[นิยายแปล] Isekai Apocalypse MYNOGHRA ~The Conquest of the World Starts With the Civilization of Ruin~ - ตอนที่ 47 Falling Moon
ถ้าคนเขียนบทมาเห็นฉากนี้ เขาคงจะบอกว่าเนื้อเรื่องมันห่วยมากๆ
ชายที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีที่มาที่ไป และดูแปลกประหลาด
“นายเป็นใคร?”
ซีเรียถามออกมา
น้ำเสียงของเธอราวกับกำลังพยายามข่มกลั้นความโกรธเอาไว้อยู่
เหตุผลเดียวที่เธอยังไม่โจมตีใส่เขา เป็นเพราะอีกฝ่ายสามารถสังหารจอมมารลงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
มันดูง่ายดายราวกับที่จัดการไปเป็นเพียงลูกกระจ๊อกตัวเล็กๆ ที่แน่ๆคือเขาจะต้องมีทักษะสูงมาก
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่วิธีที่เหมาะจะใช้กับจอมมาร พวกเธอไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งของเขาได้เลย
ดังนั้น ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายก่อนที่จะลงมือทำอะไร
“ก็…พวกเธอกำลังโดนโจมตีอยู่นี่ ผมก็เลยมาช่วยยังไงล่ะ?”
ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ
ราวกับเขาแค่บังเอิญเจอคนรู้จักเลยเข้ามาช่วยเหลือเท่านั้น
ดินแดนแห่งนี้อยู่บริเวณทางใต้ซึ่งห่างไกลจากอารยธรรมต่างๆ
ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายได้เลยว่าทำไมเขาถึงทำตัวสบายๆแบบนั้น
พี่น้องเอลเฟอร์มองหน้ากัน
ชายคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู? คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัวของพวกเธอที่ถูกความบ้าคลั่งกลืนกิน
ถึงอย่างนั้น ต่อให้เขาจะเป็นมิตร แต่การทำแบบนี้มันก็ถือว่าเป็นการดูถูกพวกเธอที่กำลังจะปิดฉากศัตรูอย่างมาก
“ช่วยหรอ? ดูให้ดีๆ พวกเราดูเหมือนต้องการความช่วยเหลือ?”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ แปลกจัง พวกเราไม่ได้ขอให้ใครช่วยสักหน่อย ทำไมนายถึงคิดว่าพวกเราต้องการความช่วยเหลือด้วยล่ะ?”
ถึงจะเป็นแค่สัญชาตญาณของแม่มด…แต่ท่าทีของชายคนนั้นทำให้พวกเธอรู้สึกอึดอัด มันประหลาดมากพอจนทำให้พวกเธอต้องพูดออกมา
“บางที…”
นั่นคือเหตุผลสินะ
“นายเข้ามาขวางเราเพราะมีจุดประสงค์สินะ?”
ชายคนนั้นปิดปากเงียบ
ดวงตาของมีเรียเบิกกว้างจนถึงขีดสุด และใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งจ้องไปที่ชายคนนั้นราวกับต้องการมองมันให้ทะลุปรุโปร่ง
ในที่สุด ชายคนนั้นก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความบ้าคลั่งของพี่น้องเอลเฟอร์ เมื่อพวกเธอเริ่มแสดงสีหน้าที่ดูน่ากลัวออกมา เขาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้ถูกรูปลักษณ์ของเขาหลอกเอา
“อ่า ฮ่ะฮ่า! ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ก็แค่บังเอิญน่ะ บังเอิญ! เชื่อผมสิ! ดูสิ สีหน้าโมโหแบบนั้นไม่เหมาะกับสาวน้อยอย่างพวกเธอเลยนะ! ผมก็แค่…”
เด็กหญิงทั้งสองต่างยกอาวุธขึ้นมา
อาวุธพวกนี้ถูกยึดมาจากจอมมาร และยังคงอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่หายไปหลังจากที่จอมมารได้ตายลง
ง้าว และดาบคู่ที่ผ่านศึกสงครามในต่างโลก และเต็มไปด้วยพลังงานชั่วร้าย พวกมันได้สะท้อนแสงจันทร์และกำลังรอคอยเหยื่อตัวต่อไปอยู่
“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ! เดี๋ยว! ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมแค่อยากจะช่วยจริงๆนะ!”
