[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 46.20
ตอนพิเศษ 20
ใครๆก็สาปได้! หลักสูตรคำสาปโดยผู้ใช้คำสาปมืออาชีพ
ณ ประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่เป็นรองแค่เฮลิฟาลเต้ วัลเบิร์ต เป็นประเทศที่มีการแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างชัดเจน ไม่แปลกที่สภาพบ้านเรือนข้างทางจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเพียงแค่มองผ่านถนนใหญ่ไปยังตรอกด้านหลัง
ในตรอกด้านหลังนั้นเรียงรายไปด้วยอาคารและร้านค้าน่าสงสัย และในอาคารหลังหนึ่งในตรอกที่ดูไม่น่าไว้วางใจนี้ ในกลางดึกที่แม้แต่ต้นหญ้ายังหลับใหล ได้มีการพบปะเพื่อจุดประสงค์อันชั่วร้าย
“อืม อืม… เอาล่ะ มากันครบทุกคนแล้ว”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาภายในห้องที่เกือบจะมืดสนิท มีดวงไฟส่องแสงริบหรี่อยู่เพียงไม่กี่แห่ง ชายคนนั้นดูแก่ชราแต่แต่งตัวภูมิฐานสมเป็นสุภาพบุรุษ
แก้มของชายดังกล่าวตึงขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนรอยยิ้มขณะที่เขายืนยันว่าไม่ได้ขาดใครไปสำหรับเรื่องที่พวกเขาจะทำต่อจากนี้
“พร้อมแล้วก็เริ่มกันเลย”
เมื่อชายคนนั้นกล่าวออกมา บรรดาคนที่อยู่ในที่นั้นก็หันมาทางเขาและตั้งใจฟัง ทั้งหมดมีประมาณสิบคน นั่งอยู่บนโต๊ะเก้าอี้ ปกปิดทั้งตัวด้วยเสื้อคลุมที่มีสีกลมกลืนกับความมืด จึงไม่มีทางรู้ได้ว่าพวกเขาแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่
“อันดับแรก วันนี้มีข่าวดีมาบอก”
ชายคนนั้นเดินวนอยู่ไม่นานก่อนจะหยุดและมองกลับไปด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์และเริ่มพูดต่อ
“วันนี้ จะให้พวกเธอได้รู้จัก ‘คำสาป’ ของจริงกันแล้ว”
“““เย้!!”””
ชายคนนั้นพูดถึงเรื่องคำสาป ทำให้ผู้ฟังทั้งหลายลุกขึ้นยืนพร้อมกันและเปิดฮู้ดคลุมออก ปรากฏให้เห็นใบหน้าของพวกเขา ทั้งหมดอยู่ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทั้งเด็กชายและเด็กหญิง
ที่นี่ คือศูนย์ฝึกอบรมสำหรับองค์กรผู้ใช้คำสาป แม้จะมีจำนวนน้อยแต่ก็มีความแน่นแฟ้นในหมู่สมาชิกสูง เด็กทุกคนเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ถึงจะดูเหมือน ‘สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ยากจน’ แต่เด็กเหล่านี้ทุกคนยังมีพ่อแม่และไม่ได้อยู่อย่างอดอยาก
ผู้ใหญ่ในองค์กร รวมถึงผู้สาปแช่ง ได้ช่วยกันออกเงินส่วนตัวเพื่อยกระดับการศึกษาให้สูงยิ่งกว่าสถานศึกษาชั้นนำ จนออกมาเป็น ‘โรงเรียนเวทมนตร์และคำสาป’ ที่ให้การศึกษาเฉพาะทาง
“ถ้าทำได้เมื่อไหร่ ชนชั้นสูงน่ารำคาญพวกนั้นจะต้องตายเป็นอันดับแรก!”
