บทที่ 2 ลูกพี่ลูกน้อง และ การเตรียมการ
ตอนที่ 1 ฤดูใบไม้ร่วงและการอธิบาย
สภาพอากาศตอนนี้นั้นอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม่ร่วง
ต้นไม้ที่ตกแต่งตามเมืองนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง และบริเวณสวนของคฤหาสน์อาเชอร์เลซที่ตั้งอยู่บริเวณตรงการของเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิเองก็ล้วนเต็มไปด้วยสีเหลือง,สีส้ม,และสีแดงเหมือนกัน
ทว่า ชั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น เพราะตอนนี้ชั้นกำลังเพชิญหน้ากับตัวเองในกระจกเต็มตัวหรูหราบานนี้อีกครั้งนึง
“ให้ตายสิ… ตัวชั้นนี้มันน่ารักสุดๆไปเลย”
ใช่แล้ว ชั้นกำลังตรวจสอบรูปลักษณ์ของตัวเองหลังจากมาเกิดใหม่ครั้งนี้
ตั้งแต่มาเกิดใหม่ ครอบครัวของชั้นก็กำลังแตกแยกจนทำเอาชั้นไม่มีเวลามาสนใจรูปลักษณ์ใหม่ของตัวเองเลย
หลังจากเหตุการณ์ของรูจที่เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาวจบลง ครอบครัวของชั้นก็กลับมาเป็นปกติ
ที่บอกว่ากลับมาเป็นปกตินั้นชั้นหมายถึงพวกเขาหวานแหววกันมาก หวานมากจนขนาดที่แค่ทั้งสองคนยืนอยู่ใกล้กันชั้นก็เกือบจะเป็นเบาหวานแล้ว
ดูเหมือนว่าทั้งคู่มักจะอยู่ด้วยกัน คงอยากจะลดระยะห่างระหว่างหัวใจของทั้งสองคนที่เคยเหินห่างกันไปถึง 2 ปีสินะ ดี ดีมาก ดีมาก
ในตอนนี้ที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติสุขแล้ว มันก็เป็นธรรมดาที่ชั้นจะรู้สึกกังวลกับตัวเอง
ถึงยังไง ชั้นที่เป็นหญิงสาวอายุ 29 ปีและโหมงานหนักเกินไป พอรู้ตัวอีกทีก็มาเกิดใหม่เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักซะแล้ว มันผ่านมาหลายวันแล้วจนชั้นมั่นใจว่านี้ไม่ใช่ความฝันแน่นอน ดังนั้นชั้นก็เลยอยากจะตรวจสอบเรื่องนี้ซะหน่อย
สิ่งเดียวที่ชั้นสามารถอธิบายได้จากรูปลักษณ์ของชั้นได้ก็คือ… คุณหนูแสนเย็นชาไร้ความรู้สึกละมั้ง?… จะพูดเองก็ยังไงๆอยู่ แต่ว่าตัวชั้นดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด
ดังนั้น หลังจากนั่งลงและมองมันอีกครั้ง ชั้นเห็นถึงกล้ามเนื้อใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเลยพยายามที่จะแก้ไขมัน
ถ้าชั้นไม่ยิ้มบ่อยๆละก็ ใบหน้าของชั้นก็คงจะแข็งทื่ออยู่แบบเดิมแน่
นอกจากใบหน้าแข็งทื่อของชั้นแล้ว ชั้นยังมีผมสีเงินและตาสีทองด้วย ทั้งคู่นั้นไม่ใช่สีที่เหมาะกับการเชื้อเชิญใครเลย ว่าง่ายๆก็สีโทนเย็น หรือจะพูดว่าสีที่เหมือนกับโลหะก็ได้ ทั่วทั้งร่างของชั้นปล่อยออร่าชนชั้นสูงออกมาพร้อมๆกับบรรยากาศที่บอกว่า ‘อย่ามายุ่งกับชั้น’
