บทที่ 2 ตอนที่ 23: แผนการเรียน ส่วนที่ 1
“ว้าว สวยจัง…!”
หลังจากที่เก็บสัมภาระอันมหาศาลของพี่สาวทูไลท์เอาไว้ที่ห่องว่างๆเสร็จแล้ว พวกเราก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ระเบียงเพื่อพักดื่มชา
ที่ตรงนี้ท่านแม่กับท่านพ่อก็ได้เอาอาเธมของพวกเขาให้ชั้นดู
“ใช่ มันสวยมากๆเลย ลูกไม่คิดหรอว่าที่ตกแต่งตรงนี้มันสะท้อนภาพลักษณ์อันแสนน่ารักของเอเลนอร์ออกมาด้วยหน่ะ?”
“โอ๊ะ จริงด้วยค่ะ”
ว่ากันว่าอาเธมนั้นบ่งบอกถึงบุคคลนั้นๆ ท่านพ่อก็เลยรักอาเธมเล่มนี้มากๆจนราวกับเป็นตัวท่านแม่เองเลยละ
“แม่มักจะเก็บอาเธมเอาไว้ใกล้ๆกับเตียงของแม่เพื่อทำให้แน่ใจว่ามันปลอดภัยน่ะจ่ะ แม่ดูแลรักษามันอย่างดีและยังส่งพลังเวทย์เข้าไปบ่อยๆด้วยนะ”
“พ่อเองก็จะพกมันไปด้วยตามงานสำคัญๆต่างๆด้วย เอาเถอะ ไม่ได้มีแค่ท่านพี่ที่ใช้มันภายในชีวิตประจำวันหรอกนะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นพวกมันรอบๆเมืองเลย”
ดังนั้นชั้นจึงเข้าใจแล้วว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังโสดอยู่หรืออยากจะอวดคู่ของตัวเองอยู่ด้วย
อนึ่ง อาเธมของท่านแม่ที่ถูกมอบให้กับท่านพ่อนั้นมีฝักเป็นโลหะสีขาวที่ทำให้ชั้นนึกถึงผมสีขาวเงินของท่านแม่ ลวดลายที่ตกแต่งเองก็สวยงามมากๆเลยละ
ส่วนอาเธมของท่านพ่อที่ให้ท่านแม่ไปนั้นเป็นมีดสั้นสุดเท่ที่มีด้ามจับทำจากหนังสีน้ำตาลฝังด้วยอัญมณีสีฟ้า มันไม่ได้ดูแข็งกระด้างเกินไปด้วย บางทีคงเพราะทำมาเพื่อมอบให้กับท่านแม่อยู่แล้ว ทว่ามันก็ยังคงดูแข็งแกร่งกว่าอาเธมของท่านแม่เล็กน้อย
“ดูแบบนี้แล้วก็เห็นได้ถึงความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้เลยค่ะ… ส่วนมีดสั้นประจำตระกูลอาเชอร์เลซ… เจ้าของที่แท้จริงของมีดเล่มนี้เป็นผู้ชายใช่ไหมคะ?”
บนโต๊ะที่ชั้นหันไปมองนั้นมีมีดเล่มหนึ่งวางอยู่
มันเป็นการออกแบบด้วยหนังสีดำอย่างง่ายๆ และตรงด้ามจับนั้นมีโครงรูปเพชรอยู่ด้วย มันดูแข็งแกร่งมากๆเลยละ
มันยาวกว่าอาเธมทุกเล่มที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แถมยังทนทานกว่าด้วย
“โอ้ พ่อได้ยินมาว่ามันอาจจะเป็นของหนึ่งในบรรพบุรุษของเราหน่ะ น่าจะเป็นผู้ชายนั่นแหล่ะ”
“มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอาเธมเล่มอื่นหรอกนะ แต่เล่มนี้เป็นเล่มที่มีคุณภาพสูงที่สุดแล้ว ดังนั้นถ้าจะใช้มันละก็ คิดว่ามีดสั้นไฮเมอร์ที่มีคุณภาพเท่ากันแต่มีขนาดเล็กกว่าจะดีกว่านะ”
จากนั้นพวกเขาก็เอามีดสั้นไฮเมอร์ที่มีขนาดพอดีกับมือของชั้นให้ชั้นดู
ชั้นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
อุฟุฟุฟุ ชั้นชอบมันจนถึงขนาดที่รู้สึกว่าตัวชั้นจะตัดสินใจเลือกมันเป็นคู่หูไปจนกว่าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันเลยละ
“เอาละ จากนี้ไปจะเป็นการพูดถึงแผนการเรียนละนะ”
เมื่อบทสนทนาจบลง พี่สาวทูไลท์ก็ได้พูดขึ้น
โอ๊ะ จริงด้วย ถึงชั้นจะล่องลอยจากที่ชั้นได้รับไอเทมเวทมนตร์มาก็ตาม แต่จริงๆแล้ววันนี้เป็นวันเรียนหนังสือนี่นา
“ค่ะ พี่สาว เริ่มได้เลยค่ะ!”
