[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 46.13: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน5)
- Home
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์
- ตอนที่ 46.13: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน5)
ตอนพิเศษ 13
เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน5)
“ท่านพี่เองก็โหดร้ายไม่เบาเลยนะขอรับ ถึงขนาดเอาเรื่องความอยู่รอดของตระกูลมาอ้างกันเนี่ย”
คุมะฮาจิถูกลากตัวมาที่ห้องของคาเงะโทระที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในตัวบ้าน เบื้องหน้าคือพี่ชายที่เขามาเข้าพบด้วยความไม่เต็มใจ ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นเสื่อทาทามิ เป็นฉากการเผชิญหน้ากันระหว่างพี่น้อง
“ถ้าไม่บอกไปแบบนั้น แกก็ไม่คิดจะกลับมาสิ อย่างน้อยก็ทำให้แกโผล่หัวออกมาได้สักที”
ไม่ใช่การพบปะด้วยรอยยิ้ม คาเงะโทระคาบกล้องยาสูบยาว พ่นควันเป็นระยะ ต่างจากคุมะฮาจิที่ฝึกฝนร่างกายทุ่มเทให้ศิลปะการต่อสู้ คาเงะโทระจะดูเหมือนคนไม่ใส่ใจรักษาสุขภาพ กล้ามเนื้อเบาบาง
“สูบจัดเกินไปจะทำให้เหนื่อยง่ายนะขอรับ”
“ช่างมันสิ สูบแล้วได้สมาธิ จุดประกายความคิดได้ดีขึ้นต่างหาก”
แม้จะถูกตักเตือนคาเงะโทระก็ไม่สนใจและสูดควันยาสูบต่อไป
“เอาล่ะ ที่ให้กลับมาก็เพราะอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่ที่แกได้ไปสัมผัสมาไงล่ะ”
“ว่าแล้วว่าต้องมีเหตุผลอื่น”
“เข้าใจก็ดีแล้ว เพราะหน้าอย่างแก ถ้าไม่มีธุระด้วยคงไม่มีใครอยากเห็นนักหรอก ถ้าน่ารักเหมือนเจ้าหญิงมารีเบลหรือคุณหนูเซเลนก็ว่าไปอย่าง”
“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้ขอรับ”
คุมะฮาจิยิ้มแหยๆ พี่ชายยังเป็นคนปากร้ายเหมือนที่เขายังจำได้ไม่มีผิด ถึงอย่างนั้น การที่เขาหนีออกจากบ้านจนไปถึงแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จก็เพราะมีคาเงะโทระอยู่เบื้องหลัง
บิดาและมารดาของคุมะฮาจิเป็นชาตินิยมสุดขั้ว ซึ่งเหมือนกับประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนี้ พวกเขาต่อต้านการเดินทางออกจากบ้านของคุมะฮาจิ และคนที่เตรียมการ หาโอกาส ช่องทาง เงินและของใช้ที่จำเป็นให้กับเขาก็คือคาเงะโทระคนนี้ คุมะฮาจิเองก็คิดว่าหนี้บุญคุณกับพี่ชายอยู่เหมือนกัน
“ข้อมูลจากแผ่นดินใหญ่ที่ออกจากปากแกโดยตรงมันมีความละเอียดและน่าเชื่อถือมากกว่าฟังจากคนอื่นยังไงล่ะ ข่าวลือในเมืองก็แค่คำพูดกันปากต่อปาก จริงเท็จแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้เลย”
“ท่านพี่เองก็คิดเหมือนกันสินะขอรับ โลกภายนอกกว้างใหญ่เกินกว่าจะทำความเข้าใจจากประเทศเล็กๆนี้ได้”
“แค่เห็นเรือที่มาเทียบท่าในวันนี้ก็มั่นใจแล้วว่าคิดไม่ผิด หากถึงคราวต้องทำศึกกับภายนอกขึ้นมาจริงๆประเทศนี้ก็รักษาเอกราชไว้ได้ไม่นานหรอก พวกคนใหญ่คนโตก็เอาแต่หวงอำนาจไปวันๆ”
คาเงะโทระนำยาสูบไปลนไฟและเติมใส่เข้ากล้องยาสูบ แม้คาเงะโทระกับคุมะฮาจิจะเป็นพี่น้องกันแต่ทุกคนก็บอกว่าเป็นพี่น้องที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พวกเขาใจตรงกันมาตั้งแต่เด็กไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งก็คือ ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของโลกที่อยู่อีกฝั่งของทะเล
