[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง - ตอนที่ 6
บทที่ 6 นั่นคือวิถีแห่งข้า
“…ฮึ่ม อ่านไม่ออก”
“ผมเองก็ดูภาพเอาอย่างเดียว”
อูลผู้ทำให้ก๊อบลินยอมศิโรราบ ได้นำของที่สำคัญกลับไปยังถ้ำอันเป็นที่หลบภัยยามฉุกเฉิน
ซึ่งถ้ำนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นเสียดจมูก อูลเปิดหน้าหนังสือพรึบพรับผ่านไปแต่ทว่ากับไม่สามารถเข้าใจถึงใจความสำคัญได้เลย
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะยุคสมัยที่อูลเคยใช้ชีวิตอยู่นั้นผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งพันปี ด้วยช่วงเวลาขนาดนี้ การที่ตัวหนังสือจะเปลี่ยนไปนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย หนังสือที่อยู่ในมือของอูลเองก็ใช้ภาษาที่แตกต่างจากที่อูลรู้จักแบบคนละอย่างเลย
“เอาเถิด ถึงจะสามารถคาดเดาจากภาพได้ก็ตาม…ความแม่นยำก็อาจจะต่ำเกินไปหน่อย มันก็ช่วยไม่ได้นะ”
อูลละสายตาจากหนังสืออย่างยอมแพ้ แล้วขับเคลื่อนพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในร่างกายเพียงน้อยนิด
(แหล่งพลังเวทย์ที่มีก็คือมนุษย์สามคนและแมลง…ถึงจะไม่ต้องเอาแมลงเข้ามาคำนวนก็เถอะ อย่างน้อยก็ได้รับเหยื่อขนาดเท่ามนุษย์มาแล้ว ถึงจะคำนวนรวมจากเวทมนตร์ที่ใช้ไปแล้วก็ตาม กับแค่การวิเคราะห์หนังสือภาพก็น่าจะเหลือเพียงพอล่ะนะ…)
เมื่อคำนวนพลังที่เหลืออยู่แล้ว อูลก็ได้กล่าวเบาๆ เพื่อเปิดใช้งานสกิล
“วิถีแห่งฟ้า…”
“…คิดมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว นั่นมันอะไรนะครับ?”
“หืม? ไม่รู้จักเวทมนตร์งั้นหรือ?”
“ไม่รู้ครับ… อ่า ไม่สิ ถ้าเจ้าที่มนุษย์ใช้ก็เคยเห็นอยู่ครับ”
เมื่อใช้งานอีกหนึ่งพลัง ความรู้สึกที่พลังจำนวนมากถูกสูบออกจากร่างกายก็แล่นขึ้นมา แต่อูลก็สนทนากับโคลต์ไปพลางเก็บความรู้สึกเอาไว้
การไม่แสดงความอ่อนแอออกมา คือสิ่งที่ราชาพึงกระทำ…เส้นทางแห่งจอมมารคือการอดทนอย่างไรเล่า
“เอาเถิด ประเดี๋ยวจะอธิบายอย่างละเอียดให้ฟัง แต่ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการเข้าใจหนังสือเหล่านี้ก่อน”
โดยปกปิดความอ่อนแอจากการใช้พลังเวทย์ออกไป อูลก็วางสายตากลับมายังหนังสืออีกครั้ง
แม้ว่าโคลต์จะสังเกตเห็นอาการที่เปลี่ยนไปเมื่อสักครู แต่ก็เงียบแล้วรอให้อูลอ่านหนังสือเสร็จ
…ดังนั้นแล้ว สีหน้าของอูลก็ค่อยๆ เคร่งเครียดในทุกๆ หน้าหนังสือที่เปิดผ่าน
“…นี่มัน ความจริงอย่างนั้นรึ?”
“อะไรเหรอครับ?”
“เนื้อหาพวกนี้”
“ถ้ามันเขียนเอาไว้ในหนังสือ ก็น่าจะเป็นเรื่องจริงไม่ใช่หรือครับ?”