ชายคนนั้นแบมือออกมาด้านหน้า และพยายามกล่อมให้สองแฝดใจเย็นลงอย่างสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตาม บนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะหยุดเด็กหญิงผู้บ้าคลั่งสองคนนี้ได้
ไม่สิ…เคยมี แต่พวกเขาหายไปหมดแล้ว
เป็นเพราะเขาเห็นบรรยากาศรอบตัวพวกเธอ หรือสัญชาตญาณของเขากำลังร้องเตือนอยู่กันแน่…?
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเธอ เขาจึงยักไหล่ และพูดออกมา “ช่วยไม่ได้สินะ”
จากนั้นท่าทีขี้เล่นก่อนหน้านี้ได้หายไป และเขาทำการแตะดาบซึ่งห้อยอยู่ตรงเอวเงียบๆ
“หยุดเถอะ พวกเธอในตอนนี้สู้ผมไม่ได้หรอก”
เพื่อเป็นการตอบสนองต่อจิตสังหารของสองแฝด เขาได้ชักดาบออกมา
อย่างไรก็ตาม น่าแปลกที่ดูเหมือนเขากำลังทำตามบทอะไรสักอย่าง
ราวกับว่ากำลังขยับตัวไปตามบทที่ถูกเขียนไว้
ราวกับเขากำลังถูกบังคับให้เล่นไปตามบทบาทที่ต่างจากก่อนหน้านี้
ท่าทางของเขาดูผิดธรรมชาติ
….แล้วมันยังไงล่ะ?
สองแฝดรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับความรู้สึกไม่สบายตัวที่พวกเธอได้รับ
พวกเธอไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
ประเด็นหลักก็คือความจริงที่ว่าชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ทำให้อดีตที่ผ่านมาของพวกเธอแปดเปื้อน
คำอธิษฐานและการชดใช้ให้กับอดีตของพวกเธอถูกทำลายโดยชายคนนี้
ผลของการต่อสู้ที่พวกเธออุทิศให้กับมารดาผู้ล่วงลับถูกแย่งไป พวกเธอไม่สามารถสังหารศัตรูของมารดาได้ตลอดกาล
ช่างน่าอดสูอะไรแบบนี้ ช่างน่าโมโห
ความเกลียดชังที่ทวีคูณขึ้นมาจนพี่น้องเอลเฟอร์ไม่อาจอดกลั้นมันได้อีกต่อไป ในที่สุดพวกเธอก็ปลดปล่อยบรรยากาศชั่วร้ายที่หนาแน่นออกมา
ทั้งโลกต่างเงียบงัน
นี่คือความสงบก่อนพายุจะมา
พวกเขาต่างอยู่ในระยะของกันและกัน ใกล้กันมากพอที่จะส่งเสียงไปถึง
สิ่งที่เหลือก็คือรอให้มีสัญญาณบางอย่าง จากนั้นการต่อสู้ก็จะเริ่มขึ้น
ชายคนนั้นก้มตัวลงไปที่เอว และตั้งท่าเตรียมพร้อม
สองแฝดย่อตัวลงไป อยู่ในท่าเตรียมพุ่ง
และ…ทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็ไม่รู้จักกัน
การฆ่าฟันที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“หยุดอยู่แค่นั้นแหละ!”
” —- !?”
วันนี้มีแต่เรื่องที่ขัดจังหวะ
และเหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้นมากมาย
เพราะเสียงอันแผ่วเบานั้น การต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้นได้ถูกขัดซะก่อน
ความสับสนได้เกิดขึ้นชั่วขณะ จากนั้นสองแฝดก็รู้สึกตัวว่าบริเวณเท้าของพวกเธอโดนแช่แข็งติดกับพื้น
“สุดยอดจริงๆ บังคับหยุดอีเว้นท์ที่เริ่มไปแล้วได้ยังไงกันนะ? มิติไม่บิดเบี้ยวเอาหรอ?”
มันไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดาๆ
ฝาแฝดทั้งสองต่างสืบทอดความสามารถของอิสลามา ความแข็งแกร่งของพวกเธอในฐานะฮีโร่ไม่สามารถหยุดได้ด้วยน้ำแข็งธรรมดาๆ
แต่การกระทำของพวกเธอถูกหยุดเอาไว้ ถึงแม้พวกเธอจะเข้าสู่ตำแหน่งที่กำลังเข้าโจมตีแล้วก็ตาม
มีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้
ขณะที่ทำความเข้าใจกับความจริงข้อนั้น สองแฝดต่างมองไปยังทิศทางของเสียงที่ส่งออกมา
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือ…ฮีโร่ของพวกเธอ อาโทวแห่งโคลนเลน
เธอหยุดเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์
สกิลที่อาโทวใช้ก่อนหน้านี้ก็คือสกิลพิเศษที่ถูกเรียกว่า ‘กลาเซียร์ ครัช’ ซึ่งเป็นสกิลที่เธอชิงมาจากหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ ไอซ์ร็อค
มันเป็นท่าพิเศษ ซึ่งหากโจมตีโดนฝ่ายตรงข้ามจะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ และทำให้ผู้ใช้สามารถโจมตีครั้งถัดไปใส่อีกฝ่ายได้อย่างอิสระ
…มันเป็นสกิลโกงที่ไม่สามารถมองเห็นได้
ขณะที่กำลังสงสัยว่าทำไมสกิลของตัวละครจากเกม RPG ถึงมีความสามารถที่ไร้เหตุผลแบบนี้ อาโทวก็เพ่งสมาธิเพื่อรายงานสถานการณ์ให้ทาคุโตะทราบผ่านเทเลพาธี และเคลื่อนที่เข้าไปหาฝาแฝดทั้งสองอย่างเงียบๆ
“ว้าว สาวอีกคนล่ะ!?”
ชายคนนั้นตะโกนออกมาเมื่อเห็นอาโทว
“…………”
อาโทวจ้องไปที่ชายคนนั้น
เธอดูงุนงงชั่วขณะ จากนั้นจึงมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย
เธอผงกหัวขึ้นลงอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนเธอกำลังติดต่อกับทาคุโตะผ่านเทเลพาธีอยู่
ไม่เหมือนกับสองแฝด พวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับชายคนนั้นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
“นั่นมัน ก็…เอ่อ ความลับของบริษัทล่ะมั้ง? อ่า ต่อให้บอกว่าเป็นความลับของบริษัทเธอก็คงไม่เข้าใจสินะ? ฮ่ะฮ่ะ”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเขา อาโทวแอบกระซิบอยู่ในใจว่า ‘ฉันรู้ว่าบริษัทคืออะไร’ จากนั้นเธอก็เมินชายคนนั้นและทำการปรึกษากับทาคุโตะ
แต่เธอยังคงคอยสังเกตุท่าทีของชายคนนั้น และไม่ลดการป้องกันลง
“ทราบแล้วค่ะ ท่านทา– ฝ่าบาท”
เพียงไม่กี่วินาที หลังจากได้รับการแนะนำจากทาคุโตะ อาโทวจ้องชายคนนั้นแล้วจึงหันหน้าไปอีกทาง
จากนั้น ขณะที่ชายคนนั้นเริ่มจะหงุดหงิดกับท่าทีของอาโทว เธอได้เรียกฝาแฝดทั้งสอง
“ฉันได้ยินเรื่องจากฝ่าบาทแล้ว เป้าหมายของพวกเธอ—สำเร็จแล้วใช่มั้ย? ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ”
ใช่แล้ว มันไม่ปกติ แต่คำสั่งที่อาโทวได้รับมาก็คือให้พาตัวทั้งคู่กลับไป
เธอจึงจำเป็นจะต้องพาฝาแฝดทั้งสองกลับไปยังไมน็อกกราห์อย่างปลอดภัย
โชคดีที่ดูเหมือนจอมมารซึ่งเป็นศัตรูของทั้งคู่โดนกำจัดไปแล้ว ดูเหมือนว่าขากลับไม่น่าจะมีปัญหา
แต่…
“คนๆนั้นเข้ามาขวาง”
“ปล่อยไว้ไม่ได้”
พี่น้องเอลเฟอร์ยังไม่เสร็จธุระกับเขา
ทั้งคู่ต่างสิ้นหวัง และกำลังหาที่ระบายความเศร้าโศกและเกลียดชังนี้
“อะไรนะ? ฝ่าบาทได้เอ่ยออกมาแล้วไม่ใช่รึไง? ทำไมพวกเธอถึงไม่ฟังล่ะ? พวกเธอนี่มัน—เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?”
