[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง - ตอนที่ 3 - น้ำลายมันไหลไม่หยุดเลย
บทที่ 3 น้ำลายมันไหลไม่หยุดเลย
“คุฮาฮ่า…! ช่างยาวนานจริงๆ ที่ไม่ได้มีร่างเนื้อแบบนี้…!”
กลายเป็นโศกนาฏกรรมอันโหดร้าย โคโบลด์ได้ถูกนักรบเผ่ามนุษย์รุกราน
เหล่าโคโบลด์ที่ถูกฆ่าล้างเพียงฝ่ายเดียว จนคิดว่าตนเองจะจบสิ้นลงที่นี้แล้ว ได้ถูกมาเยือนโดยสถานการณ์อันไม่คาดคิด
ต่อหน้าพิธีกรรมที่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าชั่วร้าย ร่างอันไร้ชีวิตของโคโบลด์ตัวเต็มวัยได้รวมตัวกันให้กำเนิดเป็นโคโบลด์ตัวใหม่เมื่อพิธีสิ้นสุดลง
โคโบลด์ตัวนั้นแผ่ออร่าเข้มข้นอันชั่วร้ายออกมา กำลังแสดงความตื้นตันยินดีที่ได้ร่างเนื้อมาครอบครอง
“เอ่อ คุณคือใครครับ…? เกิดอะไรขึ้น กับคนอื่นๆ…?”
“…แกคือเด็กที่ชื่อคตงั้นรึ?”
“เอ๋? อ่า ไม่ใช่ครับ ผมชื่อโคลต์”
“งั้นรึ เอาเถอะ จะอะไรก็ช่าง ภายใต้สัญญานี้ ข้าจะรับประกันชีวิตของแกเอง จงยินดีเสีย จากนี้เจ้าจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองแห่งจอมมารอูล โอม่านี้”
“จอมมาร?”
ต่อหน้าโคโบลด์ปริศนาที่ปรากฎตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โคโบลด์หนุ่มน้อยก็ทำได้แต่เพียงแค่ตกใจ และตกใจ
โคโบลด์ปริศนานี้เรียกตนเองว่าอูล โอมาเอาแต่พูดถึงธุระของตนเองโดยไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องของโคลต์แม้แต่น้อย ค่อนข้างที่จะไร้มารยาททีเดียว
แต่ว่าการใช้นามจอมมารด้วยร่างกายของเผ่าพันธ์อันแสนอ่อนแออย่างโคโบลด์นั้น ก็ทำให้โคลต์หลงลืมว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์เช่นไรอยู่
กระนั้นแล้วอูลก็รู้สึกเสียอารมณ์อยู่เล็กน้อย ที่โคลต์ส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจมายังตนเองผู้เป็นจอมมารที่สรรพสิ่งทั้งหลายต้องศิโรราบ
“ข้าคือจอมมารอูล โอม่าไม่ผิดแน่”
“ไม่รู้สิ…โคโบลด์เนี่ยนะจะเป็นจอมมาร?”
“หา! พูดอะไรกัน ข้าคือมังกรมาร…อ๋า?”
ในที่สุดอูลที่เมื่อสักครู่กำลังตื่นเต้นจนลืมมองสิ่งรอบข้างไปก็ได้รู้สึกตัว
โคโบลด์หนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้าอย่างโคลต์นั้นดูตัวใหญ่… ไม่สิ ระดับสายตาของตนนั้นต่างหากที่เตี้ย
“…โคโบลด์?”
“ถ้าไม่ใช่โคโบลด์แล้วจะเป็นตัวอะไรล่ะ?”
อูลที่ตกตะลึงได้ลงมือตรวจสอบร่างกายตัวเองอีกครั้ง แม้ว่าจะดีกว่าร่างวิญญาณที่ไม่มีตาหูจมูกเลยก็ตาม แต่หากเทียบกับร่างเนื้อเดิมอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้ว ร่างนี้ก็อ่อนแออย่างเทียบกันไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ปริมาณพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายก็น้อย หากเทียบกับยุคทองแล้ว เผลอๆ ก็อาจจะเข้าใจผิดว่านี้คือซากศพหรือเปล่าได้เลย
จอมมารอูล โอม่าผู้ปกครองในตำนานอันเกรียงไกลในครั้นยุคบรรพกาล บัดนี้…เป็นเพียงแค่โคโบลด์ตัวหนึ่งอันสุดแสนจะปวกเปียก
“โคโบลด์…ว่าแต่ทำไมถึงเป็นโคโบลด์…”
เมื่อถูกความเป็นจริงอันโหดร้ายกระแทกเข้าใส่ อูลผู้เป็นโคโบลด์ปริศนาก็ห่อเหียวลงต่อหน้าเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ที่กำลังตกอกตกใจอย่างโคลต์
แต่ผู้ที่กำลังตกใจนั้นไม่ได้มีแต่โคลต์
“อ…ไอ้หมอนี่มันตัวอะไร…”
“ไอ้นั่นมันโคโบลด์งั้นเหรอ…? มีค่ามานาเท่าไหร่นะ!”
