[นิยายแปล] I'm Really Scared ชั้นกลัวแล้วจ้าคุณระบบจ๋า! - ตอนที่ 22 ความเป็นความตาย
อันที่จริงกวนซานก็คิดอยู่ว่าจะต้องมีคนมาหาเขาแน่ๆ
เพราะว่าแม้ระบบจะใช้ “ศิลปะ” เพื่อกำจัดฉากทิ้ง แต่มันก็ยังมีซากรถเมล์อยู่ดี… ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าระบบเอามาจากไหน
หากนึกภาพว่าทุกอย่างในรถเป็นสิ่งจำลอง งั้นมันคงจะเป็นรถเปล่าที่ขับเข้ามาที่ป้ายรถ จากนั้นด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งน้ำมันก็เกิดรั่วไหลและระเบิดขึ้นบนถนนสินะ?
ถ้าอย่างนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติน่ะสิใช่มั้ย? !
และกวนซานในฐานะพยานปากเดียวก็ต้องถูกเพ่งเล็งอย่างแน่นอน
ตอนที่กวนซานโทรหา 120 เพื่ออธิบายสถานการณ์ เขาได้บอกว่าเขาเป็นแค่คนเดินผ่านแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่…
ส่วนบาดแผลตามร่างกายน่ะเหรอ?
แน่นอนว่า เป็นเพราะซวยโดนสะเก็ดระเบิดไงล่ะ
เพื่อหลีกเลี่ยงการตายในแวดวงสังคม คำตอบของกวนชานจึงต้องคิดอย่างรอบคอบ อีกทั้งเพราะมันอยู่ใกล้ชานเมือง กล้องบริเวณรอบๆแถบนี้จึงมีไม่มากนัก และมันก็ไม่มีรถผ่านมาในขณะนั้นด้วย
ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง ก็คงไม่มีใครเชื่อความจริงที่ว่า “ความจริงคือเขาได้พยายามระเบิดศัตรูทิ้ง หลังจากนั้นก็ต่อสู้อีกสามร้อยกระบวนท่ากับมอนสเตอร์อมนุษย์สองตัวที่ไร้ตัวตนจริงๆ”
พอเอามาเทียบกับ “รถเมล์ไร้คนขับเกิดระเบิดขึ้นหลังจากขับไปตามถนนกลางดึก” ก็กลายเป็นน่าเชื่อถือทันที……
……ใช่มั้ยล่ะ?
อย่างไรก็ดี ในความคิดของกวนชาน ผู้ที่มาน่าจะเป็นตำรวจที่เคร่งขรึม
แทนที่จะรีบสอบปากคำเขา
ชายวัยกลางคนตรงหน้ากลับออกจะแสดงท่าทีสบายๆ ภาพรวมของเขาดูเหมือนกับศาสตราจารย์แก่ๆที่สอนผู้คนมาหลายสิบปีแล้ว และมีความสุภาพอ่อนโยนมาก
ส่วนวัยรุ่นสามคนที่ตามมานั้นดูไร้ประโยชน์ยิ่งนัก
ชายหนุ่มสองคนนั้นตัวเล็กกว่ากวนซานเล็กน้อย พวกเขาน่าจะยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กำลังยืนอย่างซึมกะทือ
คนหนึ่งหุ่นดูฟิตแข็งแรงเหลือเกิน อีกคนมีรอยสักที่แขนและคอของเขา
วัยรุ่นสมัยนี้น้า
และเด็กสาวคนนั้นน่าจะอายุน้อยกว่า ประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีล่ะมั้ง เธอหน้าตาดีทีเดียว คิ้วสีดำนัยน์ตาสีน้ำตาล บุคลิกของเธอดูเย็นชาไร้อารมณ์ เธอสวมชุดกลาสีหญิงสีดำซึ่งเผยให้เห็นขาอันเรียวขาวทั้งสองข้าง
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เด็กสาวยังถือดาบยาวพร้อมฝักในมือ จากฝักจรดถึงด้ามมีความยาวราวๆหนึ่งเมตร
ไม่ว่าจะมองคนไหน ก็ไม่เหมือนตำรวจสักคนเลย
แต่ชายวัยกลางคนพูดชื่อกวนชานออกมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขาไม่แน่ใจและระมัดระวังขึ้น
กวนซานยืดตัวขึ้นกล่าวด้วยท่าทีหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “คุณคือ?”
จริงๆแล้ว เขาแอบเกร็งร่างกายของเขาเพื่อเตรียมพร้อมหลบหนีไว้เสมอ!
