แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วห้องโถงของมหาวิหารแห่งเทพ ก่อนที่สามเงาร่างที่ดูสูงศักดิ์จะปรากฏกายขึ้น
เงาร่างทั้งสามประทับอยู่บนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขาล้วนถูกบดบัง มีเพียงประกายแสงเจิดจ้าเท่านั้นที่ปรากฏอยู่
ร่างหนึ่งเป็นสีทองอร่าม ด้านหลังของเขาคล้ายมีเหล่าทูตสวรรค์แห่งศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังร้องเพลงสรรเสริญ พร้อมไปกับสรรพสิ่งหลากหลายรูปแบบที่กำลังสักการะบางสิ่ง
อีกร่างเป็นสีเทาอ่อน ด้านหลังของเขาเสมือนมีเงาร่างจำนวนมหาศาลที่กำลังคำรามอยู่รอบกาย เสริมด้วยเสียงการปะทะคมดาบราวกับอยู่ท่ามกลางฉากสงคราม
และร่างสุดท้ายเป็นสีน้ำเงินประกายมุก ด้านหลังของเขาดูราวกับถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ดาวที่กำลังส่องสว่างจำนวนนับไม่ถ้วน ให้ความรู้สึกที่สงบและลึกลับ
เสียงสะท้อนของบทภาวนาเริ่มดังก้องไปทั่วมหาวิหารแห่งเทพ เมื่อรวมกับแสงจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สาดส่องไปทั่วห้องโถง ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบเปี่ยมไปด้วยความงดงาม ดูควรค่ากับการสักการะ…
“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าไม่คุ้นเคย เพิ่งได้มาเยือน….”
ร่างสีทองเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงของเขาทุ้มและน่าเกรงขาม
แต่เมื่อเขากล่าวไปได้ครึ่งทาง น้ำเสียงของเขาก็แฝงไปด้วยความประหลาดใจ
“หืม? ข้าสัมผัสไม่ได้แม้แต่รูปแบบพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้านั่น…”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ร่างสีทองกล่าว ร่างสีเทาพลันกวาดสายตาไปทั่วทั้งห้อง และเอ่ยขึ้นมาด้วยทีท่าประหลาดใจเช่นเดียวกัน
“ไม่มีบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์เกิดใหม่”
เสียงของเขาแหบแห้ง เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ
ร่างทั้งสามต่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างสีทองจะทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นเทพองค์ใหม่ไม่ผิดแน่ …แต่มันกลับเลือกที่จะไม่ทิ้งรอยประทับพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาหันไปหาร่างสีน้ำเงินประกายมุกที่ยังไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“ท่านริกดาห์ล เทพผู้รับผิดชอบมหาวิหารแห่งเทพในรอบ 100 ปีนี้คือใคร? เหตุใดจึงบกพร่องในการนำเทพองค์ใหม่มาสู่มหาวิหาร?”
ร่างสีน้ำเงินประกายมุกหรือ ริกดาห์ล นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาจ้องไปทางร่างสีเทา ก่อนจะตอบกลับ
”เทพแห่งเหมันตฤดูและการล่า อูลร์”
เมื่อได้ยินคำตอบ ร่างสีทองหันไปทางร่างสีเทา พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย
“ท่านลอยด์ อูลร์เป็นเทพในสังกัดของท่าน นี่เป็นความล้มเหลวในหน้าที่ของท่าน”
ร่างสีเทาหรือ ลอยด์ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ข้าจะลงโทษเขา ท่านอีเทอร์”
ร่างสีทองหรือ อีเทอร์ พยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวอย่างดูถูก
“อูลร์ยังคิดว่าตัวเองจะได้พันธกิจของ เทพองค์นั้น อยู่อีกเหรอ?”
ร่างสีเทาพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“พันธกิจศักดิ์สิทธิ์ของเทพองค์นั้นเหมาะกับเขา แม้ข้าจะเตือนไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็ไม่คิดจะเลิกรา”
“ชีวิตและธรรมชาติ?”
ร่างสีทองหันไปทางบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ในสภาพหมองหม่นที่อยู่เบื้องหลัง
อีเทอร์จ้องมองบัลลังก์ที่แกะสลักลวดลายดอกไม้และเถาวัลย์ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์บางอย่าง
“มันผ่านมาเป็นพันปีแล้ว ข้าไม่รู้ว่าคำสาปศักดิ์สิทธิ์ของเทพองค์นั้นจะยังมีผลอยู่ไหม…”
“อะแฮ่ม…”
ร่างสีน้ำเงินประกายมุกกระแอมเบา ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีความไม่พอใจเจือปนอยู่
“ท่านอีเทอร์ ข้าหวังว่าท่านจะยังจำข้อตกลงที่พวกเราทำไว้เมื่อพันปีก่อนได้ เทพองค์นั้นสิ้นไปแล้ว สิ่งที่ดินแดนซากัสต้องการในยามนี้ คือการพักฟื้น…”
“ด้วยระดับพลังเวทมนตร์ของดินแดนซากัสในปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรองรับการจุติของพวกเรา แถมต้นกำเนิดของมันก็ไม่สามารถทนต่อความผันผวนรุนแรงได้”
“ส่วนร่างที่เหลืออยู่ของเทพองค์นั้น… ข้าได้กล่าวไปหลายครั้งแล้ว ว่าเทพองค์นั้นมีความเกี่ยวพันกับเขตแดนซากัสถึงเพียงใด เหล่าเทพต้องไม่แตะต้องร่างนั้นจนกว่าต้นกำเนิดของเขตแดนซากัสจะฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ยกเว้นแต่ว่า…”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป มันแฝงไปด้วยการยั่วยุ
“…ท่านจะอยากให้ดินแดนซากัสล่มสลาย?”
