บทที่ 1 ตอนที่ 11 ทีมสอบสวน
“เด็กกำพร้า…?”
ส่วนหนึ่งของชั้นที่เป็นอลิซต่างกรีดร้องออกมาหลังจากที่ได้ยินท่านแม่พึมพำแบบนั้น
ท่านแม่รู้ความจริงแล้ว
ท่านพ่อตัวแข็งทื่อไปเพราะสถานการณ์ที่เขากลัวที่สุด
ออฟรานซ์ซังเองก็เหมือนกัน เขาทำใบหน้าบูดบึ้งพร้อมกับกอดชั้นเอาไว้แน่นๆ
“ฮ่าๆ! ใช่แล้ว! นังเด็กนั่นไม่ใช่ลูกแท้ๆของแกกับนายท่านซะด้วยซ้ำ! คืนนั้นชั้นเห็นมันกับตา! ทั้งตอนที่นายท่านพาร่างของลูกสาวที่ตายไปแล้วออกไป และตอนที่เขาเอานังเด็กนั่นกลับมา!”
“แกคิดว่ายังไงละ?” รูจถามกับท่านแม่ด้วยน้ำเสียงราวกับปีศาจจากใต้พิภพ บางทีเธอคงคิดที่จะไม่แก้ตัวใดๆแล้ว แต่อยากจะทำร้ายท่านแม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเสียงกรีดร้องออกมาจากปากของท่านแม่เลย
“……แล้วยังไงละ?”
“ห่ะ?!”
ชั้นเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ ท่านพ่อกับออฟรานซ์ซังเองก็ตกใจเหมือนกัน
ท่านแม่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงสง่าผ่าเผย
“เธอคิดว่าชั้นไม่รู้ถึงเรื่องนั้นรึไง?”
ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ยินเธอพูดแบบนั้น
ท่านแม่ยังคงพูดต่อไป เธอสูดหายใจและพยายามยืดตัวเต็มที่เพื่อจะให้เธอดูภาคภูมิใจ
“……ชั้นรู้อยู่แล้วละ พลังเวทย์ของเด็กที่ชั้นให้กำเนิดหน่ะ ระส่ำระสายตั้งแต่ชั้นคลอดเธอออกมา ชั้นรู้ว่าไม่นานเธอก็จะหมดพลังลง แถมไฝน้อยๆที่อยู่ตรงคอของเธอตั้งแต่เกิดนั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นหลังจากที่ชั้นตื่นขึ้นในวันถัดมา ชั้นยังรู้อีกว่าสามีของชั้นที่เป็นคนไม่พูดอะไรยังคอยถามชั้นอย่างระมัดระวังว่าตัวชั้นเป็นไงบ้าง คงคิดว่าตัวชั้นจะรับข่าวร้ายนี้ไม่ได้…”
“ท่านแม่…?”
ชั้นส่งเสียงเรียกเธอออกไป
ท่านแม่หันมาทางชั้นด้วยความประหลาดใจ
“อลิซ… เสียงของลูก…?”
เธอมองมาที่ชั้นด้วยสายตาปลื้มปิติ ทว่าจากนั้นเธอก็สายหัวแล้วกลับไปทำใบหน้าจริงจังอีกครั้ง จากสถานการณ์วุ่นวายในตอนนี้ เธอคงจะรู้ว่าเธอควรจัดการกับเรื่องนี้ก่อนที่จะมาดึใจกับตัวชั้นที่หายดีแล้ว
“ถึงอลิซจะไม่ใช่ลูกแท้ของชั้น แต่ชั้นนั้นมีความรู้สึกอันล้นหลามที่จะเลี้ยงดูและปกป้องอลิซดั่งลูกแท้ๆอยู่ ดังนั้นชั้นยังคงรักอลิซถึงแม้จะรู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆของชั้น และเชื่อมั่นว่าในสักวันนึง สามีกับพี่ชายที่น่าจะคอยช่วยเหลืออยู่อย่างลับๆ จะพาชั้นไปเยี่ยมเยือนหลุมศพลูกแท้ๆของชั้นด้วยกัน”
“เอเลนอร์…”
ท่านพ่อกลืนคำพูดของเขาลงไปเพราะความรู้สึกที่ถาโถม
ชั้นเองก็เหมือนกัน ชั้นรู้สึกทึ่งในความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ของท่านแม่ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น หัวใจของชั้นก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เธอรู้เรื่องนั้นมาตลอด
เธอรู้ว่าชั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆของเธอ และยังเข้าใจในความรู้สึกของท่านพ่อที่พยายามซ่อนเรื่องนี้เอาไว้อย่างสิ้นหวัง รวมถึงเรื่องที่เธอรู้ตัวว่าเธอจะต้องปกป้องเลี้ยงดูชั้นที่ยังคงเป็นเด็กทารกอยู่ในตอนนั้น
เธอมองดูสถานการณ์ระหว่างท่านพ่อกับชั้นแล้วตัดสินใจที่จะปกป้องพวกเราทั้งคู่ด้วยตัวของเธอเอง นั่นแหล่ะท่านแม่ของชั้น
รูจผงะหลังจากที่เธอเห็นถึงความเข้มแข็งของท่านแม่ ทว่าเธอก็ยังคงตะโกนออกมาราวกับพยายามสู้กับจุดจบอันแสนโหดร้ายอยู่
“โกหก! นายท่านคะ! เธอพูดแบบนี้เพราะเธอไม่อยากหย่าร้างคะ! เธอทำเป็นยอมรับ…มัน…?!”
