ตอนที่ 59
ลงมือสร้างปาฏิหาริย์
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ แผนการสังหารเซเลนของชินนิยังคงถูกเลื่อน… โดยไม่มีกำหนด อาการบาดเจ็บของชินนิก็หายไปจนไม่เหลือร่องรอย ด้วยสมุนไพรชั้นดีที่บัตเลอร์นำมาจากของถวายที่สุสานนักบุญเซเลน และการทายา(ลวนลาม) เป็นประจำหลังอาบน้ำที่บ่อน้ำพุร้อน
หลังจากนั้นมา ชินนิก็เป็นฝ่ายตามติดเซเลนไปทุกๆที่แทน
“กลับกันเถอะ เซเลน”
“หืม? ยังเช้าอยู่เลย”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเก็บเกี่ยวพืชผลที่สวรรค์(ใหม่) ชินนิก็พูดขึ้นมาเช่นนั้น แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังอยู่สูงบนท้องฟ้า ซึ่งแปลว่ายังห่างไกลเวลาที่จะต้องกลับไปที่ถ้ำมากนัก เซเลนจึงไม่เข้าใจความหมาย
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หมายถึงกลับไปหาคนที่รอเธออยู่”
“ใครรอใคร?”
เมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่ชินนิพูด เซเลนจึงหยุดนิ่งไปหลายสิบวินาที เหมือนคอมพิวเตอร์ประมวลผลไม่ทัน หลังจากทำความเข้าใจได้แล้วก็ประกบมือเสียงดังและตอบออกไป
“คน ที่เมืองหลวง!”
“ก็ใช่น่ะสิ ยังมีคนอีกมากมายรอการกลับมาของเธอ อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า”
ชินนิพูดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอแดงเล็กน้อย
“(ก็เพราะมันจำเป็นไงล่ะ! ไม่อย่างนั้นแผนของฉันก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้! ถ้าคนคนนี้อยู่ที่ยอดเขามังกรตลอดไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่ผ่านๆมา ถ้าไม่กลับไปให้แสดงตัวก่อนสักครั้ง ถึงจะฆ่าไปก็ไม่เกิดผลกระทบกับใครทั้งนั้น!)”
ด้วยเหตุผลยางอย่าง ต่อให้ไม่มีใครถาม ชินนิก็ยังหาข้ออ้างให้ตัวเอง ในตอนนี้ทั้งสภาพร่างกายและพลังเวทของเธออยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม แตกต่างจากตอนขามา เธอมีเสบียง รู้เส้นทางกลับ และยังมีฝูงสัตว์อสูรของเซเลนคอยช่วยเหลือ การกลับออกจากป่าก็เป็นเรื่องง่ายๆ
แต่เซเลนก็ยังส่ายหัว
“ยังกลับ ไม่ได้…”
ใจจริง เซเลนก็อยากกลับไปหาพี่สาวสุดที่รัก อาลัว ใจแทบขาด ทางนั้นเองก็ต้องดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งเช่นกัน แน่นอนว่าทันทีที่ได้เจอก็จะขอดำดิ่งลงไปในหน้าอกคู่นั้นให้หายคิดถึง มารีที่ผ่านมาแล้วสองปีก็คงจะเริ่มมีหน้าอกนูนขึ้นมาให้เห็นบ้างแล้ว และหน้าอกโตเต็มวัยของสาวใหญ่อย่างราชินีไอบิสก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน
ราชาชวานหน้าดุแต่ใจดี ส่วนคุมะฮาจิ น่าเสียดายที่โดนไล่ออกไปอยู่เกาะสักที่ แต่เนื่องจากเป็นผู้ชาย เซเลนจึงให้ความสำคัญรองลงมา
ก่อนที่จะกลับไปหาคนเหล่านี้ที่รออยู่ได้อย่างมีความสุข ต้องหาทางรับมือจอมมารมิลานให้ได้ก่อน แม้จะฝึกชกลมอยู่คนเดียวมาตั้งนานก็ยังไม่เห็นหนทางชนะ และการผูกสัมพันธ์กับฝูงมังกรตามแผนการดั้งเดิมก็ไม่คืบหน้าแม้แต่น้อย
ตั้งแต่มาถึงยอดเขามังกรก็ผ่านมาสองปี แต่เซเลนก็ได้แค่เห็นมังกรตัวอื่นอยู่ไกลๆเพียงไม่กี่ครั้ง นั่นก็เพราะมังกรชอบที่สูง จึงอาศัยไกลออกไปบนยอดเขาที่สูงเหนือเมฆ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เอลฟ์มองพวกเขาเป็นตัวแทนของเทพเจ้า
มีแต่ซาซาคุเระเท่านั้น ที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นดินติดกับป่าสีขาว และออกบินไปทั่วทวีปทุกวันเพื่อฝึกร่างกาย เรียกง่ายๆว่า ซาซาคุระเป็นมังกรผิดปรกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงเข้ากับเซเลนได้ดี
“ซาซาคุเระ จะยอม หรือเปล่า”
“ซาซาคุเระ? …มังกรแดงของเธอสินะ เขาไม่เห็นด้วยเหรอ?”