ชั้นหันหน้าไปทางเธอ พี่สาวทูไลท์พยักหน้าพร้อมกับผมสีดำที่ปลิวไสว
“ก่อนอื่นเลย จนกว่าที่หนูจะถึงปี 3 ในสถาบันโลเวน หนูจะต้องเรียนศิลปศาสตร์, ประวัติศาสตร์, ดนตรี, และสิ่งที่อลิซจังโปรดปรานนั่นก็คือเวทมนตร์ มันยังมีบทเรียนเจาะลึกเกี่ยวกับยาและสมุนไพรวิญญาณศาสตร์ รวมไปถึงโบราณสถานกับอักษรโบราณด้วย ถึงจะยังมีบทเรียนแยกย่อยอยู่ก็จริง แต่ถ้าหนูไม่ผ่าน 5 บทเรียนหลักได้ก่อนละก็จะไม่สามารถไปต่อได้ ถ้ามาถึงจุดนี้หนูจะไม่อาจนับว่าเป็นขุนนาง ได้อีกต่อไป เตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ!”
“โอ๊ะ ไม่นะ!”
ชั้นเกือบจะไม่ได้กลายเป็นขุนนางแล้ว หรืออย่างน้อยๆชั้นก็จะถูกทดสอบตอนอยู่ปี 1 สินะ…!
อืม ถ้าชั้นคิดว่ามันเป็นโรงเรียนที่มีระบบซ้ำชั้นละก็ มันก็คงจะเหมือนกับการตายไปจากสังคมเลยสินะ…
“แล้วก็อีกอย่าง หนูเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลอาเชอร์เลซด้วย แถมยังถูกสอนโดยชั้นด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่หนูจะต้องได้คะแนนเต็มนะ ถ้าทำไม่ได้ละก็ งั้นชั้นจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับหนูทันทีเลยนะ”
“หา?!”
เลิกยุ่งเกี่ยว… หรือก็คือ ตัดหางปล่อยวัด…? …การคว่ำบาตร?!
“หน่าๆ ท่านพี่ หย่าทำให้เธอกลัวนักเลย”
“ใช่แล้วละท่านพี่ อลิซยังอ่อนแออยู่เลย และเธอเองก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเรียนอัดแน่นมันทุกวิชาตั้งแต่ปีแรกอย่างนี้เลย…”
“ชั้นคิดว่าพวกเธอยังไม่เข้าใจนะ”
ครอบครัวของชั้นพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยกับสถานการณ์ที่ไม่ทำก็ตายแบบนี้ ทว่าพี่สาวทูไลท์ก็ตอบกลับไปพร้อมกับสีหน้ากระปรี้กระเปร่า
“ในสังคมขุนนาง การถูกก่นด่าดูถูกนั้นหมายถึงความตาย… พวกเธอก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุดนี่?”