ต่อหน้าเหตุการณ์ปริศนาที่เกิดขึ้น การล่าที่ควรจะจบลงอย่างง่ายดายกับเป้าหมายอย่างโคโบลด์นี้
กลุ่มสามคนผู้เป็นฮันเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการล่า มาเยือนยังป่าซิลก์เพื่อกำจัดมอนส์เตอร์นี้ยังต้องตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ผิดปกติเบื้องหน้า
สำหรับเหล่าฮันเตอร์ผู้ออกล่าเพื่อหาอาหาร เก็บหินเวทย์ และขายชิ้นส่วนมอนส์เตอร์เพื่อเลี้ยงชีพแล้ว แหล่งที่อยู่อาศัยของมอนส์เตอร์อย่างป่าซิลก์จัดว่าเป็นแหล่งทำเงินชั้นดี
สามคนนี้นั้นมีความสามารถที่ต่ำกว่าระดับกลางอยู่เล็กน้อย เหล่ามนุษย์ได้กำหนดระดับของมอนส์เตอร์ขึ้นอยู่กับความอันตรายของมัน ส่วนระดับของฮันเตอร์ก็ขึ้นอยู่กับระดับของมอนส์เตอร์ที่สามารถจัดการได้
ระดับความอันตรายที่เหมาะสมของแต่ละคนในกลุ่มนี้อยู่ที่ 20 ถ้ารวมทั้งทีมแล้วระดับความอันตรายที่เหมาะสมก็จะเลื่อนไปเป็น 30 โดยทั่วไปแล้วระดับการล่าอย่างปลอดภัยก็จะลบลงไปสัก 10 ซึ่งโคโบลด์ที่ระดับความอันตรายต่อตัวอยู่ที่ 8 และเมื่อรวมเป็นกลุ่มก็จะอยู่ที่ 10
กล่าวได้ว่าทั้งสามคนนี้เลือกสถานที่ล่าตามตำราซึ่งโดยปกติแล้วไม่ควรจะมีอันตรายใดๆ
แม้จะกล่าวเช่นนั้น ร่างของโคโบลด์ที่ปรากฏตรงหน้านี้กลับกระตุ้นสัญชาตญาณของทั้งสามคนอย่างยิ่งยวด
สัญชาตญาณนั้นกำลังร้องเตือนว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้ธนูเรย์(エイ) และผู้ใช้โล่ใหญ่วี (ビーイ) จึงได้สอบถามไปที่ผู้ใช้เวทมนตร์ชีน่าถึงระดับของมานาที่ศัตรูมี
ว่าโคโบลด์ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้านั้นมีระดับพลังอยู่ขนาดไหน
“…มาแล้ว ตามที่มานาเซ็นเซอร์ตรวจได้…มีระดับอยู่ที่ 380 ประเมินความอันตรายอยู่ที่ระดับ 18”
“อ๋า? แค่นี้อะนะ?”
“…ไม่ผิดแน่ มีมานามากกว่าโคโบลด์ปกติหลายเท่า”
เมื่อได้ยินตรวจเลขที่วัดได้จากปากของชีน่าแล้ว ชายทั้งสองก็คลายความกดดันลง
ทั้งที่เปิดตัวอลังการขนาดนั้น แต่ความแข็งแกร่งกลับไม่มากเท่าไหร่
“เอาเถอะ ห้ามประมาทนะ อาจจะมียูนีคสกิล…มีเมริทก็เป็นไปได้”
“ม่ายมีหรอกม้าง ไอ้ค่าพลังเวทย์เฉลี่ยที่ยืนยันว่ามีเมริทนั้นมัน…เอ…”
“…อย่างน้อยคือมานาสามพัน ตามทฤษฎี”
“ใช่ๆ สามพัน หมอนี่มันโคตรห่างเลยไม่ใช่เหรอ?”
