[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง - ตอนที่ 1 - จอมมารผู้ชั่วร้าย
บทที่ 1 จอมมารผู้ชั่วร้าย
=หนังสือภาพเด็กดีของลัทธิเฮอร์เมส เรื่องเล่าของจอมมารชั่วร้าย=
ในอดีตกาลที่ห่างไกลจากตอนนี้ไปมากมาก ในโลกของเรามีจอมมารชั่วร้ายอยู่ตนหนึ่ง ไม่ใช่พระราชาของเหล่ามอนส์เตอร์ที่คอยรับใช้มนุษย์เราแบบตอนนี้ เป็นจอมมารชั่วร้ายเข้ามาทำร้ายมนุษย์แบบพวกเรา
จอมมารชั่วร้ายมีเหล่ามอนส์เตอร์ที่น่ากลัวคอยติดตาม คอยทำให้เหล่ามนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมาน
เหล่ามนุษย์ต้องคอยหวาดกลัวต่อจอมมารชั่วร้าย ต้องร้องไห้อยู่ทุกวัน จอมมารชั่วร้ายนั้นแข็งแกร่งมากเสียจนไม่มีใครสามารถต่อกรได้เลย
เมื่อได้เห็นน้ำตาของเหล่ามนุษย์นี้ ในที่สุดก็ได้มีผู้ยื่นมือแห่งการช่วยเหลือปรากฏขึ้น ใช่แล้ว ผู้นั้นก็คือท่านเทพเฮอร์เมสนั่นเอง
เทพเจ้าแห่งเสาหลักทั้งห้า ได้บันดาลให้เกิดปาฏิหารย์ เหล่ามนุษย์ได้รับประทานพลัง อย่างที่ทุกคนรู้กัน นั่นคือการถือกำเนิดของผู้กล้า
เหล่าผู้กล้านั้นถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์เข้ากำหราบเหล่ามอนส์เตอร์ จนในที่สุดก็ได้ต้อนจอมมารได้สำเร็จ
จอมมารที่ชั่วร้ายนั้นได้อาละวาดขัดขืน จนถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ยอมรับการลงทัณฑ์จากเหล่าเทพเจ้า และล้มลงเบื้องหน้าของเหล่าผู้กล้าและเทพเจ้าทั้งหลาย
เจ้าวิญญาณที่ชั่วร้ายนั้นได้ถูกชำระล้าง แล้วผนึกเอาไว้ที่โลกของพระเจ้าเพื่อให้สำนึกในบาปของตน วันคืนที่ต้องทนทุกข์ทรมานโดยเงื้อมือของจอมมารนั้นได้ถูกทำให้จบสิ้นไปด้วยกำลังของท่าเทพเจ้าเฮอร์เมส
หลังจากนั้น เหล่ามนุษย์ก็ได้หยิบยืมกำลังของเทพเจ้านำพามาซึ่งรุ่งโรจน์ทีละเล็กละน้อย จนกระทั้งสามารถดำรงอยู่อย่างสงบสุขได้เช่นทุกวันนี้
เหล่าผู้ที่ช่วยเหลือพวกเรา ท่านเฮอร์เมสเทพเจ้าแห่งเสาหลักทั้งห้า พวกเราจะไม่มีวันลืมความกรุณาที่ได้รับมาอย่างเด็ดขาด
“นี่ ท่านแม่”
“มีอะไรเหรอจ๊ะ จิล?”