“อูว”
ครอบครัวของชั้นดูกระอักกระอ่วน
อืม ก็จริงละนะ
หลังจากที่ชั้นนึกถึงท่าทีของมาดามเวอร์รันเดลเมื่อวันก่อน ชั้นก็เข้าใจถึงสิ่งที่พี่สาวหมายถึง
ถ้าคุณแสดงด้านที่อ่อนแอของตัวเองให้กับอีกฝ่าย อย่างอาการป่วย, พูดไม่ได้, หรือคุ้มดีคุ้มร้ายละก็ ต่อให้เป็นถึงตระกูลมาร์ควิสก็ตาม สถานการณ์ก็จะแย่อยู่ดี
มันง่ายที่จะจินตนาการถึงมัน เพราะชั้นเองก็เคยสัมผัสอะไรแบบนี้มาแล้วจากความสัมพันธ์อันย่ำแย่ภายในบริษัทมืดในชาติก่อนของชั้น
ไม่สนใจใยดีสุขภาพจิตหรืออาการป่วยของลูกน้องเลย เด็กใหม่ที่เข้ามา… ก็กลายเป็นเครื่องสังเวยละมั้ง? หัวหน้าที่หาคนมาแทนที่และทิ้งขว้างคนที่โชคไม่ดีแบบนั้นหน่ะ
คนที่พลักงานยากๆมาให้โดยที่ไม่ช่วยรุ่นน้องที่ไม่มีประสบการณ์แล้วจากไปอย่างรวดเร็วแบบนั้นหน่ะ
พันธมิตรทางธุรกิจที่ทันทีที่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบก็จะใช้จุดอ่อนของอีกฝ่ายมาบังคับให้ทำงานที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้นหน่ะ
ในโลกแห่งการเอาชีวิตรอดแบบนั้นหน่ะ ถ้าไม่ยกตนให้สูงละก็ จะถูกคนอื่นกลืนกินในทันทีเลยละ
ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกใบนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันดันไม่มีทั้งกฎหมายคุ้มครองและศีลธรรมเลยหน่ะสิ ชั้นไม่รู้ว่ามันอย่างนี้เป็นเพราะอะไรอย่างธาตุและเวทมนตร์ หรือว่าอารยธรรมของโลกนี้มันด้อยกว่าญี่ปุ่นยุคปัจจุบันกันแน่ แต่ว่า…
ถ้าชั้นไม่ระวังตัวเองดีๆละก็ ชั้นก็ไม่รู้ว่าชั้นจะถูกเตะออกไปด้วยวิธีไหนกัน
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่พี่สาวทูไลท์พยายามจะบอก
ถ้ายังนั้น ชั้นก็ไม่มีเวลามามัวหลบเลี่ยงจากมันแล้ว
“ให้เป็นหน้าที่ของหนูเองค่ะ พี่สาว! หนูจะแสดงให้พี่สาวเห็นเองว่าหนูสามารถได้คะแนนเต็มจากทั้ง 5 วิชาในปีแรกได้ค่ะ!”
ชั้นกำหมัดของตัวเองแน่นพร้อมทั้งยืนขึ้นแล้วประกาศออกไปแบบนั้น
จากนั้นพี่สามทูไลท์ก็ได้ยิ้มอย่างสดใสให้กับชั้นจนเหมือนกับมีดอกกุหลาบบานเลยละ
“ยอดเยี่ยมมาก! ต้องยังงี้สิ อลิซจัง! สมกับเป็นถึงคนที่คู่ควรให้ชั้นสอนเลยจริงๆ!”
“ขอบคุณค่ะ!!”
ชั้นรู้สึกเหมือนกับอยู่ในชมรมกีฬาอะไรประมาณนั้นเลย ทว่าครอบครัวของชั้นก็ดูจะโล่งใจที่มันเป็นไปได้ด้วยดีสินะ ดังนั้นก็คงจะไม่เป็นอะไรมั้ง
“จริงๆแล้วชั้นทดสอบอลิซในตอนที่ชั้นพูดว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวถ้าหนูไม่ได้คะแนนเต็ม ชั้นต้องขอโทษด้วยนะ… แต่ถ้าหนูไม่ได้คะแนนเต็มขึ้นมาจริงๆละก็…… หนูอาจจะคิดว่าถูกตัดหางปล่อยวัดน่าจะยังดีซะกว่าก็ได้นะ…”
“ฮี้!!!!!”
ชั้นรู้สึกกลัวรอยยิ้มร่าเริงของพี่สาวมากๆเลย ทว่า ตัวชั้นก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะทำให้ดีที่สุด
==========================================================
TL: ทำไมโลกนี้มันโหดร้ายจังฟะ
MANGA DISCUSSION