[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 53
ตอนที่ 53
สุสานนักบุญเซเลน
การขอลาหยุดของชินนิได้รับการอนุมัติโดยง่าย ตามปรกติ ชินนิจะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นนักเรียนชั้นปลายแถว แต่หลังจากได้เป็นนักเรียนที่มารีเป็นผู้มอบทุนการศึกษาให้โดยตรง จึงทำให้คนอื่นๆเริ่มเกรงใจเธอขึ้นมา
จากนักเรียนผู้มืดมน ทำตัวขวางโลก ปิดกันตนเองจนเป็นที่รังเกียจแก่ผู้พบเห็น ชินนิถูกทำความเข้าใจใหม่ เป็น เด็กสาวผู้น่าสงสาร โศกเศร้าเพราะยังทำใจไม่ได้เรื่องการสูญเสียครอบครัวจากเหตุการณ์มังกรโจมตีที่วัลเบิร์ต
ไม่มีใครรู้ว่าชินนิแต่เดิมเป็นเพียงแค่เด็กจากสลัมแห่งหนึ่งในวัลเบิร์ต ไม่เคยมีครอบครัวหรือฐานะใดๆตั้งแต่แรก แต่ข่าวลือผิดๆก็ได้กระจายออกไปแล้ว แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่เคยดูถูกเธอก็เข้ามาชวนพูดคุยด้วยความเห็นใจ
ด้วยเหตุนั้น ระดับความเครียดของชินนิจึงเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงนี้ อาจทำให้เธอทนไม่ไหวจนเผลอโต้ตอบรุนแรง ดังนั้น เธอจึงออกไปข้างนอกโรงเรียนทันทีที่คำขอถูกตอบรับ เป้าหมายคือสถานที่ที่ศัตรูอันดับหนึ่งของเธอหลับใหลอยู่ สุสานนักบุญเซเลน
สถานที่นั้น เดิมทีเป็นทุ่งดอกลิลลี่อันงดงาม สวนดอกไม้ตามธรรมชาติขนาดใหญ่ กว้างไกลสุดสายตา และสุสานนักบุญเซเลนได้ทำการก่อสร้างติดกับทุ่งดอกไม้นั้น มันจึงกลายเป็นสถานที่สำหรับแสวงบุญที่มีผู้คนจากประเทศต่างๆทั่วทวีปมาเยี่ยมชม
นอกจากนั้น ยังมีเหล่าผู้แสวงบุญจากเฮลิฟาลเต้ ซึ่งชินนิก็ได้ขอเข้าร่วมเพื่อแฝงตัวเดินทางไปพร้อมกัน โดยคณะเดินทางร่วมห้าสิบคนได้แบ่งกลุ่มเดินทางด้วยรถม้าหลายคัน ซึ่งที่โคคุมารุก็ติดตามเธอไปด้วยเช่นกัน
[“กับคนที่ตายไปแล้ว แกยังจะถ่อไปฆ่าอีกเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า?”]