“ใช่”
“(มังกรคงไม่อยากออกห่างเด็กคนนี้… ก็พอเข้าใจได้)”
มนุษย์อย่างเซเลนและชินนิไม่เคยรู้วิถีชีวิตของมังกรจึงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ถูกต้อง เซเลนคิดว่าประชากรของมังกรมีน้อยกว่าที่คิด จึงไม่มีโอกาสได้เจอบ่อยนัก ส่วนชินนิจะเข้าใจว่าซาซาคุเระอยากอาศัยอยู่ใกล้กับเซเลนเพราะเป็นมังกรแดงที่รับใช้นักบวชมังกร
[“พูดถึงข้าอยู่เหรอ? มีเรื่องอะไร?”]
“อ๊ะ โผล่มาแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันก็มีมังกรแดงปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า เซเลนเงยหน้ามองซาซาคุเระด้วยสีหน้าเรียบๆ สำหรับชินนิ แม้ระยะนี้จะเริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว แต่การที่มนุษย์ตัวเล็กๆเผชิญหน้ากับมังกรขนาดใหญ่ ก็ช่วยไม่ได้ที่ยังมีอาการตกตะลึงอยู่บ้าง
ซาซาคุเระบินลงมาช้าๆ แต่ก็ยังเกิดเป็นลมแรงจนเซเลนเอนล้มไปข้างหลัง และก็ได้ชินนิที่ตอบสนองได้ทันท่วงทีมาช่วยพยุงไว้
“ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้”
ชินนิปล่อยมือและหันหลังกลับเพื่อซ่อนใบหน้า ส่วนเซเลนกำลังดีใจที่มีสาวน้อยน่ารักเป็นฝ่ายมาแตะเนื้อต้องตัว จากนั้น ซาซาคุเระก็ยื่นหน้าที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเซเลนและชินนิหลายเท่าเข้ามาใกล้
[“พวกเจ้าต้องการกลับไปดินแดนของมนุษย์อย่างนั้นหรือ?”]
“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าแบบนั้นน่าจะดีกว่า”
[“อื่ม… ข้าก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่า… ข้าเองก็ไม่อยากออกห่างจากเซเลนเหมือนกัน”]
ซาซาคุเระพูดเหมือนลังเลและถอนหายใจ
“เพราะเป็นนักบวชมังกรของคุณ ก็เลยไม่อยากให้อยู่ไกลสินะคะ?”
[“นักบวชมังกร? ไมรู้แปลว่าอะไร แต่ถ้าหมายถึงเซเลนล่ะก็ เธอเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ แม้ตอนนี้จะยังแสดงศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่ข้าก็คาดหวังกับสิ่งที่เธอจะทำได้ในอนาคต”]
ซาซาคุเระพูดกับชินนิอย่างภูมิใจ
ฐานะในปัจจุบันของซาซาคุเระอยู่ในสภาพเลวร้ายลงเรื่อยๆ ถูกขับไล่ รังแก แยกออกมาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ห่างไกลจากความฝันที่ว่าสักวันหนึ่งจะขึ้นเป็นจ่าฝูงมังกร จึงต้องการเก็บเซเลน ผู้ที่(ตัวเขาคิดว่า)เป็นพิษร้ายสังหารมังกร อาวุธลับสุดท้ายของเขา ให้อยู่ในที่ที่ใช่งานได้ตลอดเวลา
จากคำพูดของบัตเลอร์ เขายังจำเป็นต้องรอไปอีกเกือบร้อยปี จนกว่าเซเลนจะโตเต็มที่ แต่ก็ยังอยากจะเก็บไว้ใกล้ตัว เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้งานก่อนกำหนดขึ้นมา
“เธอยังเด็กอยู่ เพราะฉะนั้น หากคาดหวังศักยภาพของเธอในอนาคต ก็ควรให้เติบโตอย่างเหมาะสมในดินแดนของมนุษย์ค่ะ”
[“เรื่องนั้นข้าก็เข้าใจ บัตเลอร์ก็เคยบอกกับข้าแบบนั้น… ถ้าข้าเป็นได้อย่างมังกรอันธการ ก็คงปล่อยเซเลนไปได้อย่างหมดห่วงอยู่หรอก…”]
“มังกรอันธการ?”