เหตุการณ์หนึ่งในชนบท เจ้าลูกชายตัวน้อยได้รบเร้าให้คุณแม่อ่านหนังสือภาพให้ฟัง เป็นภาพอันแสนสงบสุขที่พบเห็นได้ทั่วไปทุกบ้าน
คุณแม่ที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมแห้งแสดงภาพลักษณ์ที่ไม่ร่ำรวยเท่าใดถูกลูกชายขอให้อ่านหนังสือภาพ เธอได้ใช้หนังสือเล่มหนึ่งที่เธอมีมาตั้งแต่สมัยตัวเล็กๆ
เป็นบทเพลงที่ขับขานเพื่อสรรเสริญต่อความกรุณาของเทพเจ้าแห่งเสาหลักทั้งห้า โดยลัทธิเฮอร์เมสซึ่งเป็นลัทธิที่ใหญ่ที่สุด แม้จะได้รับความกรุณามากน้อยจากเทพเจ้าองค์ต่างๆ แต่ปาฏิหารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ความกรุณานั้นคือ “การปราบจอมมาร” แม้แต่ในปัจจุบันนี้เอง ผู้กล้าที่ถือกำเนิดตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรกเองก็ยังคงมีตัวตนอยู่ หากอ้างอิงจากเกร็ดประวัติศาสตร์แล้วเป็นตัวตนตั้งแต่หนึ่งพันปีก่อนหน้าเลยทีเดียว
ถึงแม้จะเป็นเพียงเกร็ดประวัติศาสตร์ แต่ความกลัวที่มีต่อจอมมารนั้นก็คงจะมีเพียงแต่ยุคของปู่ทวดย่าทวดเท่านั้น แม้ในปัจจุบันจะมีผู้ปกครองที่รวบรวมเอาเหล่ามอนส์เตอร์เอาไว้แล้วขานนามตัวเองว่าเป็นจอมมาร หรือพยายามจะสร้างความหวาดกลัวต่อเหล่ามนุษยชาติ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว นั้นก็เป็นเพียงตัวตนที่อยู่แต่ในเทพนิยายเท่านั้น เป็นเพียงชื่อที่เอาไว้เอ่ยขึ้นมาเพื่อหลอกเด็กเท่านั้น
ตัวตนของจอมมารในยุคปัจจุบันนั้นก็อาจจะเป็นเพียง แท่นเยียบให้กับผู้กล้า หรือเป็นเพียงแค่ทาสที่ต้องหมอบกราบต่ออำนาจของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และเหล่ามนุษย์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุผลให้เด็กหนุ่มตัวน้อยอยากจะพูดออกไปว่า เรื่องเช่นนี้นั้นมันช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหลือเกิน
“คุณแม่ครับ เจ้าจอมมารที่ว่าเนี่ย เป็นพวกคนไม่ดีเหรอครับ?”
“นั่นสิน้า เป็นภัยพิบัติที่ถูกท่านเฮอร์เมสพิพากษา เป็นพวกที่ชั่วร้ายมากเลยล่ะจ่ะ”
“อื้ม ถ้างั้น ผมจะเป็นผู้กล้าไปปราบเจ้าจอมมารนั่นให้ได้เลย!”
จะเป็นผู้กล้า นักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเทพเจ้าคัดสรร
นั่นคือสิ่งที่เหล่าหนุ่มน้อยมุ่งหวัง เป็นคำพูดที่ติดปาก หนุ่มน้อยที่ยังไม่รู้ถูกผิดดีชั่ว เป็นเพียงแค่คำพูดที่ออกจากปากของเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กล้า
การจะได้เป็นผู้กล้านั้น มีเพียงแค่ผู้ที่ได้รับความสามารถพิเศษจากพรที่ประทานมาให้โดยเทพเจ้าเท่านั้น การที่จะได้รับสิ่งนั้นมานั้น ก็เป็นไปตามตัวอักษรคือต้องอาศัยโชคดีเพื่อให้ถูกเลือกเพียงเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มุ่งหวังแล้วจะได้เป็น
แต่ทว่า คุณแม่ก็ไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ละเอียดอ่อนอย่างการเอาความจริงนี้มาพูดให้ฟัง ได้แต่เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ให้กับหนุ่มน้อยที่ชื่อว่าจิล
“แต่ว่านะครับคุณแม่”
“ว่าไงจ๊ะ?”
“เจ้าที่เรียกว่าจอมมารนี่เป็นชื่อเหรอครับ?”