“หืมม… ตัวชั้นดูเข้าหายากจัง”
นั่นคือความเห็นของชั้นที่มาจากความรู้สึกของชั้นจริงๆ
นอกจากนี้ ร่างกายของชั้นก็ผอมแห้งและอ่อนแอ คงเพราะชั้นมักจะนอนอยู่บนเตียงเสมอ จนชั้นพบว่าร่างกายนี้ยากที่จะเดินไปมาเป็นเวลานาน
ทว่าที่อยู่ภายในก็คือตัวชั้นที่เป็นพนักงานบริษัทและถูกทรมานจากคลื่นของสังคม
ชั้นผ่านประสบการณ์ที่มีทั้งเปรี้ยวทั้งหวานมาหมดแล้ว และมีความมั่นใจที่จะผ่านมันไปได้ด้วย ดังนั้นอย่างน้อยๆ ชั้นก็ยังมีแรงผลักดันจากภายใจและรวมถึงกำลังใจอยู่ ชั้นมั่นใจได้เลยว่ากล้ามเนื้อใบหน้าของชั้นจะต้องกลับมาทำงานตามปกติได้ในไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน
ในระหว่างนั้น ชั้นก็ตัดสินใจที่จะฝึกออกเสียงเพื่อออกกำลังใบหน้าเป็นประจำทุกๆเช้า นี้ก็เพื่อสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าของชั้นเอง
“อีกอย่าง สุขภาพจิตของชั้นไม่ได้รับดาเมจอะไรเลยหรอเนี้ย… นี่ชั้นเป็นคนไร้หัวใจอย่างงั้นหรอ…?”
หลังจากที่ตรวจสอบสภาพภายนอกเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือตรวจสอบภายในจิตใจ
ชั้นถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวธรรมดาๆในญี่ปุ่น ชั้นมีทั้งเพื่อนและความรัก ชั้นมีรุ่นพี่ที่ปลื้มอยู่รวมถึงมีรุ่นน้องที่ชั้นรักด้วย
แต่ถึงยังงั้น ตัวชั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มั่นใจได้เลยว่าคงจะไม่มีวันได้เจอหน้าพวกเขาอีกครั้งแล้ว กลับไม่หวั่นไหวใดๆเลย
ไม่สิ ต้องพูดว่า ชั้นปิดกั้นตัวเองไม่ให้รู้สึกต่างหาก
มันแปลกมาก
ชั้นนึกชื่อกับใบหน้าของตัวเองรวมถึงผู้คนรอบตัวในชาติที่แล้วไม่ออกเลย ทว่าดูเหมือนนอกจากเรื่องนั้น ยังมีอะไรบางอย่างในตัวชั้นที่ถูกปิดกั้นด้วยเช่นกัน…
เพราะตัวชั้นเป็นคนรักครอบครัวและเพื่อนพ้อง ชั้นจึงเป็นคนที่มักจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา จนชั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากการโหมงาน แต่ตัวชั้นก็ยังมีความสุขตราบใดที่ผู้คนที่ชั้นรักยังคงมีชีวิตอยู่และสุขภาพแข็งแรงดี
และในตอนนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกลับคลุมเคลือราวกลับความทรงจำจากความฝันหลังตื่นนอน… มันราวว่ามันอยู่ด้านหลังของกระจกหนาๆ
“…ไม่เอาแล้ว! มองไปข้างหน้าดีกว่า!”