โคลต์ก็ได้เอียงคอตอบไปอย่างสงสัยในคำถามที่ได้รับ
แม้ว่าโคลต์จะอ่านไม่ออก แต่หนังสือที่อูลกำลังถืออยู่นั้นมีชื่อปกว่า นิเวศน์วิทยาของมอนสเตอร์ ซึ่งน่าจะเป็นหนังสือที่เหล่าฮันเตอร์ที่เข้ามาออกล่าในป่านำมาด้วย
หากเป็นมุมมองของโคลต์ที่ได้ดูภาพส่วนใหญ่ในหนังสือแล้ว ก็คงได้แต่นึกไปว่า “พวกมนุษย์มันล่ามอนส์เตอร์กันแบบนี้สินะ” แล้วก็ทำได้แต่หวาดกลัว แต่ทว่าอูลนั้นได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อที่จะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือนี้ได้
แม้ว่าโคลต์จะเคยสงสัยเนื้อหาในหนังสือ แต่ก็ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จึงไม่ได้คิดต่อไป จึงได้แต่ตอบปัดคำถามของอูลไปทั้งแบบนั้น
“…ดูตรงนี้สิ”
“…ไม่มีภาพอะครับ”
อูลชี้ไปยังกระดาษหน้าหนึ่งอย่างมีอารมณ์ แต่โคลต์นั้นไม่สามารถอ่านหน้าที่ไม่มีภาพประกอบได้
อูลจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเริ่มอธิบาย
“…ตรงนี้คือหัวข้อเกี่ยวกับรังของมอนส์เตอร์”
“อืมอืม”
“จากหัวข้อนี้เขียนเอาไว้ว่า ที่อยู่อาศัยของมอนสเตอร์แบ่งออกเป็นสองประเภทคือประเภทที่อาศัยถ้ำในธรรมชาติเป็นที่อยู่อาศัยและแบบที่สร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ สิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายชนิดหลายแบบ แต่จะแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์อย่างมาก ขอให้ระมัดระวัง สำหรับผู้ที่เป็นฮันเตอร์แล้ว เมื่อเห็นถ้ำที่ตั้งอยู่ในเขตอาศัยของมอนสเตอร์ ให้คิดว่านั้นคือรังของมอนสเตอร์ไว้ก่อน”
“แล้วยังไงหรือครับ?”
“…ถึงจะไม่อยากจะเชื่อ…แต่ว่าทั้งประเทศ ทั้งเมือง มันไม่มีอยู่แล้วหรือ? เผ่าพันธ์ทั้งหลายแยกกันอยู่ตามถ้ำอย่างนั้นหรือ?”
“ก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”
อาจจะมีเผ่าพันธ์ที่ใช้แรงงานทาสอยู่บ้าง แต่หากไม่นับข้อยกเว้น ตามปกติมอนสเตอร์มันจะรวมตัวอยู่ด้วยกันเป็นฝูง
เพราะฉะนั้นโคลต์ที่ไม่อาจจะจินตนาการถึงยุคโบราณที่ถูกจอมมารปกครองได้ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมอูลถึงต้องตกใจ
“…นี่ก็คือความผิดของข้าสินะ”
อูลได้เอ่ยด้วยเสียงที่เบาขนาดที่โคลต์ไม่ได้ยินขึ้น
แม้จะไม่ได้ยินในสิ่งที่อูลเอ่ย แต่โคลต์ก็รู้สึกได้ว่าอูลที่มักจะทำตัวสูงส่งอยู่เสมอกลับเสมือนว่าตัวเล็กลงไปถนัดตา
“…ก่อนอื่นก็ต้องรวบรวมข้อมูลก่อนล่ะนะ บางทีอาจจะแค่ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็ได้”
“…?”