ความวิตกที่มีจนถึงเมื่อครู่ได้หายไป เหล่าฮันเตอร์ได้ความเยือกเย็นกลับมาอีกครั้ง ถึงวีจะพูดว่าอย่าประมาท แต่กระนั้นแล้วคำพูดต่อหน้าช่างแตกต่างจากความเฉื่อยชาที่แสดงออก
ค่ามานาที่แสดง เป็นหน่วยที่ใช้เรียกพลังเวทย์นั้น คือต้นกำเนิดพลังทั้งมวล เป็นค่าที่ใช้วัดกำลังรบที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง
ถ้าเป็นมนุษย์แล้ว คนปกติจะมีค่าพลังเวทย์อยู่ที่ประมาณ 100 หากเป็นฮันเตอร์ทั้งสามคนที่เป็นมืออาชีพแล้วจะมีค่ามานามากกว่า 500 โดยเฉพาะนักเวทย์อย่างชีน่าที่ต้องใช้เวทมนตร์อยู่เสมอแล้วยิ่งต้องมีค่าพลังเวทย์เกินกว่า 800 อย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วไม่ว่าจะคิดจากมุมไหน โดยตัวเลขแล้วยังไงก็ไม่มีโอกาสแพ้
โดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังเข้าใกล้ระดับกลางด้วยแล้ว มักจะตกอยู่ในกับดักของสามัญสำนึก แม้ว่าค่ามานาจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจอย่างมาก แต่ทว่านั้นก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยเฉพาะระดับกลางผู้ที่ยังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไม่เพียงพอที่จะขึ้นเป็นผู้ชำนาญการมักจะลืมพื้นฐานและสามัญสำนึกเหล่านี้ โดยที่ตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่ในใจ เรย์ก็ได้ง้างสายธนู เพื่อที่จะกำจัดมอนส์เตอร์อ่อนแอที่บังอาจทำให้ตกใจให้ดับดิ้น
“งั้นก็ ไปตายซะไป”
“ฮี!”
เรย์ปล่อยสายธนูอย่างไม่ลังเล
ไปยังโคโบลด์ที่เอาแต่ห่อเหี่ยว อยู่ดีๆ ก็ถอนหายใจเหมือนยอมแพ้แล้วลุกขึ้นยืนอย่างสงบเสงี่ยม ไปยังโคโบลด์อันแสนโง่เง่าที่เมื่อสักครู่ดูถูกร่างกายที่เล็กและอ่อนแอของตนเองอย่างน่าหัวร่อ
โคลต์กรีดร้องให้กับลูกศรที่พุ่งมา ในขณะที่อูลลงมือเคลื่อนไหวอย่างเยือกเย็น
“อืม”
(ทำอะไรของมันเนี่ย?)
อูลยกแขนขึ้นมาไว้เบื้องหน้า แต่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่าพยายามจะทำอะไร แต่เป็นแค่โคโบลด์แท้ๆ คิดว่าจะทำอะไรได้หรือไง เรย์คิดแบบนั้นพลางแสยะยิ้มนึกถึงภาพที่ลูกศรจะพุ่งทะลุใบหน้าอันหยิ่งยโส
อูลถอนหายใจเหมือนกับยอมแพ้ จนกระทั้งวินาทีที่อูลเปลี่ยนมือ
“วิถีแห่งสุญญตาขั้นที่หนึ่ง ม่านพลัง”
รอยยิ้มของเรย์ถูกย้อมทับด้วยความตื่นตกใจในทันที
เหมือนกับลูกศรถูกปัดตกโดยอากาศธาตุ เหมือนกับยิงไปยังกำแพงที่มองไม่เห็น
“เป็นไปไม่ได้!”
เห็นเหตุการณ์ที่ลูกศรถูกสะท้อนออกปรากฎตรงหน้า แม้แต่ชีน่าที่ปกติแล้วเป็นคนพูดน้อยถึงกับต้องส่งเสียงดังออกมา
เมื่อเห็นอาการของพวกพ้องแล้ว วีจึงตกอยู่ในอาการตระหนกตกใจแล้วร้องถามออกไป
“เป็นอะไร? มันเกิดอะไรขึ้น? มันมีสกิลอะไรงั้นเหรอ!?”
