[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 54
ตอนที่ 54
ไปให้ถึงความจริง
“ด-ได้ยังไง!? ศพไม่มี!”
[“ได้เด็กนี่! อย่าเขย่าข้าสิโว้ย!”]
ไม่คิดจะเก็บอาการต่อไปอีกแล้ว ชินนิคว้าโคคุมารุมาเขย่าเหมือนคาดคั้นหาคำตอบ จนโคคุมารุต้องพูดดุด้วยเสียงดังจึงทำให้ชินนิสงบขึ้นมาได้เล็กน้อย
[“แน่ในนะว่าไม่มีศพ?”]
“แน่สิ! นั่นมันโลงเปล่า! เพราะอะไรกัน!?”
[“ถามไปข้าก็ไม่รู้หรอก!”]
ภายในโลงศพมีแต่เศษดินเศษหญ้าเหมือนใส่ไว้เป็นตัวแทน ที่รู้ได้ก็เพราะประสาทสัมผัสของหิ่งห้อยเงาเชื่อมต่อถึงชินนิ ไม่มีทางที่เธอจะสับสนระหว่างร่างกายของเด็กสาวกับเศษขยะไม่มีชีวิต
“น-นี่… แล้วจะทำยังไงดีล่ะ!?”
[“ข้าต้องเป็นฝ่ายถามว่าแกจะเอายังไงต่อต่างหาก! มีคนเป็นร้อยเป็นพันเห็นเซเลนอยู่ในนั้นก่อนปิดฝาโลงไม่ใช่เหรอ? นั่นมันร่างของนักบุญเชียวนะ คงมีคนเพี้ยนๆมาขโมยไปแล้วล่ะมั้ง?”]
“ไม่มีทาง ไม่มีใครทำเรื่องอุกอาจขนาดนั้นได้หรอก ยามก็มีเฝ้าเอาไว้ตลอดเวลา ต่อให้ทำได้ก็ถูกเฮลิฟาลเต้ตามล่าแน่ แล้วยังเป็นศัตรูกับคนทั้งทวีปกับพวกเอลฟ์อีก”
ที่ชินนิลักลอบเข้ามาได้เพราะใช้งานสัตว์อสูร โคคุมารุ และเวทมนตร์เฉพาะตัว หิ่งห้อยเงา ไม่น่าจะมีคนที่ทำได้อย่างเธออยู่อีก ดังนั้น การแอบเข้ามาให้ถึงตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก อีกทั้งการขโมยร่างของคนคนหนึ่ง แม้จะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่การแบกออกไปโดยไม่ให้ใครรู้เห็นก็ไม่น่าจะทำได้ จึงสรุปได้ว่าการถูกขโมยออกไปนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ก็ยืนยันได้ว่าเซเลนไม่ได้อยู่ในนี้แน่นอน ชินนิยิ่งสับสนเมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าศพหายไป แม้ว่าสิ่งที่เธอจะทำคือการฆ่าศพนั้นก็ตาม
“ออกไปจากที่ตรงนี้ก่อนดีกว่า อยู่นานเกินไปเดี๋ยวเจ้าชายมิลานจะสงสัย”
[“เออ ก็ต้องอย่างนั้นแหละ เรื่องที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ กลับออกไปก่อนก็แล้วกัน”]
ชินนิเดินโซเซกลับออกจากสุสานด้วยแววตาเลื่อนลอย หน้าทางเข้ามีทหารยามสองคนรอเธออยู่ ยิ้มให้ด้วยใบหน้าเศร้าสลด เพราะปล่อยให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเล็ดลอดสายตาไปได้ พวกเขาจึงโดนต่อว่าในเรื่องนั้น แต่ชินนิก็ไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขา
“แม่หนู สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ พักอยู่ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวไปส่ง?”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เป็นเหน็บชาที่ขาเพราะคุกเข่าอธิษฐานนานเกินไปหน่อย”
ยังดีที่เธอมีสติพอที่จะพูดแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงทหารยาม ชินนิได้กลับมาที่ห้องของเธอโรงเตี๊ยม ล้มตัวลงนอนและคิดเรื่องต่อจากตอนนั้น
“ทำไม… เซเลนหายไปได้ยังไง… หรือว่า ศาสตร์แปรธาตุ?”
