[นิยายแปล] Tanin wo Yosetsukenai Buaisouna Joshi ni Sekkyou shitara, Mechakucha Natsukareta - ตอนที่ 10: กลยุทธ์
บทที่ 2 – แรงกระตุ้น
ตอนที่ 10 – กลยุทธ์
ราวกับว่าหูของผมวิ้งไปโดยปริยาย
ไม่ได้ยินเสียง โลกช่างเงียบสงัด รู้สึกหายใจติดขัด พอมองฝ่ามือตัวเองก็เห็นว่านั่นไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ก่อน
ความรู้สึกที่กำปั้นเข้าหน้าคน ความรู้สึกของการกระแทกเข่าเข้าหน้าท้องคู่ต่อสู้เมื่อถีบออกไป และความรู้สึกขาดสติของชัยชนะที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้
นี่แหละ นี่คือสิ่งที่ผมเคยรู้สึก
ใจผมเต้นแรง เหงื่อซกเต็มหน้าทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกเร่าร้อน รู้สึกเหมือนความร้อนถูกดูดซับเข้าร่างกาย
อยากกลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นไหม?
ผมถามตัวเอง เมื่อมองลงไปที่นักเลงที่หมอบอยู่ ผมก็ตกใจกับสิ่งที่วกวนอยู่ในหัว เป็นเพราะหัวใจของผมมันรู้สึกไม่เร้าใจเลย คิดน้อยคิดใหญ่ว่ารู้สึกดีไหม
ซึ่งความคิดนั้นกลับมาที่ตัวของผมเอง
ผมต้องออกไปจากที่นี่
ตั้งต้นใหม่ ผมก้าวถอยหลัง เอาไหล่ถูกับกำแพง เศษหินกระแทกข้อเท้าผม กลิ่นที่ล่องลอยออกจากท่อน้ำเข้าโพรงจมูก มองไปรอบๆ เพื่อเช็คว่าไม่มีใครแอบดูเรา
ที่นี่มีแค่ผมกับเจ้านักเลงที่ซุกอยู่ตรงนั้น
นั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ ตำรวจน่าจะมาในไม่ช้า ผมต้องรีบออกจากที่นี่ไปก่อนตำรวจจะมาถึง
ผมเดินไปอีกทางที่พวกไซโตะกับพวกที่เหลือหนีออกไป ผมเดินออกจากตรอก ผ่านถนนเล็กๆ และกลับมายังเส้นถนนหลัก
มีใยแมงมุมติดตาผม ผมปัดออกและหันหน้าหนีขณะเดินเร็วขึ้น
ผมจำตัวเองคนเก่าไม่ได้และลืมไปแล้ว พอมีคนเข้ามาขวางหน้า สัญชาตญาณของผมก็ครอบงำจนต้องเอาชนะให้ได้
ผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่ขึ้นชกอีก แต่ร่างกายมันกลับขยับเองเสียแล้ว
หลังมาถึงบ้าน ผมเห็นข้อความจำนวนมากจากโทรศัพท์ ทั้งไซโตะและชินโดถามหาผมตลอดว่าหายไปไหน เกิดอะไรขึ้น
ตามที่คาดไว้ ทั้งสองคนพาตำรวจไม่กี่นายจากสถานตำรวจ แต่ถึงกระนั้น กลับเหลือแต่ร่างของนักเลงที่บิดโค้งงอ
เคนจิ ไซโตะ: รู้ไหมว่าตอนนั้นยากแค่ไหนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะว่ามีนักเลงนอนล้มอยู่ พวกตำรวจจึงหันมามองว่าเราเป็นคนผิดซะเอง
นาโอยะ โอคุซุ: ฉันขอโทษนะ
มีตำรวจนายหนึ่งเคยจัดการนักเลงคนนี้มาก่อน จึงสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ แต่นักเลงไม่ได้บอกเรื่องที่โดนผมรุมทำร้าย กลับบอกจู่ๆ ปวดท้องซะเอง
เคนจิ ไซโตะ: แล้วทำไมจู่ๆ ถึงหายไปล่ะ? ทั้งนายกับพวกที่เหลือ
ผมตัดสินใจพิมพ์คำตอบไปว่า
นาโอยะ โอคุซุ: เรื่องง่ายๆ พอเห็นว่ามีคนหนึ่งล้มลง พวกที่เหลือก็ตื่นตระหนก ฉันจึงใช้จังหวะนี้วิ่งหนีไป ส่วนที่เหลือคงไปขอความช่วยเหลือล่ะมั้ง แต่พอเห็นตำรวจอยู่ตรงนั้น อาจจะหนีเผ่นก็ได้
เคนจิ ไซโตะ: อ้อ อย่างนั้นเหรอ
ไซโตะดูเหมือนจะพอใจในเรื่องนั้น ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักผมก็ได้รับข้อความจากชินโด
ซาโตรุ ชินโด: ฉันสงสัยว่าทำไมจู่ๆ นักเลงก็ปวดท้องล่ะ
นาโอยะ โอคุซุ: ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
ชินโดมีสัญชาตญาณที่เฉียบคม แม้ว่าจะโง่เขลาก็ตาม ถ้าเทียบกันแล้ว หัวสมองของไซโตะช่างว่างเปล่า จึงจัดการเขาได้ง่ายๆ
ซาโตรุ ชินโด: จริงสิ ต้องขอบคุณโอคุซุนะที่พาฉันออกมาจากที่นั่นได้ ขอบคุณมาก