“ไม่ใช่! นั้นมัน นั้นมันไม่ใช่สกิล…”
“ไม่ใช่เมริท เวทมนตร์ต่างหาก… อ่อนแอลงกว่าที่คิดเอาไว้นะ เพราะเป็นโคโบลด์อย่างนั้นรึ? ไม่ใช่ แทนที่จะเป็นพลังเวทย์ น่าจะสูญเสียดวงวิญญาณไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มากกว่า…”
ที่ตอบคำถามของวีกลับไม่ใช่ชีน่า แต่กลับเป็นศัตรูที่ไขข้อข้องใจให้แทน
เวทมนตร์ นั่นคือชื่อเรียกว่าทักษะพิเศษที่สร้างสรรค์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติโดยอาศัยพลังเวทย์ เรียกขานผู้ที่ควบคุมเวทมนต์นี้ว่านักเวทย์
แม้แต่ในหมู่ของเหล่ามนุษย์เองแล้ว นักเวทย์ก็ยังเป็นตัวตนที่หายาก มีเพียงอัจฉริยะหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถไปถึงระดับที่ใช้เวทมนตร์ได้
แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่มอนส์เตอร์ผู้ต่อสู้ด้วยร่างเนื้อและสัญชาติญาณแต่กำเนิดจะใช้ได้ แต่เป็นวิชาที่ตกผลึกจากความรู้และการฝึกฝนอันยาวนาน เป็นกำลังรบอันสำคัญยิ่งในระดับที่นักเวทย์ที่มีความโดดเด่นเพียงหนึ่งคนจะสามารถสร้างผลงานได้มากกว่านักรบเป็นสิบคนเลยทีเดียว
แม้กระทั้งชีน่าที่เป็นนักเวทย์อันมีฝีมือต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ก็ยังเป็นที่ปราถนาของเหล่าฮันเตอร์ในจนถึงขนาดต้องยอมอ้อนวอนขอให้เข้าทีม
หากมอนเตอร์ที่มีพลังกายอันยอดเยี่ยม สามารถควบคุมเวทมนตร์ได้แล้ว การตัดสินระดับความอันตรายโดยอ้างอิงแค่เพียงค่ามานาอย่างเดียวก็ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป
ขณะนี้คงไม่มีเวลาให้ทั้งสามคนทำเป็นเล่นได้อีกแล้ว ต้องปรับการคาดการณ์ในกำลังรบของศัตรูเสียใหม่แล้วเตรียมพร้อมในทันที
แต่ทว่า ด้วยความคิดฝังหัวว่าฝั่งตนเองนั้นเป็นผู้ล่า ด้วยความขัดแย้งกันของสามัญสำนักแล้วความจริงตรงหน้าทำให้การเคลื่อนไหวติดขัด
“…ท้องมันว่าง”
“หา…?”
“ทางนี้หิวจนจะตายอยู่แล้ว อีกแค่วินาทีเดียวก็ทนไม่ได้”
“อ..อะไรวะ…”
“ขอกินอะไรหน่อยเถิด ถึงจะสูญเสียพลังกายไปทั้งหมด แต่ดวงวิญญาณนี้ยังมีทั้งความรู้และประสบการณ์สะสมอยู่”
ในขณะที่อูลกำลังบ่นพึมพำก็มีหมอกสีดำฟุ้งออกมาจากร่าง
หมอกนั้นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจนเป็นรูปร่าง รูปร่างนั้นเป็นเหมือนกับรยางค์ยิดยาวออกมาจากร่างของอูล
“น…นั่นมันอะไร…”
“หร…หรือว่านี่คือเมริท…”
ทั้งสามคนตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตกใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้าที่โคโบลด์ทั่วไปไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้
ซึ่งในช่องว่างอันเล็กน้อยนี้ ก็ไม่หลุดรอดไปจากสายตาของอูล
“ไม่ใช่ของอันยิ่งใหญ่แบบนั้นหรอก ข้าในตอนนี้ได้สูญเสียมันไปแล้ว สิ่งนี้มันก็เป็นเพียง…สิ่งที่เหมือนกับสกิลเท่านั้น เพื่อความสะดวก ข้าเรียกมันว่า จอมเขมือบ(悪食)”
ด้วยจังหวะที่ไม่เร่งรีบ รยางค์ที่ยืดยาวจากร่างของอูล พุ่งตรงเข้าไปหาเหล่าฮันเตอร์
“อ…อย่าได้ใจนะโว้ย!(しゃ、しゃらくせえ!)”