เซเลนที่เงียบมาตลอดได้ส่งเสียงขึ้นมาขัดจังหวะการสนทนาระหว่างซาซาคุเระกับชินนิ มังกรอันธการ แค่ชื่อก็เท่กินขาด ฟังดูน่าจะแข็งแกร่ง อาจเป็นอะไรบางอย่างที่เอาไปสู้กับมิลานได้
[“พวกข้า มังกร ช่วงเวลาที่ออกจากไข่จะมีร่างกายสีขาวบริสุทธิ์ ถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังสักแค่ไหน แต่ในวัยแรกเกิดก็ยังอ่อนแอเช่นเดียวกับทารกของสิ่งมีชีวิตอื่น ทำให้มีศัตรูตามธรรมชาติมากมาย จึงต้องมีสีกลมกลืนกับผืนป่าเพื่อป้องกันตัว และเมื่อเติบโต เกล็ดทั่วร่างก็จะอาบพลังเวทของตัวเองจนมีสีเข้มขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างตัวข้าในตอนนี้ หลังจากนั้นไปอีกนับพันปี สีของเกล็ดจะเข้มขึ้นเรื่อยๆเหมือนท้องฟ้าย่างเข้าสู่ราตรี จนสุดท้ายจะกลายเป็นมังกรที่มีร่างกายสีดำสนิท”]
ซาซาคุเระเล่าให้ฟังและถอนหายใจ
[“บางทีข้าก็แอบอิจฉานกที่เจ้าพามานะ ชินนิ หากข้ามีสีที่น่าเกรงขามเช่นนั้น มังกรตัวอื่นจะต้องก้มหัวให้ข้าแน่ แต่ถึงอย่างนั้น การที่มังกรอันธการจะถือกำเนิดขึ้นมา มันก็ยากยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ต้องเป็นผู้ที่อาบพลังเวทมหาศาลเหมือนไร้ขีดจำกัดของตนเอง ยาวนานเหมือนตลอดกาล ปรกติแล้วพวกข้าจะสิ้นอายุขัยก่อนจะถึงจุดนั้นแทบทั้งหมด”]
“งั้นเหรอ…”
หลังได้ยินคำอธิบายจากซาซาคุเระ เซเลนก็รู้สึกเสียดาย สิ่งนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าโอกาสที่จะได้มาครอบครองมันยากยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ก็คาดหวังอะไรไม่ได้
“มาลองทำปาฏิหาริย์นั่นกันเถอะ”
[“…ว่าไงนะ?”]
แม้แค่คนที่มีนิสัยอวดดีอย่างซาซาคุเระก็ยังจ้องไปที่เด็กสาวชุดดำตัวเล็กๆตรงหน้าอย่างอ้อนวอน ดวงตาสีทองของเขาเปิดกว้าง แม้แต่เซเลนเองก็ยังหันมาทางชินนิ
“สรุปสั้นๆว่า ถ้าเกล็ดตามตัวเป็นสีดำก็จะแก้ปัญหาได้ ใช่ไหมล่ะคะ? ถ้าแค่นั้น ฉันคิดว่าน่าจะพอทำได้อยู่”
[“พูดจริงเหรอ!?”]
“ก็ต้องลองดู ก่อนอื่น เธอก็อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ล่ะ”
ดูเหมือนชินนิคิดจะลงมือทำในตอนนี้เลย จึงพูดออกมาเช่นนั้น จากนั้นก็ถอยออกห่างจากเซเลน ชินนิเหลือบดูเซเลนอีกครั้ง และเห็นเซเลนมองมาทางชินนิด้วยความสนใจ
“(ไม่อยากเปิดเผยเวทมนตร์นี้ให้เซเลนเห็นเลย… แต่ก็ช่วยไม่ได้ ช่างมันก็แล้วกัน!)”
