[นิยายแปล] I'm Really Scared ชั้นกลัวแล้วจ้าคุณระบบจ๋า! - ตอนที่ 9 มีผี!
หลังจากที่เจียงซีหยานและหลี่จือหยิงจากไป เผิงเฟยผู้งุนงงก็ได้เรียกกวนซานเข้าไปที่ห้องทำงานของเขา และพูดตักเตือนสั่งสอน
สรุปสั้นๆก็คือ ได้ตำหนิเขาที่หุนหันพลันแล่นในวันนี้ และก็อย่าทำเป็นเล่นต่ออนาคตการงานของเขา
กวนซานได้ถูกรับสมัครงานโดยเผิงเฟยตั้งแต่ต้น เขาชื่นชมในตัวกวนซานอีกทั้งยังคอยให้ความช่วยเหลือเรื่อยมา และแน่นอนว่ากวนซานก็รู้ดีเช่นกัน
จริงๆแล้ววันนี้เขาไม่ได้หุนหันพลันแล่นเลย ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเขาทำลงไปด้วยความมั่นใจ เพียงแต่เผิงเฟยไม่รู้ว่าเขามีรูปถ่ายอยู่ในมือ เขาเลยตำหนิแบบนี้
กวนชานจึงได้แต่พยักหน้าตามน้ำเท่านั้น
เผิงเฟยมองดูเขาและตบไหล่พอเป็นพิธีก่อนกล่าวว่า
“ชั้นรู้ว่าคนหนุ่มอย่างพวกคุณมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่สถานการณ์สามารถเปลี่ยนเป็นดีกว่านี้ได้นะ วันนี้คุณได้ระบายอารมณ์ออกมา แต่หลังจากนั้นล่ะ?”
“เจียงซีหยานยังคงเป็นรองหัวหน้าบรรณาธิการหรือหัวหน้าของคุณ ครั้งนี้คุณสามารถรับมือได้ แต่ถ้ามันร้อยครั้ง? และพันครั้งล่ะ?”
“อย่าพูดถึงเรื่องหลังจากนี้ดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ปัจจุบันล่ะ?”
สีหน้าเผิงเฟยได้ดูเคร่งเครียดขึ้น “คุณจะไปหารูปถ่ายจากที่ไหนภายในวันเดียว? เล่ห์กลเล็กๆอาจสามารถทำให้ผัดผ่อนไปได้ แต่ยามถูกจับได้ คุณจะพินาศล่มจมเอานะ”
แน่นอนว่าเล่ห์กลเล็กๆที่ว่านี้หมายถึง photoshop….
กวนซานกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “คิดว่าผมเป็นคนประเภทนั้นเหรอครับ?”
เผิงเฟยพินิจดูเขาอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะส่ายหน้าด้วยความผิดหวังและกล่าวอย่างเศร้าสร้อยออกมา “คงจะดีถ้าคุณเป็นคนอย่างงั้น… ไม่เช่นนั้น คุณจะเอาอะไรไปงัดข้อกับเจียงซีหยานล่ะ?”
“โทษทีที่ทำให้ผิดหวังนะครับ”
กวนซานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ผมขอบอกตามตรงก็แล้วกันครับ เผอิญผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เหตุเพลิงไหม้ในตอนนั้น เขาถ่ายรูปที่เกิดเหตุแล้วส่งมาให้ผมเมื่อเช้านี้”
เขาแสดงภาพถ่ายในโทรศัพท์แก่เผิงเฟยและยักไหล่ “ผมกำลังจะอัปโหลดไปยังคลังต้นฉบับ ใครจะรู้ว่าผมดันถูกคุณเจียงหยุดตั้งแต่ตอนที่ผมเพิ่งมาถึง”
“นี่มัน…”
เผิงเฟยได้ตกตะลึง
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และจากประสบการณ์หลายปีของเขา เขาแน่ใจว่าภาพนี้ไม่ได้ถูกตัดต่อ!
อีกทั้งมุมมองภาพถ่ายก็เยี่ยมมาก มันเป็นช่วงเวลาที่ไฟกำลังลุกโชนสุดๆ และแสงจากไฟไหม้ก็ส่องให้เห็นถึงอาคารที่กำลังพังทลายลงมาได้อย่างชัดเจน
“เพื่อนของคุณคนนี้…..มีฝีมือการถ่ายภาพที่ดีทีเดียว”
เผิงเฟยนึกคำพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ และส่งโทรศัพท์คืนให้กวนซาน และก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้เขา
“เล่นซะชั้นทึ่งไปเลย คุณจงใจยั่วยุเขาด้วยเรื่องรูปนี่เอง!”