ชั้นเปลี่ยนใจและพูดออกมาแบบนั้น
มามัวกังวลพร่ำเพ้อถึงเรื่องที่ตัวชั้นทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ลืมๆมันไปซะจะดีกว่า
ถ้าจะให้พูดตามตรง เมื่อชั้นตรวจดูทั้งภายในและภายนอกของตัวเอง ชั้นก็พบกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ชั้นเป็นกังวล… แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่ชั้นจะหาคำตอบได้
ถึงแม้ชั้นจะคิดเกี่ยวกับมัน มันก็ไม่มีอะไรที่ตัวชั้นจะทำได้อยู่ดี
เพราะแบบนั้น ชั้นควรที่จะจัดการกับเรื่องที่ชั้นทำได้และทำให้มันดีขึ้นซะก่อนดีกว่า ยิ่งชั้นทำได้มากเท่าไหร่ ชั้นก็จะยิ่งคิดอะไรออกมากขึ้นเท่านั้น
เรื่อมที่ปัญหาแรก มันก็ผ่านมาสักพักแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ของรูจ แต่ว่าตัวชั้นก็ยังไม่เคยออกจากคฤหาสน์หลังนี้เลย และตัวชั้นเองก็ไม่มีแรงกายพอที่จะทำแบบนั้นซะด้วยสิ
แค่พยายามตื่นอยู่ตลอดทั้งวันก็ทำให้ชั้นเหนื่อยแล้ว ชั้นถึงขนาดหลับไปทั้งวันหลังจากที่กลับมาจากการเยี่ยมหลุมศพแล้วเลย
ดังนั้น ชั้นจึงต้องสร้างพลังกายของตัวเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับออกไปข้างนอกคฤหาสน์ สำหรับตอนนี้ การเดินไปมาดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ขณะที่ชั้นจับไปที่กรประตูและกำลังผลักประตูบานใหญ่นี้ คอนนี่ เมดที่รออยู่ข้างนอกก็เปิดมันให้กับชั้น
“โอ๊ะ คุณหนูกำลังจะออกไปข้างนอกงั้นหรอคะ? งั้นชั้นขออนุญาตติดตามคุณหนูไปด้วยนะคะ”
คอนนี่ขออนุญาตที่จะตามชั้นมาด้วยอย่างยินดี
คอนนี่คนนี้นั้นเป็นเมดที่ดี เธอเป็นคนที่วิ่งออกไปบอกกับท่านพ่อหลังจากที่ชั้นฟื้นขึ้นมาในตอนนั้น
เธอเก็บเรื่องสุขภาพของชั้นเอาไว้ จึงทำให้รูจไม่สงสัยและจับตัวรูจได้ในคืนนั้น
เธอมีผมหยิกสีบลอนด์อ่อนๆและดวงตาสีน้ำตาล — เป็นสีพื้นฐานของผู้คนในประเทศนี้ เธอให้บรรยากาศนุ่มนิ่มน่ารักๆมากๆ
ชั้นรู้สึกได้รับการเยียวยาทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนนุ่มราวกับดอกไม้ของเธอ
“ได้สิ งั้นเราจะไปที่ไหนกันดีละ?”
“อืมมมม ใช่แล้ว ทำไมคุณหนูไม่ลองไปอาบแดดที่ห้องพระอาทิตย์ดูสักหน่อยละคะ?”
“นั่นก็ฟังดูดีนะ…”
มันเป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนมากเลยละ ทว่า บางทีคงเพราะเธอเป็นห่วงพลังกายที่ไม่ค่อยมีของชั้น ชั้นไม่คิดว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ชั้นแข็งแรงขึ้นหรอกนะ
“มีอะไรอย่างอื่นที่ได้เคลื่อนไหวมากกว่านั้นไหม?”
“อืมมมม…”
คอนนี่กับชั้นเอียงหัวของพวกเราพร้อมๆกัน แต่พวกเราก็คิดอย่างอื่นไม่ออกอยู่ดี
“อืม คุณหนูคะ เรามาเดินดูรอบๆคฤหาสน์เพื่อหาอะไรที่น่าสนใจทำกันเถอะคะ!”
คอนนี่แนะนำออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนิ่ม
“ฟังดูดีนะ! งั้นก็ไปกันเถอะ คอนนี่!”
เมื่อชั้นยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง คอนนี่ก็ยิ้มให้กับชั้นก่อนจะจับมือของชั้นด้วยความยินดี
“เอาละ ไปกันเลย!”
