[นิยายแปล] I'm Really Scared ชั้นกลัวแล้วจ้าคุณระบบจ๋า! - ตอนที่ 23 ต่างคนต่างเข้าใจ
“ชายผู้นี้ รับมือไม่ง่ายเลย…..”
เมื่อมองดูรอยยิ้มของกวนซาน เซี่ยเหล่ยก็ลอบคิดอย่างเงียบๆ
ในอดีต เมื่อตอนที่พวกเขาพยายามชักชวนให้ผู้ใช้พลังไร้หัวนอนปลายเท้าเข้าร่วมด้วย พวกเขาจะใช้คำพูดเปิดประเด็นให้อีกฝ่ายผ่อนคลายความระมัดระวัง
จากนั้นก็ส่งสัญญาณแสดงท่าทีเป็นมิตรเพื่อบอกอีกฝ่ายว่า เรารู้ว่าคุณมีพลังพิเศษและเราก็เป็นคนประเภทเดียวกับคุณ มันมีคนมากมายแบบคุณ และเราสามารถจัดหาที่พักพิงให้ได้ เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องกังวลตลอดเวลา
โดยปกติ หลังจากพูดคำกล่าวเหล่านี้เสร็จ อีกฝ่ายก็เริ่มคล้อยตามแล้ว
คราวนี้ ชั้นก็แค่พูดถึงประโยชน์ของการขึ้นทะเบียนผู้ใช้พลัง ประโยชน์ของการเข้าร่วมทำงาน ฯลฯ ท้ายที่สุดชั้นก็จะให้คำมั่นแก่พวกเขา
อย่างไรก็ตาม มันอาจมีคนที่ต่อต้านดื้อรั้นหรือยังเข้าผิด ซึ่งจะมอบให้นักจิตวิทยาจัดการซะเป็นส่วนใหญ่
—นักจิตวิทยาฝ่ายพลาธิการหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษนั้นไม่ใช่นักจิตวิทยาทั่วไป แต่เป็นนักจิตวิทยาที่มีพลังที่เกี่ยวข้องกับ “จิต”
มีความรู้ในทฤษฎีพอๆกับพลังในการลงมือปฏิบัติ
ตราบใดที่อีกฝ่าย “สมัครใจ” ลงทะเบียนข้อมูลตนเอง ภารกิจของพวกเขาก็เป็นอันสำเร็จ
แน่นอนว่าสำหรับกวนชานที่สามารถทำให้เซี่ยเหล่ยต้องเข้าหาด้วยตัวเอง พวกเขาไม่เพียงต้องการให้เขาลงทะเบียนเท่านั้น แต่ยังหวังว่าเขาจะเข้าร่วมหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษด้วย
“แต่ดูเหมือนเขาจะรังเกียจองค์กรของทางการ และค่อนข้างแสดงท่าทีต่อต้านรุนแรงนะ”
เซี่ยเหล่ยครุ่นคิดเรื่องนี้ และตัดสินใจที่จะดำเนินการตามแผนก่อนหน้า ซึ่งก็คือการพูดคลุมเครือ
เพราะยังไงซะ ชายหนุ่มที่กำลัง “บาดเจ็บและอ่อนแอ” บนเตียงของโรงพยาบาลแห่งนี้ มีประวัติที่ยอดเยี่ยมในการฆ่าระดับ D สามคนและระดับ C หนึ่งคนเพียงลำพัง อีกทั้งจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีผลวิเคราะห์พลังของเขาที่ถูกต้องด้วย
ถ้ามันดันไปกระตุ้นความพยศของเขา ผลที่ตามมาก็อาจจะเกิดหายนะขึ้นได้
ไม่ใช่ว่าเซี่ยเหล่ยกลัวว่าจะไม่อาจเอาชนะเขาได้หรอกนะ มันแค่ไม่จำเป็นต้องดึงดันถึงจุดนั้นต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น จากคำพูดที่ว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร ก็สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน
เซี่ยเหล่ยกระแอมไอสองครั้งและเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไร, ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากรู้เวลาระบุจำเพาะเจาะจงเหตุการณ์และสภาพของรถในขณะนั้น”
“อย่าห่วงไปเลย คุณคือเหยื่อนะ มันจะไปมีปัญหาอะไรได้ไงล่ะเนอะ? ในเมื่อเราต้องมาลำบากร่วมกันในยามดึก เราก็ควรให้ความร่วมมือกันจะดีกว่า”
ทั้งสามคนพอได้ยินคำพูดนี้แววตาของพวกเขาก็ดูเลื่อนลอยทันที เหยื่องั้นเหรอ? เหยื่อตัวจริงเกรียมเป็นตอตะโกแล้วต่างหาก
หากหมอนี่คือเหยื่อ จางซานผู้คลั่งไคล้การฆ่า ก็นับว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแล้วแหละ
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
การถามเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ กล่าวได้ว่า พวกเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ
กวนซานผงะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลับกลายเป็นว่าตื่นตูมไปเองซะงั้น….. แต่ก็ดี เพราะมันหมายความว่าเขายังสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีปรีดาอย่างยิ่ง
“ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่ม พอผมเห็นว่ารถไม่มา ผมก็เลยตัดสินใจเดินกลับบ้านแทน….. เพราะบ้านผมอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานมากนัก มันแค่ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งก็เดินถึงแล้ว แต่เมื่อผมเดินไปได้ซักระยะ จู่ๆรถเมล์ก็แล่นพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะทันหลบมันก็ระเบิดซะแล้ว”
กวนซานคิดว่าจะคงไม่มีใครยืนที่ป้ายรถเมล์กลางดึก เขาจึงแต่งเรื่องหลอกลวงขึ้นผสมกับสถานการณ์จริงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ผมพอเห็นรางๆว่ามันไม่มีคนขับในรถ รวมไปถึงผู้โดยสารด้วย มันเป็นเรื่องจริงนะครับ น่ากลัวจังเลย”
มุมปากเซี่ยเหล่ยได้กระตุกขึ้นเมื่อฟังคำพูดเหลวไหลของกวนซาน
เรื่องที่กวนซานขึ้นรถเมล์จริงหรือไม่ ได้ปรากฏชัดในรายงานของหลินซูม่านแล้ว อีกทั้งสามคนที่เสียชีวิตก็คือหลักฐานที่มัดตัวที่สุดด้วย
การที่เขาให้คำตอบซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะว่าเขาต้องซ่อนบทบาทของเขาต่อเหตุการณ์นี้
เกาเย่พลันถามขึ้นว่า “ทำไมถึงไม่มีทั้งคนขับและผู้โดยสารเลยล่ะ?”
เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเลือกตอบอย่างนี้
เนื่องจาก “ผึ้งเพชฌฆาต” ได้ส่งคนมา เขาย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าจุดจบของสองคนนั้นมีแค่สองทางเท่านั้น ซึ่งก็คือยังมีชีวิตหรือตายไปแล้ว
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้กลับไป ก็หมายความว่าได้ตายในภารกิจนี้
ต่อการบอกว่าไม่มีใครเลย คือการปกปิดที่ไร้ค่าอย่างยิ่ง
“ผึ้งเพชฌฆาต” ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องรู้ว่า “ผึ้งงานหมายเลข 4” และ “ผึ้งงานหมายเลข 10” ได้เสียชีวิตระหว่างภารกิจจัดการกวนซาน พวกมันไม่สนหรอกว่าใครเป็นคนฆ่า
เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถยื้อเวลาการลงมือ หรือหลอกลวงพวกมันได้
กวนซานกระพริบตาและถามอย่างปกติแนบเนียนว่า “มีคนขับและผู้โดยสารด้วยเหรอ?”
เกาเย่ถึงกับสะอึก
ใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าเธอดูจริงใจจนเธอรู้สึกอึดอัด ราวกับได้บอกว่านี่คือความจริงแท้แน่นอน
จนมันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นการข่มขู่หรือเล่ห์กล
เกาเย่พูดไม่ออกไปพักใหญ่ เป็นเซี่ยเหล่ยที่ได้ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ไม่แน่นอน ฮ่าฮ่าฮา ลูกญาติผมค่อนข้างก้าวร้าวไปบ้าง อย่าถือสาเธอเลยนะ”
กวนซานพยักหน้ารับ จากนั้นก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “อ๋อ แต่ยังไงซะคุณต้องยึดหลักความเป็นจริงไว้เสมอนะ”
“ว่าแต่ลูกญาติคุณนี่มีรสนิยมเป็นเอกลักษณ์จังนะ ชอบดาบถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เกาเย่ : “……”
ทำไมเธอคิดว่าผู้ชายคนนี้กำลังเหน็บแนมเธออยู่หนอ?
