[นิยายแปล] เพื่อนน้องสาวที่เป็นแยงกี้ JK สุดสวยที่ไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะดูแลตัวเองได้ - ตอนที่ 3: อย่างกับคุณแม่ไม่มีผิด
- Home
- [นิยายแปล] เพื่อนน้องสาวที่เป็นแยงกี้ JK สุดสวยที่ไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะดูแลตัวเองได้
- ตอนที่ 3: อย่างกับคุณแม่ไม่มีผิด
ต้นเดือนพฤษภาคมหลังจากช่วงวันหยุดยาว
ผมก็กำลังตรงดิ่งกลับบ้านตอนเวลา 1 ทุ่มเป็นครั้งแรกจากที่ห่างหายไปเนินนาน
“มีความสุขชะมัด…….เป็นครั้งแรกเลยที่ได้กลับบ้านเวลานี้”
ปกติเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังทำงานพาร์ทไทม์ที่อิซากายะอยู่แต่ว่าตอนนี้ผมลาออกจากงานที่นั่นแล้วตอนปลายเดือนเมษายน
มันก็ผ่านมาสักพักแล้วตั้งแต่ที่ผมแวะร้านหนังสือระหว่างทางกลับบ้านและหลังจากที่ซื้อข้าวของอะไรเสร็จสรรพก็เป็นเวลาเพียงแค่ 1 ทุ่มเท่านั้นเองแล้วความคิดที่ว่าจะสามารถใช้เวลาที่เหลือในช่วงเย็นตามอัธยาศัยก็มากพอที่จะทำให้ตัวผมรู้สึกตื่นเต้น
ผมสามารถที่จะพักผ่อนและเรียนและอ่านหนังสือ
ผมสามารถที่จะดูรายการทีวีที่อยากจะดูแบบเรียลไทม์แบบที่ไม่ต้องอัดไว้ได้แล้ว
ผมมักจะกลับบ้านตอน 5 ทุ่มอยู่ตลอดเลย
แล้วพอนึกความสง่างามของช่วงเวลายามเย็นนี้ผมก็ยิ้มร่าออกมา
“-กลับมาแล้ว~”
ทันทีที่ผมเปิดประตูหน้าบ้านผมก็พบกับรองเท้าที่วางกระจัดกระจาย
มันคือรองเท้าของยัยแยงกี้ทั้งหลาย
ดูเหมือนว่าจะมาเที่ยวเล่นกันอีกแล้วสินะ
บ้านหลังนี้เป็นสถานที่ๆมานะและผองเพื่อนของเธอใช้เวลาส่วนใหญ่มาเที่ยวเล่นกัน
พ่อแม่ของผมไม่ได้มีอคติอะไรกับพวกแยงกี้ ฉะนั้นพวกหล่อนก็เลยทำตัวตามสบายกันได้ที่นี่แต่พ่อแม่ของผมจะเดือดสุดๆถ้าหากว่าพวกหล่อนพยายามที่จะสูบบุหรี่หรือดื่มกัน
แต่ก็ไม่โกรธถ้าแค่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมทั้งคืนตราบใดที่พวกหล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดกฏหมายล่ะก็นะ
เหตุผลก็คือพ่อแม่ของผมรู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่มานะมีเพื่อนที่เธอสามารถไว้ใจได้อย่างแท้จริง
พอคิดถึงอนาคตมานะเองก็อาจจะไม่ได้เป็นแยงกี้ไปตลอด
แต่เธอก็ตั้งใจเรียนอย่างหนักและได้คะแนนสูงสุดในโรงเรียนม.ปลายมา
พ่อแม่ของผมก็หัวเราะแล้วก็พูดออกมาว่า
“เธอเป็นเด็กเงียบๆและเอาจริงเอาจังอยู่เสมอเพราะงั้นถ้าเธอคิดจะเปลี่ยนตัวเองอีกครั้งก็ทำได้แหละถ้าหากว่าเธอต้องการ”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อแม่ของผมก็เถอะนะ
ผมก็ยังรู้สึกประหลาดใจกับความผ่อนปรนของพวกเขาจริงๆ
อ่า….เอาเถอะผมเองก็โล่งใจมากกว่าที่พวกเธออยู่ที่บ้านกันแทนที่จะไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่อื่นและไม่กลับบ้านกลับช่องเลย
ผมจัดเรียงรองเท้าให้เข้าที่และเข้าไปในบ้าน
เสียงหัวเราะของมานะและคนอื่นๆดังก้องไปทั่วทางเดิน
ผมหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง
แปลกแฮะ…
เพราะอะไรก็ไม่รู้ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงของยัยพวกแยงกี้ดังออกมาจากในห้องของผม
ไม่ๆ ไม่มีทางน่า……
ห้องของน้องสาวของผมมันอยู่ห้องข้างๆนี่เอง ผมมั่นใจว่าเสียงของพวกเธอคงดังมากจนได้ยินมาถึงตรงนี้
ไม่มีทางที่มานะและยัยพวกนั้นจะมาเอะอะโวยวายในห้องของผมได้หรอก…….