เรย์อาศัยการตอบสนองยิงธนูออกไปหนึ่งดอกไปยังรยางค์ที่พุ่งเข้ามา ไม่ใช่เพียงลูกศรทั่วไป แต่ได้ใส่พลังเวทย์ลงไปเพื่อเสริมพลังโจมตีด้วย
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เรย์เชื่อมั่นว่าด้วยปริมาณพลังเวทย์ที่เหนือกว่าย่อมสามารถที่จะบดขยี้ลงไปได้ด้วยศรดอกนี้
“เปล่าประโยชน์”
“ไม่จริงน่า…”
แต่ทว่ารยางค์สีดำหรือจอมเขมือบที่เคลื่อนไหวด้วยเจตจำนงค์ของอูล ก็ได้เปลี่ยนกลับไปเป็นหมอกเมื่อสัมผัสกับลูกศร จากนั้นก็เปลี่ยนกลับไปเป็นรยางค์อีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรย์ที่ได้แต่ยื่นตัวแข็งเมื่อเห็นลูกศรที่ยิ่งออกไปพุ่งสู่ความเวิ้งว้าง วีที่เตรียมใจเอาไว้แล้วก็เคลื่อนตัวออกไปขวางที่ด้านหน้า เริ่มตั้งท่าป้องกัน ดันโล่ใหญ่ออกไปขวางด้านหน้าพร้อมกับถ่ายทอดพลังเวทย์เข้าไป
“ต..ตั้งค่ายกำแพงเหล็ก!(鉄壁布陣)”
พลังเวทย์แผ่ออกมาจากโล่ใหญ่ ก่อตัวขึ้นเป็นเหมือนกับกำแพง
โล่ใหญ่นี้เป็นผลงานของช่างฝีมือพิเศษที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า แปลงเวทย์ เป็นเทคนิคที่ถ่ายทอดพลังเวทย์ลงไปยังวัตถุ การใส่พลังเวทย์ของตนเองลงไปยังโล่ใหญ่นั้นต่อให้ไม่ใช่นักรบก็สามารถทำได้ เป็นกำแพงที่ถูกสร้างด้วยหลักการที่คล้ายคลึงกับที่อูลใช้เมื่อสักครู่
สิ่งนี้คือไพ่ตายแบบใช้ได้เพียงครั้งเดียวที่วีต้องใช้พลังเวทย์เกือบทั้งหมด หากเป็นตามปกติแล้วจะต้องเก็บเอาไว้เวลาที่จวนตัวจริงๆ เท่านั้น
แต่วีตัดสินใจแล้วว่านี่คือสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ สัญชาติญาณมันกรีดร้องว่าห้ามถูกเจ้ารยางค์สีดำนั้นแตะต้องอย่างเด็ดขาด
“พกของน่าสนใจติดตัวเอาไว้สินะ เป็นอุปกรณ์แปลงเวทย์ที่ใช้สร้างม่านพลังเหมือนที่ข้าแสดงให้เห็นเมื้อครู่ใช่หรือไม่? แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นของด้อยคุณภาพนี่นะ…”
เมื่ออูลเห็นโล่ใหญ่นี้ ก็ยิ้มแย้มด้วยความสนุกสนาน เหมือนไม่ได้รู้สึกถึงภัยอันตรายจากพลังนี้เลย
รยางค์ของจอมเขมือบนั้นตีโค้งหลบกำแพงเวทย์ของโล่ใหญ่ด้วยความแม่นยำ เหมือนกับรูปร่างหน้าตาของมัน รยางค์ของจอมเขมือบสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
“…วิถีแห่งปฐพีขั้นที่สอง หอกสายฟ้า!”
แต่ด้วยเวลาที่ต้องใช้จากการอ้อมหลบกำแพงนี้ ชีน่าไม่ได้ปล่อยให้มันสูญเปล่า เธอใช้มันเพื่อกระตุ้นให้เวทมนตร์ทำงาน
เวทมนตร์ที่ชีน่าร่ายจบไปด้วยความรวดเร็วนั้น จัดเป็นเวทมนตร์พิเศษที่เป็นเหมือนกับไม้ตายของเธอ สายฟ้าพุ่งเข้าปะทะกับจอมเขมือบ
“เวทมนตร์งั้นรึ ก็นะ ก็พอจะเป็นออเดิร์ฟได้อยู่หรอก”
อูลสั่งให้จอมเขมือบเข้าปะทะกับหอกสายฟ้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ด้วยเวทมนตร์ที่นักเวทย์อย่างชีน่าปล่อยออกมาปะทะกับทักษะของอูลที่มีพลังเทียบเท่ากับแค่มอนสเตอร์ชั้นต่ำ แทบจะไม่ต้องดูก็รู้ผลลัพธ์กันอยู่ ด้วยความแตกต่างของพลังที่มหาศาลเช่นนี้อูลจะต้องถูกบดขยี้เป็นแน่แท้
ชีน่าที่ในขณะนี้ไม่เหลือลูกเล่นใดๆ เชื่อว่ารยางค์สีดำนี้จะต้องถูกทำลายเป็นแน่ ความเชื่อนั้นถูกพัดพาหายไปอย่างง่ายดาย
“…หา?”