“อย่างเช่นนั้น ก่อนอื่นก็ต้อง…”
อูลที่พูดเอาไว้เท่านั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ
แม้จะไม่ทราบว่าอูลกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่อยากที่จะรบกวนสมาธิ โคลต์จึงเลือกที่จะเงียบตามไปด้วย
และเวลาก็ได้ไหลไปทั้งแบบนั้น…
“กลับ มาแล้วครับ”
“ได้เหยื่อ มาแล้ว”
ที่เข้ามาทำลายความเงียบของโคโบลด์ทั้งสองก็คือยักษ์น้อยที่มีผิวสีเขียวกลุ่มหนึ่ง
แทนที่จะเป็นเสียง “กิกี้” หรือ “กีก๊า!” เหมือนกับเสียงร้องประหลาดแบบลิงเจ็บคอของมอนสเตอร์ สิ่งที่ออกมาจากปากนั้นคือเสียงที่ส่งความหมายสื่อไปถึงใครสักคนได้
แม้จะยังไม่มีชื่อ แต่พวกเขาคือก๊อบลินที่ได้รับการสั่งสอน…จากอูลผู้เรียกตัวเองว่าเป็นจอมมาร
ด้วยการเรียนการสอนเพียงหนึ่งคืนก็สามารถพูดเป็นคำๆ ได้แล้ว แม้นี้จะเป็นขีดจำกัด แต่อย่างน้อยก็สามารถเข้าใจคำสั่งได้แล้ว
เหล่าก๊อบลินหาอาหารตามคำสั่งที่ได้รับจากอูลที่กำลังอ่านหนังสือกลับมาอย่างรวดเร็ว สามารถที่จะปฏิบัติตามคำสั่งได้สำเร็จอย่างงดงาม
“ทำงานได้ดีมาก…กระต่ายป่าอย่างนั้นหรือ?”
“จับมาได้ กินเถอะ”
“…นำกลับมาโดยไม่ได้แตะต้องเหยื่อแม้แต่น้อย ซื่อสัตย์กว่าที่คิดไว้นะ”
ราวกับจะปกปิดความตกใจ อูลจึงกล่าวแบบค่อนแคะพลางพ่นลมหายใจออกทางจมูก
ด้วยประสาทสัมผัสการดมกลิ่นอันเฉียบคมของโคโบลด์ แค่การตรวจสอบว่ามีการกินเหยื่อมาก่อนหรือไม่ ก็สามารถรู้ได้อย่างง่ายได้ ด้วยจมูกโคโบลด์ของอูลนั้นไม่พบกลิ่นของเลือดหรือกลิ่นหอมของผลไม้จากปากของก๊อบลินแม้แต่น้อย
แทนที่จะเป็นเรื่องลำดับความสำคัญของการเติมเต็มท้องของตนเองหรือการมอบอาหารให้กับนายเหนือหัว อูลกลับคิดว่าพวกมันอาจจะหนีไปโดยไม่ฟังคำสั่งเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเข้าใจแต่แรกแล้วว่าความสัมพันธ์แบบนายบ่าวนี้เปราะบางและห่างไกลจากคำว่าจงรักภักดีเป็นอย่างมาก เพราะบังเกิดจากการบังคับขู่เข็ญด้วยกำลังนั่นเอง
การสอนภาษาในชั่วข้ามคือก็สนุกดี มันเป็นเหมือนการทดลองดูว่าเผ่าพันธ์ที่เรียกว่าก๊อบลินนั้นเสื่อมถอยไปแค่ไหน เพราะฉะนั้นถึงจะหนีไปก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่กระนั้นเหล่าก๊อบลินก็ได้ตอบสนองต่อการคาดการณ์นั้นด้วยอดทนต่อความกระหายและทำตามธรรมเนียมอันดี นั่นคือสิ่งที่ทำให้อูลประหลาดใจ
“ท่านอูล แข็งแกร่ง”
“พวกเรา เชื่อฟัง”
เหล่าโคโบลด์ทั้งเจ็ดแสดงความจงรักภักดีอีกครั้งด้วยการหมอบตัวลงแล้วมอบอาหารให้ เบื้องหน้าเหตุการณ์เช่นนี้ อูลก็ได้เผยรอยยิ้มด้วยความยินดี…ที่จริงๆ แล้วไม่ได้เกิดขึ้น แต่อูลกลับแสดงความสงสัย
“…ไม่เข้าใจ”
“อะไรเหรอครับ?”