สายตาของเขาได้แสดงความแปลกใจ
“ชั้นหลงคิดว่าคุณเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ ไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะรู้วิธีหลอกลวงคนอื่นแบบนี้”
กวนซานผายมือออกและกล่าวว่า “คุณจะมาโทษผมเรื่องนี้ไม่ได้นะ อย่างที่คุณเห็น คุณเจียงไม่เปิดโอกาสให้ผมปริปากสักคำเดียวเลย”
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้”
เผิงเฟยโบกมือให้เขาและพูดอย่างไม่กังวลใจว่า “ชั้นอุตส่าห์เป็นห่วงคุณ และกำลังจะแนะนำให้คุณลองทำงานในสถานีโทรทัศน์ แต่สุดท้าย สิ่งที่ชั้นควรกังวลก็คือเจียงซีหยานจะตายด้วยความโมโหรึเปล่า”
เขากลับมายิ้มตามปกติและพูดว่า “ตั้งใจทำสกู๊ปพิเศษให้ดีก็แล้วกันนะ! ท่านประธานกำลังวางแผนจัดการกับเจียงซีหยานพอดี ดังนั้นคุณน่าจะเป็นกองหน้าอันดับหนึ่งในใจเธอแล้วตอนนี้ ฉะนั้นอย่าพลาดโอกาสนี้ไปซะล่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
กวนซานเปิดประตูห้องผู้อำนวยการออกมา
ประตูถัดไป คือห้องทำงานของเจียงซีหยาน ซึ่งหมอนั่นกำลังชงชาอย่างสบายใจเฉิบอยู่ เขาดูสงบและผ่อนคลายมากเหลือเกิน
กวนซานลอบส่ายหน้า เบนสายตาไปด้วยความขบขัน และกลับไปที่แผนกข่าวของเขา
หลังจากนั่งลงไม่นาน ก็มีข้อความเด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ของเขา
【รุ่ยเซียง】: เสี่ยวซาน เป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างโอเคมั้ย?
เขาหันหน้าไปมอง และเห็นหัวของโจรตัวน้อยดื้อดึงกำลังมองมาที่เขาทางด้านข้าง
【ซานไว่ชิงซาน】: เกิดเรื่องแล้ว เรื่องใหญ่มากด้วยขอบอก!
กวนซานตอบกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์และส่งรูปภาพไปยังไอดี QQ ของหลี่จือหยิง
หลี่จือหยิง ผู้ซึ่งตอบกลับภายในไม่กี่วินาทีเสมอในเวลาทำงาน คราวนี้พอได้รับรูปถ่ายกลับใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะถามว่ารูปนี้มาจากไหน
กวนซานจึงตอบด้วยข้อแก้ตัวแบบเดียวกับที่ให้ต่อเผิงเฟย
【รุ่ยเซียง】: อ๊า! เกิดอะไรขึ้น มันร้ายแรงมากไหม? โดนผอ.เผิงดุมาเหรอ? หรือยังหารูปถ่ายไม่ได้… ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ฉันจะขอให้พ่อเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง
กวนซานเหลือบมองเสินติงฮัวที่กำลังมองโทรศัพท์ เธอดูเครียดและกังวลมาก
【ซานไว่ชิงซาน】: ไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่หิวน่ะ
【รุ่ยเซียง】: ψ(*`ー′)ψ คนสาระเลว!
ระหว่างที่กวนซานกำลังแชทกันอย่างสนุกสนาน
หลิวผิงซึ่งนั่งตรงข้ามได้แสดงท่าทีอดใจไม่ไหว เขาขยับเก้าอี้ถอยหลัง และเอนหลังมากระซิบถามว่า “เน่ ผู้อำนวยการพูดอะไรกับแกบ้างอ่ะ? แกนี่เจ๋งไปเลยน้า ถ้าชั้นสามารถด่าใส่หน้าแบบนั้นได้ มันก็คุ้มแล้วแม้ชั้นต้องลาออกก็ตาม!”