“เฮอะ!”
อีเทอร์คำราม เขาไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
แต่เมื่อผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง อีเทอร์กลับแสดงอาการประหลาดใจออกมา
“หืม? ระดับพลังเวทในดินแดนซากัสถูกยกระดับขึ้น?”
เงาร่างสีน้ำเงินประกายมุกพยักหน้า
“มันเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะถ้านับจากสงครามครั้งนั้น ก็ผ่านมาถึง 1,000 ปีแล้ว แม้มันจะเร็วกว่าการคาดการณ์ของข้า แต่นี่คือช่วงเวลาที่ต้นกำเนิดของเขตแดนซากัสจะเข้าสู่ช่วงแห่งการฟื้นฟูอย่างแน่นอน”
ร่างสีทองนิ่งเงียบอยู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปทางร่างสีน้ำเงินประกายมุกอีกครั้ง
“ท่านริกดาห์ล ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านคิดจะทำอะไร แต่ข้อตกลงของพวกเราเมื่อพันปีก่อนจะไม่เปลี่ยนแปลง”
อีเทอร์ลุกขึ้นจากบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึกและหนักแน่น
“ตัวตนใดที่บังอาจท้าทายเหล่าเทพ ต้องถูกกวาดล้างให้สิ้น!”
เขากล่าวกับร่างสีเทาอีกครั้ง
“ท่านลอยด์ โปรดแจ้งแก่อูลร์ให้ตามหาเทพที่เพิ่งถือกำเนิดโดยเร็วที่สุด และนำเทพองค์นั้นมาที่มหาวิหารแห่งเทพ”
แสงเจิดจ้าแผ่ออกมาปกคลุมร่างของเขาทันทีที่กล่าวจบ ก่อนที่เงาร่างภายในนั้นจะค่อย ๆ เลือนหายไป
ร่างที่เหลือทั้งสองหันมองอีกฝั่งครู่หนึ่ง ก่อนจะออกจากมหาวิหารในลักษณะเดียวกัน
และแล้วมหาวิหารแห่งเทพก็ได้กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง
…
ในแดนสวรรค์
ภายใน อาณาจักรแห่งเทพ* ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ประมาณสิบล้านตารางกิโลเมตร มีผู้ภาวนาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสวดภาวนาอย่างขะมักเขม้น
ในบริเวณใจกลางของอาณาจักรแห่งเทพ มีขุนเขาอันสูงตระหง่านลูกหนึ่งที่ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะ บนยอดของมันมีพระวิหารสีเงินอยู่หนึ่งแห่ง
ภายในวิหาร ปรากฏร่างอันกำยำที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ กำลังจรดปลายนิ้วของตนลงบนคันธนูศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต…
“!!!”
ร่างนั้นพลันยื่นมือออกไปข้างหน้าด้วยความตระหนก
ละอองแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาที่มือที่ยื่นออกไป
และในวินาทีที่มันสัมผัสเข้ากับปลายนิ้ว เสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยโทสะเสียงหนึ่งพลันปะทุขึ้นมา มันสะเทือนไปทั่วทั้งวิหาร
“อูลร์! เทพองค์ใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว! ผู้ดูแลมหาวิหารแห่งเทพในรอบ 100 ปีนี้คือเจ้า! จงเร่งหาเทพองค์นั้นให้เจอ และนำมาที่มหาวิหารแห่งเทพโดยเร็วที่สุด! นี่เป็นความล้มเหลวในหน้าที่ของเจ้า!! จงรับโทษทัณฑ์ด้วยการดูแลมหาวิหารแห่งเทพทบไปอีก 100 ปี!!!”
อูลร์: “…”
อูลร์สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นจากบัลลังก์ของตนและโค้งคำนับไปในทิศทางหนึ่ง
“น้อมรับคำสั่งท่านลอยด์”
กลุ่มแสงสีเงินดูพึงพอใจในคำตอบของเขา และจางหายไป
อูลร์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะกล่าวอย่างหัวเสียเล็กน้อย
“ทำไมมันต้องมาเกิดในเวรของข้าเนี่ย….”