[“พวกเล่นแร่แปรธาตุน่ะเหรอ? ไอ้วิชาขี้โม้ เสกก้อนกรวดให้เป็นทอง ผสมสิ่งมีชีวิตสร้างสัตว์ประหลาด”]
“ใช่แล้ว ศาสตร์พิสดารเหนือจินตนาการ ไม่มีบันทึกข้อมูลที่สมบูรณ์ แต่ว่ามัน…”
มันเป็นศาสตร์ประเภทที่โคคุมารุบอก การเล่นแร่แปรธาตุเคยมีอยู่จริงในทวีปนี้ แต่ในปัจจุบันไม่มีการศึกษาวิจัยอีกต่อไป เนื่องจากการวิจัยเวทมนตร์ให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนกว่าในต้นทุนที่น้อยกว่า มันจึงถูกหลงลืมจนเหลือเพียงเรื่องเล่าสิ่งลี้ลับเท่านั้น
“โกเลม…?”
ชื่อของสิ่งนั้นผุดขึ้นมาในความทรงจำของชินนิ ในช่วงที่เธอทำการวิจัยเวทมนตร์เพื่อสร้างคำสาป จากหนังสือที่เคยอ่านมีการกล่าวถึง โกเลม ร่างชีวิตเทียมที่สร้างจากก้อนดินด้วยศาสตร์แปรธาตุ
“หรือว่า เซเลน อาร์คุยล่า จะเป็นโกเลม?”
เด็กสาวผู้งดงามดุจเทพธิดาทั้งที่ยังเยาว์วัย ร่างกายไม่เน่าเปื่อยหลังสิ้นลมหายใจ และปัจจุบัน ผ่านมาได้สองปี สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงเศษดินเศษหญ้า วันเวลาผ่านมาเนิ่นนานทำให้ร่างของเซเลนที่ถูกสร้างขึ้นมาได้กลับสู้สภาพเดิม เป็นทฤษฎีที่รองรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะเจาะ
[“ท่าจะบ้าไปกันใหญ่ ของแบบนั้นมันมีแต่ในเทพนิยาย ศพถูกพวกเพี้ยนๆขโมยไปแล้วยังฟังดูเป็นไปได้มากกว่าอีก”]
“ก็อาจจะใช่ แต่ศพมนุษย์ไม่มีทางหายไปเองได้แน่ ถ้าไม่มีใครไปทำอะไรมัน!”
ในตอนนี้ ชินนิไม่สามารถเรียบเรียงความคิดได้ เพราะแผนการที่ดำเนินมาได้ด้วยดี กลับเกิดเรื่องแปลกประหลาดจนต้องล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้าย และที่สำคัญ เซเลนที่ทุกคนเชื่อว่าตายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน เธอนอนคิดถึงเรื่องนี้ทั้งคืนแต่ก็ไม่ได้คำตอบ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ชินนิที่นอนไม่หลับมาทั้งคืน ได้ออกจากโรงเตี๊ยมอีกครั้งพร้อมกับโคคุมารุบนไหล่
[“จะไปไหนอีก?”]
“รู้สึกเหมือนมองข้ามอะไรบางอย่าง จะไปยืนยันให้แน่ใจ มาถึงทีนี่แล้ว ไม่ยอมกลับไปมือเปล่าหรอก”
ชินนิในสภาพนอนไม่พอจนมีรอยคล้ำใต้ขอบตา ได้มุ่งหน้าไปยังอาคารหินที่อยู่ใกล้กับสุสานนักบุญเซเลน แต่เดิมอาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นค่ายทหาร
เนื่องจากมันเป็นอาคารที่มีความแน่นหนาปลอดภัย โครงสร้างแข็งแรงมั่นคง จึงถูกใช้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับราชวงศ์หรือขุนนางที่เดินทางมายังสุสาน
“หืม เธอ? เด็กคนเมื่อวานนี่นา”
“ชินนิค่ะ เรื่องเมื่อวานต้องขอโทษด้วยนะคะ แล้วก็ ขอเข้าพบเจ้าชายมิลานได้หรือเปล่าคะ?”