“อยากได้สัตว์อสูรของตัวเองเร็วๆแล้วสิ เอาเป็นกบนี่แหละ”
เด็กเหล่านี้ถูกปลูกฝังแต่เรื่องการสาปแช่งอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมีโอกาสได้สัมผัสกับคำสาปของจริงเป็นครั้งแรก ชายชรายิ้มแย้มชอบใจเมื่อได้ยินเหล่าเด็กๆพูดถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา เช่น อยากฆ่าคนคนนั้น หรือ จะไปหลอกเอาเงินขุนนางชั่ว เป็นความฝันอันน่าเอ็นดูสำหรับเขา
“เงียบหน่อย จะเริ่มกันแล้ว มาพบกับผู้บรรยายพิเศษของวันนี้กันได้ ท่านผู้นี้ยอมสละเวลาอันมีค่ามาเพื่อพวกเธอ อนาคตขององค์กร รู้สึกขอบคุณเอาไว้ด้วยล่ะ”
“ใครจะมาเป็นผู้บรรยายวันนี้เหรอ?”
เด็กสาวสวมแว่นท่าทางดูฉลาดเอ่ยถาม ชายชรายิ้มอย่างภูมิใจ
“ถ้ารู้แล้วพวกเธอคงนั่งไม่ติดแน่ อีกเดี๋ยวก็จะเข้ามาให้เห็นแล้ว รักษามารยาทให้ดีๆล่ะ ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าท่านผู้นี้อีกแล้ว”
ชายคนนั้นพูดให้เป็นปริศนาและเดินออกจากห้องไป ไม่นานประตูไม้เก่าๆก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังไปทั่วห้อง แต่เด็กเหล่านั้นก็ตกตะลึงจนไม่รู้สึกถึงเสียงของประตู
“ผู้สาปแช่งคนนั้น!”
“ตัวจริง! ผู้สาปแช่งตัวจริง!”
หน้าประตูมีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ หลังค่อมโค้งงอจนศีรษะก้มต่ำ ถือไม้เท้าที่ยาวกว่าความสูงของเธอ และคนผู้นี้ก็คือผู้มีตำแหน่งสูงสุดในองค์กรผู้ใช้คำสาป ผู้ใช้คำสาปที่ทรงพลังที่สุด รู้จักกันในนาม ‘ผู้สาปแช่ง’ หากมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับคำสาปก็ต้องรู้จักเธออย่างแน่นอน
“โห! ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอ!”
“เพิ่งเคยเห็นตัวจริง! โชคดีชะมัด!”
เด็กทั้งหลายมองดูผู้สาปแช่งด้วยความยกย่อง ในสายตาของพวกเขา ผู้สาปแช่งคือตัวตนที่อันสูงส่งที่สุดในโลก แต่ผู้สาปแช่งคนนั้นกลับยืนมองไม่ขยับอยู่หน้าประตู ไม่ก้าวเข้ามาในห้อง
หลายคนเริ่มสงสัยว่าการกระทำนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ทั้งห้องจึงเงียบลงและเริ่มพยายามทำความเข้าใจ
“…กว่าจะเงียบกันได้ ใช้เวลาไปตั้งสิบห้าวินาที”
หลายคนเริ่มวิตกเมื่อได้ยินเสียงแหบๆของผู้สาปแช่งตำหนิตน
“ถ้าฉันเอาจริงขึ้นมา ต่อให้เป็นราชาราชสีห์ หรือองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำให้หุบปากได้ด้วยเวลาไม่ถึงสามวินาทีแหละนะ หึหึหึ!”
“““เอ๋!!”””
เด็กทั้งหลายร้องเสียงดังเมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องล้อเล่นของผู้สาปแช่ง พวกเขายังคงตื่นเต้นไม่หาย และผู้สาปแช่งก็เข้ามานั่งเก้าอี้ที่อยู่กลางห้อง ทุกคนจึงหันตามจนเป็นเหมือนกับการนั่งล้อมวง
“อื่ม พออายุมากแล้วก็ลำบากหลายอย่าง ยืนนานๆก็ไม่ไหว ขอนั่งบรรยายแบบนี้ก็แล้วกัน พวกเธอไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
ถึงจะถามออกไปแบบนั้น แต่ทุกคนก็เต็มใจตอบอย่างรวดเร็วว่า ‘ได้!’ เสียงดังฟังชัด จากนั้นแต่ละคนก็หยิบกล่องเล็กๆออกมาจากข้างในเสื้อคลุม มีเสียงขูดขีดเบาๆดังออกจากข้างในกล่องนั้น
“เอาล่ะ วันนี้จะทำ ‘พิษมาร’ กัน ก่อนหน้านี้ถูกบอกให้จับแมลงมาแล้วสินะ”
“คำสาปค่อนข้างธรรมดาอย่างพิษมารเองเหรอ?”