ผ่านมาแล้วนับพันปี หลังจากที่เทพองค์ล่าสุดได้ถือกำเนิดในเอกภพแห่งซากัส อูลร์จึงลดความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ของตนลงด้วยความประมาท เขานึกไม่ถึงว่าตัวเองจะพบปัญหาเข้าอย่างจัง
อูลร์จ้องไปในทิศทางที่กลุ่มแสงพุ่งเข้ามาด้วยท่าทางที่ดูราวกับกำลังไตร่ตรองบางสิ่ง ก่อนจะคำรามขึ้นมาอย่างเป็นปรปักษ์
“ฮึ่ม… ถ้าข้าได้รับพันธกิจแห่งชีวิตและธรรมชาติ มีหรือที่ข้าจะยอมก้มหัวให้เทพอย่างเจ้า!”
ในฐานะเทพผู้อายุน้อยที่สุด และมีศักยภาพมากที่สุดในรอบหลายพันปี (ตามความคิดของตน) อูลร์หวังอยู่เสมอว่าจะได้เป็นอิสระและสร้างเชื้อสายเทพของตัวเอง แต่นับเป็นโชคร้ายของเขาที่สาวกกลุ่มหลักอย่างบรรดาออร์คอ่อนแอเกินไป แถมพันธกิจศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวของเขายังด้อยอำนาจอย่างมาก
“ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าพวกสาวกมันสืบสาวราวเรื่องไปถึงไหนแล้ว น่าแปลกใจจริง ๆ ที่ผ่านมานานขนาดนี้ยังไม่มีข่าวอะไร…”
อูลร์วางคันธนูศักดิ์สิทธิ์ของตนลง ก่อนจะเริ่มเดินไปมาในวิหารด้วยความกระวนกระวาย
ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
“หืม?”
อูลร์ยืนนิ่ง พลางยื่นมือออกไปด้านนอกวิหารอย่างแผ่วเบา
และในเวลาอันสั้น ดวงวิญญาณอันแสนเปราะบางของออร์คตัวหนึ่งก็ลอยเข้ามา
มันคือวิญญาณของออร์คชราผู้อยู่ใต้ชุดคลุมหนังแกะ — นักบวชออร์ค
หากเดมาเซียอยู่ที่นี่ เขาคงระบุตัวตนของมันได้ทันที ว่ามันคือออร์คผู้โชคร้ายที่ถูกสังหารโดยข้าวกล่อง
อูลร์หรี่ตาลง ก่อนจะวางมือลงบนกระหม่อมของวิญญาณนักบวชออร์ค
ทันใดนั้น ภาพฉากหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางวิหาร…
มันคือภาพจากช่วงเวลาก่อนการสิ้นชีพของนักบวชออร์ค
นักบวชเป็นตัวตนที่แตกต่างไปจากบรรดาสาวกทั่วไป
การที่สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาถวายตัวเป็นนักบวช เป็นการกระทำที่เทียบได้กับการอุทิศดวงจิตให้กับเทพที่ตนนับถืออย่างสมบูรณ์
ในกรณีดังกล่าว เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตายลง ความทรงจำของพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองโดยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพ วิญญาณของพวกเขาจะยังมีความทรงจำจากช่วงชีวิตที่ผ่านมาหลังจากที่ได้เข้ามาสู่ อาณาจักรแห่งเทพ ของเทพที่ตนมอบศรัทธาให้
และผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งเทพ ย่อมเข้าถึงความทรงจำเหล่านั้นได้!
นี่คือสาเหตุที่ทำให้อีฟระมัดระวังอย่างสูงในการเผชิญหน้ากับเหล่านักบวชของอูลร์!
ในระหว่างที่อูลร์อ่านความทรงจำ สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากความคาดหวังเป็นความเคร่งเครียด และจากความเคร่งเครียดค่อย ๆ กลายเป็นความสับสนในที่สุด…
อูลร์ลดมือของตนลง พลางพึมพำด้วยความงุนงง
“ดราก้อนบอลทั้งเจ็ด? เนตรวงแหวน? ขุมทรัพย์ราชาโจรสลัด??”
…
…
_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _
T/N: กลับมาแล้วค่าาาา—-–!
…
หมดกัน ช่วงเวลาพักร้อนของอูลร์ เจอเบิ้ล shift ไปอีก 100 ปี
อีเทอร์ → ลอยด์ : “นี่เป็นความผิดของเจ้า”
ลอยด์ → อูลร์ : “นี่เป็นความผิดของเจ้า!”
อูลร์ → อีฟ : “นี่เป็นความผิดของเจ้า!”
อีฟ : ??
…
(*) อาณาจักรแห่งเทพ ของเทพแต่ละองค์จะเป็นพื้นที่เฉพาะของเทพองค์นั้น ๆ ค่ะ เช่นวิหารกลางทะเลดาวของอีฟ ที่ตอนแรกเป็นแค่พื้นที่โล่ง แล้วค่อย ๆ มีโน่นมีนี่โผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ค่ะ
…
อ่านแปลไทยได้ที่ https://www.nekopost.net/novel/12413/ ค่ะ ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project: https://book.qidian.com/info/1016509432
_ .. _ .. _ .. _ .. _ .. _
MANGA DISCUSSION