[นิยายแปล] I'm Really Scared ชั้นกลัวแล้วจ้าคุณระบบจ๋า! - ตอนที่ 18 เข่าทรุด
พลังของเถาหลัวไม่ใช่ “การควบคุมโลหะ” ของสายรูปแบบธาตุ
กล่าวคือ เขามีความสามารถนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เพราะพลังที่แท้จริงของเขาคือ “การดูดกลืนพลัง” ของสายคุณสมบัติพิเศษต่างหาก
ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อของมัน เถาหลัวนั้นสามารถดูดกลืนพลังพิเศษของผู้อื่นโดยการสัมผัสร่างกาย แต่มันก็มีข้อจำกัดอย่างมากเช่นกัน
ประการแรก ระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามต้องต่ำกว่าเขา ประการสอง การสัมผัสต้องนานกว่าสามวินาที และสุดท้าย เขาสามารถเก็บได้แค่ครั้งละหนึ่งพลังเท่านั้น
หากต้องการพลังรูปแบบใหม่ เขาต้องลบพลังก่อนหน้านี้ทิ้งไป
และเนื่องจากระดับพลังของเขาเองยังต่ำอยู่ ดังนั้นแม้ว่าจะตรงตามเงื่อนไขทั้งหมดข้างต้นแล้วก็ตาม เขาก็ยังมีโอกาสล้มเหลวตอนดูดกลืนพลังของฝ่ายตรงข้าม และผลของพลังที่ได้มาจะสามารถคงไว้ได้แค่ประมาณ 60% เท่านั้น…
แม้ว่าจะฟังดูห่วยแตกอยู่บ้าง แต่ในทางทฤษฎีแล้ว นี่เป็นความสามารถที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าเลยทีเดียว
ตราบใดที่เถาหลัวสามารถดูดกลืนพลังของคนที่มีความสามารถอันทรงพลังก่อนที่เขาจะเก่งกาจ ก็เทียบเท่ากับได้ครอบครองสุดยอดพลังของอีกฝ่ายเหมือนๆกัน
มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้เพียง 60% หากพลังนั้นยิ่งใหญ่สุดๆ
เพราะอูฐผ่ายผอมใกล้ตายยังไงก็ตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี จริงมั้ย?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเถาหลัวก็คิดอย่างนั้น
และเขาก็โชคดีไม่น้อย
ในตอนที่พลังของเถาหลัวได้ตื่นขึ้น เขารู้วิธีซ่อนเร้นความสามารถของเขา
อย่างที่รู้ว่าระดับพลังได้แบ่งออกเป็นเจ็ดระดับคือ F-S และพลังระดับ F และ E ก็แทบจะไม่ปรากฏออกมาให้เห็นชัด เว้นแต่มีปฏิกิริยาต่อการวัดระดับพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนคนปกติทั่วไป
ส่วนพลังที่เห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น พลังที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมหรือสนามแม่เหล็ก พลังเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดเล็กในบริเวณจำกัด เป็นต้น
พลังที่แย่ไปกว่านั้นก็อาจแค่โชคดีกว่าคนปกติทั่วไป หรือสัตว์ต่างๆอยากใกล้ชิด ฯลฯ
ตัวตนที่ผู้มีพลังจิตระดับ F และ E ใช้มากที่สุดก็คือ หมอดู คนทรงผี และผู้วิเศษ ซึ่งพวกเขาจะสร้างกลุ่มเล็กๆของพวกเขาเอง
บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจอะไรมากต่อกลุ่มเล็กๆเหล่านี้ เพราะมันยุ่งยากเกินไปที่จะสำรวจจำนวนผู้มีพลังจิตที่ต่ำกว่าระดับ D อีกทั้งมันก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น
เฉพาะสมาชิกหกหมวดแรกภาคปฐพีของหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษเท่านั้นที่สามารถสำรวจ ลงพื้นที่พบปะ และขึ้นทะเบียนได้
ดังนั้นเถาหลัวซึ่งช่วงนั้นยังเป็นนักธุรกิจอยู่ ได้ถูกจับพลัดจับผลูเข้าสู่การต้อนรวบรวมผู้มีพลังระดับต่ำ และโชคดีที่ได้พบกับเด็กที่เข้าใจผิดว่าเขาควบคุมโลหะด้วยพลังจิตล้วนๆ…
ความจริงก็ไม่น่าเรียกว่าเด็กเพราะว่าเขาอยู่มัธยมต้นแล้ว, ถูกมั้ย?
