[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง - ตอนที่ 5
บทที่ 5 มานั่งเรียนตรงนี้
“ก่อนอื่น…ก็เริ่มจากให้รู้ที่ต่ำที่สูง”
ก๊อบลินทั้งเจ็ดตัว มอนส์เตอร์เผ่าพันธ์ยักษ์ที่ขาดทั้งพละกำลัง ความสามารถ สติปัญญา เมื่อเปรียบเทียบกับมนอส์เตอร์โดยส่วนใหญ่แล้วก็เห็นได้ว่ากำลังรบนั้นต่ำเตี้ย พอจะเทียบได้กับผู้ใหญ่ชาวบ้านทั่วไปที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนหากสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
แต่เมื่อเปรียบมวยกับโคโบลด์ที่พอมีกำลังเท่าๆ กับเด็กน้อยแล้วก็คงเรียกได้ว่าเหนือกว่า
ซ้ำยังมีพฤติกรรมที่โหดร้าย พร้อมจะสังเวยเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ได้ทันที หากเพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว ต่อให้เป็นเผ่าพันธ์เดียวกันก็ไม่แตกต่าง พร้อมที่จะฆ่าแล้วกลืนกินผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ
ต่อหน้ามอนสเตอร์ตัวอันตรายเหล่านี้ อูล โอม่ายืนกอดอกจังก้าพลางคิดว่า ต่อหน้าศัตรูระดับนี้ไม่ได้มีความน่าลำบากแต่อย่างใด
“บ…บอกให้หนีไปแท้ๆ…”
โคโบลด์ที่เมื่อไม่กี่ชัวโมงที่แล้วพึ่งจะถูกมนุษย์เข้าโจมตีจนทั้งฝูงถูกล้างบางมาหมาดๆ เอ่ยเสียงสั่นๆ
โคโบลด์ไม่ใช่เผ่าพันธ์ที่จะต่อสู้แบบซึ่งหน้า ยิ่งด้วยจำนวนที่น้อยกว่าแล้วยิ่งไม่มีโอกาสชนะ
แม้ว่าจะมีพลังอันแปลกประหลาดที่แสดงให้เห็นเมื่อตอนต่อสู้กับมนุษย์ แต่นั่นก็เป็นพลังที่เมื่อใช้แล้วก็ต้องหมดสติไปในทันที ไม่น่าจะเอาชนะศัตรูจำนวนมากแบบนี้ได้
ในอีกฝากหนึ่ง
“กี้กี้?”
เหล่าก๊อบลินได้แต่เอียงคอสงสัยต่อพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของโคโบลด์นี้ หากมองจากมุมมองของพวกตนซึ่งในสมองเล็กๆ จำได้ว่าปกติแล้วจะต้องวิ่งหนีจนกว่าจะถูกทุบตีแล้วทำให้เชื่อฟัง
การไล่ล่าโคโบลด์ที่วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว นั่นคือความบันเทิงอย่างสูงสุดของเหล่าผู้แข็งแกร่งอย่างตนเอง
สำหรับก๊อบลินที่มักจะถูกล่าและกินเป็นอาหารโดยเผ่าพันธ์อื่นๆ แล้ว โคโบลด์ก็เปรียบเหมือนกับเรดาห์นำทางและกระสอบทราบดีๆ นี่เอง
เพราะฉะนั้นฝูงจึงได้มุ่งหน้ามายังทิศทางที่มีกลิ่นแปลกๆ ผสมกับกลิ่นเลือดของโคโบลด์ ตั้งใจว่าจะเข้าล้อมหากศัตรูมีท่าทีคิดหนี แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นแถมยังเดินดุ่มๆ เข้ามาทางด้านหน้าอีกด้วย
ก๊อบลินจึงได้แต่สงสัยในโคโบลด์ผู้ไม่หนีไม่ซ่อนแถมยังยืนต่อหน้าอย่างไร้ความเกรงกลัว กระนั้นแล้วก็รีบโยนความสงสัยนั้นทิ้งไปแล้วแยกย้ายกันเข้าโจมตี
เพราะว่าก๊อบลินนั้นคิดเรื่องยากๆ ไม่เป็นนั่นเอง
“เอายังไงดี…ก่อนอื่นก็เอาแค่เบาะๆ ก่อนก็แล้วกัน”
เนื่องจากก๊อบลินไม่สามารถเข้าใจคำพูดได้ เมื่อโคโบลด์ปริศนากล่าวออกไปจึงทำท่าเหมือนกับขว้างบางสิ่ง
สิ่งนั้นก็ปรากฎขึ้นใต้เท้าของพวกก๊อบลิน
“วิถีปฐพีขั้นที่หนึ่ง บึงโคลน”
“กีกรี้!?”