“ช่ายยแล้วว~! ไปกันเถอะ!”
***
เพราะแบบนั้นพวกเราก็เลยจัดตั้งหน่วยสำรวจคฤหาสน์อาเชอร์เลซขึ้นมา และกำลังเข้าไปดูตามห้องที่เหมาะสมอยู่ในตอนนี้
เพราะห้องส่วนตัวนั้นจะอยู่ที่ชั้น 3 (ชั้น 3 เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของอาคารที่พัก) พวกเราก็เลยลงมาที่ชั้นล่างแล้วเริ่มเข้าห้องไปตามลำดับ
ตอนที่อลิซมีอายุ 3 ขวบ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าคฤหาสน์หลักเพียงคนเดียวนอกจากบริเวณที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้อลิซไปทำอะไรพังตาม มันเป็นสไตล์การเลี้ยงดูแบบคนยุโรปละนะ
เพราะแบบนั้น ชั้นก็เลยไม่รู้จักด้านในของบ้านหลังนี้ดีนัก หลังจากเหตุการณ์ของรูจ ชั้นก็แทบจะหมกตัวอยู่คนเดียวดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
แต่ว่าตอนนี้ ในฐานะหญิงสาวชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะสนใจในคฤหาสน์ขุนนางสไตล์ยุโรปแบบนี้ ถึงมันจะไม่ได้แตกต่างไปจากหลังอื่นๆเลยก็เถอะนะ
***
ชั้นจำรายระเอียดของการจัดห้องไม่ได้ ทว่าแผนผังของบ้านก็ยังพอจำได้รางๆตามนี้
ก่อนอื่นเลยก็คือส่วนของห้องส่วนตัว: ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องน้ำชา, และอื่นๆที่ถูกใช้โดยครอบครัวของชั้น
จากนั้นก็จะมีส่วนของห้องสาธารณะ: วิหารขนาดเล็ก, ห้องทำงาน, ห้องสมุด, ห้องทานอาหาร, พื้นที่สำหรับคนรับใช้, และอื่นๆที่ถูกใช้โดยสาธารณะ
บริเวณสวนหลังบ้านที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์นั้นมีเรือนกระจก, สวนสมุนไพร, และสวนสไตล์อังกฤษอยู่ แถมด้วยคอกม้ากับห้องเก็บของที่อยู่ใกล้ๆด้วย
จบท้ายด้วยลานกว้างเล็กๆที่อยู่ด้านหน้าของประตูทางเข้าหลัก
มันรู้สึกว่ามันมีใหญ่มาก ทว่าบ้านทุกหลังที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองหลวงต่างก็ใหญ่ประมาณนี้หรือเล็กกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปราสาทที่อยู่ในดินแดนนี้แล้วละนะ แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ยังใหญ่เกินกว่าสามัญสำนึกของผู้คนในยุคปัจจุบันของชาติก่อนอยู่ดี มันเทียบได้กับโรงเรียนประถมขนาดย่อมๆเลย ใช่ไหมนะ?
นอกจากนี้ ชั้นเองก็เคยไปที่ปราสาทหลังนั้นแล้ว แต่ว่าตอนนั้นชั้นยังเด็กกว่านี้ก็เลยจำอะไรไม่ได้
“ชั้นได้ยินมาว่าคฤหาสน์อาเชอร์เลซนั้นค่อนข้างน่าสนใจเลยนะคะ”
คอนนี่บอกชั้นแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริง
“คุณหนูจำวิหารเล็กๆที่เรามีได้ใช่ไหมคะ? ทำไมมันถึงมีหอคอยติดอยู่ด้วยละคะ? ไม่มีใครรู้เลยว่าหอคอนอันนั้นสร้างขึ้นมาตอนไหนหรือว่าทำไมเลยนะคะ ไม่ใช่ว่านั่นมันน่าสนใจอย่างงั้นหรอคะ?”