ท่านพ่อบังคับให้รูจเงียบลงด้วยเวทมนตร์ของเขา
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาตัดสินหรอกนะ”
ตอนที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ท่านแม่ก็ได้พูดต่อว่า
“ใช่แล้ว และเรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาตัดสินเองเหมือนกัน”
“ห๊ะ—?!”
ท่านพ่อก้มหน้าลงด้วยความเจ็บปวด
ท่านแม่ยังคงพูดต่อไป
“ถ้าเด็กคนนั้นจะตายไป ชั้นก็อยากจะให้คุณบอกเรื่องนั้นกับชั้นก่อน อยากจะให้คุณมาปรึกษาชั้นก่อนที่จะรับเด็กมาเลี้ยง… และถ้ามันถึงเวลาที่คุณจะต้องมีภรรยาคนที่ 2 หรือนางสนมละก็ อย่างน้อยๆชั้นก็จะเป็นคนแนะนำเพื่อหาคนที่ไว้ใจได้ให้เอง”
“ข้าจะไม่มีทาง…! เอเลนอร์…”
แรงกดดันจากความตั้งใจของท่านแม่ที่หลบซ่อนอยู่ภายในใจของเธอนั้นทำให้ท่านพ่อคอตกด้วยความละอายใจ เขาเริ่มที่จะขอโทษออกมาแต่ก็โดนขัดซะก่อน
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องขอโทษหรอก… เรื่องมันผ่านไปแล้ว ในตอนนี้ที่ชั้นได้สติกลับมา ชั้นสามารถพูดได้ว่า ต่อให้คุณจะพูดยังไงก็แก้อดีตไม่ได้ ทั้งเรื่องที่คุณไม่บอกอะไรชั้นหรือเรื่องที่ไม่เคยถามความเห็นของชั้น รวมถึงเรื่องที่คุณรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของคุณหรือไม่นั้น มาถึงตรงนี้ ทั้งหมดนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับชั้นแล้วละคะ”
ด้วยคำพูดนั้น ท่านแม่ก็ได้ก้าวไปข้างหน้า เธอตรงเข้าไปหารูจแล้วยกคทาของเธอขึ้น
“ชั้นมันอ่อนแอเองที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกควบคุมโดยพิษร้าย มันเป็นเพราะจิตใจที่อ่อนแอของชั้นเองที่ทำให้ครอบครัวของชั้นต้องมาทนทุกข์ทรมานนานถึงเพียงนี้… ดังนั้นชั้นจะจบมันลงตรงนี้แหล่ะ”
ท่านแม่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยคำพูดที่เหมือนกับคาถาออกมา
“ด้วยแสงสว่างแห่งดวงจันทร์อันไร้ลักษณ์ ข้าขอใช้คทาอันเก่าแก่นี้ส่งมอบพลังให้แก่ท่าน โปรดมอบพลังที่ไม่สั่นคลอนและแสดงแสงแห่งความจริงแกข้าผู้นี้ด้วย”
จังหวะที่ท่านแม่ร่ายคาถาจบ รูจก็กรีดร้องออกมา
“อ้าา—! ชั้น อ้าาา—! อ๊ากกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นราวกับสัตว์ป่าและสายฟ้าก็ได้ผ่าลงบนร่างของรูจ พลังเวทย์อันมหาศาลกำลังทรมาณเธออยู่
ออฟรานซ์ซังพยายามกอดชั้นเพื่อไม่ให้ชั้นเห็นฉากที่โหดร้าย ทว่านี้เองก็เป็นเรื่องของชั้นเช่นกัน ดังนั้นชั้นต้องดูมันให้ได้
ชั้นดึงตัวเองออกจากแขนที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยนของเขาโดยที่ไม่สนใจเสียงทักท้วงที่พยายามจะหยุดชั้น ดวงตาที่มีน้ำตาของชั้นกำลังจดจำภาพเบื้องหน้าลงไปในความทรงจำอย่างเต็มที่
“ตอนนี้ก็บอกชั้นมาได้แล้วว่าเธอมีเป้าหมายอะไร?”