“แต่หนูอยากได้สัตว์อสูร”
เด็กชายและเด็กหญิงเริ่มแสดงความผิดหวัง ผู้สาปแช่งจึงยกมือขึ้นมาปรามเอาไว้
“ฉันเข้าใจว่าพวกเธอรู้สึกยังไง แต่คำสาปจะย้อนเข้าหาตัวผู้ใช้ได้ถ้าใช้งานผิดวิธี พวกเธอเป็นคนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่จะเป็นกำลังสำคัญขององค์กรในอนาคต พวกเธอต้องถูกดูแลอย่างรอบคอบและเหมาะสม เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีพื้นฐานที่มั่นคง”
เมื่อผู้สาปแช่งอธิบาย ทุกคนก็พยักหน้าเชื่อฟัง สำหรับพวกเขา คำพูดของผู้สาปแช่งถือเป็นที่สุด
“ก่อนอื่น เอาแมลงที่ทุกคนจับมาได้ ใส่รวมกันในกล่อง …หืม? ได้มาแต่ตั๊กแตนกับกิ้งกือเหรอ ไม่มีแมลงพิษอย่างตะขาบหรือแมลงป่องเลย”
“ก็พวกนั้น มันกัด น่ากลัว”
เด็กๆก้มหน้ารู้สึกผิด แม้ว่าพวกเขาจะเรียนรู้เพื่อเป็นผู้ใช้คำสาป แต่ทุกคนก็ยังเป็นแค่เด็กที่อายุประมาณสิบขวบ พวกเขาถูกสอนให้ชื่นชอบคำสาปก็จริง แต่มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี โดยเฉพาะแมลงพิษที่มักจะดุร้าย เด็กๆจึงไม่สามารถจับตะขาบหรือแมลงป่องมาได้
แน่นอนว่าผู้สาปแช่งไม่ได้ตำหนิเพราะเธอคาดการณ์เอาไว้แล้ว ผู้สาปแช่งจึงยิ้มตอบกลับไป
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ให้รู้วิธีและขั้นตอนก็พอ สำหรับครั้งแรกได้แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว ไปขั้นต่อไปกันเถอะ…”
จากนั้น ผู้สาปแช่งก็เริ่มอธิบายการสร้างพิษมาร ซึ่งเป็นคำสาปมาตรฐานทั่วๆไปแต่มีประโยชน์มากมาย ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน ทักษะและพลังของผู้สร้าง เมื่อมองเข้าไปในกล่องก็จะเห็นตั๊กแตนและกิ้งกือยั้วเยี้ยอยู่ข้างในจนดูเหมือนกล่องใส่แมลง ผู้สาปแช่งสอนวิธีเลือกแมลง ภาชนะที่ใส่ ระยะเวลาในการเตรียมพร้อม การใช้งานสื่อนำอย่างละเอียด
“ยากจังเลยน้า”
“แรกๆก็ต้องยากอยู่แล้ว แต่ก็เฉพาะตอนนี้เท่านั้น เริ่มต้นจากศูนย์กับเริ่มต้นจากหนึ่งมันแตกต่างกัน พวกเธอก็เหมือนกับลูกเจี๊ยบที่ต้องกะเทาะเปลือกไข่ออกมาให้ได้ก่อน และกว่าจะเติบโตเป็นไก่ก็ต้องใช้เวลา”
เด็กๆมองดูแมลงในกล่องอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาเกาะกลุ่มกันอยู่รอบตัวผู้สาปแช่ง การใช้คำสาปในครั้งนี้ทำให้พวกเขาตระหนักว่าตนเองคือส่วนหนึ่งขององค์กรผู้ใช้คำสาป แม้ในตอนนี้จะเป็นเพียงเป็นเด็กฝึกหัดก็ตาม
“เท่านี้ ก็เป็นพิษมารแล้ว?”
“ไม่ใช่หรอก จนกว่ามันจะพร้อม ต้องมีสื่อนำสำหรับใส่คำสาปลงไป เช่น เล็บหรือเส้นผม และยังต้องรอให้แมลงหิวโหยจนกัดกินกันเองอีก คำสาปก็มีขั้นตอนของมันที่ต้องทำไปทีละขั้น”
“หืม งั้นวันนี้ก็ไม่ได้เห็นสิ? น่าเบื่อจัง!”
