[นิยายแปล] I'm Really Scared ชั้นกลัวแล้วจ้าคุณระบบจ๋า! - ตอนที่ 10 หลินซูม่านผู้จบสิ้นแล้ว
- Home
- [นิยายแปล] I'm Really Scared ชั้นกลัวแล้วจ้าคุณระบบจ๋า!
- ตอนที่ 10 หลินซูม่านผู้จบสิ้นแล้ว
“ทำไมถึงมีผู้ชายที่ไม่คิดทำงานทำการ และมีแต่ทำให้คนอื่นลำบากแบบนี้กันนะ!”
“ผีสาว” ซึ่งสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงและชุดสีขาว ได้เลิกยิ้มหลอกและถ่มน้ำลายใส่เจียงซีหยานที่ได้ล้มลงบนพื้น
หลังจากที่เธอถ่มน้ำลาย เธอก็รีบออกจาก “ที่เกิดเหตุ” ด้วยความรู้สึกผิดและแอบตามกวนซานต่อ
“งานสังเกตการณ์ได้ครอบคลุมถึงการรักษาอารมณ์ของเป้าหมายให้คงที่ด้วย ฉันไม่ได้ละเมิดกฎน้า มันเป็นส่วนหนึ่งของงานจริงๆ”
“ผีสาว” บ่นกับตัวเองและเดินผ่านเสี่ยวหวางไป
ซึ่งคนที่ว่าเพิ่งจะเริ่มโทรหมายเลขฉุกเฉินด้วยความตื่นตระหนก และเขาก็ไม่เห็นเธอเลยแม้แต่น้อย
ความสามารถที่เรียกว่า “ตัวตนจืดจาง” สำหรับคนธรรมดา มันเป็นพลังเหนือมิติที่แก้ทางไม่ได้เลย
ตราบใดที่เธอไม่ได้สัมผัสกับพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง เช่น ใช้เท้าขัดขาเจียงซีหยาน ก็ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเธอได้
แต่ในทำนองเดียวกัน หากเธอสัมผัสกับคนๆเดียว ก็จะทำให้เฉพาะคนๆนั้นมองเห็นเธอได้
ความสามารถดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการแทรกซึมตามสถานที่ต่างๆ หรือสอบสวนใครสักคนเพื่อให้สารภาพ ก็ล้วนแต่ให้ผลอันน่าอัศจรรย์
ใช่แล้ว สิ่งที่เรียกว่า “ผีสาว” ก็คือหลินซูม่าน ที่ได้รับคำสั่งให้มาจับตาดูกวนชานอย่างลับๆ
เมื่อคืนนี้ เธอได้หนีออกจากที่เกิดเหตุด้วยความตื่นตะหนก และกลับไปที่สถาบันวิจัยซึ่งกำลังวุ่นวายพร้อมกับทีมพิเศษ ซึ่งเป็นทีมที่เหนือกว่าทีมที่สามของพวกเธอเพื่อขจัดความโกลาหล
อย่างไรก็ตาม เจียงซีหยานก็มีสัญชาตญาณนักข่าวที่ดีมาก
เหตุการณ์เพลิงไหม้ร้านขนม SX เมื่อคืนนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครถ่ายรูป เพียงแต่พวกมันถูกลบทิ้งหมดต่างหาก
และอุบัติเหตุที่ว่านี้ก็ไม่ได้เกิดจากการระเบิดของแก๊ส
แต่เป็นทางออกสุดท้ายที่หน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ ใช้เพื่อกลบเกลื่อนการนองเลือดที่เกิดจากผู้ใช้พลังพิเศษเหล่านั้น
การกวาดล้างนั้นค่อนข้างครอบคลุมบริเวณกว้าง
ฝ่ายพลาธิการ ได้เข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อกำจัดอันตรายที่อาจซ่อนอยู่ทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงทีละจุด
ไม่ใช่แค่รูปภาพเท่านั้นที่ถูกลบ แต่ยังรวมถึงความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์อันแปลกประหลาด ที่ไม่มีสื่อใดสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเพลิงไหม้ร้ายแรงที่เกิดขึ้นต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากได้
ไม่สิ…
ควรจะกล่าวว่ายังมีบุคคลนึงซึ่งเล็ดลอดออกมาได้ นั่นก็คือนักข่าวที่ชื่อกวนซาน
“เวลา 22:06 น. พิกัดชั้น 8 ของอาคารว่านจี๋ หลินซูม่านรายงาน”
“ภารกิจสังเกตการณ์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว”
“เป้าหมายกำลังมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ และคาดการณ์ว่าเขาจะขึ้นรถเมล์ตามตารางเวลา 22:15 น. โปรดเตรียมตัวสำหรับการส่งมอบเป้าหมาย…”
“…สรุปโดยย่อ ตลอดทั้งวันนี้ เป้าหมายไม่มีพฤติกรรมผิดปกติใดๆ นอกจากส่งภาพถ่ายให้แก่ประธานบริหารหนังสือพิมพ์”
หลินซูม่านก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว และเดินตามกวนซานซึ่งอยู่ข้างหน้าเธอ เธอพุ่งเข้าไปในลิฟต์ แอบอยู่มุมในสุด และกล่าวเสริมว่า “ผบ.เซี่ย คุณต้องการทำลายรูปถ่ายมั้ยคะ?”