ประโยคที่สองแฝดตอบกลับมาทำให้อาโทวหัวเสีย
สำหรับเธอแล้ว ทาคุโตะสำคัญที่สุด และในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าในฐานะที่เป็นประชาชนของไมน็อกกราห์ เหล่าดาร์คเอลฟ์ก็ควรจะยึดถือตามนั้นเช่นกัน
พวกดาร์คเอลฟ์อ่อนแอพวกนี้ ผู้ที่ได้รับความเมตตาจากทาคุโตะให้กลายมาเป็นประชาชนของไมน็อกกราห์ไม่ควรต่อต้านคำสั่งของกษัตริย์
“อย่ามาขวางพวกเราเลยค่ะ”
“อาโทวซัง ถ้าคุณเข้ามาขวาง หนูจะไม่ให้อภัยคุณเด็ดขาด”
“หยิ่งผยองเพราะพลังที่ได้มาใหม่นี่น่ะหรอ?”
เสียงของเธอราวกับมีบางอย่างขาดผึง
รยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏออกมาด้านหลังของอาโทว
รยางค์ของเธอกวัดแกว่งไปมา รยางค์แต่ละเส้นราวกับมีความคิดเป็นของตนเอง เธอตะคอกใส่เหล่าเด็กผู้โง่เขลาซึ่งปฏิเสธคำสั่งของทาคุโตะ
ปัจจุบันพลังต่อสู้ของอาโทวนั้นยังไม่แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่แท้จริงของอาโทวไม่ใช่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ แต่เป็นความสามารถในแย่งชิงความสามารถของศัตรูได้อย่างไร้ขีดจำกัด
และเธอได้กลืนกินความสามารถของศัตรูมากมายจากการต่อสู้กับกองทัพจอมมารก่อนหน้านี้
ปัจจุบัน ความสามารถของฝาแฝดทั้งสองค่อนข้างเป็นปัญหาอยู่บ้าง
ความสามารถของพวกเธอแต่ละคนไม่จัดว่าต่ำเลย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหา
เหมือนก่อนหน้านี้ เธอสามารถใช้ ‘กลาเซียร์ ครัช’ เพื่อหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นค่อยใช้รยางค์เพื่อโจมตีระยะไกลใส่ได้
อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ได้รับการสืบทอดพลังมาจากฮีโร่ ดังนั้นพวกเธอไม่น่าจะตายกับการโจมตีแค่นี้
พวกเธออาจจะได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถขยับตัวได้ หากหมดสติไปก็ยิ่งดี และต่อให้พวกเธอจะไม่สามารถฟื้นตัวได้…นั่นก็ถือว่าเป็นความเสียหายที่จำเป็นอยู่ดี
อาโทวตัดสินใจอย่างสงบ และเริ่มประเมินสถานการณ์ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
เธอคือฮีโร่โดยกำเนิด
สัญชาตญาณต่อสู้ที่เหล่านักรบชั้นสูงของไมน็อกกราห์ภาคภูมิใจ ต่อให้เป็นสองแฝดในปัจจุบัน ก็ยังยากที่จะเอาชนะอาโทวได้
พวกเธอไม่สามารถทำลายอีกฝั่งได้
สองแฝดนั้นต่อสู้เพื่ออดีต ส่วนฮีโร่นั้นต่อสู้เพื่อกษัตริย์
บางทีชายคนนั้นอาจจะกำลังคิดที่จะร่วมด้วย เพราะเขาเอาแต่โบกมือไปมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันจะกลายเป็นการต่อสู้ทั้งสามฝ่าย
ในขณะนั้นเอง…
แสงจันทร์ได้จางลงไป
ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แค่รุ่งสางได้มาถึง
เมื่อพวกเขารับรู้ว่าดวงจันทร์ได้จางลง และค่อยๆเลือนหายไป
ขณะเดียวกัน แสงอันรุนแรงได้ส่งออกมาจากฝั่งตรงข้าม และดวงอาทิตย์ได้โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าขึ้นมา
“……..ซีเรีย พอเถอะ”
“พี่…”
“…………?”