“หิ่งห้อยเงา! ออกมา!”
เมื่อชินนิเรียกใช้เทมนตร์เฉพาะตัว เงาของเธอก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่างและขยายใหญ่ขึ้น ครั้งนี้เป็นหิ่งห้อยเงาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยใช้มา โดยแลกกับการเผาผลาญพลังเวทย์ปริมาณมากเป็นพิเศษ
“เอาล่ะ! หิ่งห้อยเงา เป้าหมายคือมังกรแดง!”
หิ่งห้อยเงาตอบสนองกับเสียงของชินนิทันที ด้วยคำสั่งของเจ้านาย หิ่งห้อยเงาขนาดใหญ่คืบคลานเข้าไปหาซาซาคุเระ ก่อนจะเลื้อยพันขึ้นไปตามร่างกาย จนกระทั่งเงาสีดำเข้าปกคลุมร่างกายขนาดใหญ่ของซาซาคุเระจนไม่เหลือที่ว่าง
[“นี่มัน…!?”]
ด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เกล็ดสีแดงทั่วร่างของซาซาคุเระก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทดั่งความมืดที่ไร้แสงสว่าง ร่างของหิ่งห้อยเงาเป็นความมืดที่สร้างจากเวทมนตร์เช่นเดียวกับแมลงดับแสงสุริยา แต่ก็ด้อยกว่าตรงที่มันไม่มีความนึกคิดเป็นของตัวเองกับไม่มีพลังพอที่จะทำร้ายใครได้
ด้วยการที่มันเป็นเวทมนตร์ที่ชินนิคิดค้นขึ้นมาเอง จึงได้ทำการดัดแปลงเพิ่มคุณสมบัติลงไป ความสามารถในการย้อมสีพื้นผิวของวัตถุให้เป็นสีดำ เป็นความสามารถที่เธอเคยคิดจะใช้มันเพื่อให้ศพที่งดงามบริสุทธิ์ของเซเลนต้องมีมลทิน
“แฮ่ก… แฮ่ก… พอจะเป็นปาฏิหาริย์ให้ได้ไหม?”
หลังจากใช้เวทมนตร์ขนาดใหญ่ไป ชินนิทรุดตัวลงจนเซเลนต้องเข้ามาช่วยประคอง เสียงหอบเบาๆกับลมหายใจอุ่นๆของชินนิที่อยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อีก
[“เมื่อกี้… เจ้าทำอะไรกับข้า!?”]
“ย้อมร่างกายของคุณด้วยเวทมนตร์ของฉันไงล่ะ ไม่เหมือนกับการทาสี เพราะมันจะผสานเข้ากับพื้นผิว จึงไม่มีทางหลุดลอก เท่านี้คุณก็เป็นมังกรอันธการได้แล้ว”
หากเทียบกับมังกรด้วยกัน พลังเวทของซาซาคุเระเรียกได้ว่ามีน้อยมาก แต่ก็ถูกทดแทนด้วยพลังกาย ดังนั้น เขาจึงมีร่างกายใหญ่โตพร้อมกับกล้ามเนื้อหนาแน่น และตอนนี้ก็ได้รับเกล็ดสีดำสนิทปกคลุมทั่วร่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีพลังเวทเวทมหาศาล ซาซาคุเระจึงดูเหมือนมังกรที่แข็งแกร่งในทุกๆด้าน แต่ก็แน่นอนว่าพลังเวทที่แท้จริงของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ต่างกับการทำศัลยกรรมให้ดูหล่อเหลาโดยที่เนื้อแท้ภายในไม่มีอะไรเปลี่ยน
มังกรในโลกนี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังเหนือชั้นจนถูกขนานนามว่าเผ่าพันธุ์ผู้ปกครองโลก ถูกยกย่องให้เป็นร่างอวตารของเหล่าเทพเจ้า แต่ความจริงแล้ว พวกเขาเป็นเพียงสายพันธุ์หนึ่งของสิ่งมีชีวิต เรียกง่ายๆว่าเป็นสัตว์ป่าสายพันธุ์หนึ่ง หรือเรียกให้ง่ายกว่านั้นก็จะเป็น ‘กิ้งก่ายักษ์เวทมนตร์พูดได้ติดปีก’
และสัญชาตญาณของสัตว์ทุกชนิดจะสั่งให้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ ยกเว้นแต่มีเหตุจำเป็นเท่านั้น การต่อสู้ก็หมายถึงการทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เพราะเมื่อบาดเจ็บก็หมายถึงชีวิตตกอยู่ในอันตราย และสัตว์ป่าก็ไม่มีทั้งยารักษาหรือแพทย์
