ตอนที่ 52
ฆ่าคนที่ตายแล้ว
ผ่านมาได้ไม่กี่วันหลังจากชินนิถูกยัดเยียดความหวังดีที่น่ารำคาญโดยมูลนิธินักบุญเซเลน เธอใช้เวลาอย่างทุกข์ทรมานอยู่แต่ในห้องของเธอ ไม่ออกไปไหน
ห้องส่วนตัวของชินนิในหอพักมีบรรยากาศมืดมน แตกต่างจากห้องของเด็กสาวทั่วไป เครื่องเรือนทั้งหมดมีแค่เตียง โต๊ะเรียน และตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นของที่ติดมากับห้องตั้งแต่แรกเท่านั้น เหตุผลก็มีทั้งการที่เธอไม่มีเงินหาซื้อมาเปลี่ยนหรือเพิ่มเติม และถึงจะมีเพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากแต่อย่างใด
“เฮ้อ…”
ภายในห้องที่ไร้การตกแต่ง ชินนิถอนหายใจร่วมสิบครั้งภายในวันนี้ บนโต๊ะในห้องมีโคคุมารุจิกกินไส้กรอกที่จับไว้ด้วยขาข้างหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาออกไปที่โรงอาหารเพื่อแอบขโมยมันมาได้
[“มีคนให้เงินมาใช้ฟรีๆแล้วยังคิดจะโดดเรียนอีก? แกนี่มันโชคดีเสียของจริงๆ”]
“อย่าเพิ่งมายุ่งน่า ฉันอารมณ์ไม่ดีอยู่”
ในวันนี้ ชินนิอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงสีดำ ส่วนผ้าคลุมที่ใส่ประจำกับไม้เท้าถูกวางกองไว้ในตู้เสื้อผ้า
การที่เธอสวมผ้าคลุมสีดำตอนออกไปข้างนอกก็เพราะต้องการให้คนอื่นมองเธออย่างแปลกแยก จะได้ไม่มีใครเข้ามารบกวน ยิ่งเป็นการพูดคุยยกย่องเจ้าหญิงแสงจันทร์ เธออาจเผลอหลุดปากพูดเรื่องอันตรายออกไป
[“ไม่เข้าเรียนแล้วจะสอบผ่านเหรอ? ไม่อยากเรียนจบหรือไง?”]
“ใครจะไปอยาก”
[“เสียเวลาเปล่าน่า เลิกเล่นกับคำสาปแล้วไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า”]
“คนอย่างฉัน ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอก”
สำหรับโคคุมารุ พลังเวทของชินนิเป็นเหล่งพลังเพียงอย่างเดียวของเขา ต้องเป็นปัญหาแน่ถ้าเธอเจ็บป่วยจนตายจากไป เพราะในปัจจุบัน ชินนิเป็นคนเดียวที่รู้วิธีนี้แบ่งพลังเวทของเธอ ปรับให้เข้ากันกับโคคุมารุแล้วถ่ายทอดให้ในแบบเดียวกับที่ผู้สาปแช่งทำ
แต่ในความรู้สึกของชินนิ การเป็นนักเรียนของสถานศึกษาอันดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเธอ หากมีโอกาสก็คิดจะลาออกทันที เพราะมูลนิธินักบุญเซเลนยุ่งไม่เข้าเรื่อง เธอถึงยังติดอยู่ที่นี้ เหมือนเป็นเรื่องตลก
“เซเลน อาร์คุยล่า…!”
ความโกรธในใจของชินนิพุ่งเป้าไปที่คนที่เธอเกลียดชังเป็นที่สุด ผู้ที่แม้จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตามรังควานเธอจนถึงทุกวันนี้ ชินนิลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางเรียงรายอยู่ตามพื้นห้องขึ้นมาเปิดอ่าน หนังสือเกี่ยวกับมูลนิธินักบุญเซเลน ในตอนที่ได้รับมา มารีและผู้อำนวยการย้ำนักย้ำหนาว่าให้เธออ่านจนจบ
“ ‘มูลนิธินักบุญเซเลน’ จัดตั้งขึ้นมาสืบสานเจตนารมณ์ของเจ้าหญิงเซเลน อาร์คุยล่า หรือที่เรียกกันว่า เจ้าหญิงแสงจันทร์ เพื่อรำลึกถึงความเมตตาที่เจ้าหญิงเซเลนได้มอบให้ และหวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเติบโตขึ้นมาสร้างยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรื่องยิ่งขึ้น ตามที่เธอได้มองเห็นความหวังเหล่านั้นในตัวของพวกท่าน…”
ยิ่งอ่านยิ่งน่าหงุดหงิด แต่เธอก็ยังพยามหาช่องโหว่ของกฎระเบียบเพื่อใช้ในการยกเลิกการเป็นนักเรียนทุน และเท่าที่เห็น มันมีแต่เรื่องเกี่ยวกับที่มาของเงินบริจาค ประวัติของเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน กับ เจ้าหญิงลำดับหนึ่งแห่งเฮลิฟาลเต้ มารีเบล
“โธ่เว้ย!”