เมื่อเข้ามาจนถึงด้านหน้า ก็พบกับทหารยามคนเดียวกับเมื่อวานที่ดูเหมือนเพิ่งออกเวรกลับมาพักผ่อน ชินนิคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าชายมิลานน่าจะพักอยู่ที่นี่ และดูจากท่าทางของทหารยามคนนั้นก็ดูเหมือนเธอจะเดาถูก
“ถ้าไม่ได้นัดไว้ จะให้พบกับเจ้าชายเลยมันก็…”
“ไม่เป็นไร ให้เข้ามาเถอะ”
“อ-องค์ชาย!?”
ในเมื่อเธอเป็นเด็กสาวแปลกหน้าที่เข้ามาขอพบโดยไม่บอกกล่าว จะถูกปฏิเสธก็ไม่แปลก แต่ก็ได้ยินคำอนุญาตด้วยเสียงของเจ้าชายมิลานมาจากใกล้ๆ
“เด็กคนนี้ได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว ทายาทขุนนางใหญ่จากวัลเบิร์ต ไม่ใช่คนน่าสงสัยที่ไหนหรอก เป็นเด็กซื่อตรงที่มาขอบคุณเซเลนถึงสุสาน ให้เข้าพบได้ ไม่มีปัญหา”
แม้จะไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริง แต่มิลานก็เชื่อเช่นนั้น เด็กจากสลัมอย่างชินนิได้รับความไว้วางใจระดับหนึ่ง ต้องขอบคุณตำแหน่งขุนนางปลอมๆที่ยังทำประโยชน์ได้จนถึงตอนนี้
คนที่อนุญาตก็ไม่ใช้ใครอื่น แต่เป็นตัวองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ มิลาน เอง ทำให้ชินนิผ่านเข้ามาในตัวอาคาร เดินตามมิลานไปจนถึงห้องรับรองได้ง่ายๆ
“ห้องนี้อาจไม่หรูหรามากนัก แต่ก็เป็นห้องที่ผมใช้อยู่ ทำตัวตามสบายเถอะครับ”
“สำหรับเจ้าชายแล้ว เรียกได้ว่าเรียบง่ายผิดคาดเลยนะคะ”
ชินนิมองไปรอบๆห้องที่มิลานเชิญให้เข้ามา ถึงจะเป็นแค่ชั่วคราว แต่มันก็เป็นห้องของเจ้าชายจากประเทศมหาอำนาจ แต่กลับปราศจากเครื่องเรือนราคาแพงหรือการตกแต่งใดๆ
ของที่ดูพอมีราคาในห้องนี้มีแค่ดาบใบหนาเพียงเล่มเดียว ซึ่งวางพิงผนังห้องอยู่มุมหนึ่ง
ชินนินั่งลงบนเก้าอีกไม้ที่มิลานจัดไว้ให้ โดยที่มิลานนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
“แล้ว มีเรืองอะไรหรือครับ? ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อวาน ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ไม่มีใครคิดเอาผิดเธอหรอกนะ”
“เอ่อ เปล่าค่ะ ฉัน อยากถามเรื่องเกี่ยวกับท่านเซเลน…”
“เกี่ยวกับเซเลนเหรอ? เธอสนใจเด็กคนนั้นมากเลยสินะ”
“ใช่ค่ะ รู้สึกว่า ยิ่งรู้จักมากเท่าใด ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น”
“นั่นก็จริง ความลึกลับก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เด็กคนนั้นชอบทำอะไรที่ไม่มีใครเข้าใจอยู่เสมอ”
มิลานยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่คำพูดของชินนิไม่ได้มีความหมายไปในทางชื่นชม เธอแค่อยากรู้เรื่องต่อจากที่ได้คุยกับมิลานเมื่อวาน
“เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าชายมิลานเรียกว่าผืนผ้าศักดิ์สิทธิ์…”
“หืม? อยากรู้อะไรเกี่ยวกับผ้านั้นล่ะ?”