“เงียบซะ เดี๋ยวไปถึงแล้วจะบอก”
ในตอนนี้ชินนิอยู่ในรถม้ามุ่งหน้าไปยังสุสานนักบุญเซเลนร่วมกับคนอื่นๆ หากเธอทำการสนทนากับโคคุมารุ สำหรับคนอื่นจะเห็นเธอเป็นคนประหลาดพูดคุยกับนกกา หากเป็นเช่นนั้น เธอจะเป็นจุดเด่นจนเป็นอุปสรรคต่อแผนการร้ายของเธอ
หลังจากการเดินทางนานนับสัปดาห์ ในที่สุด ชินนิก็มาถึงสุสานนักบุญเซเลน และได้แต่ประหลาดใจในสิ่งที่เห็น
“อย่างกับเมือง…”
สุสานคือสถานที่ให้ผู้ล่วงลับได้พักผ่อนอย่างสงบ แต่สิ่งก่อสร้างที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับให้ความรู้สึกต่างออกไป แน่นอนว่าสุสานนักบุญเซเลนเป็นสิ่งก่อสร้างอันงดงามที่สร้างขึ้นด้วยวัสดุที่เน้นสีขาวบริสุทธิ์เป็นหลัก แต่ถ้าแค่นั้นก็ไม่ทำให้ชินนิรู้สึกประหลาดใจ
สุสานนักบุญเซเลนยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตัวอาคารถูกออกแบบให้ใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อที่จะแล้วเสร็จ เพื่อให้ออกมายิ่งใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงผลงานที่ผ่านมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้และต่อจากนี้ของเจ้าหญิงแสงจันทร์
พื้นที่ตั้งอยู่ระหว่างอาณาเขตของป่าสีขาวและเฮลิฟลาเต้ จึงอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของมันจึงเป็นอนุสรณ์ขนาดใหญ่ หลังฐานของมิตรภาพที่ก้าวข้ามความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์
เพื่อให้สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ จำเป็นต้องอาศัยแรงงานจำนานมาก รวมถึงช่างไม้ ช่างฝีมือ ทั้งจากมนุษย์และเอลฟ์ อีกทั้งยังต้องมีคนคุ้มกันพวกเขาจากสัตว์ป่าและโจร บ้านพักชั่วคราวและค่ายพักแรมจึงมีอยู่มากมายแต่ก็ยังไม่เคยพอ
เมื่อผู้คนจำนวนมากต้องการที่พักอาศัย สถานที่สำหรับดื่มกิน อุปสงค์นำไปสู่อุปทาน เหล่าพ่อค้าจึงเดินทางมาเปิดร้านต่างๆไม่ขาดสาย… มนุษย์และเอลฟ์บริเวณใกล้เคียงจึงมารวมตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
ระบบเช่นนี้ดำเนินมาได้สองปี จึงกำเนิดเป็นแหล่งชุมชนที่มีสุสานนักบุญเซเลนเป็นจุดศูนย์กลาง แม้ตอนนี้จะมีขนาดเทียบเท่ากับหมู่บ้านเล็กๆ แต่ถ้าวัดกันที่คุณภาพก็เรียกได้ว่าผู้คนมีสภาพความเป็นอยู่ดีกว่าวัลเบิร์ตไปแล้ว หากทุกอย่างเดินหน้าต่อไปด้วยวิธีนี้ เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์มันจะกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งแรกที่มีประชากรเป็นเอลฟ์และมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกัน
“ยิ่งใหญ่เหลือเกินนะ เจ้าหญิงแสงจันทร์…”
ชินนิพูดประชด ยิ้มเยอะอย่างน่ารังเกียจอยู่ภายใต้ฮู้ดคลุม ขณะมองดูเหล่าคนงานแสดงออกถึงความภาคภูมิใจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่นี้
“แต่ความยิ่งใหญ่นั่นมันจะจบภายในคืนนี้แหละ”
[“พูดคนเดียวอยู่ได้ บอกมาได้แล้ว”]
โคคุมารุทวงถามคำอธิบายจากชินนิ ชินนิจึงพูดต่อไปด้วยเสียงเหมือนมีความสุขโดยระวังไม่ให้ใครได้ยิน
“เจ้าหญิงแสงจันทร์มีชื่อเสียงเพราะความสำเร็จและการกระทำอันสูงส่งในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ตัวจะตายลงไปแล้วก็ยังหลงเหลือกำลังใจและความหวังไว้ให้กับคนรุ่นหลัง สมกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ”
[“แล้วมันยังไงล่ะ?”]