อย่างไรก็ตาม การจะปล่อยให้ชื่อตระกูลต้องสูญสิ้นก็ทำไม่ได้ อีกทั้งคาเงะโทระมีร่างกายไม่เหมาะกับการใช้แรงกับนิสัยไม่ชอบใช้กำลัง ตรงข้ามกับน้องชาย คุมะฮาจิ ที่ทั้งแข็งแรงและยังมีพรสวรรค์ทางด้านวิชาดาบสูงกว่าคนทั่วไป จึงเกิดเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน โดยคาเงะโทระจะสนับสนุนการเดินทางเพื่อฝึกตนของคุมะฮาจิ และตั้งใจจะใช้เป็นคนกลางระหว่างตัวเขากับโลกภายนอก
แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด คุมะฮาจิตัดสินใจอุทิศตนรับใช้ประเทศอื่นบนผืนทวีป ตัดขาดจากบ้านเกิด ไม่คิดกลับมาอีกเลย
“ผู้ที่มีเวทมนตร์ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันคนละเรื่องกับประเทศนี้เลยขอรับ”
“ตอนที่ได้อ่านในจดหมาย ข้าเองยังแปลกใจเลย คนนอกรีตพวกนั้นถูกขับไล่ออกนอกประเทศไปตั้งเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ถ้าพลังเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายของเจ้าชายมิลานมันยอดเยี่ยมอย่างที่แกบอกจริงก็จะทำให้เกิดประโยชน์ได้มหาศาลเลยทีเดียว”
คุมะฮาจิยกถ้วยชาขึ้นมาจิบระหว่างการสนทนา ส่วนคาเงะโทระก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“รูปแบบของอาคมก็แตกต่างกันมาก… อาจจะเป็นเพราะต้องรับมือกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่า จึงได้พัฒนาไปทางจุดประสงค์นั้น”
“พัฒนา? เพื่อรับมือเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง? อย่างนั้นรึขอรับ?”
“ประเทศนี้ยึดถือเรื่องจิตวิญญาณกันเป็นหลัก จึงมีแต่อาคมที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ แต่ในแผ่นดินใหญ่นั้นมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเอลฟ์กับมังกรใช่ไหม? จึงต้องเสริมพลังและความสามารถกันโดยตรงเพื่อรักษาสมดุลอำนาจกับพวกนั้น อย่างเสริมความแข็งแกร่งทางร่างกายอย่างของเจ้าชายที่พูดไปก่อนหน้านี้ กับพวกที่ทำให้วัตถุแข็งแรงทนทาน… ความสามารถของพวกเขาคงออกไปทางนั้นเสียมากกว่า”
“อืม… ข้าน้อยก็ไม่ถนัดการคิดวิเคราะห์เรื่องแบบนี้เสียด้วยสิ”
“พูดง่ายๆก็คือ ข้าคิดว่าอาคมสำหรับ ‘มองเห็นจิตใจของผู้อื่น’ ก็ไม่น่าจะมีปรากฏให้เห็นในแผ่นดินใหญ่เช่นกัน”
“พูดถึงท่านฮิโนเอะรึขอรับ…”
“เด็กคนนั้น ข้าซื้อมาเมื่อสองปีก่อน ก่อนหน้านั้นเธอผอมแห้งอดอยากซ้ำยังล้มป่วยเจียนตาย ก็ไม่ถือว่าแปลกสำหรับประเทศนี้แหละนะ”
คาเงะโทระเล่าให้ฟังอย่างขมขื่น ถอนหายใจก่อนจะสูดควันยาสูบเข้าไปอีกครั้งก่อนพูดต่อไป
“ตอนที่ไปคฤหาสน์เจ้าแคว้นก็บังเอิญไปเห็นเธอนอนหมดสติอยู่ในสวน หลังจากไถ่ถามคนอื่นๆก็ได้ความว่า เธอถูกสั่งให้รับผิดชอบงานทั้งหมดในสวน ภายใต้แดดจัดในตอนกลางวันเช่นนั้น พวกเขาคงอยากกำจัดเธอทางอ้อมนั่นแหละ”
“หืม? หรือว่าท่านฮิโนเอะจะเกิดในตระกูลที่มีฐานะขอรับ? สถานที่แบบนั้นไม่น่ารับเด็กชาวบ้านมาเป็นข้ารับใช้มิใช่รึขอรับ?”
คาเงะโทระเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเติมยาสูบเป็นรอบที่สาม
“ถูกต้อง เธอเป็นลูกสาวคนที่สามของตระกูลนักรบที่มีตำแหน่งสูงพอตัว และยังเป็นคนเดียวในตระกูลที่มีพลังต้องสาปอันน่ารังเกียจ”
“……เช่นนี้เองหรอกหรือ”
คุมะฮาจิไม่มีคำจะเอ่ย แต่คาเงะโทระก็ยังเล่าต่อไป
“ถ้ายังปล่อยเอาไว้ก็คงจะตายไปทั้งอย่างนั้น ข้าจึงได้ขอซื้อมาไงล่ะ”
“ขอซื้อ… ได้อย่างไรกัน?”
“ใช่สิ ก็การค้ามนุษย์เป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ข้าซื้อมาเป็นเพียง ‘สิ่งของ’ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็คือ ‘พลังต้องสาป’ ของเธอ และตัวเธอก็คือส่วนประกอบที่ทำให้สิ่งของชิ้นนั้นใช้งานได้ แม้ฟังดูไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสักเท่าไร แต่ถ้าว่ากันตามกฎหมายก็ไม่ผิด”
“เป็นแค่สิ่งของสินะขอรับ และที่บอกว่าคู่หมั้น…”
“ก็นั่นไงล่ะ เพราะเป็น ‘สิ่งของ’ ที่ใช้เงินซื้อมา ก็หมายความว่าจะถูกซื้อกลับไปเมื่อใดก็ได้ หากถูกลักขโมยหรือทำลายก็จะนับเป็นสิ่งของเพียงชิ้นเดียวใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถึงต้องเปลี่ยนฐานะให้เป็น ‘คู่หมั้น’ เพราะเป็นว่าที่ภรรยาของผู้นำตระกูลอื่น ทางนั้นก็จะลงมือได้ยาก แม้ลำดับยศจะต่ำกว่าก็ตาม”
หลังจากอธิบายจนจบ คาเงะโทระพ่นควันยาสูบลอยอบอวลไปถึงเพดาน
“น่าตกใจจริงๆ คนอย่างท่านพี่จะคิดปกป้องผู้อื่นเป็นกับเขาด้วย”
“…ก็คงน่าตกใจพอๆกับการที่แกพูดแดกดันคนอื่นด้วยสีหน้าจริงจังนั่นแหละ”
“ยังไงหรือขอรับ…?”