“ว่าแต่ว่า แกก็หุนหันพลันแล่นเกินไปนะ แกจะไปหารูปถ่ายจากที่ไหนได้ภายในวันเดียว..…”
หลิวผิงและกวนซานต่างได้รับสมัครงานจากชุดเดียวกัน พวกเขาพูดคุยกันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ทันทีที่เขาพูดเรื่องนี้ แม้ว่าทุกๆคนจะดูเหมือนกำลังตั้งใจทำงาน แต่จริงๆแล้วพวกเขาได้พยายามเงี่ยหูฟังอยู่
เพราะยังไงซะทุกคนที่นี่ก็คือนักข่าว การชอบนินทาจึงถือเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเห็นว่าผู้ชายปากเปราะพร้อมที่จะเริ่มพูดเจื้อยแจ้วแล้ว กวนซานจึงรีบกระซิบว่า “ผู้อำนวยไม่ได้ว่าอะไร ทำงานของแกต่อไปเหอะ ชั้นจัดการเรื่องรูปถ่ายเรียบร้อยแล้ว”
หลิวผิงดูจะอึ้งไป และถามอย่างรวดเร็วว่า “จริงเหรอ? เป็นไปไม่ได้… แกเพิ่งจะนั่งลงเมื่อกี้นี้เอง แล้วจะเอารูปมาจากไหน… อ้า, เดี๋ยวเซ่! บอกมาก่อนว่ามันเป็นยังไงกันแน่น่ะ? “
หลิวผิงได้กระวนกระวายใจจนออกนอกหน้า
แต่ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน เขาจึงไม่อาจเผือกได้อย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปทำงานอย่างซังกะตายด้วยความสงสัยอยู่เต็มท้อง
ส่วนคนอื่นๆที่ได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อกวนซานกัน
ไต้ยี่ซึ่งอยู่แถวหลังได้เหยียดยิ้มขึ้นและแค่นเสียงเย็นชา เขาเชื่อว่ากวนซานกำลังพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้ายต่างหาก
‘ทำเป็นนิ่งเสแสร้งไร้กังวลมากกว่า เฮอะๆ’
พวกเขาทั้งหมดมาจากกลุ่มพนักงานใหม่ชุดเดียวกัน และตัวกวนซานกลับได้รับการยกย่องเป็นพิเศษจากเผิงเฟย เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเขามีดีกว่าหมอนั่นมาก
ก็แค่ทำงานล่วงเวลาเพื่อประจบหัวหน้าเท่านั้นแหละ!
เขาแทบอดใจรอให้กวนชานถูกไล่ออกไม่ไหว เพื่อคนอื่นจะได้เห็นความสามารถของเขาสักที
“แต่… พรุ่งนี้ชั้นคงไม่ได้เจอมันแล้ว, จริงมะ? ฮ่าๆๆสมน้ำหน้าว่ะ มันกล้าเถียงใส่หน้าเจ้านาย ทุบชามข้าวตัวเองแบบนี้สมองมันน่าจะมีปัญหาแล้วแหละ!”
“ถ้ามันสามารถหารูปถ่ายได้จริง ชั้นจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ของมัน!”
ไต้ยี่คิดอย่างยินดีปรีดา และจงใจไอสองครั้งเพื่อปกปิดรอยยิ้มของเขา
ตลอดทั้งวัน ทุกคนในสำนักงานต่างแอบดูกันว่ากวนชานจะทำยังไง
เพราะไม่ว่าใครต่างก็สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนักรบผู้นี้ที่กล้าเผชิญหน้ากับการนองเลือด
แต่กวนซานก็ไม่ได้กระวนกระวาย หรือพิมพ์อย่างเกรี้ยวกราด
เขาไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงทำงานตามปกติ ไปกินข้าวกับเสินติงฮัว และกลับมาทำงานต่อ
ไม่รู้สึกถึงความรีบเร่งเลย!
แถมยังกินข้าวเพิ่มอีกชามด้วย!
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เจียงซีหยานซึ่งได้ยินว่ากวนซานไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน จึงเดินเข้ามาในแผนกอย่างมีชัย เมื่อเห็นกวนซานกำลังเก็บของ เขาก็ยิ้มขึ้นทันที
“นี่ไม่ใช่นักข่าวกวนซานผู้ยิ่งใหญ่ของเราหรอกรึ? ทำไมเตรียมกลับบ้านแล้วล่ะ? แถมไม่มีใครช่วยเก็บของอีก ตาบอดกันหมดหรือไง? มาช่วยเขาเร็วเข้าสิ!”
