[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 59.56
ตอนพิเศษ 06
เซเลนแห่งโลกกระจก (ตอน2)
ภูติกระจก ริริน จัดอยู่ในหมวดหมู่ ‘สัตว์เวท’ ซึ่งแต่เดิมเป็นสิ่งไม่มีชีวิตที่ได้รับพลังเวทภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม จนเกิดเป็นจิตสำนึกและออกเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ‘แมลงดับแสงสุริยา’ ของผู้สาปแช่งก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน ความแตกต่างระว่างทั้งสองเทียบได้กับ หมาป่า กับ หมาบ้าน ที่อยู่ใน ‘วงศ์สุนัข’ เหมือนกัน
ริรินไม่มีจิตคิดร้าย เธอแค่อยากเล่นสนุกโดยลอกเลียนแบบใครก็ตามที่เธอคิดว่าน่าสนุก ช่วงเวลาแห่งการละเล่นของเธอที่ยาวนานที่สุดคือครั้งที่เธอได้ขโมยตัวตนของเจ้าของดินแดนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลวร้าย
เจ้าของดินแดนที่ถูกสวมรอยโดยริรินปฏิบัติกับชาวบ้านอย่างดี ไม่มีการกดขี่ข่มเหง เธอจึงได้รับการยกย่องจากชาวบ้านจนหลงระเริงอยู่ต่อเนื่องยาวนานถึงยี่สิบปี ทั้งที่ปรกติเธอจะเริ่มเบื่อในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ส่วนครั้งนี้เป็นสาวน้อยผู้งดงาม ซ้ำยังมีตำแหน่งใหญ่โต ไม่รู้สึกว่าจะเบื่อกันง่ายๆ
“อุหุหุ เจ้าหญิงแสนสวย ดีจริงๆ”
ริรินมองดูร่างกายของเซเลนที่สะท้อนอยู่ในกระจกแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ สมัยที่เธอเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเลียนแบบมนุษย์ให้แนบเนียน เมื่อเวลาผ่านไป พลังของเธอยิ่งแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีประสบการณ์ กระจกของเธอจึงส่องสะท้อนได้ลึกถึงจิตวิญญาณ
ดังนั้น ริรินจึงรู้ข้อมูลคร่าวๆของเซเลนได้จากจิตวิญญาณที่คัดลอกมาพร้อมกับร่าง เด็กสาวผู้มีชื่อว่า เซเลน อาร์คุยล่า เป็นเจ้าหญิงลำดับสองของประเทศเล็กๆที่ชื่อ อาร์คุยล่า มีสัตว์เลี้ยงเป็นหนูแสนฉลาดชื่อ บัตเลอร์ ที่สามารถใช้ช่วยงานได้หลายอย่าง มีความสัมพันธ์พิเศษกับเจ้าชายอันดับหนึ่งแห่งประเทศมหาอำนาจ เจ้าชายมิลาน… และเรื่องที่เกี่ยงข้องกับคนใกล้ตัวคนอื่นๆก็ถูกรับรู้ในลักษณะนี้
“แค่นี้ก็พอที่จะตบตาได้แล้ว”
รอยยิ้มของริรินเปลี่ยนไปเป็นอ่อนหวานและสง่างาม ซึ่งหาได้ยากยิ่งจากเซเลนตามปรกติ เธอรู้จักการวางตัวแบบชนชั้นสูงเป็นอย่างดี เมื่อรวมเข้ากับความไร้เดียงสาตามแบบของเด็ก ก็สามารถแสดงบทบาทนี้ได้อย่างมั่นใจ
“ฉันจะไปสนุกให้เต็มที่ในโลกนี้ล่ะนะ เธอเองก็สนุกในโลกนั้นให้เต็มที่ได้เลย เซเลน”
ริรินพูดกับกระจกอยู่คนเดียว ใน ‘โลกกระจก’ นั้น จะเป็นมิติที่ถูกกำหนดให้เปลี่ยนแปลงไปตามจินตนาการของผู้ที่อยู่ข้างใน คล้ายกับติดอยู่ในห้วงความฝัน แม้จะถูกกักขังไว้ข้างใน แต่ก็มีอิสระกับความฝันของตนเองได้ โลกที่เจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่จะฝันถึง ต้องสวยงามสมบูรณ์แบบ ทำให้เพลิดเพลินจนลืมวันลืมเวลาได้แน่