ระหว่างที่คุมะฮาจิกำลังคุยกับคาเงะโทระอยู่นี้ ก็มีเงาเล็กๆปรากฏขึ้นให้เห็นจากอีกฝั่งของผืนกระดาษที่ติดอยู่บนโครงประตูเลื่อน
“ขออภัย ฮิโนเอะเจ้าค่ะ”
“เข้ามาได้”
คาเงะโทระตอบอนุญาตอย่างรวดเร็ว ฮิโนเอะเปิดประตูเลื่อน ก้มตัวลงต่ำจนทำให้ดูตัวเล็กลงไปอีก และโค้งให้กับคุมะฮาจิกับคาเงะโทระจากหน้าห้อง จากนั้นก็หันมาทางคาเงะโทระอย่างช้าๆในท่าหมอบ
“ขออภัยที่ขัดจังหวะ ข้าน้อยส่งเจ้าหญิงมารีเบลกับท่านเซเลนถึงห้องรับรองแขกเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ”
“หลังจากนี้จะไปโรงครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น มื้ออาหารจะเป็นไปตามที่ท่านคาเงะโทระสั่งไว้กับคนครัวก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ”
“งั้นรึ”
“แล้วก็…”
ในตอนนี้เสียงของเธอเบาลง ฮิโนเอะเงยหน้าเล็กน้อย เหลือบมองไปที่ดวงตาของคาเงะโทระ
“…ได้เป็นเพื่อนกันแล้วเจ้าค่ะ”
“…งั้นรึ”
คาเงะโทระยังคงตอบอย่างเคร่งขรึมเหมือนทุกที แต่น้ำเสียงของเขาในคำพูดสุดท้ายต่างออกไปเล็กน้อย ซึ่งคุมะฮาจิก็สังเกตเห็นในเรื่องนี้
“ข้ารับรู้สิ่งที่เจ้ามารายงานแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอีกก็ไปได้”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
เพียงเท่านี้ ฮิโนเอะปิดประตูเลื่อนและลุกเดินกลับไป ฮิโนเอะเข้าใจดีว่า แม้จะเป็นคู่หมั้นของเจ้าบ้านแต่ก็ไม่ใช่ฐานะของเธอจริงๆ เพราะเธอถูกซื้อมาด้วยเงิน เธอจึงต้องตั้งใจทำงานบ้านทุกอย่างที่ทำได้ขณะอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดที่จะไปช่วยเตรียมอาหารให้กับเซเลนและแขกคนอื่นๆ
เสียงฝีเท้าของฮิโนเอะไกลออกไปเรื่อยๆจนเงียบสนิท เหลือเพียงสองพี่น้องที่ยังอยู่ในห้อง
“…พูดถึงตรงไหนแล้วนะ อื่ม ข้าซื้อฮิโนเอะมาก็เพราะอย่างนี้แหละ อาคมของเด็กคนนี้สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มัวแต่อคติกับ ‘พลังต้องสาป’ มากเกินไปจนมองไม่เห็นความสำคัญของเธอ”
“ถ้าชอบพอกัน ทำไมไม่อ่อนโยนกว่านี้หน่อยล่ะขอรับ?”
“ความหลงใหลกับความเห็นใจมันต่างกัน เป็นคู่หมั้นก็แค่ในตอนนี้เท่านั้น ในอนาคตอาจจะเจอคนที่เหมาะสมที่แท้จริงก็ได้ สุดท้ายแล้วข้าก็ซื้อเธอมาในฐานะ ‘สิ่งของ’ เหมือนกับคนที่ยอมทุ่มเงินซื้อแจกันราคาแพงมาครอบครอง พวกเขาก็หวงแหน ‘สิ่งของ’ เหล่านั้นเช่นเดียวกัน”
“อ้อมค้อมเกินไป บอกท่านฮิโนเอะไปตรงๆว่าอยากเห็นเธอมีความสุข จะง่ายกว่านะขอรับ”
“…ถ้ายังพูดเรื่องนี้อยู่อีกจะให้งดข้าวเย็นนะ”
“ฮ่าฮ่า โหดร้ายจริงๆ”
คุมะฮาจิชอบใจที่แหย่คาเงะโทระให้หงุดหงิดได้สำเร็จ พี่ชายของเขาเป็นคนจริงจัง เหตุผลที่เขาซื้อฮิโนเอะมาก็เพราะเวทมนตร์ของเธอแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่คนไร้หัวใจ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ซื้อเด็กสาวผู้อาภัพคนหนึ่งมาเลี้ยงดูอย่างดี เหมือนกับการที่เขาเคยรับฟังความฝันเกี่ยวกับการออกเดินทางไปดูโลกกว่างเพียงลำพังของน้องชายและลงมือช่วยเหลือจนสำเร็จ