อย่างน้อยก็อยากจะรู้ชื่อของคู่มือที่จะไปจัดการเอาไว้สักหน่อย หนุ่มน้อยจิล นึกถึงคำพูดที่ท่านอัศวินพูดเอาไว้ในตำนานที่ได้อ่านมาเมื่อวาน
คุณแม่ได้ลูบหัวของหนุ่มน้อยที่ยังไม่ประสีประสาด้วยความเอ็นดูแล้วส่ายหน้า
“จอมมารก็คือ.. จะอธิบายยังไงดีน้า เป็นชื่อเรียกหรือคำขานอะไรประมาณนี้แหละจ่ะ”
“ชื่อ..เรียก..?”
“อื้ม อย่างเช่น หัวหน้าหมู่บ้านไง คุณหัวหน้าหมู่บ้านชื่ออะไรจ๊ะ?”
“คุณบัลบา!”
จิลตอบออกมาอย่างร่าเริง ต่อการยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวของคุณแม่เพื่ออธิบายให้ฟัง
ถูกต้อง คุณแม่ได้ลูบหัวเด็กหนุ่มทีหลัง โดยคิดว่าจิลหนุ่มน้อยน่าจะเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าตำแหน่งหรือคำเรียกขานได้แล้ว
“ถ้างั้น.. จอมมารที่ว่าก็ไม่ใช่ชื่อสินะครับ?”
“ใช่แล้ว”
“ถ้างั้นจอมมารนี่ชื่อว่าอะไรเหรอครับ?”
จิลถามคุณแม่ออกไปอย่างไร้เดียงสา
แต่ทว่า คุณแม่ได้แต่ลำบากใจ ในหนังสือภาพนั้นมีแต่ชื่อเรียกว่า “จอมมารผู้ชั่วร้าย” ถูกเขียนเอาไว้เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการให้ชื่อเรียกขานแบบปัจเจกบุคคลแต่อย่างใด
โดยในลัทธิอันยิ่งใหญ่ของเฮอร์เมสนั้น นี่คือตัวตนอันชั่วร้ายอย่างที่สุดที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ การหลงเหลือชื่อเรียกขานอันโสมมเอาไว้คือสิ่งที่ไม่จำเป็น นั่นคือการตีคุณค่าต่อตัวตนที่เรียกว่าจอมมาร
เพราะฉะนั้นแล้ว คุณแม่จึงได้เลี่ยงตอบไปอย่างง่ายๆ ว่าชื่อของจอมมารนั้นมีเพียงแค่ท่านผู้กล้าเท่านั้นที่จะรู้
เพียงเท่านั้น หนุ่มก็จึงยอมรับไปอย่างซื่อตรง เพราะที่พูดคุยเรื่องเช่นนี้จึงได้เริ่มง่วงหงาวขึ้นมาหรือเปล่า หนังตาถึงได้เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
คุณแม่จึงได้ปิดหนังสือภาพลงแล้วเริ่มสวดภาวนา โดยดื่มดำกับใบหน้าตอนหลับของลูกชายไปพลาง
ภายใต้ความเมตตาของเทพเจ้า มนุษยชาติได้ยืนหยัดขึ้นมาพร้อมทั้งความซาบซึ้งต่อเทพเจ้านั้น
คุณแม่อธิษฐานให้ลูกชายของตนได้เติบโตขึ้นในโลกที่มีความสงบสุขยิ่งกว่ามาเยือนถึง โลกที่เหล่ามอนส์เตอร์อันชั่วร้ายที่ห่างหายไป
และโดยมิได้แม้แต่จะจินตนาการถึง ตัวตนที่เป็นความหายนะอย่างที่สุดที่ถูกผนึกเอาไว้ยังดินแดนแห่งเทพเจ้า จอมมารได้ถูกทำลายสิ้นแล้วนั้นคือความจริงหรือไม่
เหล่ามวลมนุษย์นั้น ได้ปราถนาถึงโลกที่เหล่ามอนส์เตอร์หันคมเขี้ยวต่อมนุษย์นั้นสูญสิ้นไป โลกที่มอนส์เตอร์ทั้งปวงจะต้องคุกเข่าลงและเป็นเครื่องมือให้แก่มนุษย์คือโลกอันเป็นอุดมคติ
แต่ทว่า ความปราถนานั้นก็มีเพียงแต่มนุษย์รุ่นหลังเท่านั้น
เหล่าตัวตนที่เรียกว่ามอนส์เตอร์นั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ รวมไปถึงตัวตนที่ถูกกีดกันออกไปจากสังคมของมนุษย์ ตัวตนที่เป็นดั่งสัตว์รำคาญเองก็ยังคงมีชีวิตอยู่เช่นกัน