มีเรียผู้เป็นพี่พึมพำขณะที่มองไปยังดวงจันทร์
ดูเหมือนพวกเธอจะคิดเหมือนกัน และจับจ้องไปยังดวงจันทร์ราวกับกำลังผิดหวังอยู่
ในที่สุด พวกเธอได้หันหน้าออกจากดวงจันทร์ด้วยท่าทีเศร้าโศก และหันกลับมาหาอาโทว จากนั้นจึงก้มหัวลงต่ำ
“…อาโทวซัง ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
“ขอโทษที่หยาบคายค่ะ”
ทั้งคู่ที่แสดงการขอโทษ ดูแล้วไม่ต่างไปจากเด็กหญิงตัวน้อยๆที่อาโทวรู้จักก่อนหน้านี้เลย
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คือพวกเธอยอมทำตามคำสั่งที่เรียกตัวกลับไปแล้ว
อาโทวจ้องไปยังดวงจันทร์ จากนั้นจึงพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าทราบแล้ว เธอค่อนข้างผิดหวังในตัวเด็กน้อยทั้งสองที่เธอคิดว่ารู้สึกชื่นชอบเล็กน้อย
“…เข้าใจแล้ว ถ้าพวกเธอทำตามที่สั่ง ฉันก็จะถือว่าไม่ได้ยินเรื่องที่เพิ่งพูดออกมาแล้วกัน ไปขอโทษฝ่าบาทให้ถูกต้องด้วยล่ะ”
“ทราบแล้วค่ะ พวกเราจะไปขออภัยต่อฝ่าบาท”
“ดี”
จากนั้นพวกเธอก็ไปยืนอยู่ข้างๆอาโทว
พวกเธอพึมพำเล็กน้อย ดูเหมือนพวกเธอจะทำการขอโทษกษัตริย์ทันทีโดยการใช้เทเลพาธี
อาโทวหันกลับไปมองชายผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุดในสถานที่นี้ และคิดว่าเขาดูคล้ายกับคนญี่ปุ่นเล็กน้อย
“แล้ว…เจ้าจะอยู่ตรงนี้อีกนานแค่ไหน?”