“เอะ? เกิดอะไรขึ้น?”
เหมือนกับว่าความเชื่อที่มีมาทั้งชีวิตนั้นกำลังถูกปฏิเสธ เธอได้แน่นิ่งไปด้วยความตกตะลึง
ชืน่าซึ่งเกิดมาด้วยฐานะที่ยากจนนั้นมีเพียงแค่พรสวรรค์ทางเวทมนตร์ที่พอจะเป็นความภาคภูมิใจได้
เธอนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในสลัม ชีน่าใช้เวลาทั้งชีวิตในวัยเด็กของเธอห่างไกลจากคำว่ามั่งมีมาตลอด อยู่อย่างไร้ซึ่งความหวัง ไม่เคยได้ดื่มน้ำสะอาด อาศัยหนูในท่อประทั้งความหิวไปวันๆ ต้องอาศัยทั้งการปล้นการขโมย ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของคุณธรรม มีเพียงแค่คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะผ่านพ้นวันไปได้ แทบไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง
และจุดเปลี่ยนของชีวิตชีน่าก็ได้มาถึง เมื่อประเทศได้จัดการทดสอบความเข้ากันได้กับเวทมนตร์ให้เด็กทุกคนที่ถึงเกณฑ์อายุอย่างไม่แบ่งแยกฐานะ
การมีอยู่ของนักเวทย์แม้เพียงสักคนเดียว ก็มีผลต่อกำลังรบของประเทศได้แล้ว และโอกาสนั่นก็ได้ถูกหยิบยื่นมาให้กับประชากรในสลัมที่ปกติแล้วถูกปฏิบัติราวกับสิ่งปฏิกูล หากมีคุณสมบัติที่สามารถจะเป็นนักเวทย์ได้ ก็จะได้รับการยินยอมให้เข้าเรียนในโรงเรียนสอนเวทมนตร์
หากได้เป็นนักเวทย์แล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นใครก็ตามก็จะได้รับความสนใจจากมนุษยชาติ และความภาคภูมิใจของชีน่าก็ได้รับการเติมเต็มทีละเล็กละน้อยจนในที่สุดก็ต้องพึ่งพาในพรสวรรค์ของตนเองที่เหมือนกับน้ำผึงอันหอมหวล
ถ้ามีสิ่งนี้อยู่เราก็จะไม่ใช่สุนัขขี้แพ้อีกต่อไป เป็นดั่งหัวกะทิที่ไม่ว่าใครก็ต้องการตัว สามารถเป็นได้แม้ผู้กล้าที่สามารถฆ่าล้างพันธ์เหล่ามอนสเตอร์
เวทมนตร์นั้น ที่เป็นเหมือนกับรากฐานของตนเอง ได้ถูกพัดพาไปในชั่วพริบตาที่ปะทะกับศัตรู ไม่ใช่ช่วงเวลาที่แพ้ให้กับพลังของศัตรู แต่สูญหายไปเสียตั้งแต่การต่อสู้ด้วยซ้ำ
ต่อสู้ทั้งๆ ที่หวาดกลัว ภายในใจก็ส่งเสียงกรีดร้องยามได้เห็นโคโบลด์นั้นร่ายเวทย์ ได้แต่จ้องมองไปยังอูลผู้เป็นนายของรยางค์สีดำนี้พลางตั้งคำถามอยู่ในใจ
“…ยังต้องฝึกฝนอีกสักหน่อยนะ ถ้าแค่ใช้ในชีวิตประจำวันมันก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าใช้ในสนามรบแล้วโครงสร้างแบบนี้มันออกจะเปราะบางไปเสียหน่อย”
อูลเอ่ยเพียงเอาไว้เพียงเท่านั้น เพียงแค่บอกว่า ทักษะเวทมนตร์ของแกมันยังอ่อนหัด
ความหมายของคำกล่าวนั้น สำหรับนักเวทย์แล้วไม่มีคำปรามาสใดจะเจ็บไปยิ่งกว่านี้ เวทมนตร์คือทักษะควบคุมพลังเวทย์ที่มีชนิดและผลลัพธ์อันหลากหลาย แม้ว่าผู้ใช้ทักษะจะได้รับประโยชน์แตกต่างหลากหลาย แต่ก็มีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง หากทำการก่อกวนทักษะนั้นได้ ก็จะสามารถทำให้ไร้ผลเนื่องจากความซับซ้อนในตัวทฤษฎีของทักษะนี้เอง