หลังจากทนอ่านจนถึงขีดจำกัด ชินนิปาหนังสือลงไปที่พื้นอย่างแรงและเหยียบซ้ำอยู่หลายครั้งจนกว่าอารมณ์ที่พลุกพล่านอยู่นี้จะเบาบางลง
[“อาละวาดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน แกนี่มันเด็กน้อยเหลือเกิน”]
“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย!”
ชินนิตะโกนใส่โคคุมารุ และก็ได้ยินแต่เสียงหัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่า ของโคคุมารุตอบกลับมาเท่านั้น เธอจึงเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบไม้เท้าออกมาไล่ตีโคคุมารุ ซึ่งก็บินหลบได้อย่างง่ายๆทุกครั้ง
[“ระบายกับหนังสือไปแล้วยังมาต่อที่ข้าอีกเรอะ!”]
“แกน่ะ เงียบไปเลย! ทุกคนที่นี่เอาแต่พูดถึงเจ้าหญิงแสงจันทร์อยู่ได้! คนอื่นจะยกย่องสักแค่ไหน สำหรับฉันมันก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่ง!”
คำพูดของชินนินั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เรื่องที่เซเลนเป็นแค่ไอ้โง่คนหนึ่งคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เป็นได้ทั้งโชคดีและโชคร้ายที่ไม่มีใครรู้ความจริงในเรื่องนี้
ในตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทำให้ชินนิเปลี่ยนท่าทีในทันใด แม้จะระแวงเล็กน้อยแต่ก็จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้ เพราะอาจเกิดเรื่องยุ่งยากในภายหลัง จึงต้องตอบรับให้เหมือนปรกติ
ชินนิเตะหนังสือที่ได้รับมาจากมูลนิธินักบุญเซเลนเข้าไปใต้เตียงแล้วจึงไปเปิดประตู ใบหน้าที่ปรากฏให้เห็นนั้นเธอรู้จักเป็นอย่างดี และคาดเดาเอาไว้แล้วด้วยว่าคนผู้นี้จะเข้ามาหาเธอ
“เอ่อ ฉันมารบกวนหรือเปล่าคะ?”
ชินนิจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเธอด้วยท่าทางแสดงออกว่ารำคาญ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สังเกตเห็นเพราะในห้องค่อนข้างมืด หรืออาจจะเห็นแต่ก็ไม่ใส่ใจ
“ท่านอาลัว อาร์คุยล่า…”
“อาลัวเฉยๆก็ได้ค่ะ พวกเราเป็นนักเรียนเหมือนกัน แล้วยังอยู่ห้องข้างๆกันอีก เท่านี้ก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วใช่ไหมล่ะคะ ชินนิ?”
คนที่มาหาชินนิคืออาลัว พี่สาวร่วมสายเลือดของเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน เป็นนักเรียนที่อยู่ถัดจากห้องของชินนิในหอพัก
“ต้องการอะไรเหรอคะ?”
“เปล่าค่ะ พอดีได้ยินเสียงเอะอะออกมาจากห้อง…”
“อีกาที่เลี้ยงไว้เริ่มไม่เชื่อฟังน่ะค่ะ ก็เลยพยายามสั่งสอนให้เชื่อง ขอโทษที่ทำเสียงดังรบกวน”
[“โกหก! แกสติแตกอาละวาดใส่หนังสืออยู่คนเดียวต่างหาก!”]