“เท่าที่จำได้ ท่านบอกว่า พบผ้าผืนนั้นหลังจากเจ้าหญิงแสงจันทร์เสียชีวิตไปแล้วสินะคะ? ขอทราบรายระเอียดในตอนนั้นด้วยได้ไหมคะ?”
“ได้สิ ผมไม่มีวันลืมเรื่องในวันนั้นไปได้ วันที่ไปส่งเจ้าหญิงเอนเต้กับผู้ติดตามของผมที่ให้ไปช่วยคุ้มกัน ลงเรือออกนอกทวีป หลังจากนั้นก็มีมังกรบินมาหา และโปรยผ้าผืนนั้นลงมาจากท้องฟ้า”
“หมายความว่า มังกรนำมันมาให้?”
“ถูกต้อง มังกรตัวที่…”
คำพูดของมิลานถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่ดังจากข้างนอกผ่านทางหน้าต่าง ชินนิก็ได้ยินพร้อมกับมิลาน
“ถ้าให้เห็นของจริง คงเข้าใจง่ายขึ้น”
“เอ๋?”
“ไปกันเถอะครับ สิ่งที่จะให้ดู ผมรับรองว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นที่ไหนอีกแน่นอน”
มิลานลุกออกจากที่นั่งและเดินออกจากห้องโดยมีชินนิตามไปติดๆ เมื่อเดินกลับออกมาทางเดิมจนถึงนอกอาคารก็ได้พบกับสิ่งนั้น
“ม-มังกรแดง!?”
ภาพอันน่าตกใจ มังกรสีแดงตัวใหญ่ลงมาอยู่หน้าสุสานนักบุญเซเลน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามังกรคือผู้ปกครองโลกใบนี้ พวกมันไม่เคยข้องแวะกับมนุษย์ แต่ตอนนี้มันเดินหน้าเข้าหาสุสานนักบุญเซเลนราวกับถูกดึงดูดเข้ามา ทั้งชินนิและโคคุมารุถึงกับส่งเสียงร้องไม่ออก
“ทำไมยังไม่หนีกันอีกล่ะคะ!?”
“มันไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เป็นอันตรายหรอก นั่นคือมังกรแดงที่เคยปรากฏตัวอยู่เหนือปราสาทเฮลิฟาลเต้ถัดจากวันที่เซเลนเสียชีวิต”
“ถ้าอย่างนั้น นักบวชมังกร… ก็เป็นเรื่องจริง?”
ในหนังสือของมูลนิธินักบุญเซเลนก็มีเขียนเอาไว้ว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์ มีอำนาจให้มังกรเชื่อฟัง’ ตอนที่อ่านเธอยังหัวเราะให้กับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นแค่การแต่งเติมอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ลงในเรื่องเล่าเพื่อเรียกความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาในตอนนี้ก็ไม่คิดจะเชื่อโดยเด็ดขาด
มังกรแดงหยุดอยู่หน้าแท่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับตัวสุสานนักบุญเซเลน ในตอนที่ชินนิได้เห็นแท่นหินนั้นเมื่อวานก็คิดว่ามันคือเวทีหรือของสำหรับประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่าง
แต่ดูเหมือนมันติดตั้งไว้เพื่อมังกรแดงโดยเฉพาะ
ในตอนที่มังกรแดงบินลงมาจากบนท้องฟ้า ทั้งมนุษย์และเอลฟ์จำนานมากก็เข้ามาจากทุกทิศทาง นำข้าวของต่างๆมาวางไว้บนแท่นหินนั้น
“มีความหมายอะไรหรือเปล่าคะ?”