กล่าวโดยสรุปแล้ว หากผู้ที่เข้าใจในหลักการของเวทมนตร์ต้องการทำลายเวทมนตร์นั้นแล้ว ก็ต้องโถมด้วยทักษะระดับสูงกว่าหรือแยกส่วนโครงสร้างของเวทมนต์นั้นทิ้งเสีย จึงไม่ได้เป็นปัญหาในด้านของความแตกต่างในระดับพลัง แต่คือความแตกต่างในด้านทักษะ การเอาชนะด้วยปริมาณมานาจึงไร้ความหมาย
แต่ทว่าการทำให้เวทมนตร์สูญพลังนั้นไม่สามารถทำได้ หากเป็นการล้างผลลัพธ์ของเวทมนตร์ด้วยเวทมนตร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การกระทำโดยใช้ทักษะนั้น จะต้องเป็นถึงในระดับที่ให้ จอมเวทย์อวุโสทำการแยกส่วนเวทมนตร์ของนักเวทย์ฝึกหัดจึงพอจะเป็นไปได้
เช่นนี้เอง จึงเป็นเหมือนกันปฏิเสธความภาคภูมิใจในเวทมนตร์ของชีน่าอย่างซึ่งหน้า ความเชี่ยวชาญของแกนั้น ก็ได้แค่ระดับนักเวทย์ฝึกหัดเท่านั้นเอง
และนั่นถูกพิสูจน์ไปเรียบร้อยแล้วโดยความเชี่ยวชาญในฐานะนักเวทย์ของโคโบลด์ปริศนาที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งอยู่ในระดับที่หากจะถูกเรียกว่าจอมเวทย์ก็ไม่แปลกเลย
“อ่า…”
“…อึกก!”
สำหรับผู้ที่หันหน้าเข้าสู่เส้นทางแห่งเวทมนตร์และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเฉกเช่นชีน่าแล้ว จึงตกลงสู่ความสิ้นหวัง
อูลที่มองเห็นเช่นนั้นจึง…ยิ้ม อย่างเพลิดเพลินและชั่วร้าย บิดเบี้ยวดุจดั่งใบหน้าของสัตว์ร้ายจนทำให้หลงลืมไปว่าที่อยู่ตรงหน้าคือโคโบลด์
“ใช้ไม่ได้เลยนะ… ถึงจะไม่ได้คาดหวังในคุณภาพก็เถอะ แต่ถึงกับทำหน้าแบบนั้นมันก็นะ”
“ฮิ…ฮี้!?”
“ดีมาก…อ่า…น้ำลายมันไหลไม่หยุดเลย…!”
“เอะ กร๊ดดดด!”
ต่อหน้าของอูลที่น้ำลายไหลออกมาเหมือนก๊อกน้ำรั่ว ชีน่าก็ไม่สามารถปกปิดความกลัวได้อีกต่อไป ด้วยความเคลิบเคลิ้มอย่างที่สุด รอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายนั้นไม่ใช่สิ่งที่โคโบลด์จะมีได้
ด้วยความพลั้งเผลอจากความบ้าคลั่ง หรือความหิวโหยที่ปรากฏ รยางค์สีดำหรือจอมเขมือบก็ได้เล็ดลอดผ่านกำแพงเวทย์ที่เป็นปราการสุดท้ายของทั้งสามมาได้ในที่สุด
เมื่อทั้งสามรู้ตัวว่าจอมเขมือบได้มาถึงตัวแล้ว ก็ได้กรีดร้องออกมา เหมือนกับภาพที่ทั้งสามได้สังหารเหล่าโคโบลด์อย่างสนุกสนานได้ฉายย้อนกลับมาอีกครั้ง
“จะ…จะถูก จะถูกกินแล้ว…”
ความรู้สึกแรกที่แล่นผ่านเข้ามาคือ ความเจ็บแสบที่ผิวหนังถูกเถือ จากนั้นก็คือความเจ็บปวดจากเนื้อที่ถูกฉีกออก
ใช่แล้ว พวกเขากำลังถูกกิน ตัวตนที่แท้จริงของรยางค์สีดำ จอมเขมือบนั้นก็คือ ปากที่มีเขี้ยว ปากขนาดใหญ่ที่มีไว้เพื่อกลืนกินเหยื่อ
ทั้งสามนั้นได้สัมผัสความรู้สึกตรงตามตัวอักษร คือความกลัวและความทรมานจากการถูกกลืนกินทั้งเป็น พวกเขาทุบตีจอมเขมือบด้วยความบ้าคลั่งเพื่อหลีกหนีจากความเจ็บปวดและความกลัว แต่ทั้งหมดนั้นก็ไร้ความหมาย
“ม ไม่ หยุดนะ!”