ขณะรายงานด้วยหูฟังพิเศษของเธอ เธอได้เหลือบมองกวนชานอย่างระมัดระวัง
กวนซานไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังมีบุคคลนึงยืนห่างจากเขาเพียงเมตรเดียว
เขายังคงเล่นโทรศัพท์ในลิฟต์อย่างเบื่อหน่าย
เห็นได้ชัดว่า กวนซานไม่ได้สังเกตเห็นตัวตนของเธอ แม้ว่าหลินซูม่านจะเฝ้าดูเขาอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน
หลินซูม่านชายตามองที่จอมือถือของกวนซาน และพบว่าเขากำลังแชทกับเสินติงฮัวอีกแล้ว
“อีกและ”
ภายในหนึ่งวันที่ผ่านมา สิ่งที่เธอค้นพบมากที่สุดจากการสังเกตกวนชาน ก็คือชามข้าวหมาชามใหญ่
(ชามข้าวหมา – ทนดูคู่รักจู๋จี๋กัน)
นอกจากเวลาทำงาน บุคคลนี้ก็สนแต่พูดคุยกับเสินติงฮัวเรื่องจุกจิกทั่วไป พวกเขาทำตัวเหมือนคู่แต่งงานมานมนานไม่มีผิด
ตามข้อมูลที่มี ทั้งสองคนนี้เคยอยู่ชั้นเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย กล่าวได้ว่าเป็นคู่ซี้วัยเด็กทั่วๆไป
แต่เมื่อถึงโรงเรียนมัธยมปลาย กวนชานได้ลาออกจากโรงเรียนเป็นเวลาครึ่งปีเนื่องจากปัญหาครอบครัว ในช่วงเวลานั้นเสินติงฮัวได้คอยช่วยดูแลเขาเรื่อยมาเสมอ
ต่อมาในมหาวิทยาลัย เนื่องจากกวนซานตัดสินใจที่จะเป็นนักข่าว เสินติงฮัวก็ลงทะเบียนเรียนเอกการถ่ายภาพโดยไม่ว่าอะไรสักคำ
ทำไมพวกเขาถึงยังไม่แต่งงานกัน มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
หลินซูม่านอดพึมพำไม่ได้ว่า
“พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ แต่วันนี้ไม่ได้ทำงานล่วงเวลา และพวกเขาก็อยู่บ้านใกล้กัน แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่กลับบ้านด้วยกันล่ะ?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ชะงัก
สองคนนี้… ดูเหมือนตอนที่ไม่ได้ทำงาน ก็จะคุยผ่านมือถือของพวกเขา มีการพูดคุยต่อหน้าแค่นานๆครั้ง และไม่แสดงความสนิทสนมออกมาให้เห็นเลย
ถ้าไม่รู้อดีตของทั้งสองคน ก็คงคิดว่าพวกเขาแค่รู้จักกันธรรมดา
หลินซูม่านส่ายหน้าระงับความอยากรู้อยากเห็นของเธอ “ช่างมันเถอะ บางที… อาจเป็นแค่นิสัยแปลกๆ ภารกิจต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญนะ”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน เหล่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ไม่ได้คาดคั้นความผิดของพวกเขามากนัก เหตุผลที่ผิดพลาดก็เพราะว่าขาดข้อมูลสำคัญจากหน่วยข่าวกรอง
หลังเหตุครานั้น หลินซูม่านได้พอรู้ว่าจ้าวหงและฟางหมินหมิน เกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่างที่พวกเขายังสืบไม่รู้