“จากที่เห็น ท่านฮิโนเอะเป็นที่ยอมรับของเจ้าหญิงมารีเบลกับท่านเซเลน ก็เท่ากับว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมพอสมควรขอรับ ได้เจ้าสาวที่ดีขนาดนี้ ทำเอาข้าน้อยรู้สึกอิจฉาเลยล่ะ”
“พูดไปตั้งขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ! ความรู้สึกรักใคร่อย่างที่แกคิดนั่นมันไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆหรอก”
“เรื่องล้อเล่นพอแค่นี้ก่อนดีกว่า ข้าน้อยคาดหวังกับอาหารฝีมือท่านฮิโนเอะอยู่ไม่น้อย รสชาติของสาเกกับซาซิมิที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี”
คุมะฮาจิพูดแล้วก็หัวเราะออกมา คาเงะโทระคาบกล้องยาสูบไว้ไนปากและถอนหายใจออกมาพร้อมกับควัน
“บ้าหรือเปล่า เอาซาซิมิให้ชาวตะวันตกกินเนี่ยนะ”
“เอ๋ ถ้าอย่างนั้น…”
“ก็บอกไว้แล้วว่าเชิญมาในฐานะแขกผู้มีเกียรติ และการต้อนรับแขกก็ไม่ใช่การหาของที่ดีที่สุดมามอบให้ แต่เป็นการมอบของที่พวกเขาต้องการต่างหาก อีกทั้งยังเป็นช่วงใกล้ค่ำ ปลาสดในตลาดก็ไม่น่าจะมีเหลือ”
“เอ่อ แล้วซาซิมิ กับเม่นทะเล…”
“ก็ไม่มีน่ะสิ มื้อเย็นจะเป็นอาหารปรุงสุก รสจัดแบบที่ชาวตะวันตกชอบ แม้ไม่รู้ว่าจะทำให้ถูกปากได้หรือเปล่า แต่ก็ยังดีกว่าให้แขกกินของดิบๆอย่างซาซิมิหรือเม่นทะเลแน่นอน”
“โธ่… ข้าน้อยอุตส่าห์กลับบ้านมาทั้งที คิดว่าจะเลี้ยงฉลองด้วยซาซิมิดีๆที่ไม่ได้กินมานานเสียอีก…”
คุมะฮาจิบ่นอุบอิบ แต่คาเงะโทระก็ไม่สนใจราวกับมองดูเด็กที่กำลังงอแง
“เพราะมันคือการเลี้ยงต้อนรับแขกไม่ใช้การเลี้ยงฉลองให้แก อย่างแกน่ะ ให้ข้าวปั้นไปลูกเดียวยังเสียดายเลย”
“โหดร้ายจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านเซเลนกับเจ้าหญิงมารีเบลก็บอกว่า ‘อยากกินซาซิมิ’ นะขอรับ”
“ดูสถานการณ์ในตอนนั้นด้วยสิ ถึงพวกเธอจะอายุยังน้อยแต่ก็เป็นทูตจากประเทศที่ใหญ่โต พวกเธอต้องหาหัวข้อสำหรับเริ่มต้นการเจรจากับข้าให้ได้ก่อน จึงแค่ยกตัวอย่างขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าอยากกินซาซิมิจริงๆ”
สิ่งที่คาเงะโทระเข้าใจก็ไม่เชิงว่าถูกหรือผิด เพราะตอนที่คาเงะโทระได้ฟังจากมารีคือเรื่องหลังจากที่เธอพยายามเบี่ยงเบนประเด็นซาซิมิของเซเลน ส่วนเซเลนแค่อยากกินซาซิมิจริงๆ
◆◇ ◆ ◇◆
และแล้วก็มาถึงเวลาอาหารเย็น เซเลนกันคนอื่นๆถูกเชิญมาที่ห้องพื้นเสื่อทาทามิที่มีขนาดกว้าง เจ้าบ้านคาเงะโทระกับน้องชายคุมะฮาจินั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนมารี เซเลน และฮิโนเอะ นั่งเรียงกันอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แต่ก็เห็นหน้ากันได้ทุกคน ผู้ติดตามคนอื่นๆถูกแยกไปอีกที่เนื่องจากฐานะที่แตกต่าง ภายในห้องนี้จึงมีแต่พวกเขา กับคนรับใช้ที่ยกอาหารและคอยเก็บจานอยู่อีกไม่กี่คน
“เพราะเตรียมการอย่างเร่งด่วน หากมีอะไรที่ทำให้เจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่ไม่พอใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้”
“ไม่หรอก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว!”