“ได้โปรด ไว้ชีวิตด้วย จะจ่ายเงินให้!”
“เจ็บ! ไม่เอานะ! ทำไมฉันจะต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยย”
เมื่อพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ฝั่งของผู้ถูกล่า พวกเขาก็ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
เหมือนกับว่าพวกเขาคือเหยื่อที่น่าสงสาร เป็นผู้ประสบภัยที่พบกับความไร้เหตุผลและร้องขอความช่วยเหลือไปที่ใครสักคน ลืมเลือนที่เมื่อสักครู่เป็นฝ่ายผู้ล่า ลงมือเข่นฆ่าอย่างความสนุกสนาน
“ทำไมนะหรือ? มันก็แน่นอนแต่แรกแล้วมิใช่หรือ?”
อูล โอม่าใช้เสียงร้องของเหยื่อเป็นดั่งกับแกล้ม เอื้อนเอ่ยขึ้นเพื่อแถลงต่อคำถามที่ได้รับมา
และนั่นก็คือ…
“ข้ากำลังหิวยังไงล่ะ ถ้าท้องว่าง ก็ต้องกิน ยังจะต้องมีเหตุผลอื่นใดอีก?”
จุดใดที่ถูกจอมเขมือบสัมผัส จุดนั้นก็ปรากฎเป็นรอยถูกกัด ถูกกลืนกิน เมื่อทั้งสามได้เข้าใจถึงสิ่งนั้นแล้วร่างกายของทั้งสามนั้นก็ไม่เหลือเพียงพอที่จะทำอะไรได้อีก
จอมเหมือบนั้นกลืนกินร่างเนื้อของทั้งสามด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ช่างเป็นความชั่วร้าย เหมือนดั่งปีศาจที่ปรากฎในตำรา เป็นตัวตนที่มนุษย์ไม่ควรปล่อยเอาไว้ และสติของทั้งสามก็ดับวูบลง
“…ฮ่าห์ ขอบคุณสำหรับอาหาร เหล่ามนุษย์ที่ไม่รู้จักชื่อเอ๋ย”
พวกเขาเองก็คงจะมีเรื่องเล่าขานของตนเอง ทั้งความฝัน ทั้งอนาคต ทั้งบันทึกที่จะปรากฎในประวัติศาสตร์
และนั่นก็จะเป็นเครื่องปรุงชั้นยอดให้กับจอมมารอูล โอม่าผู้ฆ่าและกินมนุษย์ทั้งสามนี้ ด้วยมื้ออาหารที่ไม่ได้กินมานานหลายพันปี จอมมารจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อ่า ขอโทษนะครับ…”
“…ชื่อโคลต์ใช่มั้ย?”
โคโบลด์ปริศนาที่ปรากฎตัวขึ้นและขจัดภัยอันตรายที่มาเยือนอย่างกระทันหัน
แม้ว่าโคลต์จะยังไม่สามารถทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็แน่ใจได้ว่าภยันตรายตรงหน้าได้จบสิ้นไปแล้ว จึงพยายามที่จะพูดคุยกับโคโบลด์ที่ใหญ่ที่สุด ณ ที่นี้
และนั่นเอง…
“….มุ”
“อะ เอ๋? เดี๋ย!?”
อูลผู้ที่ยืนอยู่และได้รับชัยชนะเมื่อสักครู่ อยู่ดีๆ ก็ล้มลงไป
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็เห็นได้ว่าตาดำกรอกกลับขึ้นไปด้านบนจนเหลือแต่ตาขาวให้เห็น อูลเอ่ยพึมพำออกมาแค่ประโยคหนึ่งว่า
“พลังเวทย์ หมดแล้ว…”
และแล้วศึกแรกของโคโบลด์ผู้ใช้ชื่อว่าอูล โอมาก็ได้จบลง
ความเคลื่อนไหวถัดไปของโคโบลด์ผู้ถือครองนามของจอมมารนี้ก็คงจะเป็นเมื่อเหยื่อในกระเพราะของเขาย่อยหมดแล้วเป็นแน่…