อำนาจหน้าที่ของหลินซูม่านยังไม่สูงพอที่จะรู้รายละเอียดเบื้องลึก แต่ดูเหมือนว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับองค์กรผู้ใช้พลังพิเศษที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งมีนามว่า “ผึ้งเพชฌฆาต”
แต่ยังไงซะ เรื่องพรรณนี้พวกคนเบื้องสูงเขาก็คงจะจัดการเองแหละ
ส่วนเธอก็ได้รับภารกิจใหม่หลังจากการหารือของเหล่าผบ.ระดับสูง
มันคือการจับตามองบุคคลลึกลับที่ชื่อ – กวนซาน ซึ่งจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อคืนนี้
เนื่องจากเธอคือคนเดียวที่อยู่ใกล้ชิดกับกวนชานในขณะนั้น และไม่ถูกเขาฆ่า
นอกจากนั้น หลังจากดูวิดีโอที่บันทึกโดยฟังก์ชั่นหูฟังของหลินซูม่านแล้ว ผบ.ระดับสูงก็ลงความเห็นว่าความสามารถของเธอมีผลกับกวนซาน
ดังนั้น เธอจึงเป็นคนซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้
งานหลักของหลินซูม่าน คือการบันทึกพฤติกรรมของกวนซาน และรายงานกลับไปที่ฝ่ายพลาธิการเพื่อประเมินลักษณะนิสัยและระดับความอันตราย
อย่างไรก็ตาม กวนชานได้ทำตัวเหมือนคนธรรมดาทั่วไป…
ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ผิดปกติมากที่สุด
เพราะชายหนุ่มตรงหน้าเธอที่ชื่อกวนชาน ไม่ใช่คนธรรมดาเลยสักนิด!
ก็คนธรรมดาแบบไหนกันที่สามารถฆ่าผู้ใช้พลังระดับ D สองคนได้อย่างง่ายดายด้วยปืนพกเพียงอย่างเดียว!
ระดับ D ไม่ใช่ระดับต่ำที่สุดในบรรดาผู้ใช้พลังอีกด้วย!
ตามมาตรฐานการจัดระดับสากล ความสามารถของผู้ใช้พลังแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับคือ: F, E, D, C, B, A และ S ตามระดับพลังจิตที่พวกเขามี
การจะรู้ระดับพลังได้ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจจับ และใช้วัดความแข็งแกร่งของผู้มีพลังพิเศษได้แค่คร่าวๆ
ดังนั้นโดบปกติ ยิ่งระดับพลังสูงเท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
ส่วนผู้ที่ได้การประเมินระดับ D ย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นมีพลังซึ่งสามารถส่งผลคุกคามได้บ้างแล้ว
หากไม่จัดการดูแล พวกเขาก็จะสร้างความเสียหายต่อวงสังคมได้อย่างมาก
นั่นคือเหตุผลที่คนซึ่งสามารถเผชิญหน้าและฆ่าผู้ใช้พลังระดับ D สองคนได้ อย่างน้อยจึงต้องเป็นระดับ D เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น กวนซานยังได้แสดงความวิปริตในตอนนั้นอีกด้วย
การใช้เครื่องตรวจจับระดับพลังในระยะใกล้ แม้จะมีพลังแค่ระดับ F เครื่องก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองออกมา
นี่ก็เป็นหนึ่งในภารกิจของหลินซูม่าน
อย่างไรก็ตาม กวนซานไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อระดับพลังเลย!