ชายที่มีท่าทีเหยาะแหยะคนนั้นดูอายุราวๆ 16-18 ปีได้
เสื้อผ้าและเครื่องประดับของเขาดูแปลกใหม่สำหรับเธอ แต่เธอรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว
จากการแบ่งปันภาพที่เห็นกับทาคุโตะ เธอได้ทำการยืนยันกับเขาเรียบร้อยแล้ว ถ้าชายคนนี้คือคนที่พวกเขาคิดจริงๆล่ะก็ มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุด
อาโทวรอให้ชายคนนั้นจากไปเงียบๆ เธอรู้สึกกังวลมากกว่าตอนเผชิญหน้ากับสองแฝดก่อนหน้านี้ซะอีก
“ไม่น่า… โอ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนพวกเธอจะคุยอะไรที่ซับซ้อนกันอยู่ ผมพอจะอ่านบรรยากาศเป็น เลยคิดว่าถ้าเข้าไปแทรกมันคงจะแปลกๆน่ะสิ”
เป็นเรื่องจริง ที่ชายคนนั้นปลีกตัวเองออกจากการพูดคุยที่ผ่านมา
ไม่จำเป็นที่เขาจะเข้าไปแทรกการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น และยิ่งไม่ใช่เรื่องในเมื่ออาโทวเกลี้ยกล่อมเด็กๆสำเร็จแล้ว
เขาทำตัวจืดจางราวกับเป็นตัวประกอบที่ถูกบังคับเพิ่มใส่เข้ามาในฉากหลังก็เท่านั้น
เพราะเหตุนั้น ทาคุโตะจึงสั่งให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้
อย่างแรกเลย เพราะไม่มีเหตุผลให้ต้องต่อสู้ ในเมื่อฝาแฝดทั้งสองต่างก็สงบลงแล้ว
อาโทวได้ยินเรื่องราวจากราชาของเธอมาเล็กน้อย แต่ชายคนนั้นเป็นคนฆ่าจอมมาร ดังนั้นจึงนับได้ว่าเขาพยายามที่จะช่วยฝาแฝดทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ท่าทางน่าสงสัยของเขาทำให้อาโทวไม่อยากจะเสวนาด้วย
อาจจะเป็นเพราะท่าทางแบบนั้น? ในที่สุดชายคนนั้นก็ทนอับอายอีกต่อไปไม่ไหว
เขาชูมือขึ้นมาหนึ่งข้าง จากนั้นก็ทำทีเป็นพูดคุยคนเดียว
“ถ้างั้น! ผมไปล่ะนะ…ดูเหมือนพวกเธอจะไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าอยู่ต่อก็คงจะถือเป็นการรบกวน”
จากนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับ
อาโทวพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับ ขณะที่จ้องไปยังแผ่นหลังของเขา
มันอันตรายเกินไปที่จะให้ทาคุโตะทำการพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่นี่
ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่อาโทวกับทาคุโตะคิดไว้ล่ะก็ ไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษที่เข้ามาขัดนะ! พวกเธอก็ด้วย–ลาล่ะนะ!”
จากนั้นชายคนนั้นก็กระโดดออกไปราวกับกระต่าย และหายไปในเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
อาโทวมองตามชายคนนั้นไป และถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
แบบนี้แหละดีแล้ว
ทาคุโตะสั่งให้พวกเขารีบกลับมาทันที
ปัญหาพวกนี้เกินกำลังของไมน็อกกราห์ เขาต้องการเวลาเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมา
อาโทวอยากรู้เช่นกันว่าชายคนนั้นมุ่งไปที่ไหน แต่…ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปล่อยเขาไปก่อน
แล้วทำไมอาโทวกับทาคุโตะถึงกังวลเกี่ยวกับชายคนนั้นมากขนาดนี้ล่ะ?
มีหลายสิ่งที่พวกเขานึกถึงเมื่อเห็นชายคนนั้น
–เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เป็นเครื่องแบบนักเรียนจากโลกเดิมของทาคุโตะ และอาวุธที่เขาใช้ก็คือคาตานะ
ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีอยู่บนโลกนี้
บางอย่างที่น่ากังวลกำลังจะเกิดขึ้น
ตอนแรกที่พวกเขามายังโลกใบนี้ อาโทวและทาคุโตะบ่นกันเพราะว่าสถานที่เริ่มต้นค่อนข้างแย่ แต่บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่ปัญหาเดียว
เมื่อคิดได้แบบนั้น อาโทวก็จำเป็นต้องสูดลมหายใจลึก
อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาไม่กลับไปที่เมืองก่อน ก็จะไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น
อาโทวหันกลับไปหาเด็กหญิงทั้งสองที่สงบลงแล้ว และเรียกพวกเธอเหมือนอย่างเคย
“ถ้าแบบนั้นก็…กลับบ้านกันเถอะ จากนี้ไปพวกเราจะต้องยุ่งกันมากแน่ๆ พวกเธอจะต้องมาช่วยฉันด้วย”
เมื่อพวกเธอรู้สึกตัว อาโทวก็เดินห่างออกไปแล้ว
บริเวณที่จอมมารถูกสังหาร แทนที่จะมีศพ กลับมีเหรียญทองกองอยู่เป็นภูเขาแทน
“….เป็นอะไรไป?”