“…พวกแก ไม่เคยถูกใครปกครองมาก่อนอย่างนั้นรึ? ไม่ เป็นไปไม่ได้ ทั้งที่พวกแกตกต่ำลงจนไม่เหลือแม่แต่วัฒนธรรมสักกระผีก แต่กลับมีมารยาทดีขนาดนี้…ใครปลูกฝังธรรมเนียมของสัตว์ร้ายให้กับพวกแกกัน?”
อูลส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยไปยังเหล่าก๊อบลิน เพียงแค่มองจากด้านข้างก็ทำให้โคลต์เสียวสันหลังได้เลย
แม้ว่าก๊อบลินจะไม่เข้าใจว่าทำไมอูลถึงโกรธพวกตนทั้งๆ ที่หาเหยื่อมาได้แล้ว แต่ก็พยายามเค้นสมองที่ปกติไม่เคยได้ใช้อย่างเต็มที่เพื่อที่จะไม่ทำให้อูลเสียอารมณ์ไปมากกว่านี้
หากไปกระตุ้นโทสะของผู้เหนือกว่าแล้วจะพบกับความน่ากลัวขนาดไหน พวกก๊อบลินนั้นเข้าใจดี
“…ฮึม เป็นเรื่องที่พูดยากอย่างนั้นรึ ไม่ต้องกลัวไปหรอก?”
แม้จะผ่านไปสักครู่หนึ่งแล้ว เหล่าก๊อบลินนั้นก็ยังไม่คลายความกลัวลง จึงไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาเลย
ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะปิดบังแต่อย่างใด แต่การเฟ้นหาคำพูดที่ได้รับการสั่งสอนมาไม่นานโดนไม่กระตุ้นโทสะของผู้เหนือกว่านั้นเป็นเรื่องที่เกินความสามารถ
เมื่อตัดสินใจว่าท่าทีของก๊อบลินนั้นไม่ได้แฝงเจตนาร้ายแต่อย่างใดแล้ว อูลก็แสดงท่าทีอ่อนลง คิดว่าอาจจะสามารถวางใจได้ว่าไม่มีตัวตนเบื้องหลังคอยชักใยแต่อย่างใด
“…จะว่าไป ยังไม่เคยได้ถามเรื่องของพวกแกเลย พวกแกทั้งเจ็ดใช้ชีวิตด้วยกันอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ พวกเรา เป็นมือ ให้กับบอส”
“บอส? ใครอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้เป็นยังไงแล้ว?”
“บอส ตัวใหญ่ แข็งแกร่ง พวกเรา สู้ไม่ได้”
“บอส ตอนนี้ ยังอยู่”
“…คลังศัพท์ยังไม่พอสินะ ไม่เข้าใจเลย”
อูลได้แต่สูดใจหายเมื่อได้ฟังคำพูดของก๊อบลิน
ถ้าแค่ฟังคำสั่งง่ายๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องแบ่งปันข้อมูลที่ซับซ้อนคงยังไม่ไหว
คืนนี้คงต้องทรมาน…ไม่สิ หมายถึงการสอน อูลได้เริ่มวางแผนการอยู่ในหัว แต่ทว่าคำตอบของคำถามนั้นก็ได้มาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ได้คาดคิด
“ที่ปกครองก๊อบลินอยู่ บอสตัวใหญ่…น่าจะเป็นผู้ปกครองผืนป่า โอเกอร์หรือเปล่านะ?”
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำกับตัวเองของโคลต์ที่อยู่ด้านข้าง จึงได้หันหน้ามองโคลต์แทน
“ผู้ปกครองผืนป่า…ยักษ์ตัวใหญ่ โอเกอร์อย่างนั้นรึ? ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“อืม… ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายหรอกครับ ถ้าคิดถึงมอนสเตอร์ที่ปกครองพวกก๊อบลิน ก็มีแต่โอเกอร์นี่แหละครับ ถ้าแถวๆ นี้แล้วก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่พอตัวครับ โอเกอร์ผู้ครองผืนป่าจอมอาละวาด…ผู้ถือครองพลังที่มากที่สุดในแถบนี้ เป็นตัวตนที่กับนายเหนือหัว จากในมุมมองของพวกผมแล้วก็เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวครับ”
“…ถ้าพูดถึงโอเกอร์แล้ว ข้าจำได้ว่าด้วยนิสัยที่เป็นดั่งนักรบห้าวหาญ ก็ไม่น่าที่จะกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่ามิใช่หรือ?”