เนื่องจากทั้งสองได้ฉีกหน้ากันแล้ว เจียงซีหยานจึงไม่เสแสร้งแกล้งดีอีกต่อไป เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหยินเป็นหยางก็ว่าได้
กวนซานยังคงแสดงท่าทีปกติและกล่าวว่า “ใช่ ผมพร้อมกลับแล้ว เพราะวันนี้ไม่มีงานเหลือให้ทำอีก ดังนั้นผมเลยคิดจะกลับบ้านเร็วขึ้น”
คนอื่นๆต่างรู้สึกแปลกใจ กวนชานจะหมดงานรับผิดชอบที่ต้องทำในเวลางานได้ยังไง นี่คิดจะลาออกจริงๆสินะ!
สุดท้าย นักรบก็ไม่สามารถสังหารมังกรร้ายลงได้
เจียงซีหยานสูดลมหายใจอย่างแช่มชื่น
ส่วนไต้ยี่ที่แอบฟังอยู่ด้านหลัง ก็แสร้งรีบวิ่งมาช่วยกวนชานเก็บของอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาได้ถอนหายใจและกล่าวว่า “ถึงแม้เราจะทำงานร่วมกันมาแค่ครึ่งปี แต่ชั้นไม่คิดว่าคุณจะจากไปเร็วแบบนี้ ช่างน่าเศร้าใจเหลือเกิน…”
“นี่ ไม่ต้องจับอะไรทั้งนั้นเลย พรุ่งนี้ผมยังต้องใช้มันอยู่”
กวนซานยื่นมือไปห้ามไต้ยี่ไม่ให้แตะข้าวของ ใบหน้าของเขากำลังเต็มไปด้วยความสับสน
“ผมแค่เลิกงานวันนี้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าผมจะไม่กลับมาสักหน่อย คุณกำลังพูดอะไรของคุณน่ะ?”
ไต้ยี่และเจียงซีหยานต่างก็ชะงักตกตะลึงไป
ฝ่ายหลังที่ว่าได้รีบเยาะเย้ยขึ้นทันที “คุณได้รับคำสั่งจากประธานว่า ถ้าวันนี้คุณไม่ได้รูปถ่าย คุณจะลาออก! หรือคุณต้องการผิดคำพูดของคุณกัน?”
กวนซานผายมือออกและกล่าวว่า “ใช่ตามที่ว่า ดังนั้น — ผมจึงส่งรูปถ่ายให้ท่านประธานเมื่อเช้านี้”
“อะไรนะ?!”
ทุกคนต่างสับสน เจียงซีหยานไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เขาจึงพูดเสียงเครียดว่า “รูปถ่ายอะไรกัน! อย่าพยายามพูดจาไร้สาระเพื่อหลอกคนอื่นเลย!”
“งั้นก็รอให้สกู๊ปป้องกันอัคคีภัยเสร็จสิ้นก็แล้วกัน ทำไมคุณไม่รอดูเมื่อถึงเวลาล่ะ? และตอนนี้ผมก็จะกลับบ้านแล้ว”
“ไอ้หยา ท่านประธานช่างน่ารักจริงๆ เมื่อเห็นว่าปกติผมตั้งใจทำงาน พอผมส่งงานสกู๊ปพิเศษ ผมก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้โดยไม่ต้องทำงานเพิ่มเลย”
กวนซานถอนหายใจออกมาและตบไหล่ไต้ยี่ เขาหยิบกระเป๋าขึ้นและพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณที่ช่วยผมเก็บข้าวของนะครับ”
จากนั้นกวนซานก็จากไป
ไต้ยี่ได้ยืนงงอยู่กับที่ เขาพึ่งรู้ตัวว่าเพิ่งช่วยกวนซานเก็บของอย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าเขาจึงหม่นหมองลง เขาได้กล่าวว่า “ชั้นก็จะไปแล้วเหมือนกัน” แล้วก็วิ่งหนีไป
ส่วนเจียงซีหยานผู้จินตนาการถึงการลาออกของกวนชานเอาไว้อย่างบรรเจิด ก็รู้สึกอับอายในตอนนี้
มันส่งตั้งแต่เช้าแล้ว! เช้านี้!