นาโอยะ โอคุซุ: ไม่หรอก อย่าห่วงไปเลย ยังไงมันก็เป็นสถานการณ์ที่เราต้องหนีและเรียกตำรวจมา
ซาโตรุ ชินโด: แต่ยังไง เป็นเรื่องดีนะที่เราทุกคนปลอดภัย
ชินโดส่งข้อความมาหา ชัดเจนว่าเลิกสงสัยในตัวผมแล้ว ผมจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เอนามิซังเข้ามาในห้องเรียนขณะที่คาบสองสิ้นสุดลง
เนื่องจากเป็นช่วงพักระหว่างคาบเรียนและเอนามิซังมาสายตลอด จึงไม่มีใครสนใจ
ผมมองเอนามิซังด้วยเหตุผลบางอย่าง
ถึงจะมาสาย แต่เธอดูเหมือนไม่ร้อนรนทั้งนั้น ราวกับคิดว่าสมควรแก่เวลาที่จะไปโรงเรียน ดูไม่ง่วงหวางหาวนอนและชุดนักเรียนก็ใส่ตามเครื่องแบบเท่านั้น
ผมไม่รู้ว่าเธอนอนเกินเวลารึเปล่า แต่ก็ไม่รีบไม่ร้อนตั้งแต่เช้า
ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังคิดว่าเธอช่างสวยงดงาม แค่เดินไปมาเหมือนเบื่อไม่สนใจเพื่อนร่วมห้อง แต่มีอย่างเดียวที่ดึงดูดใจผม
— ถ้าเธอยิ้มขึ้นมา ต้องน่ารักแน่ๆ เลย
ณ ตอนนี้ ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายมา เธอมาโรงเรียนอย่างตรงเวลาแค่ 6 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งมาโรงเรียนสายเป็นประจำ
— ก็นะ คิดดูดีๆ แล้ว เธอก็ไม่ได้โดดเรียนอะไร
ผมพยายามย้อนกลับไปว่าเอนามิซังเคยขาดเรียนรึเปล่าแต่ก็จำไม่ได้ ถ้ามาสายจนติดเป็นนิสัย ก็มักจะหายไปบ่อยขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ถึงกังวลเอนามิซังมากนัก
พอผมเห็นนิชิคาวะเดินไปที่โต๊ะของเอนามิซัง ผมก็หันไปทางอื่น มันคงน่าอึดอัดใจถ้าผมไปจ้องอย่างนั้น
พอหันหน้ามองไปข้างหน้า ก็เห็นฟูจิซากิยืนอยู่ตรงหน้า
“โอคุซุคุง มองเอนามิซังมาสักพักใหญ่แล้วนะ”
ชัดเจนว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ผมหันหลังมองอยู่จึงไม่สังเกตเห็น
“นั่นสินะ ก็เรื่องของเมื่อวานไง”
ตามที่สัญญา ผมต้องให้ความร่วมมือกับฟูจิซากิเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติเอนามิซัง แต่เราไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับตัวเอนามิซัง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไม่สามารถคุยกับใครได้นอกจากนิชิคาวะ ประวัติของเอนามิซังยังไม่ชัดเจนพอ เว้นแต่ว่าจะเป็นคนทำผิดก็ตาม
“เท่าที่สังเกตวันนี้ เอนามิซังไม่ได้โดดเรียนเลยนะ”
“อืม นั่นสิ”
ฟูจิซากิก็ดูเหมือนไม่สังเกตเหมือนกัน ภาพลักษณ์การมาสายของเอนามิซังเยอะแยะจนลืมตัวว่าต้องไปโรงเรียนทุกวัน
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมอาจารย์ถึงไม่ยอมปล่อยสักที ไม่ใช่ว่าเธออยากลาออกจากโรงเรียนสักหน่อย”
“แต่ถ้ามาสายบ่อยขนาดนี้ อาจจะถูกกักบริเวณก็ได้นะ หลังจากนั้นไม่รู้แล้วว่าเอนามิซังจะคิดยังไง”
“อืม ก็จริง….”
จากนั้นฟูจิซากิกล่าวว่า
“นี่ ลองติวหนังสือกับเอนามิซังกับคนอื่นดีมั้ย?”
“ติวหนังสือ?”
“อื้ม กลางภาคก็ใกล้เข้ามาแล้ว ลองชวนมาติวกับพวกเรามั้ย บางทีจากนั้นเองเอนามิซังอาจเป็นใจให้เราก็ได้”
“หวังว่าจะไปได้สวยนะ”
เอนามิซังไม่เคยเปิดใจให้ใครมาก่อน ถ้าจะทำอย่างนั้น จำเป็นต้องปรึกษานิชิคาวะ
“ลองดูสักตั้งว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าสำเร็วด้วยดี ไม่ใช่แค่ติวได้เยอะขึ้นแต่ยังทำความรู้จักกับเอนามิซังได้ด้วย คุ้มค่าที่จะลอง”
นี่มันคือสถานการณ์วินวินแน่นอน ไม่ต้องรอหลังสอบกลางภาคเสร็จแน่
เราเลิกคุยกันโดยบอกว่าจะคิดหาวิธีชวนในภายหลัง
――――――――――――――――――――――――――――――
TL: มีอีก 1 ตอนอยู่หน้าแฟนเพจครับ เดิ๋ยวจะลงอีกทีวันพรุ่งนี้
สามารถติดตามการอัพเดตได้ทางเพจ : Launchmind