นี่คือการแลกเปลี่ยนของริรินที่ไม่ใช่การเอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียว เธอจะเล่นสนุกอยู่ในโลกแห่งความจริง โดยให้เหยื่อมีความสุขอยู่กับโลกอุดมคติในกระจก
“ไปกันเลยดีกว่า”
ริรินออกจากห้องด้วยท่าทางร่าเริง แต่เมื่อเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบกับคนคนหนึ่ง
“อ้าว? เจอกันอีกแล้ว ปรกติน่าจะยังไม่ได้เวลานี่นา”
“อะ เอ๋…”
“(เจ้าหญิงมารีเบล เฮลิฟาลเต้ เพื่อนคนสำคัญของเซเลน)”
เรื่องที่เซเลนแลกเปลี่ยนคำสัญญา ‘มิตรภาพนิรันดร์’ กับเด็กคนนี้ ริรินก็รู้ดี เด็กสาวในชุดสีแดงดูหรูหรา ทั้งฉลาดและน่ารัก เหมาะสมกับการเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าหญิงแสงจันทร์ ริรินจึงรีบทำตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทันที
“สวัสดีค่ะ* มารี”
ริรินกล่าวทักทายมารีอย่างนอบน้อมสง่างาม โดยที่ไม่ลืมรอยยิ้มน่ารักสดใส แต่มารีมองมาที่เซเลนด้วยสายตาแปลกๆ จากนั้นก็เข้ามาใกล้และเอามือวางบนหน้าผากของเซเลน
“เอ่อ… ทำไมทำตัวแปลกๆล่ะ? ไม่สบายเหรอ?”
“ม-ไม่ใช่ค่ะ!”
ทั้งกิริยามารยาทและท่วงท่าก็ทำได้สมบูรณ์แบบ เธอแสดงเป็นชนชั้นสูงด้วยวิธีนี้มาตลอด ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดีทุกครั้ง ริรินไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงบอกว่าแปลก
“แปลกจริงๆด้วย! แปลกตั้งแต่เธอไม่ไปนอนต่อและออกมาเดินอยู่ตรงนี้แล้ว!”
“เอ๋? ก็ปรกติหนิคะ!”
“ไม่ปรกติสักหน่อย แปลกมากๆเลยล่ะ!”
แม้จะยังไมเข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ริรินก็ปล่อยให้มารีพาเธอกลับไปที่ห้อง ทั้งที่คิดไว้ว่าจะได้เดินดูรอบๆพระราชวังให้ทั่ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ต้องมาเสี่ยงความแตกเพียงแค่ตื่นมาเดินเล่นในตอนกลางวัน
“…ได้ยังไง?”
หลายร้อยปีตั้งแต่ริรินถือกำเนิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกจับพิรุธได้เพราะเรื่องแบบนี้ ถึงอย่างนั้น การคิดจะดื้อดึงออกไปเดินเล่นอีก ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ แม้ตอนนี้จะยังหลับไม่ลง แต่ริรินก็ตัดสินใจเอนตัวลงนอนบนเตียงไปก่อน
“ต้องอยู่อย่างนี้ไปจนตกเย็นสินะ… แล้วโลกที่เด็กคนนั้นเห็นจะเป็นแบบไหนกัน”
กระจกเก่าที่ริรินมองเห็นได้จากบนเตียง ตอนนี้ดูเป็นกระจกธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปรกติ โลกที่อยู่ภายในกระจกจะถูกสร้างมาจากจินตนาการของเซเลนตัวจริง ทำให้ริรินสงสัยว่าตอนนี้เด็กคนนั้นกำลังโลดแล่นอยู่ในโลกแบบไหน
อีกด้านหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน เซเลนกำลังทำให้โลกกระจกเละเทะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ทุกอย่างเป็นของข้า! ทวีปนี้เป็นของข้า! โลกนี้เป็นของข้า!”