เด็กหลายคนเริ่มหมดกำลังใจ จากที่เคยหวังไว้ว่าจะได้ฟังคำบรรยายจากบุคคลอันดับหนึ่ง จึงเริ่มบ่นอย่างผิดหวัง แต่ผู้สาปแช่งก็ยิ้มตอบ เพราะเธอคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้แล้วเช่นกัน
“คิดไว้แล้วว่าพวกเธอจะต้องพูดแบบนี้ เพราะฉะนั้นถึงเตรียมของที่ทำเสร็จแล้วมาด้วย”
“เอ๋! มีอีกเหรอ!?”
ผู้สาปแช่งล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบขวดแก้วใบหนึ่งขึ้นมาวางไว้ต่อหน้าเด็กทั้งหลาย ข้างในขวดมีตะขาบขนาดใหญ่บิดตัวไปมาดูแล้วน่าขนลุก
“อ๊ะ อย่าเข้าใกล้นักล่ะ คำสาปที่รั่วไหลออกมาแม้จะเบาบางแต่ก็ทำให้เด็กอย่างพวกเธอล้มป่วยได้นะ”
“สุดยอด… รู้สึกถึงพลังเวทที่ไม่ธรรมดาเลย”
เด็กทั้งหลายจ้องมองตะขาบราวกับเป็นของล้ำค่า ผู้ใช้เวทมนตร์ทั่วไปไม่อาจรับรู้ได้ แต่ผู้ใช้คำสาปด้วยกันจะมีความอ่อนไหวต่อพลังเวทประเภทคำสาปเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ได้ทันทีว่าคำสาปของตะขาบในขวดตัวนี้รุนแรงมากเพียงใด
“นี่คือสินค้าที่เจ้าหญิงสั่งให้ฉันทำมันขึ้นมา เพื่อเอาชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่ง เป็นงานด่วนที่ลัดขั้นตอนไปมาก ก็เป็นได้แค่ของชั้นสามสำหรับฉันเท่านั้น”
“ชั้นสาม!? สิ่งนี้เนี่ยนะ!?”
“ถ้าพวกเธอโตขึ้นเมื่อไหร่ก็ทำของแบบนี้ได้ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ได้ด้วยซ้ำ แล้วก็ยังเอาไปทำเงินเพียงพอสำหรับให้คนทั่วไปใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นปีเลยล่ะ ต้องขอบคุณชนชั้นสูงพวกนั้นจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“จริงเหรอ!?”
“แน่นอน พลังแห่งคำสาปเป็นที่ต้องการของชนชั้นสูงโง่ๆทั้งหลาย”
แมลงเพียงตัวเดียวมีค่าเท่ากับเงินทั้งปีของคนธรรมดา ฟังดูอย่างกับความฝัน ด้วยเงินขนาดนั้นจะไปเที่ยวเล่นซื้อของที่อยากได้มากมายสักแค่ไหน ทำให้เด็กเหล่านี้หลงใหลในคำสาปมากยิ่งขึ้นไปอีก
“แต่ฉันก็ไม่ได้ทำเพื่อเงินหรอก แค่มีเงินพออยู่รอดไปวันๆก็พอแล้ว เอาล่ะ เพียงเท่านี้ การบรรยายของฉันก็จบลงแล้ว มีใครจะถามอะไรอีกไหม?”
“ต้องทำยังไงถึงจะเก่งเหมือนท่านผู้สาปแช่งได้คะ?”
คนอื่นๆก็มีคำถามที่อยากถามมากมาย แต่เมื่อได้ยินเด็กสาวที่สวมแว่นคนนี้ถาม ทุกคนก็ตั้งใจฟัง เพราะเป็นคำถามสำคัญที่พวกเขาอยากฟังมากที่สุด
“ถามได้ดี นั่นสินะ… อันดับแรกก็ศึกษาเอาไว้ให้มากๆ อย่างที่เห็น โดยทั่วไปแล้วฉันเป็นหมอยา และยาทั้งหลายสามารถพลิกแพลงใช้ร่วมกับคำสาปได้ง่าย นอกนั้นก็ต้องเก่งคำนวณ จิตวิทยาและทักษะการโน้มน้าวด้วย ถ้าทำได้ดีก็จะหลอกคนรวยโง่ๆได้เยอะๆอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้”
“มีเคล็ดลับอะไรอีกหรือเปล่าคะ?”