เมื่อวานเอริกะจังก็เข้ามาอยู่ในห้องของผมทีนึงล่ะแต่นั่นคือเอริกะจังเพราะงั้นก็เลยไม่นับ
เอริกะจังเธอมาที่บ้านของผมตั้งแต่สมัย ม.ต้น แล้วและเคยเข้าไปในห้องของผมหลายต่อหลายครั้งถึงผมจะบอกว่าเธอห้ามเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาติก่อนก็เถอะ แต่เธอก็ยังเข้าไปอยู่ดีเพราะงั้นก็เลยไม่มีทางเลือก
แล้วนี่มันเป็นไปได้ไหมที่ห้องของผมจะกลายเป็นที่มั่วสุมของยัยพวกแยงกี้ระหว่างที่ผมไม่อยู่น่ะ?………
แต่ผลลัพธ์มันก็คงจะออกมาเหมือนเดิมถึงแม้ว่าผมจะอยู่ก็ตาม
เปิดดูเลยละกันจะได้จบๆ!
ถ้าหากว่ากำลังเล่นอะไรพิเรนทร์ๆกันอยู่ล่ะก็จะได้จับได้คาหนังคาเขาทันที!
ผมเปิดประตูไปอย่างเต็มเหนี่ยว
แล้วก็…..
“หา?! ไหงพี่ถึงได้กลับบ้านเร็วนักล่ะ แล้วงานพาร์ทไทม์ล่ะ?”
คนแรกที่ตอบสนองเมื่อเห็นผมก็คือมานะยัยน้องสาวของผมเอง
“หา?! สึคัจจิโดนไล่ออกแล้วงั้นเหรอ?”
อาริสะจังก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นผม
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่เลย! ไปยุ่งกับผู้หญิงของผู้จัดการเข้าล่ะสิท่า!”
รูนะจังมองหน้าผมและชี้นิ้วมาอย่างเคร่งขรึม
“ไม่มีทางที่คุณพี่ชายจะกล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก ใช่ไหมล่ะ?”
เอริกะจังพูดออกมาขณะที่กำลังอ่านมังงะและดูดน้ำจากกล่องน้ำผลไม้ไปด้วย
ที่โต๊ะเรียงรายไปด้วยกล่องน้ำผลไม้และถุงขนมขบเคี้ยว
ยัยพวกนี้มาสุมหัวกันอยู่ในห้องของผมอย่างสบายใจเฉิบ
“นี่มันอะไรเนี่ย?! พวกเธอมาทำอะไรตอนที่ชั้นไม่อยู่กันล่ะเนี่ย? นี่อย่าบอกนะว่าพวกเธอเข้ามาเอะอะโวยวายในห้องของชั้นมาโดยตลอดเลยน่ะ?”