“มันคือของที่ผู้คนนำมาถวายให้กับเซเลนน่ะ ในบางวัน มังกรจะลงมาเพื่อรับมันไป”
ไม่มีใครเข้าใจลักษณะนิสัยของมังกร แต่ที่แน่ๆ พวกมันไม่เคยเห็นมนุษย์อยู่ในสายตา กล่าวคือ แม้แต่อาหารของมนุษย์ก็ยังไม่เคยคิดจะกิน ไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่พวกมันสวมใส่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ชินนิไม่เข้าใจว่ามันรวบรวมสิ่งของเหล่านั้นไปเพื่ออะไร
มังกรคว้าผลไม้จำนวนมากและเสื้อผ้าที่อยู่บนแท่นหินเอาไว้ในอุ้งมือ ก่อนจะบินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังยอดเขามังกรซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ
“ทั้งที่เป็นมังกร แต่ก็เก็บรวบรวมของของมนุษย์…”
“อาจทำเพื่อเซเลนก็ได้ครับ ดูๆไปก็เหมือนกับผู้ที่จงรักภักดีไม่เคยเปลี่ยน แม้คนที่ตนรับใช้จะตายจากไปแล้ว”
สิ่งที่มิลานพูดก็เป็นความเชื่อของคนส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน มังกรตัวนี้ชื่นชอบเซเลนมากถึงขั้นบุกทำลายเมืองหลวงของวัลเบิร์ตเพราะความแค้นต่อผู้ที่พรากชีวิตเธอ ดังนั้น จึงคิดกันว่ามันพยายามนำของถวายสำหรับเซเลนจากบนพื้นดิน นำไปส่งให้ผ่านทางยอดเขาสูงเสียดฟ้าซึ่งอยู่ใกล้สวรรค์มากที่สุด
ตามความเป็นจริง มังกรแดง หรือที่เรียกกันว่า ซาซาคุเระ จะลงมาที่สุสานซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับรังไปพักผ่อนหลังจากออกบินฝึกฝนกล้ามเนื้อประจำวัน ในตอนที่เขานึกขึ้นได้ว่าอาหารของสัตว์เลี้ยง(เซเลน)ใกล้หมด ด้วยความรู้สึกเดียวกับ ‘แวะร้านสะดวกซื้อข้างทางเพื่อหาอาหารกลับไปฝากแมวที่บ้าน’
“ของถวายแด่เจ้าหญิงแสงจันทร์… มังกรผู้ซื่อสัตย์… อ๊ะ!?”
ในตอนนั้นเอง ชินนิเผลอส่งเสียงร้องออกมา ทำให้มิลานหันมามองชินนิด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เปล่าคะ ไม่มีอะไร”
“ดีแล้วครับ อันที่จริง ผมยังอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังจากการเดินทางเพื่อการศึกษาอันยาวนาน จึงจะอยู่ที่นี่สักระยะ หากเธออยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็มาถามได้นะครับ”
ชินนิที่โค้งให้กับมิลานที่พูดกับเธอด้วยรอยยิ้มและจากไปทันที เมื่อหมดธุระแล้ว มิลานก็กลับเข้าห้องของตัวเองไปอีกครั้ง
[“แล้ว ที่ส่งเสียงออกมาเมื้อกี้ แสดงว่าคิดอะไรออกแล้วสินะ?”]
“หึหึ… ถ้าคิดถึงความเกี่ยวข้องกับมังกร และการที่เซเลนมาจากอาร์คุยล่า ทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ”
[“อะไรอีกล่ะ?”]
โคคุมารุถามชินนิที่กลับมามีรอยยิ้มชั่วร้ายอยู่ใต้ฮู้ดคลุมอีกครั้ง
“มั่นใจได้เลยว่า เซเลน อาร์คุยล่า ยังไม่ตาย และอาศัยอยู่ที่ยอดเขามังกร”
[“…หา? คิดเรื่องโง่ๆออกมาอีกแล้วเหรอ? พยานที่เห็นว่าเธอตายแล้วก็มีตั้งเยอะ”]
“ก็แค่นอนไม่เคลื่อนไหวเหมือนอยู่ในสภาพจำศีลเท่านั้นแหละ จากเรื่องที่เจ้าชายมิลานเล่าให้ฟัง ชาติกำเนิดของเซเลน และการกระทำของมังกรแดง ตอนนี้ฉันเชื่อมโยงทุกเหตุการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว”
[“อืม? ยังไงล่ะ?”]
