บทที่ 1 ตอนที่ 4 ความทรงจำ
หลังจากที่ชั้นหมดสติไป รูจก็วางร่างของชั้นไว้บนเตียงแล้วกลับไปทำงานตามปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรายงานกับหัวหน้าเมดไปว่า “อลิซซามะเหนื่อยจากการเรียนเป็นเวลานานค่ะ เธอเลยผล็อยหลับไป คุณควรไปเตรียมไนท์แคปให้กับคุณหนูแล้วปล่อยให้เธอได้พักผ่อนนะคะ”
หัวหน้าเมดเชื่อรายงานของเธออย่างปิติยินดีแล้วปล่อยให้ชั้นได้พักผ่อน เช้าวันถัดมาพวกเขาถึงได้รู้ว่าชั้นมีบางอย่างแปลกไป
อย่างแรกเลย ชั้นพูดไม่ได้ และอย่างที่สองก็คือ ชั้นอ่านหรือเขียนไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นจะเริ่มมีอาการหวาดกลัวทันที ถ้าชั้นได้ลองอ่านหรือเขียนอะไรซักอย่าง
ชั้นสามารถเรียนได้ดีกว่าเด็กที่วไปที่อายุพอๆกับชั้น ทว่า ครั้งล่าสุดที่อาจารย์ของชั้นพยายามจะอ่านหนังสือให้ชั้นฟัง มันทำให้ชั้นตกอยู่ในอาการหวาดกลัว
ชั้นหวาดกลัวหังสือ หวาดกลัวคำที่เขียนอยู่ในนั้น ชั้นตัวสั่นเมื่อคิดไปว่าครั้งนี้มันจะมีอะไรเลวร้ายเขียนเอาไว้อยู่ข้างในอีก
ชั้นสบตากับผู้คนไม่ได้อีกเลย มันเป็นเพราะชั้นได้เห็นดวงตาที่แสนบ้าคลั่งของรูจเข้า
ถึงจะเป็นข้างในคฤหาสน์ ชั้นก็ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้เลย ชั้นไม่อาจจะแสดงออกถึงความเศร้าหรือความหวาดกลัวภายในหัวของชั้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว และมันเป็นทั้งหมดที่ตัวชั้นทำได้เพื่อซ่อนความลับที่ชั้นเกือบจะระเบิดมันออกมา
ครอบครัวของชั้นต่างตกอยู่ความสับสนจากการที่ลูกสาวของพวกเขาอยู่ๆก็มีอาการ “ภาวะซึมเศร้ารุนแรง” อาการผิดหวังเห็นได้ชัดเจนจากท่านแม่ที่มีร่างกายอ่อนแอและเธอถูกบอกว่ามันยากที่จะมีลูกคนที่ 2
เมื่อเธอถามชั้นว่าชั้นเป็นอะไรไป ชั้นก็ทำได้แค่สายหัว เธอพยายามปลอบชั้นและพยายามอ่านนิทานให้ชั้นฟัง ชั้นชอบฟังนิทานจากท่านแม่นะ แต่ตัวชั้นหวาดกลัวเกินกว่าที่จะฟังมัน ถึงขั้นที่ว่ากลัวที่จะเข้าใกล้มันเลยละ ท่านแม่พยายามทุกวิถีทาง ทว่าการพูดคุยกับเธอในตอนนั้นมันทำให้ชั้นเจ็บปวด ชั้นกังวลว่าความจริงจะถูกเปิดเผยและกลัวที่จะถูกโยนออกไปเหมือนกับที่รูจพูดเอาไว้…
มีผู้คนที่ตัวชั้นสนิทด้วยภายนอกครอบครัวอยู่เหมือนกัน แต่ว่ายิ่งสนิทกันเท่าไหร่ ตัวชั้นก็จะยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ชั้นตัวสั่นเมื่อถูกกอด และก้มหน้ามองพื้นเมื่อมีใครบางคนเรียกชั้น