ผมทำงานพาร์ทไทม์ที่อิซากายะในช่วงกลางคืนของวันธรรมดาเพราะงั้นจึงได้กลับบ้านราวๆ 5 ทุ่มแทบทุกวันเลย ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาที่เพื่อนๆของมานะเริ่มสลายโต๋แยกย้ายกลับบ้านของตัวเองพอดี
ผมก็เลยไม่รู้ว่าพวกหล่อนพากันไปเล่นตรงส่วนไหนหรือทำอะไรกันในบ้าน
ได้โปรดช่วยบอกผมทีเถอะว่าผมคิดผิดน่ะ
ขณะที่กำลังวิงวอนอย่างนั้นผมก็มองไปที่เอริกะจังแล้วเธอก็หัวเราะคิกคักออกมา
“พึ่งจะรู้ตัวเหรอคะ? คุณพี่เนี่ยเป็นคนหัวทึบกว่าที่คิดอีกนะคะที่ไม่ทันสังเกตุกลิ่นของ JK ที่อยู่ในห้องของตัวเองเลยน่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ในอนาคตตอนที่คุณพี่ชายมีแฟนก็คงจะโดนแฟนทิ้งโดยที่ไม่ทันได้สังเกตุเลยว่าเธอได้ตัดผมหน้าม้าของเธอรึเปล่าน่ะ”
“ว่าไงน-!?”
ไอ้ปาร์ตี้มั่วสุมของพวกแยงกี้นี่มันเกิดขึ้นในห้องของผมทุกวันเลยอย่างนั้นเหรอ…..
ผมยืนเซและเอามือมาจับหน้าผากของตัวเอง
“ไม่มีทาง…..”
ผมมันโง่เอง ผมมันโง่ที่ตลอดมาไม่ทันได้เอะใจเลย
ไม่สิ พอพูดถึงมันแล้วผมก็หวนจำได้ถึงไอ้ความรู้สึกที่อึดอัดแปลกๆนั่น……
“ชั้นนึกออกแล้ว! ไอ้กลิ่นหอมหวานแปลกๆบนเตียงของชั้นเป็นฝีมือพวกหล่อนใช่ไหม?!”
พอผมพูดแบบนี้ออกไปยัยพวกแยงกี้ก็พากันมองหน้ากันและเอียงหัวอย่างสับสน
จากนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผมเองก็ไม่ค่อยได้ยินที่พวกเธอคุยกันเท่าไหร่…….
แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะคุยกันถึงเรื่องที่ว่าพวกเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร
และแล้วในที่สุดอาริสะจังก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดออกมาอย่างใจเย็น
“บางทีอาจจะเป็นกลิ่นแฮนด์ครีมที่หนูเผลอทำหกใส่เตียงของพี่ชายก็ได้ค่ะ”
“ยะ-อย่างงั้นเองหรอกเหรอ…..”
ดูจากลักษณะแล้วน่าจะพอเป็นคำใบ้ว่ายัยพวกแยงกี้พวกนี้เคยเข้าๆออกๆบ้านมาก่อน
แล้วก็คอยซ่อนนู่นนี่นั่นในห้อง
แล้วนี่ปกติแล้วผมสังเกตุเห็นพวกมันบ้างไหมนะ?
หรือที่ผมไม่ทันสังเกตุก็เพราะตัวเองสมองทึบเกินไปกัน?
ไม่ล่ะ ผมอยากจะคิดว่าตัวเองเหนื่อยจากงานพาร์ทไทม์เกินกว่าจะคิดเรื่องนี้…….
“แล้ว…..ไหงถึงได้กลับมาบ้านเร็วจังล่ะ?”
มานะถามพลางดูดหลอดกล่องน้ำผลไม้
“พี่เปลี่ยนงานแล้ว พอดีเพื่อนคนนึงของพี่ที่มหาลัยเขาแนะนำให้พี่รู้จักงานกวดวิชาน่ะ
งานส่วนใหญ่จะเป็นช่วงตอนกลางวันและวัดหยุดสุดสัปดาห์เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้พี่ก็เลยจะว่างในช่วงตอนกลางคืนของวันธรรมดา”
พอผมอธิบายอย่างจริงจัง รูนะจังก็เริ่มหยอกล้อผม
“เห~? สอนตัว-ต่อ-ตัว กับเด็กม.ปลายน่ารักๆงั้นเหรอคะ? แล้วนี่คุณพี่จะสอนเรื่องอื่นนอกตำราเรียนด้วยไหมคะ?”
