[นิยายแปล] Kanojo ga Senpai ni NTR-reta node, Senpai no Kanojo wo NTR-masu - ตอนที่ 44 คืนก่อนศึกชี้ชะตา (ตอนต้น)
- Home
- [นิยายแปล] Kanojo ga Senpai ni NTR-reta node, Senpai no Kanojo wo NTR-masu
- ตอนที่ 44 คืนก่อนศึกชี้ชะตา (ตอนต้น)
“เป็นไง อิชชิกิคุง?”
รุ่นพี่โทวโกะที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยหน้าตาดูกังวลเล็กน้อย ถามผมอย่างนั้น
“อื้ม อร่อย มาก ๆ เลยครับ!”
ผมชมอย่างไม่เยินยอ
อาหารมื้อนี้ไม่มีที่ติเลย!
“เย้!”
รุ่นพี่โทวโกะยิ้มเหมือนเด็กผู้หญิงแล้วชูกำปั้นขึ้นเล็ก ๆ
เธอต่างไปจากที่เคย รวบผมยาวด้วยที่รัดผม และสวมผ้ากันเปื้อน
รุ่นพี่โทวโกะที่เอนทั้งตัวแล้วชูกำปั้นเล็ก ๆ ตรงหน้าอกนี่ น่ารักจริง ๆ
“เพิ่งจะครั้งที่สามเอง แต่พัฒนาได้ถึงขนาดนี้เนี่ย สมแล้วจริง ๆ ครับ รุ่นพี่โทวโกะ”
“เอะเหะ ๆ ต้องขอบคุณเธอนั่นแหละนะ”
รุ่นพี่โทวโกะตอบอย่างนั้นด้วยสีหน้ายิ้มไม่เต็ม
ที่รุ่นพี่โทวโกะพูดว่า ‘จนถึงวันชี้ชะตา อยากจะทำอาหารให้เป็น’ นั้น ประมาณครึ่งเดือนก่อนได้
วันชี้ชะตา หรือก็คือคริสต์มาส อีฟ นั้น สมาชิกที่สนิทสนมกันในชมรมก็จะรวมตัวกันจัดงานเลี้ยงฉลอง
รุ่นพี่โทวโกะจึงบอกกับผมว่าอยากจะฝึกแสดง ‘ฝีมือทำอาหารแบบผู้หญิง’ ที่นั่นด้วย
“ฉันจะฝึกทำอาหารที่บ้าน เลยอยากให้อิชชิกิคุงมาชิมดูน่ะ”
พอว่ามาอย่างนั้น ผมก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของรุ่นพี่โทวโกะด้วยความยินดี
“ไม่มีใครอยู่น่ะ เข้ามาสิ”
ด้วยคำพูดต้อนรับของรุ่นพี่โทวโกะอย่างนั้น ผมเกิดคาดหวังแปลก ๆ ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
“บ้านโออ่าจังเลยครับ”
ผมที่ผ่านห้องนั่งเล่น เอ่ยปากชมจากใจ
ตัวบ้านเองที่เห็นจากภายนอกก็ดูใหญ่โอ่อ่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าภายในเองก็หรูหราพอตัว
“ก็ ตามสมควรล่ะมั้งคะ?? ทางนี้เองพ่อแม่ทั้งคู่ก็ทำงานเต็มเวลาอยู่เหมือนกันน่ะ”
“คุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรอยู่หรอครับ?”
“พ่อแม่ทั้งคู่เป็นหมอค่ะ พ่อเปิดโรงพยาบาลจิตเวชอยู่ที่โตเกียว ส่วนแม่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งน่ะ”
—— ฮะฮา แล้วอย่างนั้น ——
ผมเข้าใจอะไรขึ้นมาพิกล
“พ่อแม่เองก็ดูจะอยากให้ฉันเรียนคณะแพทยศาสตร์อยู่เหมือนกัน แต่ว่าฉันไม่ได้มีความสนใจจะเป็นหมอเลยน่ะ”
“ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำงานเต็มเวลาอย่างนี้ เรื่องงานบ้านทำยังไงหรอครับ?”