พวกเขาได้พูดคุยกับคุณหมอมากมายหลายต่อหลายครั้ง แต่เหล่าคุณหมอก็ได้ยอมแพ้และรักษาชั้นไปอย่างหมดหวัง
ในสายตาของสังคมโดยรอบ เห็นเป็นแค่เด็กสาวที่เกลียดการเรียนและมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมไม่ได้ก็เท่านั้น
มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับสังคมขุนนางเลย
เนื่องจากท่านแม่ไม่อาจพาลูกสาวไปยังงานเลี้ยงน้ำชาและงานทางสังคมได้อีกแล้ว ท่านแม่ก็เริ่มอับอายขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นคนเก็บตัวไป
เธอโทษตัวเองว่าล้มเหลวในการสืบทอดทายาทซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของภรรยาในสังคมขุนนาง เธอถูกบอกว่าเธอสามารถมีลูกได้เพียงแค่คนเดียวในชีวิต ดังนั้นเธอจึงเริ่มประณามตนเองจากการล้มเหลวในการเป็นภรรยา
ท่านพ่อเองก็เพชิญหน้ากับปัญหาเช่นกัน
ถ้าหัวหน้าครอบครัวไม่คาดหวังถึงทายาทละก็ จะมีเสียงอึกทึกมาจากญาติๆของเขา ดังนั้น มีผู้คนมากมายบอกให้เขารีบหย่าร้างและแต่งงานใหม่ทันที หรือ อย่างน้อยๆก็หานางสนมแล้วมีลูกด้วยกัน บางคนที่ขั้นบังคับให้ท่านพ่อไปร่วมงานทางสังคมเพื่อพบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ท่านพ่อก็ไม่อาจปฏิเสธได้เนื่องจากตำแหน่งทางสังคมของเขา
เขาไม่ได้หานางสนมมาเลยแม้แต่น้อย ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่านแม่ก็ยังคงตึงเครียดอยู่ดี
ดังนั้น ไม่ว่าฝั่งไหนก็เจ็บปวดทั้งนั้น ไม่อาจยืนยันความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ เหลือเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของครอบครัวเท่านั้น
***
ไม่อาจจะอภัยให้ได้ผู้หญิงคนนั้นได้
ชั้นรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วลุกโชนไปด้วยความโกรธ
อีกอย่าง นังเมดนั้นยังกล้าชักใยอยู่เบื่องหลังอีกจนกระทั่งตอนนี้เลย เธอโจมตีความสัมพันธ์ของครอบครัวชั้นจากทั้งสองฝั่งเลย!
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นฝั่งท่านพ่อเธอจะพูดว่า “นายหญิงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์น่าสงสาร… ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไปละก็…” หรือ “ทำไมท่านไม่ลองเว้นระยะห่างดูละคะ? ทำไมท่านไม่ลองออกไปข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศดูละคะ?”