โคคุมารุพูดแก้ตัว แต่อาลัวก็ได้ยินเป็นเสียงร้องของอีกาเท่านั้น ชินนิยังคงจ้องไปที่อาลัวโดยไม่สนใจโคคุมารุที่บ่นอยู่
จากข้อมูลที่สืบมาได้ทำให้ชินนิได้รู้มาว่า การที่คนจากประเทศเล็กๆทางตอนใต้อย่างอาร์คุยล่ามีโอกาสเข้าเรียนในสถานศึกษาอันดับหนึ่งของทวีปได้ก็เพราะราชินีแห่งอาร์คุยล่าขายเจ้าหญิงเซเลนผู้ไม่เป็นที่ยอมรับ น้องสาวของคนคนนี้ โดยราคาคือสิทธิในการเข้าเรียนและค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดการศึกษาของเธอ
นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ปัจจุบันอาลัวแสดงให้เห็นแล้วว่ามีความสามารถมากพอที่จะลบคำสบประมาท เจ้าหญิงบ้านนอกจาก ‘ดินแดนแห่งม้าและกวาง’ ถ้าเธอเกิดในประเทศที่มั่งคั่งกว่าอาร์คุยล่า เธออาจจะเข้าเรียนได้ด้วยความสามารถของตัวเองได้ง่ายๆ
“(ก็สมกับเป็นพี่สาวของเจ้าหญิงแสงจันทร์ล่ะนะ)”
เนื่องจากเซเลนอาศัยอยู่ในพระราชวัง การส่งคนไปจับตาดูจึงเป็นเรื่องยาก ผู้สาปแช่งต้องเปลี่ยนมาเข้าหาทางอ้อม โดยเป้าหมายคืออาลัวซึ่งเป็นพี่สาวของเธอ การที่ห้องส่วนตัวของชินนิอยู่ติดกันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ชินนิพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะกับอาลัวโดยตรงให้มากที่สุด แต่อาลัวก็เข้ามาทักทายชินนิโดยที่ไม่มีอคติอยู่เป็นประจำ แม้ว่าเธอจะแสดงเป็นนักเรียนเหลวไหลอยู่ก็ตาม
เมื่อเธอได้เห็นว่าอาลัวเป็นคนที่มีจิตใจเอื้ออารีและความรู้ความสามารถมากมายขนาดไหน ก็แทบไม่อยากจินตนาการถึงเซเลนที่เชื่อกันว่ามีพรสวรรค์เหนือกว่าคนผู้นี้อย่างลิบลับ
หากได้รู้ความจริงก็คงจะสงสัยว่า พี่สาวเพียบพร้อมขนาดนี้ ทำไมน้องสาวถึงงี่เง่าได้ขนาดนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะแม้แต่ตัวพี่สาวอย่างอาลัวยังไม่ทราบข้อเท็จจริงนั้นเลย ชินนิยิ่งไม่มีทางรู้
“คุณอีกาก็อย่าดื้อกับเจ้านายนะคะ”
[“เจ้านายของข้าคือตัวข้าเองเฟ้ย”]
“เงียบไปเลย ไอ้นกบ้า เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งจริงๆหรอก”
เมื่อโคคุมารุร้อง กา ออกมาเสียงดัง ชินนิก็หันไปตวาดใส่ อาลัวที่มองดูอยู่ถึงกับส่งรอยยิ้มที่ดูแปลกๆมาให้
“ชินนิคะ ความรุนแรงไม่ดีนะคะ แล้วก็ เด็กสาวหน้าตาน่ารักอย่างเธอไม่เหมาะกับคำหยาบหรอกค่ะ”
“…อือ”
ชินนิตอบกลับด้วยทาทางดูเหมือนสำนึก ในขณะที่นักเรียนคนอื่นๆหลีกเลี่ยงชินนิ อาลัวกลับปฏิบัติกับเธออย่างเด็กสาวคนหนึ่ง การถูกรังเกียจเป็นเรื่องปรกติสำหรับชินนิ ในตอนนี้เธอจึงทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คุ้นเคยกับคำชม
“อยู่ห่างๆฉันเอาไว้จะดีกว่านะคะ รู้กันอยู่ว่าผลการเรียนของฉันเป็นยังไง เดี๋ยวคุณอาลัวจะถูกคนอื่นนินทาไปด้วย”
“เรื่องแค่นั้น ฉันไม่ใส่ใจหรอกค่ะ สมัยเข้าเรียนแรกๆ ฉันก็ถูกนินทาอยู่บ่อยๆ”
อาลัวพูดดัวยรอยยิ้มอันงดงาม ชินนิเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมจึงดูไม่ออกว่าเธอไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้นจริงๆหรือเปล่า
“ทำไมถึงสนใจฉันนักล่ะคะ ทั้งๆที่คุณอาลัวก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับคนอื่นๆอีกตั้งเยอะ?”
“อันที่จริง… ถ้าได้ฟังแล้วอาจไม่ชอบใจก็ได้ แต่ชินนิเหมือนกับน้องสาวที่เสียไปของฉันน่ะค่ะ”
“เอ๋?”