เนื่องจากพื้นดินใต้เท้าเปลี่ยนเป็นบึงโคลนอย่างกระทัน เหล่าก๊อบลินที่ถูกแย่งชิงอิสระของเท้าไปจึงพร้อมใจกันล้มลง
“…มุ แค่ใช้เวทมนตร์ระดับนี้ไปครั้งหนึ่งก็ก็ลมหายใจติดขัดแล้ว…ใช้เวทมนตร์ขั้นแรกอีกสองครั้งก็ถึงขีดจำกัดแล้วอย่างนั้นรึ?”
“เอ๋? ม ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่…แต่หมายถึงว่าไม่สามารถใช้พลังในตอนนี้ได้ดีเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น…แล้วแกจะถอยไปไหนน่ะ?”
ต่อหน้าก๊อบลินที่เกลือกกลิ้งอยู่ โคโบลด์ปริศนาพึมพำพร้อมทั้งสูดลมหายใจ
แม้ว่าก๊อบลินจะไม่เข้าใจความหมายของเสียงพึมพำ แต่ดูเหมือนมันจะเข้าใจความหมายที่โคโบลด์ที่ด้านหลังกำลังถอยห่างออกไปได้
โคโบลด์กำลังหวาดกลัวหมายความว่าพวกมันกำลังได้เปรียบอยู่
“กิกี้!”
เนื่องจากความไม่ฉลาดของก๊อบลินอันเป็นลักษณะเฉพาะตัว จึงพยายามที่จะลุกขึ้นและก้าวผ่านความตื่นตระหนกนี้ไปได้ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย ซึ่งนี้ก็อาจจะเป็นจุดแข็งของพวกมัน
แต่โคโบลด์ปริศนานั้นไม่มีเหตุผลที่จะยอมให้ก๊อบลินที่พยายามจะลุกขึ้นนั้นเป็นอิสระไปได้ จึงได้เรียกใช้งานเวทมนตร์อีกบทหนึ่ง
“วิถีแห่งสุญญตาขั้นที่หนึ่ง โซ่ตรวนธรณี”
“กิ?”
ก๊อบลินที่พยายามจะยืนขึ้นก็ถูกบางสิ่งฉุดรั้งกลับลงไปยังบึงโคลนอีกครั้งหนึ่ง
ราวกับว่าบางสิ่งกำลังเกิดขึ้น เหล่าก๊อบลินจึงมองไปยังบริเวณที่ถูกฉุดรั้งเอาไว้ เหมือนมีบางสิ่งกำลังจับบริเวณข้อเท้าทั้งสองข้างเอาไว้
แต่ว่าก็ไม่ปรากฎสิ่งใดอยู่เลย แม้จะเกิดความรู้สึกเหมือนกับมีบ่วงรัดพันเอาไว้ แต่ก็เหมือนกับถูกการมองเห็นของตนทรยศเอา แม้เท้าของตนจะถูกตรึงเอาไว้กับบึงโคลนก็ตาม
“อืม นั่นอะไรหรือครับ?”
“…พื้นฐานของพื้นฐาน เวทมนตร์ก็ไม่รู้จักอย่างนั้นรึ?”