ขณะที่เขากำลังฝันหวานอยู่ เรื่องก็ได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว!
กวนซานยืนรอให้เขายื่นหน้าให้ถึงประตู และผลก็คือเขากลับวิ่งไปให้จริงๆ อีกทั้งถูกทุบตีสองครั้งแต่ก็ยังกระหยิ่มดีใจอยู่อีก
“กวน! ซาน!”
เจียงซีหยานกัดฟันร้องคำรามในใจ เขากระแทกประตูเปิดออกและจากไปอย่างโมโห
เขาสาบานว่าหากชายคนนั้นยังอยู่ในแวดวงหนังสือพิมพ์ เขาจะไม่เรียกตัวเองว่าเจียงซีหยานอีกต่อไป!
เจียงซีหยานก้าวออกจากแผนกข่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด ขณะที่กำลังเคียดแค้นอยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างขัดขาเขา
“อ๊า!”
เจียงซีหยานได้ร้องเสียงหลงและล้มลง คางของเขาได้กระแทกกับพื้นหินอ่อนดัง “ปึ้ง”
บวกกับการกัดฟันเมื่อครู่นี้ ฟันบนกับฟันล่างจึงกระแทกกันอย่างแรง และฟันหน้าสองซี่ก็หลุดออกมาทันที
ความเจ็บปวดแสนสาหัสพร้อมกับแรงกระเทือนอันรุนแรง เสมือนมีเข็มเหล็กแทงเข้าระหว่างนิ้วเท้าไม่มีผิด ซึ่งทำให้เจียงซีหยานตาเหลือกขึ้น น้ำมูกน้ำตาไหล และล้มลงกับพื้นร้องโอดครวญอย่างน่าสังเวช
“โอ๊ยยย—“
ภาพนั้นช่างน่าอนาถใจมาก จนทำให้สาวสายจิ้นคนนึงพูดว่า “ก๊อกๆ เจียงและพื้นช่างเป็นคู่จิ้นที่หวานแหววจัง~”
พนักงานที่ได้ยินเสียงเอะอะได้รีบเข้าไปช่วย: “คุณเจียง เป็นไรมั้ยครับ?”
เจียงซีหยานได้เจ็บปวดจนตัวสั่นและชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเฉียบ เขาพูดเสียงแผ่วว่า “พยาบาล โรงพยาบาล รีบพาชั้นไปโรงพยาบาลเร็วๆ…”
แต่เขายังคงมีแรงด่าอยู่ “พรุ่งนี้รีบไปหาใครซักคนมาซ่อมพื้นพังๆนี้ ทำไมมันโผล่ซะจนสะดุดเท้าชั้นได้ฟะ!”
พนักงานได้กล่าวอย่างงุนงงว่า “ไม่นะครับ พื้นก็เรียบดี… คุณดูสิ ไม่มีส่วนนูนออกมาเลย”
เจียงซีหยานโกรธมากจนยื่นนิ้วชี้ไปที่พื้น “ไม่มีที่ไหน นี่ไม่ใช่…”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักไป
พื้นมันราบเรียบก็จริง แต่ดันมีเท้าของผู้หญิงปรากฏในสายตาของเขา
รองเท้าส้นสูงสีแดง ข้อเท้าอันเรียวเล็ก ผิวที่ซีดขาวผิดปกติ และมีเส้นเลือดสีน้ำเงินโผล่ให้เห็นจางๆ
เมื่อมองขึ้นไป ก็มีหญิงสาวแปลกหน้าในชุดขาวยืนอยู่
หัวใจของเจียงซีหยานได้เต้นช้าลง เขาร้องถามว่า “คุณเป็นใคร!?”
หญิงสาวไม่พูดอะไร เธอทำแค่เพียงจ้องดูเขาเท่านั้น
พนักงานที่อยู่ด้านข้างได้มองไปรอบๆอย่างฉงน “จะมีใครซะอีกล่ะครับคุณเจียง ผมเสี่ยวหวางไงครับ เสี่ยวหวางกองบรรณาธิการ… ผมว่าควรรีบพาคุณไปโรงพยาบาลจะดีกว่ามั้ย? ”
แต่เขาแอบด่าในใจว่า การล้มในครั้งนี้ ชั้นว่ามันน่าจะกระเทือนสมองของคุณเจียงจนเขาก็เริ่มเพ้อเลอะเทอะซะแล้ว
ไม่เพียงต้องไปพบทันตแพทย์ แต่ยังต้องไปแผนกรักษาสมองด้วย
เจียงซีหยานรู้สึกหนาวซ่านที่หลัง หนังศีรษะของเขาเริ่มด้านชา เขาดึงพนักงานคนดังกล่าว ชี้ไปที่ผู้หญิงคนนั้นอย่างสั่นกลัว และพูดอย่างรวดเร็วว่า “นั่นไง? ไม่เห็นเหรอ? อย่าแกล้งชั้นสิ!”