“ที่เหลือก็ฝึกร่างกายกับจิตใจเข้าไว้ อย่างที่รู้กันว่าคำสาปมีโอกาสจะย้อนเข้าหาตัวหากใช้ไม่ถูกวิธี ถ้าร่างกายแข็งแรงจิตใจแข็งแกร่งก็จะต้านทานได้ เหมือนกับไม่ทำให้ตัวเองป่วยตั้งแต่แรกดีกว่าป่วยแล้วมาหายากินทีหลัง”
พูดสั้นๆมันก็คือเรื่องธรรมดาอย่างตั้งใจเรียนกับออกกำลังกายเป็นประจำ จิตใจที่มั่นคงอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์ เป็นแนวทางที่ผู้สาปแช่งยึดถือมาโดยตลอด
“ถ้าไม่มีคำถามอื่นก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ แม้ว่าฉันจะไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาที่นี่บ่อยๆ แต่ก็เฝ้ารอวันที่พวกเธอเติบโตเป็นผู้ใช้คำสาปชั้นยอดและมาสร้างความปั่นป่วนให้กับทวีปนี้ด้วยกัน”
ผู้สาปแช่งพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอีก เด็กคนอื่นๆก็ลุกขึ้นยืนทีละคนเช่นกัน
“พวกเรา!”
“พวกผมด้วย!”
““จะกลายเป็นผู้ใช้คำสาปที่ทำให้ทวีปนี้จมสู่ความสิ้นหวังให้จงได้!””
เด็กทั้งหลายประกาศเป้าหมายของพวกเขาออกมาจากใจจริง ทำให้ผู้สาปแช่งฉีกยิ้มและส่งเสียงหัวเราะ
“ดีมาก เป็นคำพูดที่ทำให้คนแก่ๆอย่างฉันชื่นใจจริงๆ เด็กไม่ดีสมควรได้รับรางวัล”
“เห”
ผู้สาปแช่งเก็บขวดบรรจุพิษมารกลับไปในกระเป๋าแล้วจึงหยิบก้อนหินเล็กๆขนาดท่าลูกกวาดออกมาแทน จากนั้นก็ส่งให้เด็กทีละคน เด็กที่รับก้อนหินมาก็มองดูด้วยความสงสัย
“พวกนี้คือหินต้องสาป คิดซะว่ามันคือพิษมารแบบง่ายๆก็แล้วกัน ถ้ามีคนที่เกลียดขี้หน้า หรือมีใครมาจุ้นจ้านกับพ่อแม่ของพวกเธอ ก็เอาสิ่งนี้โยนเข้าไปในบ้านของมัน เป็นคำสาปที่ไม่ได้อยู่ในระดับถึงตาย แต่จะให้ร่างกายเจ็บป่วยไปราวๆสามวัน หึหึหึ!”
“จริงเหรอ!?”
“แน่นอน เท่านี้ก็จะระบายความแค้นกับใครก็ได้โดยไม่หลงเหลือหลักฐานใดๆ เพราะแบบนี้ไง คำสาปถึงได้เป็นเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“ท่านผู้สาปแช่งสุดยอดจริงๆ!”