“…ไม่รู้เลยครับ”
“ฮ่า… ถึงจะเป็นคนยากไร้ก็ตาม แต่การที่เข้าไม่ถึงแม้แต่การศึกษาเนี่ยนะ…ระดับการศึกษาสมัยนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว”
เมื่อได้เห็นโคโบลด์ปริศนาถอนหายใจออกมา ก๊อบลินเด็กหนุ่มก็รู้สึกแย่ตามไป
ด้วยสภาพที่กำลังหมอบคลานอยู่ในบึงโคลนขนาดเล็กนี้ พวกก๊อบลินก็ได้รับรู้ถึงอารมณ์โกรธ ว่าท่าทางของโคโบลด์ที่มีต่อพวกตนไม่ควรจะเป็นเช่นนี้
แต่ทว่าความยโสที่ไม่รู้จักระดับของตนนั้นก็ถูกพัดพาไปในวินาทีต่อมาที่ความเสียวสันหลังแล่นเข้าใส่
“กรี๊!?”
“กิก้ากร้า!!”
เหล่าก๊อบลินที่นอนหราอยู่ในบึงโคลนเกิดอาละวาดขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะเกิดใจสู้ขึ้นมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความกลัวที่ดีดขึ้นมาอย่างกระทันหันต่างหาก
แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่ทุกอณูในร่างกายกำลังร้องเตือนให้หนีออกจากตรงนี้ ประดุจดั่งมีมอนส์เตอร์ดันดุร้ายกำลังอยู่เบื้องหน้า
ความรู้สึกนี้ หากเป็นมนุษย์ในสมัยโบราณจะเรียกขานว่าออร่าแห่งจอมมาร
“…หิวอีกแล้ว”
“เมื่อกี้ก็เพิ่งกินไปนี่ครับ”
“อาหารชั้นต่ำนั้นยังไม่เพียงพอให้ใช้เวทมนต์ได้ถึงสองครั้งด้วยซ้ำ ถึงส่วนของมนุษย์ที่กินเข้าไปจะยังเหลืออยู่…แต่ตั้งใจจะเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตาย เพราะงั้นจะกินเข้าไปสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร”
เมื่อความหนาวเหน็บกับรุนแรงขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของโคโบลด์ปริศนาแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจในที่มาของความรู้สึกนั้น
เป็นความกลัวแม้แต่สมองอันน้อยนิดของก๊อบลินก็ยังเข้าใจได้ ว่าภายใต้หนังของโคโบลด์ที่นุ่งห่มอยู่นั้น มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
พวกมันได้เข้าใจแล้วว่า จากนี้กำลังจะถูกสัตว์ประหลาดนี้กลืนกิน พวกมันนั้นได้ท้าทายผู้แข็งแกร่งที่ไม่สมควรจะท้าทายไปแล้ว
และทั้งเจ็ดตัวนี้ก็ได้เข้าใจในวินาทีนั้นเองว่า สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่พวกตนพอจะทำได้นั้นคือ
“กี…”
“…เอ๋ ก้มหัวลงแล้ว?”
“ตั้งใจจะหมอบกราบเช่นนั้นรึ? ในที่สุดก็เข้าใจในความต่างแล้วสินะ”
จริงๆ แล้วก๊อบลินก็ไม่ใช่เผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่ง อาจจะมีบ้างที่จับโคโบลด์มาใช้เป็นทาส แต่พวกตนเองก็ถูกเผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าจับเป็นทาสเช่นกัน
เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจวิธีการรับมือต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่า นั้นคือการหมอบกราบ ก้มศีรษะลง นั้นคือการกระทำเพื่อแสดงตนว่ามิได้มีเจตนาคิดต่อสู้ต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่าของก๊อบลิน
หากใช้ความคิดสักเล็กน้อย ก็จะเห็นได้ว่าก๊อบลินปริศนานั้นเข้าใจสิ่งที่พวกตนทำ ความกระหายเหล่านั้นจึงสลายไปหมดแล้ว
“…ได้เสีย เมื่อเข้าใจในความยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว การหมอบกราบต่อราชานั้นคือสิ่งที่พึงกระทำ”
“ความยิ่งใหญ่…พูดเองเลยเหรอ?”
“การเอ่ยความจริงออกมาจากปากนั้นจะผิดได้อย่างไรเสีย? …เช่นนี้แล้ว เหล่ายักษ์น้อยเอ๋ย หากเชื่อฟังข้าแล้วก็จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปสักพัก เข้าใจแล้วนะ?”