และนี่คือสถานที่ที่มนุษย์เรียกว่าป่าซิลก์ (シルツ森林) ปราการโดยธรรมชาติที่อยู่ห่างจากเงื้อมือของมนุษย์ โลกของต้นไม้ซึ่งเหล่ามอนส์เตอร์และสัตว์ร้ายอาศัยอยู่
“กลับมาแล้ว”
ที่นั้นมีเผ่าพันธ์หนึ่งอาศัยอยู่
รูปร่างภายนอกนั้นคล้ายคลึ่งกับสุนัข แต่ส่วนที่แตกต่างจากสุนัขทั่วไปนั่นคือการที่พวกมันเดินด้วยสองเท้านั่นเอง
ส่วนสูงประมาณ 1.3 เมตร ร่างกายที่เหมือนกับลูกของมนุษย์ มีความผอมแห้งอันให้ความรู้สึกบอบบาง แม้ว่าจะไม่ถูกต้องสักทีเดียว แต่อาจจะพูดได้ว่าเหมือนกับสุนัขชิวาว่าที่ลุกขึ้นเดินสองขา
นั่นคือมอนส์เตอร์อมนุษย์ที่โลกนี้เรียกขานกันว่าโคโบลด์
อารยธรรมของโคโบลด์นั้นแทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ กล่าวคือแค่ใช้เครื่องมือหินก็ถือว่าเต็มที่แล้ว ในระดับหัวหน้าเผ่านั้น ก็เพียงแค่เอาสิ่งที่มนุษย์มาทิ้งเอาไว้ในป่ามาประดับตามตัวให้ดูแตกต่างเพียงเท่านั้น ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเครื่องสวมใส่ได้เลย
เนื่องจากพวกเขาไม่มีองค์ความรู้ที่จะถักทอเครื่องนุ่งห่มจากศูนย์ได้ นอกจากหัวหน้าเผ่าแล้วโคโบลด์ตัวอื่นจึงมีแค่หนังกับขนของตัวเองปิดบังกายเท่านั้น
“ได้เหยื่อ มาแล้ว”
“กินซะ”
โคโบลด์นั้นสามารถที่จะสื่อสารกันเป็นคำๆ ได้
และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีองค์ความรู้ทางวิศกรรมก่อสร้างมากพอ เมื่อปราดดูที่อยู่อาศัยของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่ถ้ำตามธรรมชาติ หรือหลุมใต้ดินเท่านั้น
สำหรับอาหารการกินนั้น ตามพฤติกรรมโดยทั่วไปก็เป็นพวกสัตว์กินเนื้อ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบชั้นตามความแข็งแกร่งของมอนส์เตอร์ในป่าแล้ว ก็ถือว่าอ่อนแอ อัตราสำเร็จในการออกล่าจึงค่อนข้างต่ำ
โดยปกติแล้วแหล่งโภชนาการจึงมีเพียงแค่แมลงกับผักหญ้าเท่านั้น เหล่าโคโบลด์ที่ต้องกินทั้งพืชและสัตว์อย่างจำเป็นจึงมีเพียงเหล่าโคโบลด์ที่โตเต็มวัยรวบรวมเอาอาหารมาเลี้ยงเหล่าโคโบลด์ที่ยังไม่โตพอซึ่งเรียกได้ว่าอาหารการกินไม่ได้หรูหรามากนัก
สำหรับกลุ่มนี้มีจำนวนอยู่ประมาณ 40 ตัว แบ่งออกเป็นเด็ก 10 ตัว ตัวผู้ 20 ตัว และตัวเมียอีก 10 ตัว เป็นกลุ่มของโคโบลด์ที่อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วๆ ไป
ทดแทนความสามารถในการสู้รบที่ต่ำเตี้ย พวกมันมีประสาทสัมผัสการดมกลิ่นและการมองเห็นที่เฉียบคม จึงได้ถูกใช้งานในฐานะกองสอดแนมที่พร้อมจะพลีชีพได้ทุกเมื่อเหมือนกับก๊อบลิน กองกำลังที่มีเพียงโคโบลด์จึงนับว่าหาได้ยากยิ่ง
พวกเขาจึงมักไม่ถูกจับโดยเผ่าพันธ์อื่นและสามารถแยกอยู่แบบเดี่ยวได้ และในหมู่โคโบลด์เหล่านั้น มีโคโบลด์อายุน้อยอยู่ตัวหนึ่ง
“แมลงกิจิ(ギチ虫)อีกแล้วเหรอ?”