“มีคนทำงานบ้านมาสัปดาห์ละสามครั้ง แล้วก็ครอบครัวของแม่ก็อยู่ใกล้ ๆ นี้เอง ทุกวันคุณยายจะมาทำอาหารหรือซักผ้าให้น่ะ”
เพราะอย่างนั้นรุ่นพี่โทวโกะถึงได้ทำอาหารไม่เป็น ว่างั้นสินะ
แต่จะว่าไปผมก็เป็นลูกคนเดียวที่พ่อแม่หาเงินทั้งคู่ แต่ก็ทำอาหารกับงานบ้านทุกอย่างได้หมด
ตอนนั้นเองผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ถ้าจำไม่ผิดมีน้องสาวห่างกันสามปีอยู่ด้วยนี่ครับ? วันนี้ออกไปข้างนอกหรอครับ?”
“เธอคนนั้นน่ะเป็นเด็กชอบทำตามอำเภอใจ ไม่รู้หรอกว่าทำอะไรอยู่หรอกค่ะ วันนี้เองก็น่าจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนสักที่อยู่แหละ”
ด้วยรอยยิ้มเหนื่อยใจนั้น รุ่นพี่โทวโกะก็เอาอาหารออกมาข้างหน้าผม
“เอาล่ะ ลองชิมดูสิ อยากให้ออกความเห็นแบบตรงไปตรงมาน่ะ”
ทว่าจากสายตาผมที่เห็นจานตรงหน้า ก็พอจะเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องชิมเลย ถ้าให้ว่าตามตรง
คาราอาเกะออกสีดำ, เค้กที่ผิดรูปผิดร่าง, แล้วก็ซี่โครงหลังที่เกรียมถ่านเป็นหย่อม ๆ
ที่จะพอดูได้ก็มีแค่สตูว์เนื้อมันฝรั่งล่ะมั้ง?
“ผสมผสานแบบตะวันตกหรอครับ?”
ผมลองถามเบา ๆ
“อื้ม คิดว่าอยากจะลองดูว่าวิธีแบบไหนที่ฉันพอจะทำได้ง่าย ๆ บ้างน่ะ”
ตอบอย่างไม่มีความมั่นใจ
ก่อนอื่นสตูว์เนื้อมันฝรั่งคำนึง
แล้ว ด้วยคำนั้น ลิ้นมันก็ฟ้องว่า ‘บ่ไหว’
ใด ๆ ก็ตาม เค็มมาก
“เป็นไงบ้าง?”
รุ่นพี่โทวโกะถามอย่างเป็นกังวล
“อ- อืม นั่นสินะครับ รสหวานยังไม่พอ หรือโชยุมากไปหรือเปล่านะ…”
ผมตอบอย่างกำกวม
จะว่าไป มันไม่ใช่สตูว์เนื้อมั่นฝรั่ง แต่มันคือ ‘เนื้อกับมันฝรั่งต้มโชยุ’
“บอกมาตรง ๆ เลยค่ะ!”
รุ่นพี่โทวโกะเร้า
“อืม~ม นั่นสินะครับ อาจจะเป็นเพราะน้ำตาลหรือมิรินไม่พอ เพราะอย่างนั้นคิดว่าโชยุแรงเกินไปน่ะครับ”
“—— งั้นหรอ ——“
รุ่นพี่โทวโกะดูผิดหวังนิดหน่อย
ต่อไปผมชิมคาราอาเกะออกสีดำ
ส่วนที่ออกดำไม่ค่อยรู้สึกถึงรสชาติเท่าไร
ความดำนี้เป็นเพราะทอดในน้ำมันที่ร้อนมากเกินไป
ด้วยเหตุนั้น เนื้อก็เลยแห้ง
“อันนี้คิดว่าน่าจะเป็นเพราะทอดนานเกินไปครับ แล้วก็ตัวเนื้อไก่ถ้าปรุงรสให้มากกว่านี้…”
“งั้นเองหรอ…”
โทนเสียงยังคงทุ้มต่ำ
ท้ายสุดซี่โครงหลังผิวเกรียมถ่าน
แต่ว่า นี่มันคือที่พังที่สุด
พอจะตัดแบ่งเพื่อให้กินได้ น้ำแทรกเนื้อสีแดงก็ไหลออกมาจากข้างใน
พอลองดูที่หน้าตัด ส่วนที่ติดกระดูกยังไม่สุกดีเลย
ด้วยความที่เป็นซี่โครงหมู ถ้าไม่สุกคือแย่
ผมมองดูสีหน้าของรุ่นพี่โทวโกะ แล้วพูดอย่างกลัว ๆ