ตอนที่ท่านแม่ลดคทาลงแล้วพูดขึ้นมาแบบนั้น รูจก็ตอบกลับมาโดยที่ร่างกายยังชักกระตุกจากไฟฟ้าอยู่เลย
รูจตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าด้วยความเจ็บปวด “ยะ-หย่า-ระ-ร้าง… ตะ-ต้อง-ต้องการ นะ-นาย-ท่านนนน…”
รูจตัวสั่น หลังจากนั้นก็อ่อนแรงลง
“ดี ดีมากที่ตอบมาอย่างซื่อสัตย์นะ”
ท่านแม่พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า และจากนั้นเธอก็ถามคำถามถัดไป
“เธอทำอะไรพวกเรา?”
ร่างของรูจที่กำลังผ่อนคลายลงก็ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าอีกครั้ง เธอไม่ทันได้ร้องออกมาซะด้วยซ้ำ
“อ้าา—! อ๊ากกกกก—!!!! มะ-ไม่มีวัน! บออออออออ—ก กะ-กะ-กะ-แก หรอกกกกกก!! ชั้นจะ-จะ ฆะ-ฆ่าา แกกกกกกกกก!”
เป็นภาพที่สยดสยองมากขนาดที่ทำเอาร่างกายของชั้นสั่นไปด้วยเลย
ทว่า พลังของท่านแม่ก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“เธออยากจะทุกข์ทรมานไป 2 ปีเหมือนกับชั้นงั้นหรอ? หรืออยากจะชิมไฟฟ้านี้ให้มากกว่านี้ดีละ? เอาละ พูดออกมาซะ”
จากนั้นท่านแม่ก็ใส่พลังเข้าไปอีกจนรูจร้องออกมาราวกับคนบ้า
เมื่อท่านแม่คลายพลังลงเล็กน้อย รูจก็เริ่มพูดออกมาทั้งน้ำตา
“ชั้น-ชะ-ชั้นข่มขู่… ลูกสาวของคุณด้วย… เอกสารปลอม… ร่ายคำสาป… เวทมนตร์ดำ… เพื่อต้อนให้เธอจนมุม… อะ…อาาาา… โกหก—ชั้นโกหก!… หลอกลวงนายท่าน… นายหญิง…อาาา”
ท่านแม่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเธอก็ใส่พลังลงไปในไฟฟ้ามากกว่าเดิม
“อ๊ากกกกกกกก!!!!!”
“เรื่องคำสาป บอกชั้นมาทุกอย่าง—รวมถึงการคลายมันลงด้วย!”
รูจกรีดร้องและร้องไห้ออกมา เสื้อผ้ากับผมของเธอนั้นไหม้ไปแล้ว ถึงยังงั้นเธอก็ยังคงอธิบายทุกอย่างออกมาได้แม้จะติดอยู่ในวงเวทย์นั่น
ร่างที่หมดแรงนั้นทิ้งตัวลงห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศราวกับถูกคนดึงคอเสื้อเอาไว้
ขนาดท่านแม่เองที่จ้องมองไปยังรูจอย่างเข้มแข็งก็ยังรีบเอามือปิดปากหลังจากที่เห็นฉากอันสยดสยองที่ตัวเธอเป็นคนทำเองเลย แต่ถึงยังงั้นเธอก็ยังพยายามที่จะสอบสวนต่อไป
จากนั้นท่านพ่อก็ได้วางมือลงบนไหล่ของท่านแม่
“ที่เหลือข้าจัดการเอง… ข้าไม่อาจทำอะไรเพื่อครอบครัวได้เลย… ดังนั้นให้ข้าได้จบเรื่องนี้เองเถอะนะ”
ท่านพ่อดึงท่านแม่ให้ถอยออกมาด้วยการกอดเธอ ท่านแม่พยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อปฏิเสธ แต่แรงแขนของท่านพ่อมีเยอะกว่าจึงทำให้เธอยอมถอยออกมาจนได้
ท่านพ่อทำการสอบสวนต่อจากท่านแม่ที่ตอนนี้ไม่ได้ออกไปจากห้องและกำลังยืนตัวสั่นอยู่
***
หลังจากนั้น การกระทำผิดของรูจก็ถูกเปิดเผย และคำสาปก็ถูกคลายลง
หลังจากยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อสาธารณะโดยมีขุนนางอยู่ในเหตุการณ์อย่างน้อย 3 คน ด้วยคำให้การและคำสารภาพของเจ้าตัว การตัดสินคดีความของรูจก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้น
ผลลัพธ์ก็คือโทษประหารชีวิต