ถ้าเป็นฝั่งท่านแม่ เธอจะพูดว่า “นายหญิงที่น่าสงสาร ทำไมท่านไม่ลองไปพักฟื้นตัวที่บ้านเกิดของท่านซักพักละคะ?” หรือ “นายท่านออกไปข้างนอกอีกแล้ววันนี้… โอ๋นายหญิง ได้โปรดอย่าร้องให้เลยนะคะ” อะไรแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ทำเอาชั้นอยากจะเข้าไปชกนังนั่นให้ตายไปเลย
มันเป็นอย่างนี้มา 2 ปีแล้ว
การพูดแบบนั้นตามปกติในฐานะเมดแล้วถือเป็นการอวดดีอย่างมาก แต่เพราะเธอมักจะพูดแบบอ้อมๆแถมยังพูดแบบนานๆครั้ง จึงไม่มีใครคิดว่าเธอผิด และค่อยๆชักนำครอบครัวของชั้นให้ไม่มีความสุขอย่างช้าๆ
เพื่อป้องกันตัวเอง เธอไม่เคยพูดแบบนั้นขณะที่มีคนอื่นๆอยู่รอบๆเลยสักครั้ง ถึงตัวชั้นจะเป็นข้อยกเว้นก็เถอะ แต่เพราะว่าตอนนี้เธอคิดว่าชั้นเป็นแค่ตุ๊กตาพังๆก็เท่านั้นแถมไม่สนใจชั้นซะด้วยซ้ำว่าจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ นั่นแหล่ะว่าทำไมชั้นถึงรู้เรื่องทุกๆอย่าง แต่ว่าแบบนี้มันน่ารำคาญชะมัดเลย
เพราะแบบนั้น ทุกๆอย่างก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ชั้นใช้เวลาชีวิต 2 ปีอันมีค่าไปแบบนั้นจนกระทั่งชั้นอายุได้ 5 ขวบ บรรยากาศภายในบ้านนั้นทั้งมืดมนและหนาวเย็น
และด้วยร่างกายน้อยๆของชั้นก็ทนความเครียดนี้ไม่ไหวจนล้มป่วยลงอยู่บ่อยๆ ชั้นมักจะนอนหลับอยู่บนเตียงไปเป็นเวลาหลายวันเลย
ตอนที่ชั้นตื่นขึ้นมาเมื่อสักครู่แล้วทำให้เมดตกใจนั้น เพราะว่าชั้นล้มป่วยติดเตียงมามากกว่า 10 วันแล้วโดยที่พวกเขาไม่รู้ถึงสาเหตุเลย
“เธอหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” ชั้นจำสิ่งที่คุณหมอพูดเอาไว้ได้อย่างเลือนลาง “เมื่อมาถึงจุดนี้ มันอาจจะสายเกินไปที่จะช่วยเธอแล้ว”
…ยังไงก็เถอะ ชั้นต้องรีบคิดหาทางทำอะไรซักอย่างแล้ว
อย่างแรกเลย ชั้นต้องเลิกกังวลถึงคำถามที่ว่าชั้นเป็นลูกแท้ๆของพวกเขาจริงๆหรือไม่ไปซะ
ถึงคิดไปก็ไม่ได้รู้อะไรขึ้นมาหรอก
ยิ่งไปกว่านั้น เอกสารฉบับนั้นมันไม่มีอะไรอย่างตราประทับหรือลายนิ้วมือเลย เท่าที่จำได้จาดชาติก่อน เอกสารสัญญาแบบนั้นต้องมีอะไรประมาณนั้นอยู่สิ
ชั้นคิดว่ามันจงใจถูกเขียนขึ้นด้วยคำง่ายๆเพื่อให้ชั้นอ่านเนื่อหาข้างในได้
แล้วถ้าเรื่องที่ตัวชั้นเป็นเด็กกำพร้าและรวมถึงว่ามีสัญญาแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ชั้นก็ไม่คิดหรอกนะว่าเมดธรรมดาๆอย่างรูจจะสามารถรู้ถึงเรื่องนั้นได้
อย่างที่สอง ชั้นเองก็ยังไม่แน่ใจว่าชั้นควรจะเปิดเผยเรื่องที่ตัวชั้นพูดได้แล้วออกไป มันคงไม่ดีแน่ถ้าอยู่ๆชั้นก็แสดงมันให้ทุกคนในคฤหาสน์ได้รับรู้ในสถานการณ์ที่ยังคงเป็นตายร้ายดีอยู่แบบนี้
ถ้ารูจรู้ว่าชั้นอยู่ในจุดที่สามารถพูดถึงเรื่องในวันนั้นได้แล้วละก็ เธอต้องพยายามฆ่าชั้นทุกวิถีทางแน่นอน ชั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรใส่อยู่ในอาหารหรือชาของชั้นหรือไม่
แถมยิ่งไปกว่านั้น ยัยเมดนั่นมักจะเข้ามาในห้องของชั้นตอนที่ชั้นหลับอยู่บ่อยๆซะด้วย