“สอนก็แย่แล้ว! แล้วก็อีกอย่างนักเรียนทุกคนก็มาจากโรงเรียนชายล้วนกันทั้งนั้นด้วย!!”
“โอ้ว ถ้างั้นก็ BL……”
(*TL NOTE : BL (Boy love) = ชายรักชาย*)
“สอนแต่เรื่องเรียนโว้ยยยย!”
ทำไมหล่อนถึงได้ชอบโยงไปเรื่องรักๆใคร่ๆด้วยล่ะเนี่ย?
แล้วไอ้เจ้า BL นั่นมันหมายถึงอะไรกัน?
ผมว่าผมอยากจะทำให้โลกได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่างานติวเตอร์พาร์ทไทม์เป็นอันจบเห่ก็ตอนที่เอื้อมมือไปแตะต้องนักเรียนล่ะนะ
“อ่าๆ งั้นเดี๋ยวชั้นจะเรียนแล้วนะ!”
แล้วมานะก็ขานตอบเบาๆ
“อา ได้สิ”
“อืม…..งั้นก็”
ผมเดินไปที่โต๊ะเรียน
มันยังไม่ถึง 2 ทุ่ม
แล้วตอนนี้ผมควรทำอะไรดีล่ะ?
“อุก…ฮ่าๆๆๆ รูนะตลกจัง!”
“นี่หล่อนจะไม่ขำเกินไปหน่อยรึไง?”
“จริงๆนะ! ก็มันขำจริงๆนี่นา”
ด้วยเหตุผลบางอย่างยัยพวกแยงกี้ที่เอาแต่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ทางด้านหลังของผมไม่มีทีท่าว่าจะออกไปเลย
ผมบอกไปแล้วแท้ๆว่าผมจะเรียนแถมมานะก็ขานตอบว่า ‘ได้สิ’ แล้วด้วย
ถึงอย่างงั้นแล้ว…..ทำไมยัง……
“หนวกหูโว้ยยยยยยยยยย!”
ผมตะคอกใส่ยัยพวกแยงกี้
แล้วมานะก็ตะคอกกลับทันที
“ไอ้ที่หนวกหูน่ะมันพี่นั่นแหละ! ไอ้เวอร์จิ้นน่ารำคาญ!”
“อะไรนะ……”
มันก็น่าตกใจอยู่ที่โดนน้องสาวตะคอกใส่กลับแต่ก็ค่อนข้างช็อคอยู่เหมือนกันที่โดนน้องสาวตัวเองเรียกว่าไอ้เวอร์จิ้น
หน้าของผมร้อนผ่าวทั้งตกใจทั้งสับสนจนพูดไม่ออก
พอเห็นผมเป็นแบบนั้นรูนะจังก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า
“อะฮ่าๆๆ สึคัจจิหน้าแดงใหญ่เลย~”
และอาริสะก็พูดซ้ำ
“อยากให้พวกเราช่วยไหมจ๊ะ~”
“อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องน่า!”
ผมตะคอกออกไปเสียงดังจนเจ็บคอ
ไม่ได้อยากให้เพื่อนของน้องสาวต้องมาคอยพะวงเรื่องนั้นหรอกนะ
“พวกเธอน่ะควรไปเล่นกันที่ห้องของมานะนู่น! ไหงถึงได้มาเอะอะโวยวายในห้องของชั้นกันล่ะเนี่ย?”
แล้วมานะก็ตอบกลับมาง่ายๆว่า
“ก็ห้องของพี่ชายมันใหญ่กว่าแถมสะอาดกว่าอ่ะ”
“งั้นก็รักษาความสะอาดสิเฮ้ยยยย!”
ห้องของผมมันไม่ได้ใหญ่และสะอาดพอที่จะให้ยัยพวกแยงกี้ JK มาสังสรรค์กันนะเฮ้ย
แล้วมานะก็หัวเราะออกมา
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่นา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ให้ยืมห้องพวกหนูจะมอบสิ่งที่มีค่าอย่างเหลือเชื่อให้กับพี่ก็แล้วกัน”
“หา? สิ่งมีค่าอะไรของเธอ?”
