนะ…ที่นายดูจริงจังผิดปกติ จนฉันสงสัยเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย”
“ไร้สาระน่า ฉันน่ะจริงจังอยู่ตลอดเวลานั่นแหละรู้มั้ย? แต่ฉันก็ไม่ได้พูดเกินจริงหรอกนะว่าความจริงจังคือข้อดีของฉัน”
“นั่นแหละที่นายพูดเกินจริงในรอบศตวรรษน่ะ”
“แต่มันก็ยังเหลืออีก 80% ในรอบศตวรรษหนิ*”
“เฮ้อ…พอได้แล้วเตรียมเก็บโทรศัพท์ของนายด้วย”
*(TL NOTE : เผื่อใครไม่เข้าใจมุกนะครับ คือว่าปัจจุบันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 21 หรือก็คือ ปี ค.ศ.2021 แล้วยังเหลืออีก 80 ปีก่อนจะขึ้นศตวรรษใหม่ครับ)*
อาริสะยักใหล่และวางมือบนคางพร้อมกับสีหน้าที่เหนี่อยใจ
เมื่อมาซาจิกะมองดูเธอทำท่าแบบนั้นเลยพูดว่า “มีอะไรน่าตลกหรือไง” และขณะที่เก็บกำลังเก็บโทรศัพท์อยู่…ทันใดนั้นเขาหยุดอยู่กับที่เมื่อได้ยินภาษารัสเซียออกมา
【ถ้าหากนายจริงจังกว่านี้ล่ะก็ คงจะเท่ห์ไปแล้วแท้ๆ】
มาซาจิกะรู้สึกเสียวสันหลังที่ได้ยินเธอพึมพำแบบนั้น และหันไปทางอาริสะที่พึมพำออกมา
“เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันพูดว่า ‘ฉันรู้สึกหมดหวัง’ น่ะ”
“อ่า…อย่างงั้นหรอ”
“ใช่แล้ว”
มาซาจิกะตะโกนภายในใจว่า (โกหกอีกแล้วสินะ!!) ส่วนอาริสะนั้น
“เฮ้ย…งี่เง่าชะมัด”
เมื่อเข้าใจสิ่งที่เธอคิดอยู่จริงๆ ทำให้ใบหน้าของมาซาจิกะกระตุกออกมา
(ทั้งหมดที่เธอพูดออกมาฉันเข้าใจหมดเลยนะเว้ยยย!!)
มันจะรู้สึกสดชื่นขนาดนั้นกัน ถ้าเจ้าตัวตะโกนลั่นแบบนั้นออกไป แต่ตัวเขาเองที่จะเป็นคนพ่ายแพ้ ถ้าเปิดเผยความลับนั้นออกมา
(เฮ้อ…บ้าบอสิ้นดี)
มาซาจิกะรู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยมันได้แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดกับมัน ทำให้เจ้าตัวกัดฟันที่อยากจะเปิดเผยความลับที่เธอเป็นสาวซึนเดเระ ทันใดนั้น จู่ๆ ประตูหน้าห้องเรียนก็ถูกเปิดออก
“อรุณสวัสดิ์นักเรียน~ วันนี้อาจารย์ขออนุญาตสอนก่อนละกันนะ…ฮึ คุเซะหยิบโทรศัพท์ออกมาทำไม?”
“เอ่อ…”
เมื่อถูกอาจารย์ชี้มาแบบนั้น ทำให้มาซาจิกะตระหนักได้ว่าเขายังคงถือโทรศัพท์อยู่
“คือว่า กำลังหาข้อมูลเรื่องงานอยู่น่ะครับ”
“จริงรึเปล่า คุโจว?”
“เปล่าค่ะ คุเซะคุงกำลังเล่นเกมโทรศัพท์อยู่ค่ะ”
“เฮ้ย!?”
“คิดไว้แล้วเชียว คุเซะมานี่เลย! อาจารย์ขอยึดไว้ก่อนละกัน”
“ม่ายยยย…แล้วมันหมายความว่ายังไง ที่อาจารย์คิดไว้แล้วเชียวน่ะ”
มาซาจิกะพยายามเถียงอาจารย์ขณะที่เขาเดินไปหน้าห้องอย่างไม่เต็มใจ ส่วนอาริสะก็ยักไหล่ขณะที่กำลังมองดูแผ่นหลังของเขา
“เฮ้อ…นายนี่มันบ้าชะมัดเลยนะ”
อาริสะพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังและริมฝีปากของเธอกำลังแอบยิ้มอยู่เล็กน้อยโดยไม่ให้มาซาจิกะรู้ตัว
“จะ…เจ้าหญิงอาเรียกำลังยิ้มอยู่อย่างนั้นเรอะ!?”
“โอ้ว! นี่มันโอกาสถ่ายรูปเก็บไว้ชัดๆ”
“ถ่ายไว้ๆ! โธ่เว้ย! กล้องเปิดไม่ติด”
“อาจารย์คะ มีเพื่อนกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่คะ”
“““ม่ายยยยยย”””
…ยกเว้นเจ้าบ้าสามตัวนี้อ่ะนะ
——————————————————————-
สวัสดีครับ Launchmind ครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ลงบทนี้ช้ามากเลย เนื่องจากว่ามีการปรับแผนใหม่หมด และ ทาง Elaina เองก็ติดธุระครับเลยมาช่วยแปลไม่ได้ครับ โดยตอนนี้มีแพลนว่าจะลงทุกๆ สัปดาห์ทำให้ทันครับ ส่วนบทต่อไปนั้นขอแอบสปอยนิดหน่อยละกัน ‘บทต่อไปจะมีตัวละครเพิ่มมาอีกตัวนึงที่ค่อนข้างสำคัญพอสมควรทำให้เนื้อเรื่องสนุกมากกว่านี้ครับ’ สุดท้ายช่วยกันฝากติดตามเพจ Launchmind & Elaina ด้วยนะครับ เดิ๋ยวแปะลิ้งไว้ด้างล่างเลย ขอบคุณครับ
สามารถติดตามการอัปเดตได้ทางเพจ : Launchmind & Elaina
https://www.facebook.com/LaunchmindElaina