ถ้าคนที่จัดหาเครื่องให้ไม่ใช่ตัวหลินซูม่านเอง เธอคงจะคิดว่าเครื่องตรวจจับที่ฝ่ายพลาธิการจัดหาให้นั้นน่าจะพังมากกว่า
“หรือเป็นเพราะพลังพิเศษของเขา? แต่เขาน่าจะเอนเอียงไปทางสายต่อสู้มากกว่าน้า และเขาก็ไม่ได้แสดงเค้าลางสายปลอมแปลงเลย…”
ขณะที่หลินซูม่านกำลังคาดเดาในใจ
“ติ๊ง”
ประตูลิฟต์ก็ได้เปิดออก
หลินซูม่านเดินตามกวนซานออกจากอาคารไปยังป้ายรถเมล์
และแล้วเสียงของเซี่ยเหล่ยผบ.หน่วยกองพลผสม ก็ดังขึ้นว่า “ไม่ต้อง ภาพนั้นไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรมากมายหรอก”
เซี่ยเหล่ยกล่าวต่อว่า “เธอทำได้ดีมาก แต่ข้อมูลวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของเป้าหมายนั้นต้องมีเยอะกว่านี้ ดังนั้นพรุ่งนี้ก็ยังคงมีการสังเกตการณ์ต่อนะ เจ้าหน้าที่ผู้รับช่วงต่อได้รออยู่บนรถเมล์แล้ว และเธอก็สามารถเลิกภารกิจได้”
หลินซูม่านได้โล่งใจเมื่อเห็นแสงไฟของรถเมล์
จากมุมมองด้านข้างของเธอ
ใบหน้าของกวนชาน ได้ถูกแสงไฟแบ่งออกเป็นสองส่วน ในส่วนมืดมีเพียงแสงอันน้อยนิดสะท้อนออกมาจากดวงตาสีเข้มของเขา ซึ่งทำให้เธอสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว เพราะมันได้ทำให้นึกถึงใบหน้าเขาซึ่งอาบไปด้วยเลือดเมื่อคืนก่อน
เร็วเข้าสิ เร็วเข้า…
ทุกวินาทีที่ต้องอยู่ข้างคนวิปริตผู้นี้ ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเธออาจจะถูกฟันเป็นสองท่อนได้ทุกเมื่อเลย!
หลินซูม่านรอให้ประตูรถเมล์เปิดออก เธอมองเข้าไปยังเจ้าหน้าที่ผู้รับช่วงต่อซึ่งนั่งอยู่ภายใน แล้วส่งข้อความผ่านหูฟังแก่เขา
‘ภารกิจวันนี้เสร็จสิ้น’
เธอได้เฝ้ามองจนรถเมล์วิ่งหายลับไป และในขณะที่เธอกำลังจะถอดหูฟังออก
เซี่ยเหล่ยก็ได้เชื่อมต่อกับช่องสัญญาณเธออย่างกะทันหัน “ลืมบอกไป คราวหน้าอย่าทำอะไรนอกเหนือจากภารกิจนะ นักจิตวิทยาในฝ่ายพลาธิการกำลังบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยตอนนี้”
หลินซูม่านได้งงงันวูบ “ฮะ?”
เซี่ยเหล่ยกล่าวเสียงขรึมว่า
“เช้านี้ พวกเราได้ใช้วิธีบอกใบ้ทางจิตวิทยาเพื่อขยายอารมณ์บางส่วนของเจียงซีหยาน และให้เขาทำการหาเรื่องกวนซาน เพื่อสังเกตว่ากวนซานจะตอบสนองอย่างไร”
“เพราะคนๆหนึ่งจะแสดงด้านที่แท้จริงของเขาออกมาก็ต่อเมื่อเขาโกรธเท่านั้น”
“มะ-หมายความว่า…”
“ใช่แล้ว นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผน”
“…”
เซี่ยเหล่ยถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เฮ้อ เอาเถอะไม่เป็นไร เจียงซีหยานถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโดยฝีมือเธอ ดังนั้นจากนี้ไปการจะหาคนอื่นซึ่งเหมาะสมต่อการกระตุ้นอารมณ์ของเป้าหมายก็ไม่ง่ายแล้ว”
ใบหน้าของหลินซูม่านได้แดงก่ำ เธอกระซิบอย่างเขินอายว่า “ค่ะ ค่ะ… จะไม่มีครั้งต่อไปแล้วค่ะ”
เซี่ยเหล่ยหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่เตือนให้รู้ว่าวันนี้สังเกตการณ์พอแล้ว”
หลังจากรอจนเสียงในหูฟังหายไป
หลินซูม่านได้ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวครู่หนึ่ง เธอค่อยๆย่อตัวลงและกุมหัวของเธอ พยายามทำให้ตัวเองเล็กที่สุด
ณ เวลานี้ เธออยากเป็น “ตัวตนจืดจาง” ระดับ S แทบใจจะขาด
“อ๊าาาาาาาาา! ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย อ๊าาาา! แกล้งเป็นผี ทำเรื่องโง่ๆลงไปแบบนี้ หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานก็รู้กันหมดแล้วน่ะสิ! โฮ—- ฉันอยากตาย ฉันอยากตาย ฉันไปซื้อตั๋วรถไฟดีกว่า….”
ภาพ “ชามข้าวหมา” 555+