“เอ่อ รุ่นพี่โทวโกะครับ อันนี้ เอาออกมาจากตู้เย็นแล้วลงไฟเลยหรือเปล่าครับ? ส่วนผิวนอกไหม้จนดำแล้ว แต่ส่วนข้างในยังไม่สุกเลยครับ”
รุ่นพี่โทวโกะเองก็มองแล้วก็ส่งเสียง “อะ” ออกมา
“จริงด้วยสิ พอดีข้างนอกมันสุกหมดแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะไม่เป็นไรแล้วน่ะ”
“บางทีเนื้อน่ะครับ ถ้าออกมาจากตู้เย็นแล้วไม่ทำให้กลับสู่อุณหภูมิห้องก่อนล่ะก็ คิดว่าโอกาสที่จะกลายเป็นแบบนี้สูงมากครับ แล้วก็ความร้อนของเตาน่าจะไม่พอด้วยครับ”
“—— ขอโทษนะคะ ——“
รุ่นพี่โทวโกะเฉาไปหมดซะแล้ว
จากทัศนคติของเธอที่เคยเป็น กลายเป็นท้อแท้ไปเสียอย่างที่ไม่เคยนึกเคยฝัน
“ไม่จำเป็นต้องหมดหวังขนาดนั้นก็ได้ครับ ตอนแรกสุดไม่ว่าใครก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เพราะการทำอาหารเป็นสิ่งที่เก่งขึ้นได้จากความผิดพลาดนะครับ”
ผมพูดให้กำลังใจรุ่นพี่โทวโกะที่กำลังเป็นเศร้า
เมนูตอนที่ถูกเรียกมาเป็นครั้งที่สอง ก็คือคาราอาเกะกับสลัดมันฝรั่งต้มและเค้กชิฟฟ่อน
คาราอากะดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว
สลัดมันฝรั่งต้มก็ทำออกมาได้ดี
ทว่าปลาสเตอร์ที่แปะอยู่นิ้วมือทั้งสองข้างหลายอัน สื่อให้เห็นถึงร่องรอยแห่งความพยายาม
แต่ว่าเค้กชิฟฟ่อนนั้นพินาศมาก
“ว่าแล้วเชียว ไม่ไหวสินะ?”
คงจะเดาจากสีหน้าของผมตอนที่เอาเค้กเข้าปาก รุ่นพี่โทวโกะพูดอย่างสลดใจ
เค้กยังไม่ขึ้นฟู เนื้อฟองน้ำโดยรวมยังให้ความรู้สึกแข็ง ๆ กรุบ ๆ อยู่
นอกจากนี้ยังมีก้อนแป้งเล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด
“เนื้อฟองน้ำไม่มีสัมผัสความนุ่มเลยครับ แล้วก๋็ยังมีก้อนแป้งเล็ก ๆ อยู่ทั่ว ๆ ครับ”
ผทตอบไปตามความจริง
รุ่นพี่โทวโกะก็รู้สึกดิ่งไปอีกครั้ง
“—— ควรจะทำยังไง ดีล่ะคะ?”
“เรื่องนั้นผมเองก็—— ไม่เคยทำเค้กอะไรมาก่อนด้วยสิครับ”
ครั้งนี้เองก็เป็นการชิมฝีมืออาหารของรุ่นพี่โทวโกะ พอถึงครั้งที่สามก็ได้ชิมอาหารอร่อยขึ้นมาแล้ว
สองครั้งก่อนหน้านี้ รู้สึกเหมือน ‘การทดลองมนุษย์’ มากกว่าจะเรียกว่าชิมอาหาร
ครั้งนี้รุ่นพี่โทวโกะทำแฮมเบิร์กลูกหมู, คาราอาเกะแบบฟรายชิคเก้น, สลัดมันฝรั่งต้ม, รวมถึงชอร์ทเค้กก็รสชาติค่อนข้างดีทีเดียว
ระดับที่ต่อให้เสิร์ฟในร้านก็ไม่น่าอาย
ผมเองพอได้ทานแล้วก็ยิ้มขึ้นมาเอง รุ่นพี่โทวโกะที่เห็นอย่างนั้นก็ดูพอใจ
พอทานเสร็จผมก็เอ่ยถาม
“จะเสิร์ฟมื้อนี้ในวันชี้ชะตาใช่ไหมครับ?”
สีหน้ารุ่นพี่โทวโกะหุนหันจริงจังขึ้นมา
“นั่นสินะคะ แต่ว่าก่อนหน้านั้น มีสิ่งนึงที่ต้องทำก่อนอยู่น่ะ”