คำเรียก ‘สัตว์ป่า’ อาจฟังเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายชอบความรุนแรงไร้เหตุผล แต่สัตว์ป่าก็รักตัวกลัวตายมากกว่าที่มนุษย์คิด มังกรเองก็ไม่ต่างกัน
ทั้งนี้ โชคดีที่ตัวตนของซาซาคุเระไม่เป็นที่จดจำในหมู่มังกร ซาซาคุเระจึงกลายเป็นมังกรอันธการแปลกหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เนื่องจากมังกรเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร จึงมีจำนวนประชากรน้อย และในปัจจุบันไม่มีมังกรอันธการอาศัยอยู่ที่ยอดเขามังกรแห่งนี้ หากได้พบมังกรอันธการ ก็จะเข้าใจว่าเป็นมังกรอันธการจากนอกทวีปไปโดยปริยาย
แม้จะเป็นมังกรก็ตาม แต่การบินข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้ฝืนดินเบื้องล่างก็เป็นเรื่องยาก แล้วใครเล่าจะกล้าท้าทายมังกรอันธการร่างกายใหญ่โตที่เก่งกล้าถึงขนาดบินข้ามโลกมายังทวีปนี้ได้ ถึงความจริงจะเป็นตัวปลอมก็เถอะ
[“อ-อะ… โอ้ว! ยอดเยี่ยม! ทำได้ดีมาก! เจ้าเด็กมนุษย์ ทำได้ดีจริงๆ!”]
ซาซาคุเระร้องคำรามด้วยความดีใจ แน่นอนว่าสถานการณ์ของเขาอาจไม่เปลี่ยนไปในทันทีทันใด แต่อย่างน้อย โอกาสหลุดพ้นจากตำแหน่งต่ำต้อยที่สุดในฝูงมังกรก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ถ้าอย่านั้น รางวัลสำหรับปาฏิหาริย์นี้ ขอเป็นคำอนุญาตให้เซเลนได้กลับไปอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ไหมคะ?”
[“ตกลง! แล้วอีกอย่างหนึ่ง ข้าเปลี่ยนไปเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น สัญญาคุ้มครองเซเลนร้อยปียังคงมีผลเหมือนเดิม”]
“(เป็นมังกรที่รักเซเลนจริงๆ)”
ความเชื่อเรื่องที่ว่าเซเลนเป็นนักบวชมังกร ยิ่งฝังลึกลงไปในหัวของชินนิ โดยที่ความเป็นจริง ซาซาคุเระก็แค่ขาดความมั่นใจจนต้องขอเก็บเซเลนไว้เป็นไพ่ตาย เพราะถึงจะมีรูปร่างหน้าตาแข็งแกร่งน่ากลัวสักแค่ไหนก็ไม่มีผลกับนิสัย
“ชินนิ…”
“…มีอะไร?”
เสียงเรียกจากเซเลนที่อยู่ข้างหลังมีน้ำเสียงต่างไป ทำให้ชินนิเริ่มเป็นกังวล แม้แต่สายตาที่มองมาก็ต่างไปจากเดิม นี่เป็นครั้งแรกที่เซเลนได้เห็นเวทมนตร์ของเธอ สุดท้ายแล้ว การหวังให้ผู้คนยอมรับคำสาปสกปรกชั่วร้าย มันอาจจะยากเกินไป ชินนิรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“ชินนิ พกมีด หรือเปล่า?”
“เอ๋? ก็มีอยู่…”
ไม่รู้ว่าถูกรู้ได้อย่างไร ชินนิหยิบมีดพกที่อยู่ในเสื้อคลุมส่งให้กับเซเลน มีดที่หยิบยื่นไปให้นี้ อาจจะย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเองก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ชินนิกลัวนั้นไม่ใช่อันตรายจากคมมีด แต่เป็นการตัดสินใจของเซเลนต่อจากนี้
เซเลนไม่รอช้า ชักมีดออกมาตัดปอยผมสีขาวบริสุทธิ์ของเธอส่วนหนึ่ง ม้วนพันเป็นเกรียว และส่งเส้นผมอันงดงามที่ดูเหมือนเส้นไหมสีเงินให้กับชินนิ
“นี่คือ…?”