“โอ๊ะ น่าสนใจจริงๆด้วย! ทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาตอนไหนเลยละ? มันเก่ามากเลยหรอ?”
“ชั้นเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม? เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราไปกันก่อนเถอะค่ะ~”
คอนนี่เอียงหัวพร้อมกับตอบกลับมาอย่างคลุมขณะที่เธอเดินไปพร้อมกับชั้น
ขณะที่ชั้นกำลังเดินไปตามพรมสีแดงบนพื้นระเบียง ชั้นก็เห็นเหล่าเมดกำลังเข็นรถเข็นที่มีน้ำชาไปทางห้องพระอาทิตย์
“โอ๊ะ? นายท่านกับนายหญิงคงกำลังทานอาหารกันอยู่ค่ะ”
คอนนี่พูดขึ้นมาอย่างดีใจ
ขนาดในโลกนี้ ขุนนางเองก็มีวัฒนธรรมที่จะทานอาหารเช้าในห้องส่วนตัวของตัวเอง ทว่าดูเหมือนเช้านี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะจู๋จี๋กันสินะ
เมื่อชั้นลองชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นท่านพ่อที่กำลังป้อนอาหารแบบขอให้ท่านแม่อ้าปาก อ้ามม~ ออกมา
หยึย
ชั้นแข็งค้างไปจากภาพที่พวกเขากำลังพลอดรักกันอย่างกับคู่รักวัยรุ่นนั่น เมื่อท่านพ่อเห็นชั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อลิซ!” เขาหน้าแดงมากเลยละ
ชั้นเห็นเอฟเฟกต์วิบวับๆที่ฉากหลังด้วย
ท่านแม่ที่รู้สึกตัวถึงชั้นก็พูดขึ้นว่า “แหม ลูกรู้สึกสบายดีขึ้นหรอจ๊ะวันนี้? มาทางนี้สิจ๊ะ~!” ท่านแม่กวักมือเรียกชั้นด้วยท่าทางอารมณ์ดีราวกับว่ามีดอกไม้บานขึ้นที่ฉากหลัง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่”
“อืม อรุณสวัสดิ์ อลิซ ลูกรักของพ่อ”
เมื่อชั้นเข้าไปใกล้พวกเขา ท่านพ่อก็ได้ดึงชั้นเข้าไปกอดแล้วลูบหัวของชั้นในขณะที่ชั้นนั่งอยู่บนตักของเขา โฮ๊ะโฮ๊ะโฮ๊ะ มันค่อนข้างน่าอายเลยนะเนี้ย
เขาเป็นคนที่หล่อมากๆถึงเขาเป็นพ่อคนแล้วก็เถอะ (ชั้นคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณ 28 ปีละมั้ง?) ชั้นรู้สึกเขินอายทุกครั้งที่เขาอุ้มชั้นขึ้นและกระซิบบอกรักชั้นอย่างโจ่งแจ้ง ถึงมันจะเป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัวก็เถอะ ชั้นก็ยังเขินอายอยู่ดี ทว่าชั้นมีแต่ต้องทนมันเอาไว้เพราะครอบครัวของชั้นดูจะชอบมันมาก
“อลิซ เมื่อวานลูกมีไข้นิดหน่อย วันนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วหรอจ๊ะ?”