“ทำไม ไม่กินเหรอ?”
“กินสิ แต่แมลงกิจิเนี่ยควรจะเอาไส้มันออกก่อนจะกินจะดีกว่านะ”
ในขณะที่โคโบลด์อื่นพูดได้เป็นคำๆ โคโบลด์เด็กตัวนี้สามารถใช้คำพูดได้อย่างคล่องแคล่ว
โคโบลด์เด็กตัวนี้มีชื่อว่าโคลต์(コルト) เป็นอมนุษย์หัวสุนัขที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ จนเรียกได้ว่าเหมือนกันกลายพันธ์เลยทีเดียว
“โคลต์ แก เปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไป ดี เรื่องดี จง พิเศษ ยิ่งขึ้นไป”
“อืม”
เหล่าโคโบลต์ตัวเต็มวัยใส่ความคาดหวังเอาไว้ในคำให้กำลังใจแม้ไม่สามารถทำความเข้าใจในพลังแห่งปัญญาที่โคโบลด์เด็กตัวนี้มี
เหตุใดตัวตนอันแสนพิเศษจึงได้ถูกยอมรับนั้น คำตอบอยู่ที่ข้างของตัวโคลต์นั้นเอง
“จากที่ดูแล้ว แสดงว่าเรื่องที่เราล่ามนุษย์เป็นอาหารยังความไม่แตกสินะ แบบนี้พวกเราจะสามารถหาเหยื่อได้มากกว่านี้แน่”
ข้างตัวโคลต์นั้น มีหนังสืออยู่ในกองสิ่งของของมนุษย์ที่ตายอยู่ในป่านี้ โคลต์นั้นเพียงแค่เอาสิ่งของอย่างเช่นความรู้จากหนังสือที่ปกติแล้วโคโบลต์ทั่วไปจะทิ้งเอาไว้เหมือนกับขยะ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่โคลต์นั้นอ่านหนังสือไม่ออก ในอดีตอันห่างไกลออกไปนั้น แม้โคโบลด์จะมีอารยธรรมอันโดดเด่น แต่กลับไม่ค่อยได้รับการถ่ายทอดภาษามาจากบรรพบุรุษมากนัก สิ่งที่เกี่ยวกับตัวหนังสือนั้นสูญเสียไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้นอกจากพึ่งพารูปภาพแล้วคาดเดากันไป แต่เพียงแค่นี้ก็นับว่าพิเศษกว่าโคโบลด์ทั่วไปอยู่มากแล้ว เพียงแค่ฟังการใช้คำพูดอย่างคล่องแคล่วนี้ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงระดับของสติปัญญา
แต่แรกเอง โคลต์ก็รู้สึกไม่ดีที่ตัวเองแตกต่างจากโคโบลด์อื่นๆ แต่ทว่าด้วยความพยายามของโคลต์ที่ใช้ปัญญาของตนเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต จนสามารถออกดอกออกผลได้นั้นได้เป็นแหล่งรวมความคาดหวังของทุกตัว
โดยปกติแล้วการจะได้เอาเนื้อเข้าปากสักครั้ง แม้จะใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนก็ยังทำไม่ได้ แต่ด้วยวิธีการใช้กับดักที่โคลต์ศึกษามาจากหนังสือนั้น ภายในหนึ่งเดือนก็สามารถหาเหยื่อได้ถึงสองครั้งเลยทีเดียว
แม้ว่าหน้าที่ในการวางกับดักของโคลต์ที่ถูกจัดการโดยโคโบลด์โตเต็มวัยอาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดี แต่สำหรับโคลต์แล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นการปฏิวัติได้เลย