เสี่ยวหวางได้งงจนพูดไม่ออก ในความเห็นของเขา มันไม่มีใครตรงนี้เลย มีเพียงทางเดินในอาคารที่มืดสลัวเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เพราะคำพูดของเจียงซีหยาน มันทำให้ทางเดินนี้ที่เขาเห็นจนคุ้นตาดูน่ากลัวมากขึ้น
เขากลืนน้ำลายก่อนกล่าวว่า “คุณ อย่าหลอกผมสิ มันไม่มีใครจริงๆนะ!”
เจียงซีหยานได้เริ่มกระวนกระวาย “นั่น! มันอยู่นั่น! เห็นไหม!”
เสี่ยวหวางอยากจะร้องไห้ซะแล้ว “ไม่! ไม่มีจริงๆครับ!”
หญิงชุดขาวได้เริ่มขยับตัว เธอค่อยๆเดินไปหาเจียงซีหยาน แล้วยื่นมือออกมาราวกับจะคว้าเขาไว้
เจียงซีหยานกรีดร้องด้วยความตกใจและตวาดว่า “ไป! อย่า อย่าเข้ามาน้า!”
เสี่ยวหวางรู้สึกว่าเลือดของเขาได้ไหลย้อนกลับทั่วร่างกาย ไม่ว่าเจียงซีหยานเพี้ยนไปแล้ว หรือเห็นผีจริงๆ เสี่ยวหวางก็พยายามดึงตัวเขาเองออกมา
แต่เจียงซีหยานกลัวมากจนขาของเขาอ่อนแรง อีกทั้งเขาพึ่งล้มฟาดพื้นมา ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนไม่ไหว
เขาดูเหมือนชายจมน้ำผู้พยายามคว้าเชือกฟางไม่มีผิด เขาดึงเสื้อของเสี่ยวหวางอย่างมั่วซั่ว ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวหวางจึงไม่สามารถสลัดหลุดได้
ระหว่างคนสองคนต่างดึงทึ้งกันอีรุงตุงนัง เจียงซีหยานมัวแต่มองมืออันขาวซีดที่เข้ามาใกล้เพียงอย่างเดียว ใบหน้าซีดเซียวนั้นได้มีดวงตาสีดำมืดคู่หนึ่ง และยังเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอีกด้วย
เขาพยายามตะเกียดตะกายถอย แต่เขาก็หนีไม่พ้นสักที
เจียงซีหยานจึงฝากความหวังของเขาไว้ที่เสี่ยวหยาง
แต่จนถึงบัดนี้ ตัวพนักงานเองก็ยังมองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น และมัวแต่ดึงทึ้งกับเขาอยู่
ในที่สุด เมื่อนิ้วกำลังจะแตะถูกเจียงซีหยาน เขาก็สติแตกจนได้
“อ๊ากกก ผี! ผี! ผี! ช่วยด้วย!”
เจียงซีหยานตะโกนอย่างบ้าคลั่ง โบกไม้โบกมือมั่ว และเนื่องจากเขาพึ่งเสียฟันหน้าสองซี่ไป ความกลัวจากห้วงลึกในใจได้ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมสีหน้าของเขาได้ น้ำตาและน้ำลายต่างไหลย้อยออกมาในระหว่างที่เขาคลานหนีห่าง
“ฮี่ฮี่ ยอมแพ้ซะเถอะ ไม่ว่าใครก็มองไม่เห็นฉันหรอก”
ผู้หญิงคนนั้นได้กระพริบตาปริบๆ เธอลุกขึ้นยืนและเตะขาของเจียงซีหยาน
มันเป็นสัมผัสเดียวกับที่ทำให้เขาสะดุดล้มเลย!
และแล้วเจียงซีหยานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ดวงตาของเขาได้เหลือกขึ้นและวูบหมดสติลง