เธอทำเป็นว่าเธอเป็นห่วงชั้นต่อคนรอบข้าง แต่เธอมักจะมาพูดจากลั่นแกล้งชั้นที่ข้างเตียง เธอสนุกสนานที่ได้ทำให้ชั้นกลัวโดยการจ้องมองชั้นด้วยดวงตาบ้าคลั่งนั่น
ด้วยสถานการณ์แบบนั้น ชั้นอาจจะถูกทำร้ายตอนหลับก็ได้
อย่างสุดท้ายคือการจัดการกับครอบครัวของชั้น ในส่วนนี้ชั้นควรจะปรองดองกับท่านพ่อก่อนจะเป็นท่านแม่
เพราะท่านแม่กำลังป่วยหนัก ถ้าท่านแม่ที่ไม่เคยตามการเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวทันอาจจะเป็นบ้าได้ถ้าได้เห็นลูกสาวของตัวเองเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ชั้นจะต้องเลือกฝั่งท่านพ่อที่เป็นคนค่อนข้างมีเหตุผลก่อน ขั้นแรก ชั้นต้องพูดคุยกับท่านพ่อโดยที่ไม่ให้ถูกจับได้และคิดหาทางกำจัดยัยเมดชั่วนั่น
นั่นก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยของท่านแม่
ขณะที่ชั้นกลับไปที่เตียงและคิดเรื่องแบบนั้น ชั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามา
***
“อลิซ…!”
คนที่พุ่งเข้ามาในห้องเป็นคนแรกก็คือท่านพ่อ ซิกมุนด์ ตามหลังมาด้วย ออฟรานซ์ซัง พ่อบ้านที่น่าจะอยู่กับเขาในเวลานั้น ไม่มีสัญญาณของท่านแม่เลย
“พ่อคิดว่าครั้งนี้ลูกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วซะอีก!!”
ท่านพ่อมองมาที่ใบหน้าของชั้นที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ท่านกุมมือของชั้นแล้วมองเข้ามาในดวงตาของชั้น
โอกาสมาแล้ว
ไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากท่านพ่อกับพ่อบ้านคนนั้น
ชั้นสบตากับท่านพ่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“!!”
ท่านพ่อดูประหลาดใจมากจากการที่ลูกสาวของเขามองตาของเขาหลังจากที่เธอไม่ได้ทำได้ทำมันมานานมากๆแล้ว หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว
จากนั้น ชั้นก็ต่อด้วยการขยับกล้ามเนื้อใบหน้าที่แทบจะตายไปแล้ว เพื่อให้ออกมาเป็นรอยยิ้ม
“……!!!”
“อ้า—!! นั่นมัน—!!!!”
พ่อบ้านเอามือข้างหนึ่งป้องปากของตัวเอง ส่วนท่านพ่อร้องไห้ออกมา
……ว้าว ชั้นทำเพียงแค่ยิ้มกับสบตากับเขาเท่านั้นเองนะ ถ้าชั้นพูดออกไป ท่านพ่อจะรับไม่ไหวเลยรึปล่าวเนี้ย?
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะตึเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนๆ สิ่งดีๆต้องมาก่อนแล้วอะไรจะเกิดก็ปล่อยมันเกิดไป
“……ท่าน…พ่อ”
“!!!!!”
ท่านพ่อกับพ่อบ้านต่างจ้องมองมาที่ชั้นทันทีด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกลับจะหลุดออกมา อืม ก็คิดไว้แล้วละว่าจะต้องตกใจกัน มันก็ 2 ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของชั้น
“อลิซ…? เมื่อกี้… เสียงของลูก…?”
ชั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
มันก็รู้สึกเจ็บเมื่อชั้นต้องพูดออกมา เนื่องจากลำคอของชั้นยังไม่พร้อมที่จะทำงานเต็มที่ แต่ว่าตอนนี้ชั้นต้องรีบอธิบายสถานการณ์ให้กับเขาได้รับรู้
“ได้โปรด หนูมีเรื่องจะขอ… ต้องการกันคนอื่นๆออกไป… และบอกกับเมดของหนู คอนนี่ ไม่ให้ พูดเรื่องอาการของหนู…”
“ดะ-ได้สิ… ออฟรานซ์ รบกวนด้วย!”