“นั่นมันอะไรน่ะ? ถ้าพูดถึงโอเกอร์แล้ว ก็มีแต่เผ่ายักษ์ผู้แข็งแกร่งอันหยาบช้านี่แหละ?”
เป็นอีกหนึ่งสามัญสำนึกที่ไม่เข้ากันของทั้งสอง อูลจึงตระหนักได้ถึงความหนักหนาของห้วงเวลาที่ไหลผ่านไป ความเหงาหงอยนั้นได้ปะทุจากภายใน กลืนกินเอาอารมณ์ทั้งหลายรวมถึงความโกรธอันรุนแรงให้หายไป
ในอีกด้านหนึ่ง โคลต์ก็ได้แต่ประหลาดใจว่าเจ้าหมอนี่พูดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว
“…ถ้าอย่างนั้น บอสของพวกแกคือโอเกอร์อย่างนั้นหรือ?”
“บอส…โอเกอร์?”
“ไม่รู้”
อูลที่ขจัดอารมณ์อันไม่จำเป็นออกจากหัวไป ต่อบทสนทนาด้วยการยิงคำถามไปยังก๊อบลิน
แต่ก๊อบลินที่ไม่เข้าใจนิยามของมอนสเตอร์นามว่าโอเกอร์นั้นได้แต่เอียงคอสงสัย สิ่งที่เรียกว่าภาษานั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้กันได้ในช่วงข้ามคืน
“…จงบอกลักษณะของบอสของพวกเจ้าออกมา”
“ตัวใหญ่”
“แข็งแกร่ง”
“สีแดง”
“มีเขา สองข้าง”
อูลที่ได้ยอมแพ้ไปแล้วได้ลองเดาจากลักษณะพิเศษของบอสที่เหล่าก๊อบลินพอจะนึกคำออก
ด้วยข้อมูลที่ไม่ปะติดปะต่อมานี้ อูลย่นหัวคิ้วแล้วเริ่มประกอบข้อมูลเข้าด้วยกันจนพอจะได้ภาพใหญ่ออกมา
“…ถ้าให้สรุปแล้ว บอสของพวกแกคือมอนสเตอร์ที่เดินสองขา มีผิวหนังสีแดง เป็นเผ่ายักษ์ที่มีเขา เป็นสายพละกำลังล้วนที่ใช้แรงเข้าว่าเอาต้นไม้ที่หักโค่นต่างกระบอกมาใช้กวัดแกร่ง”
อูลที่ได้ข้อมูลมาก็พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกล่าวสรุปอย่างเข้าใจ
แม้จะไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูเหมือนว่าโอกาสที่บอสของเหล่าก๊อบลินจะเป็นโอเกอร์นั้นสูงมาก
“ไม่นึกว่าทายาทของเหล่าโอเกอร์นั้น จะกลายมาเป็นนายเหนือหัวจอมอาละวาดผู้ใช้ความรุนแรงปกครองผู้อ่อนแอกว่า…”
อูลถึงกับไหล่ตกเมื่อต้องยอมรับความจริงที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่เลวร้ายเมื่อเทียบกับสามัญสำนึกของตัวเองและสามัญสำนึกของยุคนี้
“…เอาล่ะ แทนที่จะมัวจิตตก สู้หาทางว่าจะฟื้นฟูยังไงจะดูมีประโยชน์กว่า”
“ว่าแต่ จะไม่กินเหรอ?”
โคลต์ที่ขัดจังหวะบทสนทนาของอูลได้แสดงความสนใจไปยังกระต่ายป่าที่เหล่าก๊อบลินจับมาให้
ในสถานการณ์ที่มีกระต่ายป่าวางอยู่ตรงหน้านี้สำหรับโคโบลด์ที่ชอบกินเนื้อแต่ด้วยความอ่อนแอของต้นเองจึงได้กินเพียงแค่เดือนละครั้งนั้นเหมือนกับการทรมานดีๆ นี่เอง
อาหารอันโอชะที่อยู่ข้างหน้านี้ อาจจะสูญหายไปได้ง่ายๆ โดยขึ้นอยู่กับอารมณ์ของอูล
“…จัดการตามใจแกเลย ยังไรเสียด้วยจำนวนคนเท่านี้ ก็คงเติมเต็มท้องไม่ได้เสียเท่าไหร่”
“เอ๋! ได้เหรอ?”