เถาหลัวยังจำภาพเหตุการณ์ในงานสังสรรค์ครั้งนั้นได้ เหล่าผู้มีพลังระดับต่ำได้จุดเทียนสร้างบรรยากาศอันน่ารักใคร่กลมเกลียวกัน พวกนั้นพูดถึงความสามารถของพวกเขาทีละคนหยั่งกับกำลังเล่าเรื่องผีไม่มีผิด และหัวเราะร่าออกมาเป็นครั้งคราว
มันช่างดูอบอุ่นมากจริงๆ
จากนั้นก็มีเด็กที่สูงเพียงช่วงเอวของผู้ใหญ่ ได้ออกมาอวดพลังของเขาด้วยความกระหยิ่มใจ
วัตถุที่เป็นโลหะทั้งหมดในห้องต่างถูกยกลอยค้างไว้ ซึ่งทำให้ทุกคนเงียบกริบในทันที เขายังจำได้ดีถึงความตกใจกลัวแม้จะคิดย้อนกลับไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นอีกรอบก็ตาม
มีคนๆหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกต และถามเด็กคนนั้นว่า “ทำไมควบคุมได้แค่โลหะล่ะ?”
เขายังจำสิ่งที่เด็กคนนั้นพูดได้ดี “ผมไม่รู้สิ… ผมทำได้แค่ควบคุมสิ่งของที่ทำด้วยโลหะเท่านั้น”
ทุกคนต่างถกเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน
ในที่สุดหัวหน้ากลุ่มก็ตัดสินใจพูดกับเด็กว่า “พลังของหนูอาจจะไม่ใช่พลังกระจอกเช่นการเคลื่อนย้ายวัตถุได้เท่านั้น แต่เป็นสายธาตุ ‘ควบคุมโลหะ’ มากกว่า ชั้นจะรายงานเรื่องหนูให้เอง มันน่าจะใช้เวลาประมาณสามวันเพื่อรอทดสอบความสามารถและระดับพลังของหนูอีกรอบ หนูทนรออยู่บ้านไปอีกสักสองสามวันนะ…”
เถาหลัวไม่ได้กลับบ้านหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา
เขาซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง จุดบุหรี่สูบ และฟังหัวหน้ากลุ่มแสดงความยินดีต่อพ่อแม่ของเด็ก และยกย่องเด็กมัธยมต้นคนนั้นที่หยิ่งผยองไม่ประสีประสาต่อโลก
เถาหลัวคือนักธุรกิจ ตราบใดที่นักธุรกิจมีกำไร 50% มันก็คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงแล้ว… และในขณะนี้ เขาก็ได้รับมอบโอกาสฟันกำไรถึง 1,000%
ไม่มีใครรู้เรื่องไอ้เด็กเปรตนี่แล้วโลกจะแตกหรือไง? ทำไมพวกเขาต้องจุ้นจ้านด้วย? รายงานทำเพื่อ? ทำไมไม่ปล่อยให้เขา…….แอบดูดกลืนพลังพิเศษนั้นออกมาหนอ?
ในช่วงสามวันนั้น เถาหลัวมักจะไปเดินเล่นใกล้บ้านของเด็ก และความคิดเหล่านี้ได้ฝังตรึงอยู่ในจิตใจเขาตลอดเวลา
เมื่อถึงวันที่สาม เด็กน้อยได้แอบออกจากบ้านและไปร้านอินเทอร์เน็ตกับเพื่อนร่วมชั้น
เถาหลัวลอบหัวเราะในใจ
ก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่เนอะ…จะทนเบื่อหน่ายอยู่บ้านตลอดได้ยังไงเล่า?
“ทำไมเธอไม่อยู่ในโอวาทล่ะ? ฮึ?”
“ถ้าเธอฟังหัวหน้ากลุ่ม ฟังพ่อแม่เธอ อยู่แต่ในบ้าน หรือฟังชั้น ซึ่งพูดว่าอย่าขยับ…”
“เธอก็ไม่ตายอย่างงี้หรอก”
เถาหลัวบีบใบหน้าอันตุ้ยนุ้ยของเด็ก พินิจดูสีหน้าบิดเกร็งตอนตาย จากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างมีชัย “จากนี้ไป ใบหน้าที่คนอื่นให้เธอ ก็กลายมาเป็นของชั้นแล้ว”
เขาโบกมือและมีดเก่าจากกองขยะใกล้ๆก็พุ่งมาหาเขา
เถาหลัวได้ใช้มีดขึ้นสนิมนี้เลาะหนังหน้าซึ่งถือได้ว่าเป็นชิ้นแรกที่เขาสะสม
จากนั้นเขาก็เดินออกจากตรอก ดึงธนบัตร 100 หยวนออกมาด้วยมือที่เปื้อนเลือด แล้วยื่นให้เพื่อนร่วมชั้นของเด็กน้อยที่กำลังยืนตัวสั่นผวา
“ขอบใจที่ช่วยนะ”
ชะตาชีวิตของเถาหลัวได้เปลี่ยนไป
ส่วนในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนร่วมชั้นที่แสนดีคนนี้ เขาย่อมไม่สนใจอีกต่อไป
เมื่อนึกย้อนกลับไป เถาหลัวก็ยังคงรู้สึกว่าเขาโชคดีมาก
นอกจากนี้เขายังได้รู้ในภายหลังว่าสายกายเนื้อ สายคุณลักษณะพิเศษ สายธาตุ ซึ่ง 3 สายพลังหลักนี้ เป็นสายพลังที่แข็งแกร่งในหมู่พลังจิตอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งผู้มีพลังสายธาตุส่วนใหญ่ จะมีพลังจิตถึงระดับ B ทันทียามเมื่อพลังได้ตื่นขึ้น
เขาไม่รู้ว่าฟ้าดินเป็นใจให้รึเปล่า แต่ที่แน่ๆเขาดันหยิบฉวยพลังอันดีเลิศมาครองตั้งแต่ระดับ F
ดังนั้นเถาหลัวจึงพยายามรักษาโชคลาภนี้ไว้อย่างดีเสมอมา และตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนพลังพิเศษของเขาเลย
“แต่ตอนนี้… คนที่เหมาะกว่าได้อยู่ตรงนี้แล้ว! พลังที่แข็งแกร่ง แต่ไม่มีระดับพลังจิต!”