ด้านหน้าปราสาทเฮลิฟาลเต้ชั้นบนสุด มิลานหัวเราะอย่างชั่วร้ายจากบนระเบียง มีทั้งเขา ชุดเกราะและผ้าคลุมสีดำ กับดาบใหญ่สีแดงเหมือนเลือด กำลังเชิดหน้าเหลือบมองกองทัพที่อยู่ด้านล่าง
พระราชวังเฮลิฟาลเต้ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทั่วทั้งลานกว้าง ลามไปถึงถนนทางเดิน เต็มไปด้วยทหารติดอาวุธสภาพพร้อมรบ ม้าศึกสวมเกราะ และรถถังรุ่นที่ใช้ในกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น(JSDF) ซึ่งดูไม่เข้าพวกมากที่สุด แต่ที่มันอยู่ตรงนั้นได้โดยไม่มีใครสนใจก็เพราะเซเลนเชื่อว่ามันไม่แปลก
“พวกแกจงฟัง! โลกใบนี้ต้องมาอยู่ในกำมือของข้า มิลาน แต่เพียงผู้เดียว! ตัวแกะกะอย่างพวกนักรบซามูไรกับเจ้าหญิงเอนเต้ก็ถูกขวางกันไว้ด้วยผืนทะเล! ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป!”
เสียงของมิลานดังไปทั่วบริเวณ ทหารที่ได้ยินพร้อมใจกันโห่ร้อง ไม่รู้ว่าพวกเขาถูกหลอกหรือถูกบังคับกันแน่
“…เงียบซะ!”
เสียงของจอมมารมิลานดังกลบเสียงโห่ร้อง ทุกคนจึงเงียบในทันที จากนั้น มิลานก็ชี้ไปยังทิศทางที่ไกลออกไป
“ยัง…แค่นี่ยังไม่พอ! ยังเหลือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของโลกใบนี้อีกอย่างหนึ่ง! ทางนั้น!”
ไกลออกไปยังปลายทางที่มิลานชี้ มีดินแดนอันสวยงามและรูปปั้นเทพธิดาที่มีใบหน้าเป็นอาลัว ขนาดใหญ่จนมองเห็นได้จากตรงนี้ กะด้วยสายตาแล้วอาจจะมีความสูงมากกว่าโตเกียวสกายทรี(634เมตร)ด้วยซ้ำ รูปปั้นอาลัวตั้งตระหง่านแลดูคล้ายเทพีเสรีภาพ
“จะเรียกว่าสยบโลกทั้งใบไม่ได้ จนกว่าจะได้ อาลัว อาร์คุยล่า มาครอบครอง! โลกนี้ยังมีค่าเพราะมีเจ้าหญิงอาลัว! อุปสรรคที่ขวางอาลัวเอาไว้เหลือเพียงผู้ต่อต้านคนสุดท้าย เซเลน! พวกแกจงไปชิงตัวอาลัวมาให้ข้าซะ! กำจัดทุกอย่างที่ขวางทาง!”
สิ้นเสียงคำสั่งของมิลาน ทุกคนเริ่มออกเดินอย่างพร้อมเพรียง ล้อตีนตะขาบรถถังบดลงบนพื้นทางเดินจนรู้ลึกได้ถึงแรงงสั่นสะเทือน ทั่งหมดมุ่งหน้าไปหาอาลัว รวมถึงมิลานที่งอกปีกค้างคาวบินตามไป
เซเลนมองดูทั้งหมดอยู่ในปราสาทผ่านทางหน้าต่างมืดๆบานหนึ่ง
“อะ…อะไรเนี่ย…”
โลกนี้แปลกชะมัด ดูแล้วน่าจะเป็นโลกที่สะท้อนให้เห็นความจริงโดยปราศจากการเสแสร้ง เซเลนคิดเช่นนั้น เพราะแนวแฟนตาซีหลายๆเรื่องก็มีกระจกสะท้อนความจริง และเหตุผลที่โลกนี้เป็นเหมือนกับเกมสวมบทบาท(RPG) ก็เพราะเซเลนคิดถึงแต่เรื่องเกมเป็นปรกติ
“ไม่ได้ ต้องไป!”