โคโบลด์ปริศนาจึงประกาศกร้าวต่อเหล่าก๊อบลินที่กำลังก้มศีรษะอยู่ในบึงโคลน
เหล่าก๊อบลินที่แม้จะไม่สามารถเข้าใจคำพูดได้ แต่ก็เข้าใจได้โดยสัญชาติญาณก็ยังค้มก้มกราบอยู่อย่างนั้น
“เอาล่ะ ไปเอาหนังสือมาได้แล้ว”
“อ อืม”
แม้จะไม่รู้ว่าบึงโคลนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เหล่าก๊อบลินก็ยังคงหมอบอยู่บนพื้นดินต่อไป
สำหรับโคลต์ที่เห็นสภาพศัตรูฟ้าประทานแบบนี้แล้วก็ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรดี แต่การที่จะขัดใจอูลผู้เป็นนายของที่แห่งนี้คงไม่เป็นการฉลาดเท่าไหร่ จึงไม่ได้กล่าวตบมุขแต่อย่างใดแล้วเคลื่อนตัวไปยังส่วนลึกของถ้ำ
แม้ว่าภายในถ้ำจะยังคงมีกลิ่นของควันเหม็นที่มนุษย์ใช้หลงเหลืออยู่ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป ความรุนแรงจึงลดลงอยู่ในะดับที่พอจะทนได้
“หนังสือ หนังสือ…”
โคลต์หยิบหนังสือหลายเล่มที่ได้ทิ้งอยู่ภายในถ้ำออกมา
ทั้งหมดที่อยู่ที่นี้ ก็คือหนังสือที่เหล่ามนุษย์ที่ตายไปในป่าโดยไม่ทราบสาเหตุนำติดตัวมา เพราะว่าทั้งสัตว์ป่าและมอนส์เตอร์นั้นไม่ได้มีความสนใจในหนังสือแม้แต่น้อย โคลต์จึงสามารถเก็บพวกมันมาได้อย่างไม่ลำบากอะไร
แต่กระนั้นแล้ว สัดส่วนของมนุษย์ที่นำหนังสือติดตัวมาก็ไม่ได้มากอะไร ขณะที่จึงมีห้าเล่มเท่านั้น
“อ่า เอามาแล้วล่ะ”
“ไหน…เหม็นชะมัด”
“นั้นก็เพราะพวกมนุษย์นั่นแหละ”
อูลที่รับหนังสือมาถึงกับต้องมุ่ยหน้าเพราะกลิ่นของควันเหม็นที่ติดมากับหนังสือ
ทั้งที่คิดว่าจะเปิดดูข้างในเลย แต่หลังจากที่ดูหน้าปกถูกคืนหนังสือมาให้โคลต์ในทันที
“เอาไว้อ่านทีหลัง ตอนนี้ตัดสินก่อนว่าจะจัดการยังไงกับเจ้าพวกนี้”
“งั้นเหรอ เอาแบบนั้นก่อนก็ได้ครับ”
“แกเอาหนังสือพวกนี้ไปผึ่งแดดเอาไว้ก่อน กลิ่นมันจะจางลงได้”
อูลพูดจบแล้วก็หันหลังให้โคลต์ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบกลิ่นที่ติดหนังสือนี่
โคลต์เองก็ไม่ชอบที่จะต้องอ่านมันทั้งแบบนี้ จึงทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
“เอาล่ะ…เหล่ายักษ์น้อยทั้งหลาย”
“กิ กี้…”
“…ไม่เข้าใจภาษาจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
ก๊อบลินนั้นพูดไม่เป็นภาษา ได้แต่พูดกี้กี้เท่านั้น
ราวกับไม่อย่างเชื่อว่าก๊อบลินนั้นมีระดับสติปัญญาด้อยกว่าโคโบลด์ อูลจึงเอียงคอสงสัย
และโคลต์ที่ไม่สามารถทนไหวจึงได้อธิบายสิ่งที่เป็นสามัญสำนึกกับอูลว่า
“ก๊อบลินนี่มันก็พูดไม่ได้หรือแล้วหรือเปล่าครับ?”