แต่ดั้งเดิมแล้ว เหล่าโคโบลด์ก็ไม่ได้พึงพอใจต่อการใช้ชีวิตของตนเองมากนัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งหรูหราอย่างปราสาท แต่ก็ยังคงหวังที่จะหลีกหนีจากวันคืนที่ต้องหวาดกลัวจากศัตรูภายนอก
ตัวตนของโคลต์จึงกลายเป็นดั่งความหวัง โคโบลด์เด็กที่มีความรู้เป็นอาวุธ อาจจะนำพาชัยชนะมาสู่เผ่าพันธ์ของตนที่ได้ยอมรับในความอ่อนแอของตนเองแล้ว เหล่าโคโบลด์นั้นหวังไว้ว่าโคลต์จะได้เติบโตขึ้น และสักวันหนึ่งจะขึ้นเป็นราชาและชี้นำเผ่าพันธ์โคโบลด์ได้ในที่สุด
โดยภาวนาจากก้นบึ้งของหัวใจว่าโคโบลด์จะกลายเป็นเผ่าพันธ์ที่แข็งแกร่งไม่แพ้เผ่าพันธ์อื่นๆ
“กินข้าว เสร็จแล้ว ฝึกฝน ล่าเหยื่อ”
“กับดัก ของโคลต์ วางเพิ่ม ขึ้นอีก”
“อืม ถ้างั้นก่อนอื่นก็ไปเก็บเถาวัลย์ที่เหนียวกว่านี้มาเถอะ”
โคลต์ตอบไปพลางแยกส่วนแมลงตัวเล็กสีเหลืองที่เรียกว่าแมลงกิจิ
แมลงกิจินั้นถูกเรียกตามเสียงร้องกิจิกิจิของมัน ซึ่งนับว่าเป็นอาหารหลักที่โคลต์ได้กินมากเป็นอันดับต้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้ทำหน้าเบ้ไปพลางเคี้ยวแต่แมลงที่มีน้ำขมๆ ไหลออกมาที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอาหาร แต่ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการทำอาหารที่โคลต์คิดค้นขึ้นนั้นได้พัฒนาพฤติกรรมในการกินของเหล่าโคโบลด์อย่างมาก
และมีอีกหนึ่งเหตุผลที่โคลต์ได้รับความเชื่อใจและความเคารพคือการใช้เถาวัลย์ในหลุมกับดัก โดยเหล่าโคโบลด์นั้นเชี่ยวชาญในการขุดหลุมอยู่แล้ว ให้ขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วใช้เถาวัลย์กับใบไม้ปกคลุมเอาไว้เหมือนฝาปิดกลายเป็นกับดักหลุมพรางแบบดั้งเดิม
แม้จะเป็นกับดักที่ค่อนข้างหยาบจนสามารถถูกมองออกได้ง่ายหากมีความรู้สักหน่อย แต่นั่นก็เหมาะสมและช่วยให้เหล่าโคโบลด์ที่แทบไม่สามารถหาเหยื่อได้สามารถล่าได้บ้าง ซึ่งสำหรับโคโบลด์เหล่านี้แล้วนับว่าเป็นอีกหนึ่งการปฏิวัติ
การจับเหยื่อขนาดใหญ่ ได้ดื่มกิน สำหรับสัตว์ป่าแล้วนับว่าเป็นความสุขอันเหลือล้นที่เหล่าโคโบลด์ใฝ่ฝันถึง
และผู้ส่งสารแห่งความสิ้นหวังที่ทำลายความสุขนี้ลง บัดนี้ได้มาเยือนถึงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความจริง ชะตากรรมนั้นช่างเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยม
เพราะเทพเจ้าผู้ชักใยโชคชะตานั้น เป็นอริกับเหล่ามอนส์เตอร์นั้นเอง
ในมิติพิเศษที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากป่าของโลกเบื้องล่าง ในมิติที่ได้แต่จินตนาการถึงนี้ มีตัวตนอันเป็นต้นกำเนิดของความกลัวกำลังกู่ร้องกึกก้อง
“กุโออออออออ!”