การที่โลกนี้แสดงให้เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แสดงว่าจอมมารกำลังจะลงมือกับอาลัวในโลกเดิม เซเลนจึงรีบกลับห้องไปยืนอยู่หน้ากระจก และเอื้อมมือไปสัมผัส
“…พยายามกลับมาฝั่งนี้สินะ”
เมื่อเซเลนสัมผัสกับกระจก ริรินก็รู้ได้ทันที หากมีอะไรเกิดขึ้นกับกระจกที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างทั้งสอง ริรินจะรับรู้ได้อย่างแม่นยำ ถึงอย่างนั้น ริรินก็แค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
“ขอโทษด้วย พลังของเธอถูกฉันเลียนแบบมาแล้ว ไม่มีทางที่…”
“เอ้า ฮืบ”
“อะไรน่ะ!?”
เพราะเธอลอกเลียนแบบมาทั้งจิตวิญญาณ จึงมีพลังเทียบเท่ากันทุกประการ ทำให้เธอสามารถควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ การต่อต้านใดๆจึงไร้ประโยชน์ นี่คือสิ่งที่เธอเชื่อ แต่ทันใดนั้น เซเลนก็ไหลออกมาจากกระจกเหมือนการบีบหลอดยาสีฟัน โดยที่เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตั้งแต่เข้าไป
“พลังของเด็กคนนี้ บ้าไปแล้ว! ผิดปรกติชัดๆ!”
ความจริงแล้ว ริรินไม่เชิงว่าเข้าใจผิดเสียทีเดียว
ริรินเข้าใจว่า เซเลนมีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่เกินกว่าระดับที่เธอจะเลียนแบบมาได้ จึงฝ่าออกมาได้ด้วยพลังส่วนต่างที่เหนือกว่า แต่เซเลนก็ไม่ได้มีอะไรแบบนั้น ซึ้งถือเป็นเรื่องผิดปรกติจริงๆ
“เธอ ทำได้ยังไง?”
“ไม่มีอะไร พิเศษ”
“หรือเธอคิดว่านี่เป็นเรื่องปรกติ…”
คำตอบของเซเลนนั้นเรียบง่าย เพราะตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ริรินที่ได้ฟังก็ตกใจถอยไปจนเกือบตกจากเตียง
และเรื่องร้ายๆมักจะถาโถมเข้ามาพร้อมๆกัน
“เอ่อ… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ!?”
“เอ๋ ทำไมเซเลนกลายเป็นสองคนล่ะคะ!?”
“อ๊ะ / อ๊ะ”
แม้แต่เซเลนกับริรินก็ยังตกใจจนส่งเสียง ‘อ๊ะ’ ออกมาพร้อมกัน มิลานกับมารีที่เข้ามาเยี่ยมเธอ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง
“เห็นเซเลนทำตัวแปลกไป หนูก็เลยไปบอกกับท่านพี่…”
“ถึงเธอจะบอกว่าแปลกก็เถอะ แต่นี่มันยิ่งกว่าแปลกอีกนะครับ”
“ไม่ใช่นะ! แค่กังวลว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า! หนูก็เพิ่งเห็นว่าเธอมีสองคน พร้อมกับท่านพี่นี่แหละค่ะ!”
มารีกับมิลานเริ่มเถียงกัน มารีแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด มิลานก็สับสนเช่นกัน แต่ก็ยังพยายามเก็บอาการและครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนริรินกลับมามีท่าทีสงบนิ่ง แม้ในใจจะหวั่นวิตกกับสถานการณ์ในตอนนี้
มีเพียงเซเลนเท่านั้นที่ยังนิ่งเฉย เพราะไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
“หมายความว่า หนึ่งในนั้นเป็นตัวปลอมที่เธอเห็นว่าแปลกไปสินะ แล้วกระจกนั่น?”
มิลานมองไปทางกระจก และริรินก็พยายามทำตัวไร้เดียงสาให้เหมือนกับเซเลนในตอนนี้มากที่สุด
“(แย่แล้ว… แบบนี้แย่แน่ๆ!)”
จากเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น ริรินตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดไปให้ได้
____________________
* ตรงนี้ใช้คำว่า ごきげんよう/โกคิเกนโย เป็นคำทักทายที่สุภาพมากๆจนไม่มีใครใช้กันในชีวิตจริง ในหลายๆเรื่องใช้เป็นคำทักทายของพวกคุณหนู