ชินนิมองตาค้าง ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะถูกนำไปเปรียบกับนักบุญศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ผู้ยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา กับตัวเธอเองที่มืดมนไร้เป้าหมายในชีวิต มีแต่ความล้มเหลวและเป็นคนคิดร้ายอาฆาตแค้น ระหว่างทั้งสองไม่มีอะไรที่เหมือนกัน
“ตอนที่น้องสาวของฉันยังมีชีวิตอยู่ก็เคยเลี้ยงหนูที่ฉลาดจนน่าตกใจเอาไว้ เหมือนกับอีกาของชินนิ”
“คนที่มีสัตว์เลี้ยงก็มีเยอะแยะหนิคะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก… อธิบายเป็นคำพูดคงจะยาก รู้สึกว่าถ้าปล่อยชินนิเอาไว้ตามลำพังก็จะฝืนทำอะไรด้วยตัวคนเดียวจนเป็นอันตรายน่ะค่ะ บางครั้งเซเลนก็ให้ความรู้สึกแบบนี้”
[“ใช่เลย ถ้าปล่อยไว้ ไอ้เด็กนี่ตายแน่”]
“ไม่จริงสักหน่อย”
แม้จะมีคนจะเห็นด้วย แต่ชินนิก็ยังปฏิเสธในเรื่องนั้น และเธอก็ไม่ชอบใจอยู่จริงๆ ที่ถูกบอกว่าตนเองคล้ายกับเจ้าหญิงแสงจันทร์คนนั้น แน่นอนว่า ถ้ารู้นิสัยที่แท้จริงของเซเลนมันจะเป็นคำสบประมาทที่ทำให้เธอโมโหมากว่าเดิม
“ประมาณว่า ถ้าไม่คอยเฝ้าดูไว้ ชินนิจะพยายามทำเรื่องเกินตัวจนเกิดอันตรายกับตนเองเข้าสักวัน ถ้าน้องสาวยังมีชีวิตอยู่ก็คงเป็นเหมือนกับชินนิในตอนนี้… อ๊ะ ขอโทษที่ต้องให้ฟังเรื่องแบบนี้นะคะ”
รอยยิ้มของอาลัวดูเศร้าสร้อยหลังจากที่พูดออกมา แม้ภายนอกจะดูร่าเริง แต่การลืมความสูญเสียของคนใกล้ชิดมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ถึงจะอยู่คนเดียว ฉันก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“นั่นสินะ… แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าถ้ามีปัญหาอะไร ฉันยินดีช่วยแบ่งเบานะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
หลังจากพูดคุยกันจนเสร็จ อาลัวปิดประตูห้องกลับไปอย่างเงียบๆ แต่ดูก็รู้ว่าเธอไม่ได้มาตำหนิ แต่ด้วยความเป็นห่วงจริงๆ ชินนิส่ายหัวและสลัดความรู้สึกในใจออกไป
“เฮ้อ ไม่น่ามาอยู่ห้องติดกับพี่สาวของเจ้าหญิงแสงจันทร์เลย…”
[“ก็แกเลือกมาอยู่ตรงนี้เองนี่นา”]
“จะว่าไปมันก็ใช่”
ที่ต้องอยู่ห้องถัดไปก็เราะจะได้สังเกตความเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ อีกฝั่งเป็นเจ้าหญิงของแท้แม้จะมาจากประเทศเล็กๆ ไม่คิดเลยว่าจะจะเข้ามาทำตัวสนิทสนมเหมือนเป็นพี่น้องกับตน ถึงขั้นแบ่งอาหารทำเองมาให้อยู่บ่อยๆ
“น่ารำคาญสุดๆ…”
[“งั้นเหรอ? จริงๆแล้วแกก็ชอบให้เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”]
“อยากตายนักใช่ไหม?”
โคคุมารุหัวเราะเยอะอีกครั้ง แค่คราวนี้ชินนิไม่ได้โต้ตอบด้วยความรุนแรง จริงๆแล้วตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าความอ่อนโยนที่ได้รับจากอาลัวทำให้เธอใจอ่อนแล้วหรือเปล่า
สำหรับภารกิจของชินนิ อาลัว อาร์คุยล่า คือคนที่มีลำดับความสำคัญต่ำ เพราะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเฮลิฟาลเต้ แค่คนรู้จักของเป้าหมายหลักที่ต้องสังหาร เจ้าชายมิลานกับเจ้าหญิงแสงจันทร์ เป็นส่วนประกอบเล็กๆในแผนการอันยิ่งใหญ่ของผู้สาปแช่ง
ประโยชน์ของเธอคือ เพื่อให้ความชั่วร้ายทั้งหมดเล่นงานให้ถึงตัวเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ซึ่งในตอนนี้ก็ได้สิ้นชีพกลับสู่ดวงจันทร์ไปนานแล้ว จึงไม่มีทางที่จะฆ่าคนที่ตายไปแล้วได้
“…ฆ่าคนที่ตายแล้ว?”