“ความจริงก็คือ ผู้คนเชื่อมั่นในเจ้าหญิงแสงจันทร์ก็เพราะ ‘ปาฏิหาริย์แห่งความนิรันดร์’ ของเธอ เรื่องราวของเด็กสาวที่เสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นจนต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ส่งผลให้ศพของเธอได้รับพรให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ นี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของศรัทธาที่ยกย่องให้เธอเป็นนักบุญ”
ดังที่ชินนิกล่าว ในสุสานนี้มีโลงศพที่บรรจุร่างอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันเสื่อมสลายของเจ้าหญิงแสงจันทร์เอาไว้ ผู้คนต่างหลงใหลในปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์และความเป็นนิรันดร์ เป็นความจริงที่เรื่องเหล่านี้ส่งผลให้ชื่อเสียงของเจ้าหญิงแสงจันทร์เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปรกติ
“ทำลายปาฏิหาริย์ ให้คนเห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของปลอม”
ง่ายๆคือ ทำลาย ‘ปาฏิหาริย์แห่งความนิรันดร์’ ของเจ้าหญิงแสงจันทร์ด้วยหิ่งห้อยเงาของชินนิ แม้ว่ามันจะไม่มีความสามารถในการโจมตีเลย แต่ถ้าเป็นผิวหนังอันอ่อนนุ่มของเด็ก ก็เพียงพอที่จะสร้างริ้วรอยได้
[“เอาหิ่งห้อยเงาไปทำลายศพของเซเลน?”]
“ใช่แล้ว เรื่องแค่นั้นฉันทำได้ง่ายๆเลยล่ะ”
โลงศพของเจ้าหญิงแสงจันทร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้ใครแตะต้องเพราะเป็นการรบกวนผู้ตาย แต่เพียงแค่รอยต่อของฝาโลงก็เพียงพอให้หิ่งห้อยเงาแทรกตัวเข้าไปได้ จากนั้นก็ใช้มันสร้างรอยแผลไว้ทั่วร่างอันศักดิ์สิทธิ์ไร้มลทินของเซเลน
“ใช่แล้ว ต้องย้อมสีศพให้เป็นรอยด่างดำเหมือนเน่าเปื่อยเข้าไปด้วย คนที่เห็นก็จะคิดว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วศรัทธาจะเริ่มสั่นคลอน”
แม้ตอนนี้จะไม่มีใครเปิดโลงศพ แต่ต่อจากนี้ก็ต้องเปิดเข้าสักวัน เมื่อนั้นผู้คนก็จะผิดหวังเมื่อเห็นสภาพศพอันน่าเกลียดน่ากลัวของเธอ และจะลือกันต่อไปว่า
―ปาฏิหาริย์แห่งความนิรันดร์ เป็นแค่คำโกหก
[“เข้าใจแล้ว แกนี่คิดเรื่องชั่วๆได้เก่งชะมัด”]
“นั่นสินะ ฉันก็แค่ทำเรื่องที่ทำได้เท่านั้นแหละ”
ชินนิหัวเราะเบาๆ กลับไปจองห้องพักที่โรงเตี๊ยม คนอย่างเธอย่อมไม่อยากไปเคารพศพที่สุสานอยู่แล้ว เธอจึงลงนอนบนเตียงเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล รอเวลาผ่านไปให้ความมืดเข้าปกคลุม และชินนิก็จะออกเคลื่อนไหวตามแผนการ
ผ่านมาหลายชั่วโมง ตวงตะวันลับขอบฟ้า โรงเตี๊ยมและร้านอาหารรอบๆสุสานเนืองแน่นไปด้วยผู้คน มนุษย์และเอลฟ์ที่ทำงานหนักในช่วงวันมาร่วมดื่มกินหลังเลิกงาน ชินนิออกมาจากที่พักอย่างเงียบๆ
ชินนิหลีกเลี่ยงสายตาผู้คน เดินไปตามความมืดที่ทอดยาวจนมาถึงสุสาน ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของตัวอาคารได้ชัดเจน โครงการที่ราชวงศ์เฮลิฟาลเต้ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดทุ่มเทสร้างขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นสถานที่สำคัญทางประวัตศาสตร์ในอนาคต
[“ทางโล่ง ไม่มีคน”]
“ดี ไปกันเถอะ”
ชินนิซ่อนตัวอยู่ในที่เก็บวัสดุใกล้สุสาน และโคคุมารุก็บินลงมารายงาน เนื่องจากโคคุมารุเป็นสัตว์อสูร สายตามองในความมืดได้ชัดกว่านกฮูก ร่างกายสีดำสนิทตามธรรมชาติ เรื่องการดูต้นทางในตอนกลางคืนไม่มีใครเหมาะไปกว่าเขาอีกแล้ว
สุสานนักบุญเซเลนจะไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมชมในตอนกลางคืน และเพื่อปกป้องโลงศพของเซเลนจากโจรหรือผู้ไม่หวังดี จึงมีการจัดเวรยามทั้งกลางวันและกลางคืน โคคุมารุฝ้ามองจากบนต้นไม่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าทหารยามออกห่างจากพื้นที่ เขาจึงไปบอกกับชินนิทันที
เพียงเวลาสั้นๆ ชินนิลักลอบเข้ามาในสุสานได้สำเร็จ ถึงจะรู้ว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แต่เธอก็ยังเคลื่อนไหวโดยไม่ส่งเสียงและระวังตัวอยู่ตลอด
“(สุสานนักบุญเซเลน… สวยงามอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ)”
แม้คนที่ไม่มีความรู้ทางด้านงานศิลปะอย่างชินนิก็ยังรู้ได้ ตัวอาคารสร้างด้วยวิทยาการล้ำสมัย เน้นสีขาวทั้งภายนอกและภายใน อาจเพื่อให้ระลึกถึงเด็กสาวสีขาวที่ชื่อเซเลน หน้าต่างแต่ละบานประดับด้วยงานกระจกสี ภาพแขวนบนผนังเป็นภาพเด็กสาวที่กำลังอธิษฐานภายใต้ดวงจันทร์โดนมีหนูตัวเล็กๆอยู่บนไหล่ของเธอ
[“หืม มีใครอยู่ข้างหน้า?”]
“เอ๋?”
ขณะที่ชินนิหลงใหลไปกับการตกแต่งภายในตัวอาคาร โคคุมารี่มีสายตาดีกว่าชินนิอย่างมากได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของใครบางคนก่อนที่ชินนิจะรู้ตัว เมื่อได้ยินคำเตือน ชินนิจึงเข้าไปหลบอยู่หลังเสาเพื่อรอดูท่าทีของคนคนนั้น
ภายในสุสานออกแบบมาให้รับแสงอาทิตย์ในตอนเช้าและแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ตราบใดที่ไม่ใช่คืนจันทร์ดับก็จะมีแสงสว่างเพียงพอต่อการมองเห็นตลอดวัน ชินนิจึงเห็นร่างที่โคคุมามุพูดถึงได้แม้จะอยู่ห่างออกไป
ใจกลางของห้องกว้างมีแท่นบูชา และบนนั้นมีหีบใบใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ ทำจากไม้ที่เรียกว่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในดินแดนของเอลฟ์ แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือโลงศพของเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน อย่างไม่ต้องสงสัย
ด้านหน้าโลงศพมีชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าก้มหน้าหลับตา ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย ท่วงท่าดูสูงส่งและงดงามราวกับภาพวาด หากเบื้องหน้าเป็นเจ้าหญิง ชายหนุ่มผู้นี้ก็ดูเหมือนอัศวินผู้ภักดี
“คนที่อยู่ตรงนั้น ออกมาซะ”
ชินนิเฝ้าดูท่าทีของชายหนุ่มอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงดัง แม้ชินนิจะยังอยู่ห่างและไม่ได้ส่งเสียงใดๆ แต่อีกฝ่ายก็รู้ตัว
“(ช่วยไม่ได้…)”
ไม่มีประโยชน์ที่จะซ่อนตัวต่อไป ชินนิตัดสินใจเชื่อฟังและออกมาจากหลังเสา เดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม ตั้งใจให้โลงศพอยู่ในระยะที่หิ่งห้อยเงาจะเข้าถึง แม้จะถูกจับโยนออกไปข้างนอก เธอก็ยังทำให้เป้าหมายลุล่วงได้
เมื่อเข้าไปได้ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มยืนขึ้นและมองตรงมาที่เธอ ชินนิชะงักไปครู่หนึ่ง หากเป็นประชากรของทวีปนี้ ต่อให้ไม่เคยเห็นก็ต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นี้
“องค์ชายศักดิ์สิทธิ์… มิลาน เฮลิฟาลเต้!?”