“เอ่อ นะ…นี่มันอะไรหรอคะ?”
บางทีเธออาจะรู้สึกพูดไม่ค่อยออก เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะสร้างปัญหาไป ซีเรียจึงถามออกมาตรงๆ
“พวกนี้น่ะหรอ? มันคือเหรียญทองจาก Brave Quest ยังไงล่ะ ตอนที่พวกปีศาจตาย พวกมันจะกลายเป็นเหรียญทองที่มีค่าเทียบเท่ากับตัวมัน –แต่จอมมารจะให้เหรียญเยอะเป็นพิเศษแบบนี้แหละ”
อาโทวอธิบายขณะที่มองไปยังเหรียญทองคำที่กองอยู่
จำนวนของมันช่างน่าตกตะลึง
ถ้าให้พูดก็คือ ศัตรูที่เธอจัดการไประหว่างทางที่มุ่งมาที่นี่เองก็ดรอปเหรียญทองเช่นกัน
แต่ครั้งนี้ เหรียญทองที่ดรอปออกมาบริเวณนี้เยอะซะจนเทียบกันไม่ได้เลย
ถ้านำเหรียญทองจำนวนมากขนาดนี้เข้าไปในตลาดล่ะก็ เศรษฐกิจคงได้พังทลายลงแน่ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้พวกมันได้
ต่อให้ทิ้งพวกมันเอาไว้ แต่จะเป็นปัญหาอยู่ดีถ้ามีใครมาพบเข้า เธอกำลังคิดว่าพวกเขาจะทำยังไงกับมันกันดี?
“อิสลา แม่จ๋…เธอจะคืนชีพได้ไหมคะ?”
เธอคิดถึงเรื่องนั้น และในที่สุดก็ถามมันออกมา
อาโทว…หยุดคิดเล็กน้อย พยายามนึกถึงข้อมูลที่สามารถทำแบบนั้นได้
“โชคไม่ดี อิสลาตายแล้วอย่างแน่นอน”
เธอตอบกลับเบาๆ
“ฮึก…ฮึก… ฮึก….!”
“อึก…ฮึก ฮึก!”
เด็กหญิงทั้งสองคนต่างมีน้ำตาไหลออกมา
มีเรียร้องไห้ทั้งที่ยืนอยู่ ส่วนซีเรียนั้นทรุดลงไปบนพื้น
พวกเธอไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากสิ้นสุดการเศร้าโศกเสียใจแล้ว จะรู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้
พวกเธอไม่คิดว่าคำอธิษฐานจะถูกมองข้ามขนาดนี้
พอคิดถึงอดีตที่ผ่านไปโดยไม่อาจย้อนคืน ทำให้ทั้งคู่ต่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เหรียญทองที่ส่องประกายราวกับเป็นรางวัลให้กับอะไรบางอย่าง…
ช่างน่าเศร้าเกินจะทน
“แงงงงงงงงง แงงงงงง”
“ฮึก ฮึก! อ๊าาา!!”
พวกเธอร้องไห้ออกมาเสียงดัง
เพราะมันคือสิ่งเดียวที่พวกเธอทำได้ เป็นทางเดียวที่เหลืออยู่
ขณะที่เฝ้ามองพวกเธอ อาโทวรายงานกลับไปหาทาคุโตะว่าพวกเธอออาจจะกลับไปช้าเล็กน้อย
แสงของดวงจันทร์ที่ส่องประกายได้สลายไป และไม่สะท้อนอยู่บนร่างกายของพวกเธออีกต่อไปแล้ว