ถึงจะเป็นคำขอที่ไม่คาดคิด แต่ท่านพ่อก็เคลื่อนไหวในทันที
“กระผมจะไปจัดการให้เดี่ยวนี้เลยครับ!”
ออฟรานซ์ซังรีบดำเนินการทันที ปรับสีหน้าของเขาแล้วออกจากห้องไป
หลังจากที่เห็นเขาออกไป ท่านพ่อก็หันมามองที่ชั้นอีกครั้ง
“อลิซ… โอ้ อลิซลูกพ่อ งั้นหรอ ในที่สุดลูกก็หายดีแล้วสินะ”
หัวใจของชั้นรู้สึกอบอุ่นจากการที่ท่านพ่อลูบแก้มของชั้นทั้งน้ำตาราวกับจะบอกว่าเขารักชั้นมากแค่ไหน ถึงชั้นจะมีความทรงจำผู้้ใหญ่จากชาติก่อน แต่ชายคนนี้ก็ยังคงเป็นพ่อของชั้นอยู่ดี ชั้นดีใจจริงๆที่ได้เรียกขวัญกำลังใจของเขาคืนหลังจากที่ทำให้เขาเป็นห่วงขนาดนั้น
“ท่านพ่อ หนูขอโทษค่ะ… หนูขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องลำบากอย่างมากเพราะหนู…”
“ไม่— ไม่เลย ไม่เป็นไรหรอกนะ อลิซ…! ขอแค่ลูกหายดี ขอแค่ลูกยังมีชีวิตอยู่ พ่อก็ยินดีมากแล้ว!”
ใบหน้าหล่อๆของท่านพ่อเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
จากมุมมองของท่านพ่อที่ไม่ได้รู้เรื่องของรูจ เขาก็ยังอภัยให้กับชั้น ถึงขนาดที่เขาอยู่ในจุดที่เกือบจะหย้าร้างเพราะชั้นแล้วก็ตามที
และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเรื่องที่รูจพูดเป็นความจริงละก็ ชั้นอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้น ชายคนนี้ก็ยังรักชั้นทั้งๆที่ชั้นเป็นแค่ลูกเลี้ยง
ชั้นรักท่านพ่อของชั้นมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ทว่า ชั้นรู้สึกผิดมากๆกับสิ่งที่กำลังจะบอกเขาต่อจากนี้
“ขอบคุณค่ะ ท่านพ่อ… แต่ได้โปรดอย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับท่านแม่เลยนะคะ”
ท่านพ่ออึ้งไปเลย
“แต่ว่าทำไมละลูก? เธออาจจะเป็นคนที่เป็นทุกข์ที่สุดจากอาการป่วยของลูกเลยนะ พวกเราต้องบอกเธอให้เร็วที่สุดสิ”
เนื่องจากชั้นรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็เลยพูดต่อ
“หนูเองก็อยากจะบอกท่านให้เร็วที่สุดเหมือนกันค่ะ… แต่หนูไม่อยากให้คนๆนึงรู้เรื่องนี้นะคะ”
“?! ลูกอย่าบอกนะว่า…”
มีใครบางคนที่ไม่อยากให้รู้ถึงการหายดีของชั้น พูดอีกอย่างก็คือ มีใครบางคนในครอบครัวที่มีความคิดชั่วร้ายและไม่อยากให้ชั้นหายดีอยู่
ขณะที่เขาเริ่มสงสัยถึงเรื่องนั้น ใบหน้าของท่านพ่อก็แข็งขึ้นแล้วร้องออกมา
“พวกนั้นทำอะไรกับลูก… อย่าบอกนะว่าลูกโดนวางยา?!”
“วางยา… อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะคะ…”
ชั้นตัดสินใจบอกความจริงกับท่านพ่อทั้งหมดโดยไม่มีการปิดบังใดๆเลย
MANGA DISCUSSION