“เธอเป็นใคร? ที่นี่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าในตอนกลางคืน”
แม้ชินนิจะยืนอยู่เฉยๆ แต่มิลานก็ระวังตัวเต็มที่จนชินนิไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าชายผู้โด่งดังไปทั้งทวีปคนนั้นถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตอนนี้ เป็นสถานการณ์ที่เธอทำอะไรไม่ได้จึงต้องยอมถอดฮู้ดคลุมออก
“เด็กเหรอ? เด็กผู้หญิงคนเดียวมาทำอะไรดึกป่านนี้?”
“ขอโทษค่ะ ฉันเพิ่มมาถึงตอนกลางวัน เห็นว่ามีคนเยอะเลยไปพักก่อนและมาอีกทีตอนกลางคืน ไม่ทราบว่าเวลานี้ห้ามเข้า”
เป็นทั้งเรื่องจริงและโกหก ชินนิพยายามจังหวะส่งหิ่งห้อยเงาเข้าไปในโลงศพให้ได้ ในตอนนี้ชินนิจึงต้องพูดคุยถ่วงเวลาไปก่อน
“ฉัน ชื่อชินนิค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ ‘มูลนิธินักบุญเซเลน’ รับอุปการะเป็นนักเรียนทุน ทำให้ได้เป็นนักเรียนของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ต่อ จึงอยากมาขอบคุณท่านเซเลนสักครั้ง”
“ชินนิ? เหมือนเคยได้ยินน้องสาวพูดถึงเธออยู่นะ เด็กสาวผู้โชคร้ายจากวัลเบิร์ตจนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”
“เอ่อ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ…”
ดูเหมือนมารีจะเล่าเรื่องของเธอให้คนอื่นฟังด้วย แต่ก็ดี เพราะตอนนี้มิลานได้ลดความระแวงลงแล้ว
“แล้ว เจ้าชายมิลานมาทำอะไรคนเดียวเวลานี้หรือคะ?”
“หืม? ก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ ตอนกลางวันมีคนอยู่เยอะเกินไป ถ้าผมอยู่ด้วยจะทำให้วุ่นวายเข้าไปอีก ใช่ไหมล่ะครับ? ”
อาจคิดได้ว่าคล้ายกันแต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นตรงกันข้าม และในตอนนี้ก็ทำให้มิลานเชื่อได้แล้วว่าชินนิต้องการความเงียบสงบในการอธิษฐานต่อเซเลนเหมือนกับเขา
“ฉันเองก็อยากอธิษฐานต่อหน้าศพของท่านเซเลนเหมือนกันค่ะ”
“สำหรับผม คงจะเป็นการอธิษฐานต่อผืนผ้าศักดิ์สิทธิ์มากกว่านะ”
“ผืนผ้าศักดิ์สิทธิ์?”
“ผ้าที่อยู่บนโลงศพนั่นไง เห็นไหม?”
มิลานหันมองไปยังด้านบนของโลงศพ ชินนิก็หันไปทางเดียวกัน และเห็นเศษผ้าที่มีตัวอักษรฮิรางานะเขียนไว้ว่า ‘あいるびーばっく(I’ll be back)’ หากรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร มันจะกลายเป็นศักดิ์สิทธิ์ที่งี่เง่าที่สุดในโลกนี้ทันที
“สิ่งนั้นคือผืนผ้าศักดิ์สิทธิ์หรือคะ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
“ลวดลายบนนั้นเรียกกันว่า ‘ตัวอักษรของเซเลน’ น้องสาวของผมกับเจ้าหญิงอาลัวต่างก็ยืนยันว่าเคยเห็นเซเลนเขียนตัวอักษรลักษณะนี้มาก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ผมก็เชื่อว่าเซเลนเป็นคนเขียนมันขึ้นมา”
“(เป็นของจำพวกรหัสลับสินะ…)”
ไม่ว่ามิลานหรือชินนิก็ไม่มีใครรู้จักตัวอักษรฮิรางานะของญี่ปุ่น คล้ายกับคนธรรมดาในยุคปัจจุบันได้เห็นภาษาเขียนของอียิปต์โบราณ แม้จะเข้าใจได้ว่ามันเป็นภาษาชนิดหนึ่งแต่ก็เห็นเป็นลวดลายแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอ่านได้ เพียงแค่รู้ว่าสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาย่อมต้องมีความหมาย
“พวกผมได้รับผ้าผืนนี้หลังจากนำร่างของเซเลนบรรจุลงในโลงศพและปิดฝาไปเรียบร้อยแล้ว”
“เอ๋? เท่ากับว่าท่านเซเลนเขียนมันหลังจากเสียชีวิตแล้วหรือคะ?”