ฮิโนเอะกล่าวขอโทษ แต่มารีก็กำลังตื่นเต้นไปกับชุดอาหารที่ถูกจัดไว้ให้ในแต่ละคน ข้าวทากิโกมิ(ข้าวหมกรวมมิตร)ที่มีผักหลายอย่างกับถ้วยเนื้อตุ๋น กลิ่นหอมเตะจมูกแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนในทวีป เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าบ้านตระกูลของคุมะฮาจิจะไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตหรือร่ำรวยมากนัด แต่ก็เลือกใช้คนได้อย่างเชี่ยวชาญ คนครัวที่มีฝีมือโดเด่น ไปจนถึงคนรับใช้ เวรยามรักษาความปลอดภัยล้วนมีคุณภาพสูง คาเงะโทระมีสายตาในการเลือกหาสิ่งที่ ‘คุ้มค่า’ ที่สุดมาครอบครอง
“อร่อย!”
ถึงเซเลนจะกินได้ทุกอย่างตราบเท่าที่เป็นมันเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ แต่อาหารตามแบบฉบับของญี่ปุ่นก็เป็นของคุ้นเคยที่ไม่ได้กินมานาน จึงยัดทากิโกมิกับเนื้อตุ๋นใส่ปากราวกับสูบกิน โชคดีที่ปากและกระพุ้งแก้มของเซเลนยังเล็ก ทำให้ดูเหมือนเหมือนเด็กผู้หญิงกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ถึงกับมูมมาม คาเงะโทระเห็นแล้วก็น่าชื่นใจอยู่ไม่น้อย
“ทำให้คุณหนูเซเลนชอบได้ก็ดีแล้ว ไม่ทราบว่าถูกปากเจ้าหญิงมารีเบลด้วยหรือเปล่า?”
“อือ เป็นการต้อนรับที่น่าชื่นชมมากค่ะ!”
มารีเองก็ดูเหมือนจะถูกใจอาหารมือนี้ เธอตักชิ้นเนื้อตุ๋นขึ้นมา เป่าให้หายร้อนแล้วใส่ปากไปทั้งคำ เธอรับประทานอาหารอย่างร่าเริงแต่ก็ไม่ลืมว่าตนเองมาทำอะไร เมื่อถูกคาเงะโทระถามก็ตอบกลับอย่างสุภาพ
เมื่อเห็นผู้รับชอบใจ ผู้ให้ก็มีความสุข คาเงะโทระกับคุมะฮาจิมองดูรอยยิ้มของเด็กสาวด้วยความรู้สึกยินดี
“…ท่านเซเลน ใช้ตะเกียบเก่งจังเจ้าค่ะ”
มารีและฮิโนเอะดูเซเลนอยู่ข้างๆ เห็นเซเลนใช้ตะเกียบรับประทานอาหารได้อย่างชำนาญ
“อือ เธอไม่ธรรมดาหรอกนะ เรียกว่าอัจฉริยะได้เลยล่ะ”
ฮิโนเอะแปลกใจ ทั้งที่มารีซึ่งเป็นชาวต่างชาติเหมือนกันไม่สามารถใช้ตะเกียบได้ แต่เซเลนใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อตุ๋นและตักข้าวทากิโกมิขึ้นมาใส่ปากได้อย่างต่อเนื่อง ดูเป็นธรรมชาติไม่มีปัญหาใดๆ
ความสามารถในการใช้ตะเกียบของเซเลนอาจเรียกได้ว่าเป็นสูตรโกงของผู้ที่มาเกิดใหม่ แม้ความรู้ต่างๆจากชีวิตก่อนของเธอจะมีประโยชน์ แต่ก็นำมาใช้เฉพาะกับเรื่องไร้สาระท่านั้น
“อิ่มแล้ว”
“ขอบคุณสำหรับอาหาร อร่อยสุดๆเลยล่ะ!”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากท่านทูตจากประเทศมหาอำนาจแห่งผืนทวีป”
มื้ออาหารจบลง ต่างคนต่างแยกย้าย คาเงะโทระกลับไปสูบยาสูบอยู่อีกห้อง ก่อนที่มารีจะกลับไปห้องพัก เธอพูดแก้ประโยคสุดท้ายของเธอว่า ‘อร่อยมากค่ะ!’ ทำให้คุมะฮาจิหัวเราะออกมา ซึ่งฮิโนเอะเองก็ยิ้มออกมาด้วย
เหลือแต่เซเลนที่ยังอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เซเลนกำลังตั้งใจสำรวจสรีระของสาวใช้ที่เข้ามาเก็บโต๊ะทำความสะอาดอยู่รอบๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น รวมถึงคาเงะโทระด้วย
◆◇ ◆ ◇◆
“เสือ! เสือ! เสือ!”