“ก๊อบลินที่ข้ารู้จักนั้น แค่การใช้ภาษามันก็เป็นเรื่องปกติหรอกนะ? ซ้ำแล้วยังมีทั้งที่ทำงานเป็นทหารหรือพ่อค้าอยู่ด้วย แม้อาชีพที่ต้องใช้ความละเอียดอาจจะไม่มีอยู่ก็ตาม…”
อูลเอาแต่พูดในสิ่งที่ผิดจากสามัญสำนึก
แม้ว่าเรื่องที่โคลต์รู้นั้นอาจจะไม่ได้มากอะไร แต่ก็แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ถึงจะคิดว่าที่ข้างนอกป่าที่ตนเองไม่รู้จักอาจจะมีก๊อบลินแบบนั้นอยู่ แต่ว่าก๊อบลินในป่าแห่งนี้อย่างน้อยก็โง่ทุกตัว
“…ถ้าไม่เข้าใจภาษาแล้ว เจ้าพวกนี้จะสื่อสารกันเองอย่างไรเล่า? นอกจากรวมตัวกันแล้วจะทำอะไรได้? มีภาษาอะไรที่ใช้สื่อสารกันเองที่ข้าไม่รู้จักอยู่หรือ?”
“อืมม ก็ไม่รู้หรอกนะว่าก๊อบลินมีวัฒนธรรมยังไง อาจจะแค่ส่งเสียงร้องหรือเปล่า? ก็ไม่คิดว่าจะมีการสื่อสารที่ซับซ้อนอะไรหรอกนะครับ”
“ถ้าอย่างน้อยพอที่จะสื่อสารกันได้ก็พอจะทำอะไรได้อยู่หรอก…แต่แบบนี้มันจะใช้งานอะไรไม่ได้เลยนะ”
อูลยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความลำบากใจ ผู้ที่บอกว่าหากยอมเชื่อฟังจะไว้ชีวิต แต่ถ้าไม่สามารถถ่ายทอดคำสั่งได้ก็ไม่สามารถจะทำอะไรต่อได้เลย
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็…เริ่มจากให้พวกแกเข้าใจคำพูดก่อนก็แล้วกัน”
“เห?”
“กี้?”
“เหล่าผู้ที่เป็นบริวารของข้า อย่างน้อยก็ต้องมีการศึกษา ถึงจะมีทหารเดนตายที่ใช้กับการโจมตีแบบพิเศษอยู่ก็ตาม แต่ถ้าไม่เข้าใจภาษาก็ไปต่อไม่ได้หรอก”
อูลประกาศออกไปแบบนั้น
เป็นเรื่องที่เหนือความเข้าใจของโคลต์ หากเรื่องอย่างการสอนหนังสือให้ก๊อบลินนั้นเป็นไปได้…วงศ์วานของโคลต์ก็คงมีจำนวนมากกว่านี้ไปแล้ว เพราะว่าไม่สามารถทำได้นั้นเอง ตั้งแต่ที๋โคลต์เกิดมา ระดับสติปัญญาของฝูงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
โคลต์ได้แต่นิ่งอึ้งพลางคิดไปว่า อย่างพวกแบบก๊อบลินจะทำอะไรได้ อย่างโคลต์เองหากไม่เปรียบด้านพละกำลังแล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ก็ตาม
“ไม่มีทาง เรื่องแบบนั้นมัน…”
“สำหรับราชา ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถึงจะว่าแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วเจ้าพวกนี้มีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกนะ”
อูลนั้นไม่ใส่ใจกับการโต้แย้งอย่างรุนแรงของโคลต์
และอูลก็ได้ออกคำสั่งอีกอย่างกับโคลต์ในเวลาเดียวกัน
“เจ้าหนู ไปหาอาหารจากรอบๆ มาหน่อย”
“เอ? เอ๋?”