“อย่างแรก ผืนผ้าศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เขียนเอาไว้บนนั้นไม่ใช่ตัวอักษรธรรมดา”
[“มันก็แน่ล่ะ ไม่ใช่ตัวอักษรธรรมดา ถึงไม่มีใครอ่านออกไง”]
“ผิดแล้ว มันไม่ใช่ตัวอักษรที่เป็นข้อความ แม้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ต้องคิดด้วยว่าเซเลนเคยอาศัยอยู่ที่ไหน”
จากที่เคยอ่านหนังสือของมูลนิธินักบุญเซเลนอย่างผ่านๆ ชินนิจำได้ว่ามีการพูดถึงชาติกำเนิดของเซเลน ในตอนที่เธอยังเด็ก ห้องขังของเซเลนมีประตูที่ผนึกไว้ด้วย ‘ตราประทับเวทมนตร์’
“เวทมนตร์ที่อาร์คุยล่าเชี่ยวชาญ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น เป็นไปได้ที่จะมีเวทมนตร์กับลวดลายแบบอื่น และ ‘ตัวอักษรของเซเลน’ บนผ้านั่นแหละ คือตราประทับเวทมนตร์”
[“แต่ตราประทับเวทมนตร์ต้องมีรูปแบบที่สอดคล้องกัน”]
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย จริงอยู่ ที่ตราประทับเวทมนตร์จะมีรูปแบบตายตัวคล้ายๆกัน เพราะฉะนั้น ลักษณะของมันจึงเหมือนกับตัวอักษร ลวดลายที่มีแต่เซเลนเท่านั้นที่รู้… ในเมื่อมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเวทมนตร์ของมังกร แล้วคิดว่าตราประทับสำหรับบรรจุเวทมนตร์ของมังกรจะเป็นแบบไหนล่ะ?”
[“มันก็จะเป็นลวดลายที่พวกเราไม่มีวันเข้าใจสินะ?”]
“ถูกต้อง”
ความจริงแล้วผิดถนัด
“หลังจากนั้น สุนัขรับใช้ ไม่สิ มังกรรับใช้ของเซเลนก็ทำให้ผ้าผืนนั้นกลายเป็นผ้ายันต์ที่มีพลังในการถอนคำสาป ทั้งหมดนี้เธอได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเพื่อรับมือกับคำสาปจากแมลงดับแสงสุริยา”
[“คิดมากไปหรือเปล่า? ถ้าทำได้ขนาดนั้น ทำไมไม่เอาผ้ายันต์ห่มตัวไว้ แล้วค่อยไปเผชิญหน้ากับแมลงดับแสงสุริยาตั้งแต่แรกล่ะ?”]
“จำคุณสมบัติของแมลงดับแสงสุริยาได้หรือเปล่า? พวกมันมีสัมผัสไวต่อความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ ถ้าเซเลนไปหาเจ้าชายมิลานเพื่อกำจัดมันโดยมีผ้ายันต์ปกคลุมร่างกาย มันก็จะหนีออกไปซ่อนตัวก่อนที่จะได้เข้าใกล้เสียอีก”
[“เซเลนก็จะพลาดโอกาสที่จะกำจัดมัน…”]
แน่นอนว่าหาความถูกต้องไม่ได้เลย
[“แล้วร่างกายที่ไม่เสื่อมสภาพเป็นเดือนๆ?”]
“เดาว่าถูกรักษาสภาพเอาไว้ด้วยพลังเวทที่ยังไหลเวียนอยู่ในตัว จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องปิดฝาโลง”
[“ถ้าอย่างนั้น ผ้ายันต์เข้าไปห่อหุ้มร่างของเธอที่อยู่ในโลงศพได้ยังไง?”]
“อาลัว อาร์คุยล่า เคยพูดว่า หนูที่เซเลนเลี้ยงไว้ ฉลาดจนน่าตกใจ แล้วยังให้ความรู้สึกเหมือนกับแก เข้าใจหรือยัง? นั่นแหละ สัตว์อสูรของเธอ”
[“เมื่อก่อน ยายแก่บอกเอาไว้ว่า คนในทวีปนี้ไม่มีใครมีปัญญาสร้างสัตว์อสูรได้อีกแล้ว แกก็รู้นี่นา?”]
“อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ที่ทำให้มังกรเชื่อฟังได้เชียวนะ คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์กับเอลฟ์ร่วมมือกันได้สำเร็จ ใช้สามัญสำนึกของคนปรกติกับเธอไม่ได้หรอก เพราะก่อนหน้านี้ฉันเองก็เชื่อแบบนั้น ถึงคิดจนปวดหัวก็คิดไม่ออกไงล่ะ”
ใช้สามัญสำนึกของคนปรกติกับเซเลนไม่ได้จริงๆ แต่ในอีกความหมายหนึ่งจะตรงกว่า
“ใช้ผ้ายันต์ห่อหุ้มร่างที่อยู่ในสภาพจำศีลเอาไว้ หลังจากนั้น เวทมนตร์ของมังกรก็จะถอนคำสาปแมลงดับแสงสุริยา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็ตื่นจากการหลับใหล”
[“ทั้งหมดถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าสินะ… อย่างกับเด็กนั่นมองเห็นอนาคตเลย”]
แม้จะเป็นศัตรู แต่ชินนิก็รู้สึกชื่นชมในความสามารถนั้น ทั้งที่จริงเธอเดาผิดแทบทั้งหมด ต้องชื่นชมบัตเลอร์กับมังกรแดงต่างหาก ที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้สำเร็จอย่างงดงาม ส่วนเซเลนก็แค่นอนรออยู่เฉยๆ
“หลังจากเธอตื่นขึ้นมาด้วยวิธีนี้ เธอก็ให้มังกรนำชิ้นส่วนของผ้ายันต์ไปส่งให้กับเจ้าชายมิลานผู้เป็นที่รัก เพื่อบอกเป็นนัยว่า ‘ฉันสบายดี’ เป็นความหวังให้กับเขาว่าสักวันหนึ่งเธอจะกลับมา”
[“ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก? แค่โผล่ออกมาบอกว่ายังไม่ตายก็เข้าใจแล้วแท้ๆ
“ลองคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับวัลเบิร์ตสิ แกเองก็เห็นกับตาใช่ไหมว่าการถูกมังกรโจมตีเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหน? ในตอนนั้นคนส่วนใหญ่จะคิดยังไงถ้าหากมีคนที่สามารถควบคุมมังกรได้ดั่งใจปรากฏตัวขึ้นมา? ประเทศอื่นๆคงจะหวาดผวาจนแทบบ้าเลยล่ะ เจ้าหญิงแสงจันทร์ผู้อ่อนโยนก็เลยต้องยอมถอยห่าง รอเวลาให้ผู้คนหลงลืมความหวาดกลัวที่มีต่อมังกรแดงให้มากที่สุด”
หลังจากอธิยายไปมากขนาดนั้น ชินนิที่ยิ้มอย่างชั่วร้ายก็ค่อยๆหัวเราะออกมา และหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่องๆจนคนที่อยู่รอบๆหันมามอง แต่ชินนิก็ไม่สนใจ
[“อ้าว เฮ้ย… เป็นอะไรของแกอีกล่ะ? มีเรื่องอะไรน่าสนุกหรือไง? อย่าเพิ่งเป็นบ้าเอาตอนนี้สิ”]
“หึหึหึ… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เรื่องสนุกเหรอ? ใช่สิ! ต่อจากนี้ต้องสนุกแน่!”
โคคุมารุยังพูดเตือนสติชินนิต่อไป แต่เสียงของเขาในตอนนี้ไม่มีทางเข้าถึงหูของชินนิ
ชินนิดีใจอย่างที่สุด ชีวิตนี้กลับมามีเป้าหมายอีกครั้ง จากที่เคยทุกข์ทรมานจากการถูกศัตรูที่ตายไปแล้วตามรังควาน แต่ก็ได้รู้ว่าศัตรูคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“อา… ดีจริงๆ ถ้ายังมีชีวิตก็หมายความว่าฉันจะฆ่ามันด้วยมือคู่นี้ได้ จงลิ้มรสความแค้นที่อัดอั้นมานานนับปีนี้ให้ดีๆล่ะ”
รอยยิ้มอันบ้าคลั่งปรากฏอยู่บนใบหน้าของชินนิ เธอตัดสินใจเดินหน้าต่อไปพร้อมกับความเกลียดชังที่เอ่อล้นอยู่ในใจ