“เท่าที่ข้าเห็น เจ้าเองก็หิวมากไม่ใช่หรือ ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนั้นก็อาจจะละเมิดพันธสัญญา แกกับเจ้าพวกก๊อบลิน…ทั้งแปดคนจงกินตามใจชอบเสีย”
การที่อูลที่ปกติมักจะท้องว่างเป็นเนืองนิตย์นั้นไม่แสดงความสนใจต่อเนื้อที่อยู่ตรงหน้า ช่างเป็นเรื่องที่เกิดคาด
หรืออาจจะเพราะว่ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอาหารตรงหน้ามากกว่า แต่โคลต์เองก็เลิกสนใจแล้วหันมาแล่ซากกระตายตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว
“ที่สำคัญกว่านั้น เจ้าพวกก๊อบลิน มีคำถามที่ไม่ว่ายังไงก็จำเป็นต้องถามเจ้าอยู่”
โดยที่มีเสียงแจ๊บๆ ของการกินอาหารเป็น BGM อูลถามคำถามด้วยสีหน้าจริงจังกับเหล่าก๊อบลิน
เนื่องด้วยกลิ่นเลือดที่โชยมาทำให้เหล่าก๊อบลินมีอาการวอกแวกไปบ้าง ทำให้อูลมีแสดงอารมณ์โกรธออกมาเล็กน้อยเพื่อเรียกความสนใจมายังตนเอง แล้วเริ่มถามคำถาม
“ก่อนอื่น ฝูงของพวกแก…มีจำนวนอยู่เท่าไหร่?”
“จำนวน?”
“มีก๊อบลินกับโอเกอร์อยู่…มีจำนวนสมาชิกนอกเหนือนี้เท่าไหร่?”
“สมาชิก?”
“เยอะแยะ?”
อูลพยายามจะทราบข้อมูลขนาดของฝูงที่เหล่าก๊อบลินอยู่
แต่ว่ายังไม่ได้สอนการนับเลข…อะไรที่มากกว่าสามก็จะกลายเป็นคำว่าเยอะแยะไปเสียหมดชวนให้สับสน อูลจึงทำการสอนนับเลขเสียตรงนี้เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูล
“กลุ่มที่มีขนาดเท่ากับพวกแกมีอยู่ทั้งหมดกี่กลุ่ม?”
“…เอ?”
“มีเท่าไหร่?”
“ก๊อบลิน มากมาย”
“บอส แค่ หนึ่ง”
“อื่น โคโบลด์ มากมาย”
“หมู มากมาย”
“…ไม่ใช่มากมาย หนึ่งกลุ่มสองกลุ่ม เข้าใจหน่อย”
อูลใช้ใบไม้และก้อนหินที่ตกอยู่แถวๆ นั้นเริ่มสอนวิชานับเลข
แม้จะเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทน แต่ในที่สุดเหล่าก๊อบลินก็สามารถที่จะตอบได้ แม้ว่าในตอนแรกจะสามารถตอบได้แต่คำว่ามากมาย ในที่สุดก็ได้ข้อมูลที่พอจะกะประมาณออกมาจนได้
“ก๊อบลิน…ที่เหมือนพวกเรา ประมาณ 20กลุ่ม”
“โคโบลด์ ประมาณ 30กลุ่ม”
“หมู ประมาณ 10กลุ่ม”
“แล้ว แล้วก็ เจ้าหน้าขน นิดหน่อย”
เหล่าก๊อบลินขุดคุ้ยเข้าไปในความทรงจำของตนเอง
แม้ว่าความน่าเชื่อถืออาจจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่ก่อนอื่นคงมีแต่จะต้องยึดข้อมูลตรงนี้แล้วพูดคุยต่อไป ดูเหมือนว่าเผ่าพันธ์ที่ถูกปกครองจะกระจายไปอย่างหลากหลาย และก็มีจำนวนอยู่พอสมควร