“อ้าว? คุณหนูเซเลน มีธุระอะไรกับข้ารึ?”
ผ่านไปพักใหญ่หลังมื้ออาหาร ช่วงก่อนเวลาเข้านอน เซเลนออกมาอยู่ที่ทางเดิน เรียกคาเงะโทระที่บังเอิญผ่านมาคนเดียวแถวนั้น
“ซาซิมิ?”
“…หืม”
แม้คาเงะโทระจะตั้งใจฟังก็ยังไม่แน่ใจในคำพูดของเธอ แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเซเลน
ข้าวทากิโกมิกับเนื้อตุ๋นก็อร่อยดีอยู่แล้ว ถึงขนาดกินทุกวันก็ไม่เบื่อ แต่เป้าหมายหลักของเซเลนคือซาซิมิกับเม่นทะเล ซึ่งไม่มีให้เห็นในมื้อที่ผ่านมานี้ เป็นไปได้ว่าสาวใช้ยกอาหารมาให้ผิดชุด
“ซาซิมิ… หมายถึงมื้อเย็นนี้สินะ แต่ก็ไม่มีซาซิมินี่นา”
“อยากกิน ซาซิมิ! ตามนั้น!”
เซเลนพยายามเต็มที่ เพราะหากมาถึงที่แล้วไม่ได้กินก็อาจจะหมดสิทธิ์ไปตลอดกาล ทั้งๆที่มันเป็นแค่ซาซิมิ แต่เพราะมันเป็นซาซิมิจึงยอมไม่ได้ เซเลนจึงต้องร้องขอซาซิมิอย่างไม่เกรงใจฐานะแขกของตนเอง
กรณีเดียวกับเอนเต้ เพื่อนของเธอ กับเอ็นไก่ทอดซึ่งเป็นอาหารพิเศษเพราะไม่ได้เลี้ยงอาหารชนิดนี้ให้กับคนทั่วไป เธอต้องเข้าไปตีสนิท คุยกันให้ถูกคอ จนกว่าจะถูกยอมรับขึ้นมา
คาเงะโทระมองไปอย่างประหลาดใจ เขาเคยคิดว่ามันเป็นการพูดคุยกันตามมารยาท ปรกติแล้ว อาหารเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และเข้าถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องค่อยๆซึมซับทำความเข้าใจไปทีละน้อย กับคนที่ไม่เคยสัมผัสแล้วจะให้ปฏิบัติตามทันทีนั้นคงเป็นเรื่องยาก แต่เด็กสาวคนนี้ต้องการเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาจนคิดจะกินอาหารแปลกๆเช่นนี้เข้าไปจริงๆ
คาเงะโทระมองไปยังใบหน้าอันงดงามของเซเลนที่ดูเหมือนจะร้อนรนอยู่เล็กน้อย ซึ่งคาเงะโทระเองก็เช่นกันแต่เขาก็พยายามทำตัวให้นิ่งสงบเข้าไว้ ผู้ที่เดินทางมาจากแผ่นดินใหญ่นั้นมีน้อยมาก ยิ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจใหญ่โตยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อคิดถึงอนาคตแล้ว ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อสร้างความสัมพันธ์เอาไว้ให้ได้
อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นเด็กผู้หญิงที่คาดเดาความคิดได้ยาก ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ อาจจะยุ่งยากไปบ้างแต่ก็ต้องทำเช่นนั้น จึงตั้งใจให้ทางนั้นทำความคุ้นเคยอย่างช้าๆและเขาจะคอยสังเกตการตอบสนองไปทีละขั้นตอน นั่นคือสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้
แต่ท่านทูตเซเลนกลับเป็นฝ่ายแสดงความประสงค์ออกมาเอง เพราะฉะนั้นก็อาจจะข้ามรายระเอียดเล็กๆน้อยๆที่ต้องใช้เวลานานได้ การผูกมิตรกับมหาอำนาจของแผ่นดินใหญ่ก็จะไม่เสียเวลาเท่าที่คิด
“…คิดว่าท่านพูดไปตามมารยาทเสียอีก แต่คำขอนี้เป็นความตั้งใจของท่านเซเลนจริงๆสินะ?”