“กลิ่นหอมของ Jk ยังไงล่ะจ้ะ”
“อย่ามาล้อกันเล่นนะ! ชั้นไม่ได้พิศวาสไอ้กลิ่นนั่นเลยสักนิด!”
“แล้วไม่ใช่ว่าเมื่อวานพี่ก็สนุกสนานกับการดมกลิ่นของเอริกะหรอกเหรอ?”
“เมื่อวานชั้นก็ปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่รึไง?”
นี่น้องสาวผมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะรับมือไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ตั้งแต่หล่อนเปลี่ยนคลาสตัวเองเป็นแยงกี้
ผมก็คิดว่ามานะนั้นกลายเป็นคนที่เอาไม่ลงง่ายๆเลยจริงๆ
ในฐานะของพี่ชายผมก็ดีใจที่น้องสาวของตัวเองเข้มแข็งขึ้น
แต่เอาตรงๆถ้าเป็นถึงขั้นนี้จะให้มีความสุขก็คงจะไม่ไหว
บ้าเอ้ย……..ถ้าไม่รีบไล่ยัยพวกแยงกี้ตัวแสบพวกนี้ออกไป ผมก็คงไม่สามารถใช้เวลายามเย็นอันแสนงดงามได้………….
ในขณะที่ผมคิดอย่างถี่ถ้วนว่าจะหาวิธีไล่ยัยพวกนี้ออกไปได้ยังไง?
รูนะจังและอาริสะจังก้ลุกขึ้นยืน
“อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าคุณพี่กำลังวางแผนที่จะไล่พวกเราออกไปงั้นเหรอคะ?”
รูนะจังมองมาทางผมอย่างเคืองๆ
“นี่คิดว่าพวกเราจะยอมง่ายๆงั้นเหรอ?”
อาริสะจังก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
นี่อย่าบอกนะว่าพวกหล่อนกำลังวางแผนตะลุมบอนผมอยู่น่ะ?
หัวใจของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นด้วยความรู้สึกที่ไม่ปกตินี้
ถึงแม้ว่าพวกหล่อนจะเป็นแค่เด็กม.ปลายแต่พวกหล่อนก็เป็นแยงกี้
ผมเตรียมตัวรับมือ
ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะต้องทำยังไงดีถ้าเกิดว่าพวกหล่อนง้างหมัดเข้ามาใส่ผม
แล้วจากนั้น……
“นี่แหนะ~ นี่น่ะเซอร์วิสไงคะ เท่านี้พอจะอนุญาติให้พวกเราอยู่ที่นี่ต่อได้ไหมค๊า~?”
ขณะที่พูดอย่างนั้นรูนะจังก็เริ่มกระพือกระโปรงของชุดเครื่องแบบของตัวเอง
และแน่นอนอาริสะจังก็ทำแบบเดียวกัน
ทั้งคู่เลิ่กกระโปรงขึ้นมาอย่างนุ่มนวลและกระพือลงอย่างแรงส่งลมมาหาทางผม
ลมที่เกิดจากการกระพือกระโปรงของ Jk
ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้นพอพวกเธอเลิ่กกระโปรงขึ้นผมก็เห็นขาของพวกเธอจนถึงข้างบนสุด…..
“เป็นสาวเป็นนางอย่าทำอย่างงั้นสิ! ไร้ยางอายสิ้นดี!”