“…ก๊อบลินประมาณ150ตัว โคโบลด์ประมาณ200ตัว หมู…ออร์คใช่หรือไม่? เอาเป็นออร์คก่อน ก็มีอยู่ประมาณ70ตัว แล้วก็โอเกอร์ที่เป็นนายเหนือหัวอีก1ตน ส่วนเจ้าหน้าขนจะเป็นตัวอะไรก็ยังไม่รู้…แต่นับรวมตัวที่ยังไม่ทราบแน่ชัดเข้าไปก็ประมาณ1.2เท่าก็น่าจะเพียงพอ”
อูลขยับปากยืนยันความคิดพร้อมทั้งจดเอาความเป็นไปได้ที่ น่าจะมีกำลังรบที่เจ้าพวกนี้ไม่รู้อยู่เป็นแน่ เอาไว้ในใจ
ดูเหมือนว่าจะมีมอนสเตอร์ของทั้งภูมิภาคนี้มาใช้เป็นกำลังรบ ด้วยพลังที่มีอยู่ในตอนนี้คงไม่สามารถจะเอาชนะได้เป็นแน่
ก่อนที่จะได้คิดต่อไป โคลต์ที่กำลังแยกส่วนกระต่ายก็กระโดดเข้ามาในบทสนทนา
“จะว่าไปนะครับ”
“…อะไร?”
“ทำไมจะต้องไปสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย?”
โคลต์รู้สึกว่ามันน่าประหลาด ทำไมจะต้องสนใจเรื่องของผู้ปกครองของก๊อบลินที่รับเข้ามาเป็นลูกน้องนี้ด้วย
อูลตอบคำถามด้วยสายตาที่มองไปยังคนโง่
“นี่แก หัดใช้ความคิดสักหน่อยก็น่าจะเข้าใจได้หรือไม่? ถ้าอยู่ดีๆ ข้ารับใช้หยุดติดต่อไปเสียจะเกิดอะไรขึ้น?”
“อะไรหรือ…ก็น่าจะตายไปล่ะมั้ง?”
“ไม่ผิด อย่างเจ้าพวกนี้อาจจะเป็นไปได้ที่จะตายจากอุบัติเหตุหรือโชคร้ายพบกับศัตรูจากภายนอกก็เป็นได้ แต่การจะสรุปเอาเยี่ยงนั้นมันไม่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำองค์กร”
อย่างที่โคลต์พูดนั้นไม่ผิด หากก๊อบลินเหล่านี้หาเรื่องวิวาทกับอูล ก็คงจะถูกฆ่าตายไม่ผิดแน่ ที่ก๊อบลินเหล่านี้ยังมีลมหายใจ ก็เป็นเพราะอารมณ์ของอูลพาไปล้วนๆ
แต่หากว่าคิดจากในมุมของโอเกอร์แล้วล่ะก็ ถ้าแค่ลูกน้องหายไปเพราะถูกฆ่าก็คงไม่แปลก แต่ในฐานะของผู้ปกครองแล้ว ก็ยังมีอีกมุมหนึ่งที่จะต้องคิดเผื่อเอาไว้ด้วย
“…ถูกทำให้หายไปด้วยกำลังของผู้ปกครองอีกตนหนึ่ง ก็เป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้ ก็คือการทรยศ”
“ทรยศ…”
“และคราวนี้ก็คือการทรยศนั่นแหละ สำหรับพวกที่ใช้กำลังปกครอง การยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมันจะสูญเสียความสง่างามอย่างไรเล่า และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ ก็มีสิ่งที่ต้องลงมืออยู่ นั่นคือการยืนยันว่าลูกน้องนั้น…ตายไปจริงๆ หรือหนีไปแล้วกันแน่”
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป…”
“ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะมาเองหรือไม่ แต่ถ้าแค่มาตรวจตราในบริเวณที่เจ้าพวกนี้เคยอยู่ก็น่าจะเป็นไปได้ และถ้าหากได้รู้ว่าเจ้าพวกนี้ยังไม่ตาย ก็คงจะลงมือฆ่าทันทีที่เห็น แล้วก็คงจะรวมถึงตัวข้าที่ได้ขโมยหมากของตนเองมา ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
เมื่อเข้าใจถึงภัยอันตรายที่อูลพูดถึงแล้ว โคลต์ก็ได้แต่ตัวแข็งทื่อ
ที่โคลต์ยังไม่ตายไปนี้ ก็เป็นเพราะอูลได้ช่วยเหลือเอาไว้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่โคโบลด์เด็กอย่างโคลต์จะเอาตัวรอดคนเดียวได้ ก็คงจะมีแค่ตัวเลือกที่จะไปเป็นทาสหรือก๊อบลินหรือเผ่าพันธ์อื่นๆ
และในสถานการณ์ที่เสี่ยงเช่นนี้ ก็กำลังจะถูกกองกำลังของโอเกอร์ผู้ปกครองป่าเข้าโจมตี โคลด์ไม่ได้บ้าพอที่จะไม่กลัวเรื่องนี้
“ง งั้นก็รีบหนีเถอะ…”
“ปฏิเสธ”
“ทำไมเล่า!”
“เหตุผลมีอยู่สองอย่าง หนึ่ง ถ้ายังไม่รู้ว่าในบริเวณนี้อยู่ภายใต้การปกครองหรือไม่ จะหนีไปที่ไหนก็ไม่แตกต่าง แม้จะหนีไปจากที่นี่ หากไม่มีข้อมูลมากเพียงพอ ก็คงจะถูกเพ่งเล็งโดยผู้ปกครองในฐานะผู้บุกรุกเท่านั้น”
“อึก…แล้วอีกข้อล่ะ?”
“นี่แหละคำถามโง่ๆ…ทำไมข้าผู้เป็นราชันย์ถึงจะต้องหนีด้วยเล่า? การที่จะสลักความหวาดกลัวต่อจอมมารเข้าไปถึงกระดูกดำให้กับเจ้าพวกไม่รู้ระดับของตนเองที่เข้ามาท้าทายนี้…นั่นคือวิถีแห่งข้า”
อูลหัวเราะเสียงขึ้นจมูกดุจดั่งความหยิ่งยโสจะก่อร่างสร้างตัวตนขึ้นมา โดยมิได้แยแสในความหวาดกลัวของโคลต์
ถ้าหากแค่นั้นแล้วโคลต์ก็คงพยายามที่จะเกลี้ยกล่อม แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลใดๆ มาโต้แย้งได้เลย แม้จะเคลื่อนย้ายไปทั้งกลุ่ม ก็ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าจะไม่เข้าไปยังเขตของเผ่าพันธ์อื่นๆ
ในระหว่างที่กำลังสับสนอยู่ อูลที่ตัดสินใจได้ก็หันหน้าไปยังโคลต์และก๊อบลินพร้อมทั้งสั่งการด้วยเจตจำนงอันแข็งแกร่ง
“ข้าขอสั่งพวกเจ้า ในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเจ้าจะต้องต่อต่อสู้กับปลาซิวปลาสร้อยจำนวนมากมาย แต่พวกเจ้าที่ยังเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยเหมือนกันก็คงจะไร้ประโยชน์เป็นแน่ เพราะเยี่ยงนี้ ข้าจะสั่งสอนพวกแกจนกว่าจะเป็นกำลังรบได้เอง”
อูลลุกขึ้นแล้วยกแขนยื่นนิ้วออกมา และบนนิ้วที่ชี้ออกมานั้นมีดวงไฟลุกโชนอยู่
“ให้พวกแก ได้ร่ำเรียน…เวทมนตร์นี้กันดีกว่า”
จะสั่งสอนวิชาเวทมนตร์ให้กับโคลต์และเหล่าก๊อบลิน…หากมนุษย์ได้ยินสิ่งนี้ ก็คงได้แต่ถามว่านี่ยังสติดีอยู่หรือเปล่าเป็นแน่แท้