“เพราะว่าต้องกำราบเจ้าพวกนี้ก็ได้ใช้พลังเวทย์ไปพอสมควร ในระหว่างที่ข้ากำลังสอนอยู่ จงไปหาอาหารมาให้ที”
“วางใจเสียเถิด รอบๆ นี้ไม่มีสัตว์อันตรายอะไร แต่ก็ไม่มีเหยื่อเช่นกัน…แต่เจ้าก็ไม่น่าจะไหวหรอกนะ? เพราะฉะนั้นจงไปรวบรวมเอาแมลงและผักหญ้ามาซะ แค่คืนหนึ่งก็น่าจะเรียบร้อยแล้วล่ะ”
อูลส่งเสียงชิ้วชิ้วแล้วโบกมือไล่
โคลต์ไม่อยากที่จะทำตามคำสั่งเช่นนี้…หรืออาจจะไม่ใช่คำสั่งแต่แรก เพียงแต่โคลต์นั้นถูกจิตสังหารกดดันให้ทำตามมาตลอด แต่ว่าการกระทำอย่างเดินท่องไปในป่าตัวคนเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย
“ไม่เอาาา”
“ถ้าบอกว่าไม่เอา แกเองก็ต้องมานั่งเรียนตรงนี้ด้วย…จะเอาแบบนั้นใช่ไหม?”
แต่กระนั้น แค่จะพูดให้จบประโยคก็ยังทำไม่ได้เลย
จะให้เอาตัวไปอยู่ในโรงเรียนสอนภาษาก๊อบลินกับให้ออกไปหาอาหารคนเดียว ไม่ต้องถามก็น่าจะรู้คำตอบแล้ว
โคลต์กำลังจะตอบว่าอยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่า แต่รู้สึกสันหลังเย็นวาบขนลุกขึ้นมาเสียก่อน เพราะสัญชาตญาณกำลังตอบสนองต่อคำว่าเรียน
“อืมม..”
“จะเอาอย่างไร จงเลือกมาเสีย”
“…จะไป หาอาหารมาครับ”
ต่อหน้าแรงกดดันของอูล โคลต์ก็ยอมไปเสียแล้ว เลือกที่จะเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองก่อน
ถ้าลองนึกดูดีๆ ทั้งแต่โศกนาฏกรรมนั้น นี่ก็เป็นโอกาสแรกที่จะได้อยู่คนเดียว เมื่อคิดจากสถานการณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่พวกพ้องถูกฆ่ามา ก็แทบไม่มีเวลาให้โศกเศร้าแม้แต่น้อย โคลต์กล่อมตัวเองว่าตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่จำเป็น
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมมานะ”
คล้อยหลังจากที่โคลต์เข้าป่าไปประมาณ 1 นาที
“เกี้ยะ!”
“โดนแค่นี้อย่าร้องนะ ตัวต่อไป!”
(ท ทำอะไรอยู่เนี่ย?)
เสียงกรีดร้องของก๊อบลิน และเสียงของอูลดังกึกก้องไปทั่วป่า
ด้วยเสียงอื้ออึงแบบนี้คงจะดึงดูดศัตรูเข้าหาเป็นแน่ หากเป็นโคลต์จะต้องคิดแบบนี้ แต่ขอแค่ตอนนี้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแบบนี้จะดีกว่า
ความคิดที่ว่า ทำบ้าอะไรกันอยู่ ในที่สุดก็ชนะ มั่นใจได้ว่าคงไม่มีไอ้บ้าตัวไหนอยากจะเข้าใกล้สถานที่อันเต็มไปด้วยโหยหวนแบบนั้นก็เป็นแน่
ในเวลานี้ขอเวลาสักครู่หนึ่ง รวบรวมอาหารเท่าที่จะทำได้แล้วปิดหูเอนตัวลงนอน เพียงแค่หนึ่งคืนก็จะจบลง โคลต์ทั้งใจที่จะกลับไปเมื่อยามรุ่งสาง
ด้วยความพยายามที่จะทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโหยหวนแล้วข่มตาหลับลง สิ่งที่ที่ได้เห็นยามที่กลับไปยังถ้ำเดิมในตอนแรกก็คือ
“พวกเรา ก๊อบลิน เชื่อฟัง ท่านอูล”
“…ถึงจะพูดได้ทีละคำ แต่อย่างน้อยก็ผ่านเกณฑ์ล่ะนะ”
ภาพที่เหล่าก๊อบลินกำลังนั่งทับส้นเท้ายืดตัวตรงในสภาพที่มีเลือดซึมออกจากผิวหนังสีเขียวทั้งหมดเจ็ดตัวกำลังพูดออกมาได้แม้จะไม่คล่องแคล่วก็ตามที