“เพื่อนกัน ตลอดไป”
หากเป็นเด็กสาวก็ต้องเคยได้ยินมาบ้าง ชินนิก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เธอรู้ดีว่ามันคือเครื่องรางแห่งมิตรภาพของเด็กสาวตามความเชื่อของคนในทวีปนี้ แลกเปลี่ยนเส้นผมกับอีกฝ่าย พกติดตัวเป็นเครื่องประดับ สัญลักษณ์ของมิตรภาพอันเป็นนิรันดร์
ซึ่งก็หมายความว่า-
“กับฉัน… ดีแล้วเหรอ?”
“ใช่!”
ทั้งที่เพิ่งจะได้เห็นเวทมนตร์คำสาปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ซุกซ่อนอาวุธเอาไว้ แต่เซเลนเข้าก็ยังมาใกล้ จับมือของชินนิพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ปรารถนาให้เป็นเพื่อนกันตลอดไป ทำให้ชินนิน้ำตาแทบไหลแต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้
“…ขอบคุณนะ”
ชินนิพูดออกมาเพียงแค่นั้น เพราะถ้ามากไปกว่านี้อาจจะเสียงสั่นเหมือนร้องไห้ออกมา จากนั้นชินนิก็ตัดเส้นผมสีแดงของตนเองให้กับเซเลน
เนื่องจากเซเลนไม่มีความสามารถทางด้านงานฝีมือ จึงถักเป็นเครื่องประดับไม่ได้ ดังนั้น เธอจึงแค่มัดมันไว้รอบนิ้ว
“(สำเร็จ!)”
ในระหว่างที่ชินนิยังคงนิ่งเงียบเพราะความตื้นตัน เซเลนก็โห่ร้องอยู่ในใจกับโอกาสอันล้ำค่านี้ สิ่งที่ชินนิใช้ให้ดู เหมือนกับปีศาจที่มิลานเลี้ยงไว้ไม่มีผิด เนื่องจากโดนมันทำร้ายปางตายจึงจำได้ดี ซึ่งเท่ากับว่า ชินนิมีพลังแบบเดียวกับมิลาน สามารถใช้เพื่อต่อกรได้
เมื่อได้พลังของชินนิมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวอยู่ในป่าเหม็นสาบมังกรอีกต่อไป กลับเมืองไปหาอาลัวอย่างผ่าเผยได้เสียที
อันที่จริง หิ่งห้อยเงาของชินนิ กับแมลงกับแสงสุริยาของผู้สาปแช่ง เรียกได้ว่าเป็นเวทมนตร์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น มิลานก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมันด้วยซ้ำ เขาเป็นแค่เหยื่อโดยตรงอีกคนหนึ่ง
[“ตอนนี้ข้าอารมณ์ดี! ไปตามบัตเลอร์กับโคคุมารุมา! ข้าจะไปส่งพวกเจ้าที่เมืองของมนุษย์เอง!”]
ซาซาคุเระเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เช่นกัน ดูเหมือนเขาวางแผนจะทำอะไรหลายๆอย่างเร็วนี้ เขายังเสนอให้ขี่ตัวเขาเพื่อเดินทาง แม้ว่าปรกติแล้วเขาจะไม่ชอบให้ใครมาขี่หลังก็ตาม
“ไป เฮลิ-”
ก่อนที่เซเลนจะออกคำสั่ง ‘ไปเฮลิฟาลเต้’ เหมือนบอกกับคนขับแท็กซี่ ชินนิก็ยกมือขึ้นมาห้ามเธอเอาไว้ก่อนจะพูดจบ
“ช้าก่อน ถ้าจะพาไปส่ง ขอเป็นที่สุสานนักบุญเซเลน ส่วนเวลาก็เอาเป็นกลางดึก”
[“ไม่มีปัญหา แต่ทำไมถึงเลือกที่นั่นล่ะ แล้วยังเป็นเวลานั้นอีก?”]
“ฉันมีความคิดดีๆอยู่ ถ้าสำเร็จน่าจะสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกเรื่องน่ะค่ะ”
ชินนิยิ้มอย่างมั่นใจ ขณะกำเส้นผมของเซเลนที่อยู่ในมือ
MANGA DISCUSSION