ท่านแม่ถามชั้นด้วยน้ำเสียงใสราวกับน้ำผึ้งด้วยความรักและความเป็นห่วง ดังนั้นชั้นก็เลยบอกเรื่องวันนี้ให้กับเธอเพื่อให้เธอสบายใจ
“เช้านี้หนูตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นมากๆโดยที่ไม่มีไข้เลยคะ! หนูอยากจะเดินเล่นสักหน่อย ดังนั้นหนูก็เลยท่านอาหารเช้าแล้วออกมาสำรวจคฤหาสน์กับคอนนี่ค่ะ”
…ใช่ ฟังดูเหมือนกับการตอบกลับของเด็กน้อยแสนร่าเริงเลยใช่ไหมละ? ได้ฟังดังนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“โอ้ งั้นก็ดีแล้วละ ลูกกำลังสำรวจอยู่ใช่ไหม? อลิซเป็นเด็กฉลาดอยู่แล้ว ดังนั้นพ่อไม่ว่าอะไรหรอกถ้าลูกจะเข้าไปสำรวจในห้องต่างๆพร้อมกับเมดหน่ะ”
ท่านพ่ออนุญาตชั้นด้วยสีหน้าภูมิใจ
หลังจากวันที่สู้กับรูจไปจนถึงวันที่เยี่ยมหลุ่มศพ ชั้นก็ค่อยๆเผยด้านที่โตแล้วของชั้นให้การพวกเขา ชั้นหยุดที่จะใช้เสียงแบบเด็กๆ หรือ ระมัดระวังที่ใช้คำยากๆออกไป
มันไม่ใช่ว่าชั้นกดเสียงของตัวเองให้ต่ำหรืออะไรแบบนั้นหรอก แต่ชั้นใช้เป็นโทนเสียงสุภาพสมกับเป็นกุลสตรีเพื่อให้เข้ากับฐานะลูกสาวของขุนนางมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ชั้นก็ไม่ได้รู้คำพูดของพวกขุนนางมากนัก ดังนั้นชั้นจึงใช้เป็นน้ำเสียงสุภาพพร้อมกับการให้เกียรติเท่านั้น
ชั้นกังวลไปซักพักเลยว่าครอบครัวของชั้นจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ที่อยู่ๆลูกสาวของพวกเขาอก็พูดแบบผู้ใหญ่ขึ้นมา ทว่าชั้นตกใจกับการตอบสนองของพวกเขามากกว่า พวกเขาตอบสนองเหมือนกับพวกพ่อแม่งี่เง่าที่ตาบอดเพราะความรักระดับจักรวารเลย
ถึงแม้เขาจะพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเรื่องที่ชั้นเป็นเด็กฉลาดและเชื่อใจชั้นก็จริง แต่ชั้นก็รู้ว่าภายใต้สีหน้าเอ็นดูของเขานั้นกำลังคิดถึงทฤษฎีอื่นๆเกี่ยวกับการเปลี่ยแปลงของชั้นอยู่ ชั้นแอบไปได้ยินเขาคุยกับท่านแม่เมื่อไม่กี่วันก่อน
“ตอนที่อลิซรู้ความจริงและติดกับนังงูพิษนั่นเธอก็ได้ทุกข์ทรมานมาถึง 2 ปี แต่มันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอฝึกฝนก็ได้ เธออาจจะต้องเฝ้ามองดูรอบตัวของเธออย่างระเอียด, สะสมความรู้, และได้รับพลังในการใช้เหตุผลอย่างลึกซึ้งมาโดยที่ไม่รู้ตัวแน่ๆ จากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาตอนที่เกือบจะตายด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณบรรพบุรุษหรือพระเจ้า ต่อจากนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเรารู้กันอยู่แล้ว… มันต้องเป็นปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แน่ๆที่เธอได้รับมาในตอนที่เธอกำลังทุกข์ทรมาน…”
นั่นคือเรื่องที่ชั้นแอบได้ยินมา
ชั้นกังวลว่าท่านพ่อจะหลงไปเข้าร่วมศาสนาใหม่อะไรแบบนั้น ท่านแม่ที่พยักหน้าไปพร้อมกับน้ำตานองขณะที่รับฟังเรื่องของชั้นก็ยังกังวลถึงเรื่องนี้เลย แน่ใจนะว่าเวทย์ควบคุมจิตใจคลายไปแล้วจริงๆหน่ะ??