นัยน์ตาเถาหลัวได้ทอประกายอำมหิต แต่มันก็ผสมผสานไปกับความโลภด้วยในเวลาเดียวกัน
เขาได้ระงับความโลภนี้มาหลายปีแล้ว แม้จะฆ่าคน หรือเลาะหนังหน้ามามากมาย แต่ทุกครั้งที่เขาพบผู้ใช้พลังพิเศษ เขาจะถามตัวเองก่อนเสมอว่า หากเขาเปลี่ยนมัน สูญเสียความสามารถเดิมไปแล้ว มันคุ้มค่ามั้ย?
คำตอบในทุกครั้ง ก็คือมันไม่คุ้มเลย
แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้
เถาหลัวนึกถึงพลังของกวนซานในการดึงวัตถุออกมาเมื่อใดก็ได้ นึกถึงชะแลงมหัศจรรย์ของเขา นึกถึงเข็มยาที่มีผลเทียบเท่ากับการฟื้นคืนชีพ…..
มันคุ้มค่าอย่างไร้ข้อกังขาแน่นอน! !
“เอาพลังของแกมาซะดีๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”
เถาหลัวไม่สนใจแม้แต่บาดแผลเหวอะหวะตรงคอของเขา เขาคว้าแขนกวนชานและใช้พลังที่แท้จริงของเขา
มันเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ความรู้สึกของการขโมยพลังคนอื่นได้หวนกลับมาอีกครั้ง
เถาหลัวตาปรือด้วยความสุขสันต์ เขารู้สึกสูงส่งราวกับทวยเทพที่กำลังได้รับพลังอันยิ่งใหญ่
ทุกสิ่งได้เป็นไปตามที่เขาคาดไว้
เถาหลัวรู้สึกว่าแขนขาของเขาอัดแน่นไปด้วยพลังอย่างรวดเร็ว พลังนี้มีอานุภาพมากจนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาได้ในชั่วอึดใจ
อีกทั้งยังทำให้เขารู้สึกแข็งแกร่งขึ้นเป็นสองเท่า
“ตูม!”
เถาหลัวแสดงสีหน้ายิ้มเยาะออกมา เขาโบกมือปัดใบมีดทิ้งจากคอ พร้อมทั้งกระแทกตัวกวนซานที่กำลังตะลึงงันจนกระเด็นกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ
เถาหลัวได้ดีใจเหลือประมาณ เขาก้มมองดูมือของเขา จากนั้นก็แหงนหน้ายิ้มต่อท้องฟ้า “ชั้นมีพลังไร้เทียมทานแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……. เอ๊ะ?”
เสียงหัวเราะของเขาได้กินเวลาไม่ถึงวินาที และมันก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
เถาหลัวได้ตื่นกลัวเมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลังเหมือนกับบอลลูนที่มีรูรั่ว
พลังเหล่านั้นเข้ามาอย่างฉับพลัน และก็จากไปอย่างฉับพลัน…..
“อ๊า-ไม่น้า!ไม่น้าไม่!”
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสภายในจิตวิญญาณ และกระจายออกมาตามร่างกาย ซึ่งคล้ายกับว่าร่างกายเขากำลังแตกสลายจากภายใน เส้นใยกล้ามเนื้อทุกเส้นต่างปริแตกออกหลังจากถูกกระชับอัดแน่น และเลือดก็ไหลทะลักออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกายของเขา
ภายใต้ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ ได้ทำให้เถาหลัวถึงกับคุกเข่าและเจ็บปวดจนตัวสั่น
“เอิ่ม….”
กวนซานลุกขึ้นยืนด้วยความทุลักทุเล และเมื่อเขาเตรียมตัวสู้อีกยก เขาก็เจอกับความงุนงงเข้าเต็มเปา
ทำไมบัฟของ [หัวใจนักแล่เนื้อ] และ [ยาฉีดกระตุ้นอะดรีนาลีน] ถึงหายไปล่ะ?
เหตุไฉนบอสตัวนี้ถึงคุกเข่าไม่ขยับเขยื้อนอีกล่ะ?
และ… HP ของมันไหงกลายเป็น 1 ไปซะได้?
สีหน้าของกวนซานได้มึนงงโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่