เซี่ยเหล่ยหัวเราะออกมา “มันก็แค่งานอดิเรก—-อ่ะนะ ผมพอเข้าใจที่คุณบอกแล้ว คุณเห็นรถเมล์ไร้คนคันนี้ขับมาตามถนนประมาณ 11:30 น. และทันใดนั้นมันก็ระเบิด ใช่มั้ย?”
คำพูดเหล่านั้นได้ทำให้กวนชานรู้สึกหน้าชา แต่เพื่อไม่ให้เขาจบเห่ เขาจึงต้องกัดฟัดพูดว่า “ใช่ครับ นั่นคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
เซี่ยเหล่ยคิดว่าเขาเข้าใจแล้ว
กวนซานกำลังยื่นคำเรียกร้องอยู่!
สิ่งที่เขาต้องการบอกคือการให้หน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษปกปิดความจริงนี้ โดยไม่ยอมรับว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของผึ้งงานสองคน
หากเป็นเช่นนี้ ผึ้งเพชฌฆาตจะคิดว่าเป็นฝีมือของหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษที่ฆ่า และพลังของกวนชานจะยังคงเป็นระดับ D ต่อไป
สำหรับผึ้งเพชฌฆาต เขายังคงเป็นเป้าหมายที่สามารถฆ่าได้ทุกเมื่อ
ที่แท้ นี่คือการพาตัวเองออกนอกปัญหา และให้หน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษแบกรับก้นหม้อนี้แทน!
นัยน์ตาเซี่ยเหล่ยได้สั่นเครือ ในเมื่อเขาทำการขอ เราก็ต้องมอบให้เขาบ้างถูกมั้ยล่ะ?
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากพูดคุย แต่การเต็มใจให้ความร่วมมืออย่างดีก็ถือเป็นทางออกที่ดีทางนึง
เซี่ยเหล่ยแกล้งทำเป็นเขียนจดคำให้การแล้วพูดว่า “กวนซาน คุณเป็นนักข่าวจากข่าวภาคค่ำหางโจวใช่มั้ย?”
กวนซานพยักหน้ารับ
“หน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษของเรามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นไม่นานมานี้ และผมหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากคุณนะ”
เซี่ยเหล่ยเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะเราต้องการนักข่าวเพื่อค้นหาความจริงในเรื่องนี้”
กวนซานมีสีหน้าว่างเปล่า และชี้ไปที่ตัวเอง: “ผมเหรอ?”
“ถูกตัอง”
เซี่ยเหล่ยดีใจมากเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีต่อต้านอีกต่อไป และรู้สึกว่าเขาพบวิธีการที่ถูกต้องแล้ว: “พอผมได้สนทนากับคุณ ผมก็คิดว่าคุณเป็นคนที่เหมาะสมมาก!”
กวนซานดูมึนงง “แต่…ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังสืบอะไรนะ”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป” เซี่ยเหล่ยกล่าวด้วยความดีใจ “ในอีกไม่กี่วัน ผมจะส่งคนไปหาเจ้านายคุณและขอยืมตัวชั่วคราวจากสำนักพิมพ์ แล้วเรื่องค่าจ้างล่ะจะว่ายังไง?”
กวนซานได้ลังเล
เซี่ยเหล่ยโบกมือและกล่าวว่า “คุณลองคิดดูก่อนก็แล้วกัน จากนั้นคุณค่อยยื่นข้อเรียกร้องให้ผมดูในภายหลังก็ได้”
กวนซานไม่อาจหยุดยั้งการเชิญอันลี้ลับและกระตือรือร้นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับไปก่อนและให้คนแปลกพิกลทั้งสี่จากไป
ทันทีที่คนเหล่านี้จากไป เสินติงฮัวก็มาถึงอย่างเหนื่อยหอบ
เธอรีบเข้ามาในวอร์ดและเมื่อเห็นกวนชานมีผ้าพันแผล นัยน์ตาสีดำของเธอก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำตาพร่ามัวโดยพลัน