สิ่งที่ออกจากปากของผมคือคำพูดที่คล้ายกับคำพูดของคนเป็นแม่โดยที่ไม่ทันรู้ตัว
“คิกๆ…….สึคัจจิเป็นคุณแม่หรืออะไรกันล่ะนั่น”
รูนะจังหัวเราะคิกคัก
“ต่อให้หวังไปก็เปล่าประโยชน์น่า หนูใส่ซับในไว้อยู่เพราะงั้นถึงถูกเห็นไปก็ไม่เป็นไรหรอกค่า”
พอพูดอย่างนั้นอาริสะก็ม้วนกระโปรงของเธอขึ้น
ขาเรียวยาวกับกางเกงขาสั้นสีดำที่เหลือบเห็นท้องของเธอหน่อยๆ
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น! ถึงจะบอกว่าให้ดูได้ไม่เห็นจะเป็นไรก็เถอะ! มันก็เรื่องของเธอ! แต่ในสังคมนี้น่ะนะมันก็มีผู้ชายที่อันตรายอยู่หลากหลายประเภทถึงเธอจะใส่ของอะไรแบบนั้นก็ตามแต่ไอ้พวกที่แค่ได้เห็นใต้กระโปรงก็ตื่นเต้นมันก็มี! มันไม่โอเคเลยนะที่จะไปทำแบบนั้นที่ไหนก็ได้ตามใจชอบน่ะ!”
จิตวิญญาณความเป็นคุณแม่ของผมร่ำร้องความเป็นห่วงเป็นใยออกมากับการที่รู้ว่ามี Jk จะที่พร้อมทำเรื่องอันตรายแบบนั้นกำลังเดินเตร่ข้างนอกไปทั่วโดยไม่แคร์อะไรกับโลกใบนี้เลย
ไม่สิที่สำคัญไปกว่านั้นไหงผมถึงต้องมาสั่งสอนยัยพวกแยงกี้ Jk แบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย?
ไม่อยากจะกระตุ้นสัญชาติญาติความเป็นแม่ที่อยู่ในตัวมากไปกว่านี้แล้ว
“ถ้างั้นพี่ชายก็เป็นหนึ่งในคนที่อันตรายพวกนั้นด้วยเหรอ?”
มานะพูดด้วยสีหน้าสงสัย
“ชั้นแค่เตือนล่วงหน้าไว้ก่อนเฉยๆ!! ไม่ได้เกี่ยวกับตัวชั้นเองสักหน่อย!”
ปวดหัวชะมัด
ไอ้ช่วงเวลายามเย็นอันแสนงดงามของผมมันไปอยู่ที่ไหนแล้ววะเนี่ย?
ขณะที่ผมหมดแรงจะเถียงต่อเอริกะจังที่อ่านมังงะอย่างเงียบๆไม่ได้เข้าร่วมการสนทนาเลยมาสักพักนึงแล้วก็ลุกยืนขึ้น
“ยังอ่อนหัดนะ…..รูนะ อาริสะ พวกเธอเองก็น่าจะรู้นี่ว่าแบบนั้นน่ะคุณพี่ชายไม่น่าจะยอมรับหรอก”
เอริกะจังพูดพลางเอามือเท้าเอว
ผมก็แอบหวังเล็กๆว่าบางทีเธออาจจะยื่นมือเข้ามาช่วย………หรือว่าในที่สุดเธอก็พร้อมจะย้ายไปที่ห้องของมานะแล้ว
แต่แล้วเอริกะจังก็ทรยศความคาดหวังของผมไปอย่างง่ายดาย
“คุณพี่ชายคงไม่ยอมรับของแค่นั้นหรอก ถ้าจะให้ดูล่ะก็….อย่างเช่นกางเกงใน…..”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นเฮ้ย! ยัยพวกแยงกี้!! ถ้าพูดภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาในห้องของชั้นอีกโว้ยยย!!”
เมื่อผมระเบิดลงเต็มที่ยัยพวกแยงกี้ก็หัวเราะคิกคักแล้ววิ่งออกไปยังห้องข้างๆ
แล้วก็แน่นอนว่าพวกขนมและกล่องน้ำผลไม้ก็ยังถูกทิ้งคาไว้อยู่
“ถ้าคิดจะมาเล่นกันที่นี่ก็หัดเก็บกวาดหลังเล่นเสร็จซะด้วยเซ่!!”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดออกไปเหมือนกับแม่ไม่มีผิด
ผมได้กลายเป็นคุณแม่ที่มีลูกติด 4 คนที่เป็นแยงกี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เสียงครวญครางแห่งความปวดร้าวของผมดังก้องอย่างเสียเปล่าในห้องของตัวเอง