“อือ”
ใช่แล้ว ตอนนี้แทบจะหายใจเข้าเป็นซาซิมิ หายใจออกเป็นเม่นทะเลแล้ว
“ย่อมได้ พรุ่งนี้เช้าจะให้คนไปหาวัตถุดิบชั้นดีมาเตรียมการให้”
“ดีจัง!”
เซเลนขอบคุณคาเงะโทระด้วยรอยยิ้มอันงดงาม ทั้งที่จริงคาเงะโทระเองก็อยากจะเป็นฝ่ายขอบคุณด้วยเช่นกัน และคาเงะโทระก็นึกถึงเรื่องที่คุมะฮาจิเคยพูดให้ฟังก่อนหน้านี้ คือ มีความเป็นไปได้ว่าคนที่เป็นหัวใจหลักของการทูตในครั้งนี้ไม่ใช่เอกอัครราชทูตอย่างเจ้าหญิงมารีเบล แต่เป็นคุณหนูเซเลนที่จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ใจกล้าไม่เบา สมแล้วที่เชิญเผ่าพันธุ์ที่ถูกตัดขาดมานับร้อยปีมาเจรจาได้สำเร็จ”
“หืม?”
“…เปล่า ไม่มีอะไร”
“งั้นก็ ราตรีสวัสดิ์”
“เชิญพักผ่อนให้สบายเถิด”
เมื่อคำขอได้รับการอนุมัติ เซเลนก็เดินกลับไปนอนต่อได้อย่างสบายใจ โดยที่คาเงะโทระยังยกย่องที่เด็กสาวผู้มีเสน่ห์คนนี้พยายามศึกษาวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างจริงจัง ทั้งที่จริงเซลนไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น
“อ๊ะ เกือบลืม!”
หลังจากออกห่างไประยะหนึ่ง เซเลนนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงวิ่งกลับมาหาคาเงะโทระ
“ขอซาซิมิ ให้มารี ด้วย”
“สำหรับเจ้าหญิงมารีเบลด้วย?”
“อือ”
“อืม… แต่เธอดูเหมือนไม่อยากพูดถึงมัน… เอาเถอะ ไม่มีปัญหา!”
“ขอบคุณมาก!”
เมื่อคิดดูดีดีแล้ว การเดินทางครั้งนี้ ตั้งแต่แรกมันคือการใช้ให้คุมะฮาจิพามารีมากินซาซิมิกับเม่นทะเล หากเจ้าภาพยังไม่ได้กินแล้วตัวเธอเองได้กินอยู่คนเดียวมันจะดูไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงต้องขอให้มารีด้วย หากเป็นคนอื่นก็จะปล่อยให้หากินเอาเองไปแล้ว แต่เพราะเป็นสาวน้อยน่ารักเซเลนจึงต้องเอาใจเป็นพิเศษ
ด้วยความเอาใจใส่ของเซเลน ทำให้มารีจะต้องเผชิญกับวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดในการเดินทางในครั้งนี้