เด็กทั้งหลายรับหินต้องสาปไปอย่างร่าเริง ชั่วโมงเรียนของวันนี้ก็จบลงในตอนก่อนรุ่งสาง หลายคนขยี้ตาที่ใกล้ปิดจากความง่วง อันที่จริง ควรให้พวกเขาได้นอนแต่หัวค่ำเพื่อการเจริญเติบโตและสุขภาพที่ดี แต่เมื่อเป็นบทเรียนเกี่ยวกับคำสาป จึงต้องกำหนดเวลาให้ห่างไกลสายตาผู้คนอย่างตอนกลางดึก จากนั้น เด็กๆก็ขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของพวกเขา
หลังเลิกเรียน ชายชราที่ส่งเด็กๆเข้านอนก็กลับลงมาหาผู้สาปแช่ง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและก้มหัวอยู่เบื้องหน้าของผู้สาปแช่ง
“ขอบคุณที่ยอมสละเวลามาที่นี่ในวันนี้ ท่านผู้สาปแช่ง”
“ช่วงนี้ไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ คำสาปที่เอนเต้สั่งไว้ก็ทำเสร็จแล้ว เพื่อเด็กพวกนี้ นับว่าคุ้มค่า”
“น้ำใจของท่านน่ายกย่องเหลือเกิน มีสิ่งใดที่ข้าจะทำเพื่อตอบแทนท่านได้บ้าง”
“ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ… น่าเสียดายที่โลกนี้ถูกความสงบสุขครอบงำไปทั่ว ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างแมลงดับแสงสุริยาแล้วล่ะ แต่ก็ยังหวังอยู่ลึกๆว่าสักวันจะมีคนที่ต้องการเวทมนตร์ต้องห้ามบทนั้น”
ผู้สาปแช่งยิ้มอย่างท้อแท้หลังจากพูดออกมาเช่นนั้น พิธีกรรมสำหรับแมลงดับแสงสุริยามีขั้นตอนที่ยุ่งยากใช้เวลานานและยังต้องใช้เงินทุนมหาศาล ต่อให้มีผู้ที่ยังต้องการคำสาปมากสักแค่ไหน แต่ในยุคสมัยที่สงบสุขนี้ อย่างมากก็เป็นคำร้องที่ใช้แค่พิษมารก็เพียงพอ จึงเป็นไปได้ยากที่จะได้รับการสนับสนุนถึงขั้นที่ได้ใช้เวทมนตร์ต้องห้ามในช่วงชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ของเธอ
“แต่ว่า ถ้ามีโอกาสได้ทำงานใหญ่ขึ้นมาจริงๆก็อยากได้คนช่วยเก็บเกี่ยวอารมณ์ด้านลบอยู่เหมือนกัน จะใช้ใครหรือด้วยวิธีอะไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่กระทบกับเด็กๆในองค์กรของพวกเรา”
“รับทราบ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
หลังจากพูดคุยกันเล็กๆน้อยๆ ผู้สาปแช่งก็ออกจากศูนย์ฝึกอบรมและกลับมาที่บ้านของเธอ
[“เฮ้ย ยายแก่! อาหารล่ะ! เอาอาหารมา!”]
“หนวกหูน่า! ตอนนี้เหนื่อยแล้ว ออกหากินเองเถอะ!”
[“เอางั้นเรอะ!”]
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หลังจากเมินโคคุมารุที่โวยวายเพราะความหิวและถูกทิ้งไว้ให้เฝ้าบ้านมาทั้งคืน ผู้สาปแช่งเข้าไปในห้องและนั่งลงบนเตียงสภาพทรุดโทรมของเธอเกิดเป็นเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นก็หยิบขวดเล็กๆที่บรรจุคำสาปรุนแรงขึ้นมามองสิ่งที่อยู่ข้างในด้วยสายตาแสดงความเกลียดชัง
“อืม โลกบิดเบี้ยวถึงเพียงนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะต้องใช้คำสาปนี้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ”
คำสาปพิษมารที่เจ้าหญิงเอนเต้ขอมาในครั้งนี้ กำลังจะถูกนำไปใช้กับเด็กอายุแปดขวบ
ในสมัยที่รุ่งเรือง เธอเคยเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามจนมีผู้ชายมากมายหมายปอง และยังอยู่บนจุดสูงสุดขององค์กรที่แผ่อิทธิพลไปทั่วทั้งทวีปอยู่เบื้องหลัง แต่มาตอนนี้ เธอเป็นเพียงหมอยาจนๆที่อาศัยอยู่ในย่านเสื่อมโทรม และงานในตอนนี้มีแค่การกำจัดเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียว
“ตกต่ำได้ขนาดนี้เชียว อย่างน้อยก็อยากจะใช้เวทมนตร์ต้องห้ามบทนั้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวในชีวิตก็พอ”
ผู้สาปแช่งบ่นพึมพำพร้อมกับถอนหายใจ ส่ายหัวให้กับความหวังลมๆแล้งๆของเธอ
– ความปรารถนาผู้สาปแช่งจะกลายเป็นจริงในอีกหกเดือนหลังจากนี้