ถึงตรงนี้ ชินนินึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงมุดคลานเข้าไปใต้เตียงเพื่อหาสิ่งที่จะใช้ยืนยัน
[“ทำอะไรน่ะ? ซุกเงินเอาไว้ในนั้นเหรอ?”]
“ฉันจะจับแกถอนขนจนกว่าจะหุบปากเลย คอยดูสิ”
ชินนิกลับออกมาจากใต้เตียงพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือแนะนำมูลนิธินักบุญเซเลน แม้จะถูกเหยียบจนยับยู่ยี่ แต่ชินนิก็เปิดอ่านมันอีกครั้ง อ่านผ่านๆเพื่อหาย่อหน้าหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสนใจ
“ร่างอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน นับตั้งแต่เธอเสียชีวิตก็ไม่เคยเสื่อมสภาพลงแม้แต่น้อย ปัจจุบันได้บรรจุใส่โรงศพและนำไปประดิษฐาน ณ สุสานนักบุญเซเลน แม้หลังจากนั้นจะไม่มีการเปิดโลงศพเพื่อพิสูจน์ แต่เชื่อกันว่ายังคงสมบูรณ์พร้อมไม่เคยเปลี่ยนแปลง อาจฟังดูเหมือนเป็นตำนานเรื่องเล่า แต่ก็อาจเป็นเพราะศพของเธอได้รับปาฏิหาริย์แห่งความนิรันดร์จากพระเจ้า เพื่อรอวันที่เธอจะกลับมาชี้นำผู้คนอีกครั้ง เป็นเรื่องเพ้อฝันที่ทุกคนปรารถนาให้เป็นความจริง”
ชินนิอ่านข้อความนี้และประมวลผลอยู่ในสมอง ย่อหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ เป็นบทความที่นำมาจากความรู้สึกของเจ้าหญิงมารีเบลที่เป็นเพื่อนสนิทของเซเลน กับข้อความที่เขียนโดยข้าราชการคนหนึ่งของเฮลิฟลาเต้ ผู้รับหน้าที่จัดทำบันทึกชีวประวัติของเธอ
น่าแปลกที่ศพของเจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน ไม่เกิดการเปลี่ยนสภาพเลย แม้จะเสียชีวิตมานานแล้วแต่ก็ไม่แห้ง ไม่เน่าเปื่อย ดูไม่ต่างจากการนอนหลับ
ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้น ชินนิหมกมุ่นอยู่กับข่าวความตายของผู้สาปแช่ง เธอจึงไม่ได้เห็นศพของเซเลนด้วยตาของตนเอง เธอยังเคยคิดด้วยซ้ำว่ามันคือเรื่องตลกไร้สาระที่ศพมนุษย์จะไม่เสื่อมสภาพ แต่ผู้ที่พบเห็นล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดทุกคน
“ปาฏิหาริย์แห่งความนิรันดร์จากพระเจ้า…”
มีรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายอยู่บนใบหน้าของชินนิ
“โคคุมารุ หลบหน่อย”
ชินนิเอามือปัดโคคุมารุที่ยืนอยู่บนโต๊ะก่อนจะนำปากกาและกระดาษมาวางและเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง
[“จดหมาย ลาหยุด?”]
“ก็ใช่น่ะสิ แค่โดดเรียนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวล่ะก็ เป็นเรื่องใหญ่แน่ ถึงต้องเขียนจดหมายไง”
[“ใช่ซะที่ไหน แค่โดดเรียนก็เรื่องใหญ่พอแล้ว ยังจะหนีไปข้างนอกอีก แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ?”]
โคคุมารุไม่เข้าใจ ชินนิเป็นคนที่ไม่มีงานอดิเรก แม้แต่วันหยุดก็ไม่ได้ออกไปไหน ได้แต่นั่งๆนอนๆทั้งวัน เพราะอะไรเธอถึงมีแผนการจะออกไปข้างนอก
“ไปฆ่าคนที่ตายแล้ว”
ชินนิหัวเราะราวกับเด็กที่กำลังเล่นซน
MANGA DISCUSSION