โทสะ ความเกรี้ยวกราดอันสุดจะหยั่ง ในมิติที่ไม่อาจแยกแยะบนล่าง มีเสียงร้องอันสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณกำลังดังกังวาล
ราชันย์ผู้สูญเสียกายเนื้อเหลือเพียงแต่ดวงวิญญาณ ความโกรธเกรี้ยวได้เอ่อล้นเต็มช่องว่างระหว่างโลกที่จอมมารได้ถูกกักขังในผนึกที่รังสรรค์โดยเหล่าเทพเจ้า หากเป็นเมื่อพันปีก่อน ผนึกเช่นนี้ก็คงจะถูกทำลายได้ภายในสิบวินาที
“ไอ้พวกเทพเจ้า..อย่ามาหยาบกันนะโว้ย!”
อสูรคำราม (咆吼の主) หายนะจากยุคโบราณที่ถูกมนุษย์ลืมเลือน จอมมาร
จอมมารผู้พ่ายแพ้ ถูกแย่งชิงเอาดินแดน อิสระ หรือแม้แต่ชีวิตไป
แต่จอมมารนั้นไม่เคยยอมแพ้ แม้จะถูกทำลายและโยนลงไปยังสถานที่เสมือนกับนรก เขาก็เพียงแค่เฝ้ารอโอกาสที่จะเอาชนะเหมือนกับเสือจ้องตระครุบเหยื่อ
หากเพียงแค่มีร่างเนื้อ บทสรุปก็จะต่างออกไป แต่มีเพียงแค่วิญญาณนั้นคงไม่สามารถที่จะหนีออกไปจากคุกของเทพเจ้านี้ได้ จึงได้เฝ้ารอโอกาสเสมอมา
ได้เฝ้ารอต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวั่นไหวในจิตต่อสู้
“อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ข้าจะกลับไปอย่างแน่นอน!”
ดวงวิญญาณของจอมมารกำลังอ่อนแอลง แม้พลังใจจะยังคงไม่ไหวหวั่น แต่การที่ต้องทนรับการโจมตีจากเทพเจ้าต่อมาเรื่อยๆ ก็ทำให้อ่อนแอลงโดยเทียบไม่ได้กับพลังดั้งเดิมแม้แต่น้อย
เพราะเหตุเช่นนี้ จอมมารจึงได้เตรียมใจ หากเป็นตัวเองในตอนนี้ หากเป็นตัวเองที่อ่อนแอลงจนเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ จะต้องหลบหนีออกจากช่องว่างแม้เพียงเล็กน้อยนี้ได้แน่
แต่ตัวตนที่อ่อนแอลงเช่นนี้ หากหลบหนีออกจากกรงขังของเทพเจ้าแล้วคงจะต้องสูญสลายไปเป็นแน่ ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น จึงต้องหาร่างเนื้อให้ได้
ต้องตามหาและสิงสู่ร่างกายที่เข้ากันได้กับดวงวิญญาณอย่างเหมาะสม คู่สัญญาที่พร้อมจะยกทุกสิ่งและทำสัญญากับจอมมาร ผู้ที่เต็มใจจะสละร่างเนื้อเพื่อทำความปราถนาให้เป็นจริง
จะต้องทำให้ปาฏิหาริย์นี้เป็นจริงให้ได้ ดวงวิญญาณของจอมมารได้ส่องประกายภายอยู่ภายในคุกของเทพเจ้านี้
“นามแห่งข้าคือ อูล โอมา จอมมารผู้เป็นอมตะและไร้เทียมทาน!”
ด้วยนามและความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวนี้ จะขอเดิมพันทุกสิ่งและคืนชีพกลับไปให้ได้