แต่ชั้นตัดสินใจแล้วว่ามันไม่เป็นไร ต้องขอบคุณความรักที่ท่านพ่อกับท่านแม่มีให้กับชั้น ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ชั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในฐานะอลิซ
เมื่อชั้นมองกลับไปที่พวกเขา ชั้นก็ทำสีหน้าไม่แน่ใจออกมาในขณะที่ท่านแม่กำลังป้อนท่านพ่อกลับแบบให้เขาอ้าปาก อ้ามม~ อยู่
ชั้นรู้สึกเหมือนกับจะอ๊วกออกมาเป็นสายรุ้งเลย ทว่าด้านเด็กน้อยของชั้นก็ได้ยกมือขึ้นอย่างจริงจัง
ใช่ ชั้นเองก็อยากร่วมด้วย!
ชั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนั้น ดังนั้น ชั้นก็เลยอ้าปากไปทางท่านแม่ที่กำลังจะป้อนองุ่นให้กับท่านพ่อ
“อ้าาาาม~”
ท่านพ่อกับท่านแม่แข็งค้างไปเลยหลังจากที่เห็นชั้นทำแบบนั้น
ทำแบบนี้มันไม่ดีงั้นหรอ? ชั้นคิดแบบนั้น
ทว่าจากนั้นใบหน้าของพวกเขาก็ละลาย
พวกเขาละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ ราวกับว่าพวกเขาพบเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าชังที่สุดในโลกยังไงยังงั้นเลย
และจากนั้น พวกเขาก็ค่อยๆป้อนชั้นเพื่อให้แน่ใจว่าชั้นจะไม่สำลักมัน ท่านแม่วางองุ่นลงในปากของชั้น ต่อจากนั้น ท่านพ่อก็นำแซนวิชชิ้นน้อยๆมาทำแบบเดียวกับท่านแม่
ถึงแม้ชั้นจะไม่หิวเพราะกินอาหารเช้ามาแล้วก็จริง แต่ชั้นรู้สึกมีความสุขกับช่วงเวลานี้มากจนถึงขนาดปล่อยให้พวกเขาป้อนชั้นจนแซนวิชหายไปครึ่งชิ้น
ขณะที่ชั้นพองแก้มเพื่อเคี้ยวแซนวิชนั้น ท่านแม่ก็ได้พูดขึ้นว่า “มานี้สิจ๊ะอลิซ ลูกคงอยากจะดื่มชาด้วย ใช่ไหมละจ๊ะ?” เธอยกแก้วชามาที่ริมฝีปากของชั้น ชั้นรู้สึกหิวน้ำเพราะแซนวิช ดังนั้นจึงดื่มมันไปเล็กน้อยอย่างมีความสุข
ขณะที่ชั้นดื่มมัน ชั้นก็รู้ตัวถึงใบหน้าแปลกๆของท่านพ่อกับท่านแม่ ราวกับสวิตซ์ปริศนาในตัวของพวกเขาได้ติดขึ้นมา
…สวิตซ์ประเภทนั่นสินะ…
ดูเหมือนทั้งคู่จะเป็นประเภทที่จะตื่นเต้นเมื่อได้ดูแลใครสักคนหรือมีคนมาอ้อน ดังนั้นพวกเขาก็เลยมองมาที่ชั้นอย่างเอ็นดูแบบสุดๆ พวกเขาทั้งคู่หายใจฮึกฮักออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับจ้องเขม็งมาที่ชั้น หยึย
ชั้นทานอาหารมาแล้ว ดังนั้นชั้นจึงหลบออกมาจากอ้อมแขนของท่านพ่อก่อนจะประกาศออกไปว่า
“หนูจะไปสำรวจกับคอนนี่นะคะ! ขอบคุณสำหรับอาหารคะ!”
เมื่อชั้นคำนับแก่พวกเขาแล้วจับไปที่มือของคอนนี่ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็บอกลาชั้นราวกับรู้สึกเสียใจที่ชั้นต้องไป
นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังส่งสายตาไปที่คอนนี่ด้วยสายตาอิจฉาอีกด้วย…
MANGA DISCUSSION