เนื้อหาหลักๆถูกเปลี่ยนเป็น ‘ใช้เวทมนตร์ดำใส่ขุนนางที่มียศสูงกว่าโดยตั้งใจและเป็นเวลานาน’ มีอีกหลายอย่างที่ถูกเปลี่ยนเช่นกัน ตัวอย่างเช่นปลอมแปลงเอกสาร, เปิดเผยความลับของตระกูล, และไร้ความเคารพ ทว่าถึงแม้จะสาธยายความผิดของเธอไม่หมด เวลาของเธอก็ได้หมดลงซะแล้ว
อนึ่ง เวทมนตร์ที่ท่านพ่อใช้กับรูจนั้นมันไม่ได้ถูกกฎหมายแถมยังเป็นเวทย์ที่ถูกห้ามใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ทว่า ‘เพราะมีเด็กอายุ 3 ขวบตกเป็นเป้าหมายของคำสาปถึง 2 ปีจนเกือบจะตายในตอนที่คำสาปทำงานสำเร็จ’ และ ‘ขุนนางตำแหน่งสูงกว่าที่เป็นเป้าหมายของการควบคุมจิตใจก็เกือบจะหย่าร้างโดยที่ไม่เต็มใจ’ มันเลยถูกนับเป็นการป้องกันตัวอย่างถูกต้อง
รูจร่ายคำสาปโดยใช้ดวงตาของเธอเป็นสื่อกลาง
เงื่อนไขของคำสาปที่รูจใช้นั้นมีดังนี้:
1. เป้าหมายหลักที่จะใช้คำสาปและควบคุมจิตใจก็คือ “อลิซ”
การจะทำแบบนั้นได้ก็คือเธอต้องไม่สบตากับคนอื่นๆนอกจากเป้าหมายหลักไปจนตาย ถ้าไม่อย่างนั้นคาถาก็จะคลายลง
2. ในส่วนของเป้าหมายรอง รูจจะสามารถใช้คำสาปเพื่อบงการความคิดของ “ซิกมุนด์”, “เอเลนอร์”,และ “ออฟรานซ์” ได้ เพื่อให้คนเหล่านี้ไม่รู้สึกตัวถึงแผนการของเธอ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเป้าหมายกับผลลัพธ์ของมันจะถูกทำให้แคบลงจนเหลือแค่นี้ก็ตาม ปกติแล้วคำสาปมันก็ไม่สามารถทำงานได้ด้วยพลังเวทย์ที่รูจมีหรอก ไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ได้ผลกับขุนนางชั้นสูงอย่างตระกูลอาเชอร์เลซที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่ง
เพราะแบบนั้น รูจก็เลยวางเงื่อนไขเพิ่มอีกหนึ่งข้อ
3. ถ้าเป้าหมายของเธอสำเร็จ เธอจะเสียการมองเห็นที่ตาข้างนึงไปพร้อมกับการได้ยินเสียงของหูหนึ่งข้างของเธอ
เธอเพิ่มเงื่อนไขข้อนี้ลงไปและจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนด้วยร่างกายของเธอเอง
มันเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงแต่รางวัลต่ำขนาดที่คนสติดีๆไม่คิดจะทำ ถึงผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีมากเลยก็เถอะ รูจเสียสติไปแล้วอย่างเห็นได้ชัดเลย
เหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงเล็งเป้ามาที่ชั้นแทนที่จะเป็นท่านแม่ที่ตัวเธอเกลียดมากๆนั้น ก็เพราะว่าตัวชั้นยังเป็นแค่เด็กและมีการต้านทานเวทมนตร์ที่ต่ำ แถมมันยังช่วยลดความเป็นไปได้ที่แผนการจะถูกเปิดโปงได้มากที่สุดอีกด้วย
นอกจากนี้ เธอคิดว่าหลังจากที่กำจัดชั้นออกไปได้แล้ว เธอคงจะบังคับท่านแม่ที่กำลังหดหู่ให้ออกห่างจากท่านพ่อที่กำลังอ่อนแอได้ง่ายยึ่งขึ้น
ด้วยผลกระทบของการทำลายคำสาป รูจจึงสูญเสียการมองเห็นและการได้ยินจากทั้งดวงตากับหูทั้งสองข้างของเธอไปแทบทั้งหมด
มิหนำซ้ำ บันทึกเกี่ยวกับตระกูลบารอนของเธอนั้นก็ได้ถูกลบหายไปจนหมด และกว่าที่พวกเราจะรู้ตัว ในวันที่เธอกำลังจะถูกประหาร เธอก็ได้ตายด้วยโรคฮิสทีเรียภายในคุกไปซะแล้ว
MANGA DISCUSSION