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดในแง่ดีต่อหน้าคนอื่น และเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดแง่ดีต่อชีวิตนี้….. เพราะนี่ไม่ใช่ฉากจำลอง มันคือคนจริงๆ
ไม่ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร กวนซานก็ไม่อาจเอา Glock 17 ออกมาและเป่าคนอื่นจนพรุนได้หรอกจริงมั้ย?
เขาเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายตาดำๆนะ
แต่สิ่งที่กวนชานไม่รู้ก็คือ คนทั้งสี่ตรงหน้านั้นกลัวจนลนลานมากกว่าตัวเขาซะอีก
ตัวเซี่ยเหล่ยเองไม่กลัวเท่าไหร่ เขามีแต่เต็มไปด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับตัวกวนซาน เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างอ่อนน้อมและยื่นบัตรประจำตัวของเขา: “ผมเซี่ยเหล่ย สังกัดหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ ไม่ต้องห่วงนะ ผมเป็นตำรวจจริงๆ”
เขาชี้ไปที่สามคนด้านหลังอย่างยิ้มแย้ม “นี่คือเด็กของญาติผมที่ถูกไล่ออกจากผับบาร์กลางดึก มันเกิดขึ้นระหว่างได้รับรายงานให้มาที่นี่ ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นผมก็เลยต้องพาพวกเขามาด้วยน่ะ”
สามหน่อที่ว่า “…..”
ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่ามันเป็นคำหลอกลวง แต่ก็ออกจะน่าขำเกินไปหน่อยนึง มันเหมือนกับพวกเขาเป็นเด็กทารกใหญ่ที่ไม่มีปัญญาดูแลตัวเองได้ยังไงยังงั้น
กวนซานยังคงความตื่นตัวไว้ เขาได้หยิบมันมามองด้วยความระแวง
เนื่องจากเขาเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขาจึงได้ติดต่อกับตำรวจอยู่เสมอ และบัตรนี้เมื่อมองผ่านๆก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ว่า… พวกเด็กสามคนนั้นช่างเป็นวัยรุ่นแก่แดดจริงๆ
เข้าผับบาร์ในตอนกลางดึกเนี่ยนะ
กวนซานจ้องมองชายหนุ่มที่มีรอยสักอีกครั้ง โดยเน้นที่คอและแขนของเขา
เขาเลิกคิ้วขึ้นและพูดอย่างเนิบนาบว่า “เออ…หน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษงั้นเหรอ ทำไมผมไม่เคยได้ยินเลยล่ะ คุณเน้นจัดการกับเหตุการณ์แปลกพิเศษหรือไงกัน? “
กวนซานรู้ดีว่าการที่รถเมล์ซึ่งใหญ่ขนาดนั้นได้เกิดระเบิดขึ้นขณะขับบนถนน ย่อมเป็นเหตุที่ร้ายแรงแน่ๆ
แต่เขาคาดไม่ถึงจริงๆเลยว่าจะมีองค์กรอย่างทางการซึ่งมุ่งจัดการกับพวก “เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ” แบบนี้ด้วยเหรอ?
เป็นไปได้มั้ยว่า….ถึงขั้นตั้งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งเลย?
เซี่ยเหล่ยสังเกตเห็นการจ้องมองของกวนซาน เขาขยับไปบังตัวถังจือและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ถูกต้องแล้ว เรามุ่งจัดการทำนองเดียวกับ…เหตุการณ์ที่ขึ้นกับคุณวันนี้นั่นแหละ”
กวนซานเอนหลังพร้อมทั้งยิ้มอย่างมีชั้นเชิง “อ๋องั้นเหรอครับ…..แล้ววันนี้มาหาผมเพราะมีเรื่องอะไรครับ?”
เขากำหมัดเพื่อข่มหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ตอนนี้เขากระวนกระวายใจมากๆเลย!
เนื่องจากกวนซานสงสัยว่า ฉากที่เขากำลังต่อสู้อย่างเมามันส์กับอากาศในเวลานั้นอาจถูกบันทึกเป็นรูปถ่ายน่ะสิ!
ภาพอันน่าแปลกพิลึกและน่าอับอายบนรถเมล์ แถมไม่นานหลังจากที่เขาลงจากรถ รถเมล์ก็ระเบิดตรงจุดนั้นทันที
แต่กล่าวได้ว่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างออกแนวผีสางอยู่บ้างนะ
ถ้ามีหน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้จริงๆ ก็พอมีเหตุผลที่ต้องมาหาเขาอยู่
แต่ถ้าอย่างงั้น นี่ก็หมายความว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากการตายในแวดวงสังคมแล้ว!
หรือให้เขาพูดว่า “จริงๆแล้วตอนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ผมแค่ออกกำลังกายรำมวยจีนน่ะ แบบนี้เรอะ?!”
ไม่ได้! ต้องหยุดยั้งมัน!
หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย เขาจะไม่มีที่ยืนบนโลกใบนี้อีกแล้วในอนาคต!
ในเมื่อเรื่องก็ผ่านไปแล้ว คุณช่วยเงียบปากของคุณหน่อยได้มั้ย?
แววตากวนซานเริ่มหม่นหมองลง เขากำลังคิดว่าควรใช้วิธีการใดเพื่อผ่านพ้นความเป็นความตายนี้
ส่วนถังจือที่โดนกวนซานเขม่นมองถึงสองครั้ง ก็ลอบหลั่งเหงื่ออันเย็นยะเยือกออกมา
เขาแอบส่งความคิดผ่านทางหูฟังอย่างลนลานว่า “เขา, เขากำลังมองชั้น!”
“สายตาเมื่อกี้นั้น เขาต้องการฆ่าชั้นเป็นคนแรกใช่มั้ย? เขาคงเห็นว่าในหมู่พวกเรา มีเพียงชั้นเท่านั้นที่ไม่เก่งการสู้ระยะประชิดน่ะ?”
ถังจือเริ่มคาดคิดเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อมา “เขาอาจจะไปจัดการนายก่อน จากนั้นค่อยมาทางชั้น เขาอาจมีพลังร่นระยะทางก็ได้เนอะ? แล้วตอนนี้ปืนล่องหนยังอยู่กับเขารึเปล่า? แกว่าเขาจะยิงชั้นจนพรุนมั้ย? “
ดวงตาของถังจือเบิกกว้างจนแทบจะเป็นเส้นตั้งตรง เขากำลังจินตนาการถึงความตายของเขา
เฉินเผิงหยุนรีบปลอบว่า “ไม่หรอกน่า ชั้นว่าเขาแค่ดูถูกความไม่ได้เรื่องของเรามากกว่า ใจเย็นก่อนเถอะ”
เพื่อพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของคำพูด เขาจึงเสริมว่า: “แกคิดมากเกินไปแล้ว เขาไม่เพียงมองแกนะ แต่ยังดูดาบของหัวหน้าด้วย”
ถังจือเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เข้าใจแล้ว เขาต้องหาโอกาสคว้าดาบแล้วหั่นชั้นเป็นสองท่อนแน่ๆ”
เขาพูดด้วยความเศร้าสร้อยว่า “ถึงว่า ทำไมเขาจึงจ้องคอของชั้นเมื่อกี้นี้!”
เฉินเผิงหยุน: “…..”
กลัวขนาดนี้เลยเหรอ?
เนื่องจากพลังของเขา ถังจือจึงกังวลมากกว่าคนทั่วไป แต่ปฏิกิริยานี้ก็มากเกินไปหน่อยนะ
แม้เฉินเผิงหยุนจะไม่เชื่อ แต่สิ่งที่เขาแน่ใจก็คือสภาวะทางจิตของกวนซานที่เป็นสีเขียวปลอดภัย โดยได้รับการรับรองจากนักจิตวิเคราะห์
กลางวันแสกๆ อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายในที่แจ้ง ท่ามกลางหมู่สายตา…
เฉินเผิงหยุนได้หยุดชะงักเมื่อนึกได้ว่าเวลานี้คือกลางดึก และสถานที่นั้นเป็นโรงพยาบาลซึ่งห่างไกลจากชุมชน และมีไม่กี่คนอยู่ใกล้ๆในตอนนี้
เป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสำหรับถ่ายหนังผีหรือก่ออาชญากรรมเหลือเกิน
ครั้นเมื่อเขานึกได้ แสงไฟบริเวณทางเดินด้านนอกก็ได้กะพริบราวกับตอบรับโดยพลัน
รอยยิ้มและสายตาของกวนซานดูจะเต็มไปด้วยความมุ่งมาดอยากฆ่าซะแล้ว
เอาล่ะ เขาก็เริ่มลนเหมือนกันแล้วสิ
เฉินเผิงหยุนได้ก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบเพื่อหลบอยู่ข้างหลังของหัวหน้า
เมื่อมองไปที่ร่างอันเรือนเล็กน่ารักของผู้มีพลังระดับ C ตรงหน้า เขาก็รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นบ้าง