“ก็แค่ความเป็นไปได้ ถึงจะขัดต่อสามัญสำนึกก็เถอะ ก่อนหน้านั้นก็มีช่วงที่คลาดสายตาจากเซเลนอยู่บ้าง อย่างช่วงที่เธอไปที่สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้อยู่บ่อยๆ หรือตอนที่เธอมีปฏิสัมพันธ์กับเอลฟ์ มีความเป็นไปได้มากกว่าที่เธอจะเขียนมันขึ้นมาในช่วงนั้นและฝากมันเอาไว้กับมังกร”
มิลานพูดในสิ่งที่คิด จากนั้นก็เสริมว่า ‘แต่’
“แต่ผมก็ยังอยากจะเชื่อ… ว่าสักวันเซเลนจะกลับมา เพราะฉะนั้นถึงได้สั่งห้ามไม่ให้เปิดโลงศพ ถ้าผมได้เห็นเซเลนยังคงนอนหมดลมหายใจอยู่ในนั้น ในใจคงต้องยอมรับความตายของเธอแน่”
“ไม่ยอมรับ ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้สินะคะ”
ชินนิพูดออกมาตรงๆ มันคือการหลอกตัวเองเพื่อสร้างความหวัง มิลานไม่ได้ตอบคำถามของชินนิในเรื่องนั้น เขาแค่มองไปที่โลงศพอย่างเงียบๆ
“กว่าสองปีแล้วที่เซเลนหลับใหลอยู่ในนี้ ระหว่างนั้นผมก็ได้ออกเดินทางศึกษาเรื่องต่างๆไปทั่วทวีป ตอนนี้ก็ได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์มามากมาย วิชาดาบก็มั่นใจว่าพัฒนามาได้ไกล ทั้งหน้าที่ ความรับผิดชอบ ก็ทำได้ดีจนคิดว่าเติบโตกว่าเมื่อสองปีก่อนมาก”
หลังจากพูดออกมาเหมือนระบาย มิลานหลับตาลง ดูเหมือนเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจ
“หลังจากเพื่อนสนิทที่ไม้ได้เจอมานานกลับมาจากต่างประเทศ เขาได้ทักมาว่า ‘องค์ชายไม่สมเป็นผู้ใหญ่เลย’ ถึงได้รู้ตัวว่ามีความรู้มากขึ้นหรือแข็งแกร่งขึ้นมันก็เท่านั้น”
มิลานหันกลับมาทางชินนิ จากที่ชินนิเห็น ชายผู้นี้คู่ควรกับการที่ถูกเรียกว่าองค์ชายศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง แต่ตัวองค์ชายศักดิ์สิทธิ์เองดูเหมือนจะไม่คิดเช่นนั้น
“ผมเองก็ยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่จริงๆนั่นแหละ เป็นความปรารถนาแบบเด็กๆที่อยากให้เธอตื่นขึ้นมากล่าว ‘อรุณสวัสดิ์’ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่มาอธิษฐานอยู่ตอนนี้ก็ด้วยความรู้สึกแบบนั้น”
“นั่นสินะคะ เพราะท่านเซเลนก็เคยสร้างปาฏิหาริย์มาก่อนด้วย”
“เธอเองก็คิดเหมือนกันหรือครับ? อันที่จริง ไม่ต้องคล้อยตามคำพูดของเจ้าชายไม่รู้จักโตอย่างผมก็ได้นะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็อยากจะเชื่อเหมือนกัน”
ชินนิกลั้นหัวเราะและพยายามตอบกลับไปตามเรื่องราว เมื่อได้รู้ว่าองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ มิลาน เฮลิฟาลเต้ หลงใหล เซเลน อาร์คุยล่า จนถึงขั้นยังไม่ยอมตัดใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการฆ่าคนที่ตายแล้ว ของเธอ ก็จะได้ผลรุนแรงมากขึ้นไปอีก อาจเรียกได้ว่าแก้แค้นให้ผู้สาปแช่งสำเร็จเลยก็ได้ สถานการณ์นี้ทำให้ชินนิเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมา
“ว่าแต่ เธอเข้ามาได้ยังไง? ถึงจะเป็นตอนกลางคืนก็มีเวรยามนะครับ”
“ตอนที่เข้ามาก็ไม่เห็นใครเลยนะคะ อาจจะบังเอิญเป็นช่วงที่เปลี่ยนเวรพอดีก็ได้”
“บังเอิญเหรอ… จะว่าไป ตอนที่ได้พบกับเซเลนครั้งแรกก็เป็นตอนกลางคืนและเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกัน”
สายตาของมิลาดูเศร้าลงเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ เขาอาจจะคิดถึงวันที่ได้เจอกับเซเลน
“เธอบอกว่าอยากมาขอบคุณเซเลนสินะ? ปรกติจะห้ามคนทั่วไปเข้ามาในเวลานี้ แต่ผมจะอนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวจะไปบอกยามเอาไว้ ใช้เวลาตามสบายได้เลยครับ”
“ข-ขอบคุณมากค่ะ!”
ชินนิแสดงออกว่าดีใจอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามหาจังหวะใช้งานหิ่งห้อยเงาอยู่ตลอด แต่เจ้าชายก็ปล่อยเธอเอาไว้ตามลำพังกันง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็จะลงมือทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครมาขวาง
มิลานเองก็พอใจที่เห็นชินนิร่าเริงขึ้นมาหลังจากที่เขาได้อนุญาตให้เธออธิษฐานต่อเซเลน
“ถ้าเด็กคนนั้นรู้ จะต้องมีความสุขแน่ ในชีวิตจริง เด็กคนนั้นไม่ค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกันมากนัก”
“ขออธิษฐานให้เป็นเช่นนั้นค่ะ ฉันเองก็ตั้งใจจะตอบแทนเธอเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว”
ชินนิพูดประชดด้วยท่าทางสบายใจ และมิลานก็ไม่ได้สงสัย เขาพยักหน้าให้ก่อนเดินจากไป ซึ่งน่าจะไปบอกกับทหารยามเกี่ยวกับตัวเธอ และหลังจากนี้ การเฝ้ายามก็คงจะเข้มงวดไร้ช่องโหว่ยิ่งขึ้น
“หึหึ… สวรรค์เข้าข้างคนดีเข้าแล้วสิ ตอนที่ถูกเจ้าชายเจอตัว ตกใจแทบแย่”
[“ละเมอเป็นคนดีอะไรของแก? ที่ทำอยู่นี่มันโจรชัดๆ”]
“เอาล่ะ ฉุดขาท่านเซเลนผู้ยิ่งใหญ่ให้ลงมาจากสวรรค์กันเถอะ”
ชินนิอารมณ์ดีจนไม่สนใจคำพูดเสียดสีของโคคุมารุ เธอใช้เวทมนตร์หิ่งห้อยเงาอย่างคล่องแคล่วและเงารูปร่างเหมือนงูสีดำก็แหวกว่ายไปตามพื้นขึ้นไปบนโลงศพสีขาวบริสุทธิ์ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปข้างใน
“ท-ทำไม!?”
[“อะไรอีกล่ะ? อย่าบอกนะว่าเกิดกลัวขึ้นมาเลยคิดจะเปลี่ยนใจ?”]
“ไม่ใช่! ศพมัน ไม่ได้อยู่ในนี้!?”
เหตุการณ์นี้ทำให้ชินนิตกใจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา