[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 46.09: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน1)
- Home
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์
- ตอนที่ 46.09: เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน1)
ตอนพิเศษ 09
เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน1)
“เฮ้อ…”
ในที่สุด การประชุมระหว่างเอลฟ์และมนุษย์ก็จบลงไปอีกวัน เซเลนอยู่ในสภาพอ่อนล้า แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เซเลนก็เป็นโรคแปลกๆที่เหมือนกับภูมิแพ้เมื่อเธอได้สัมผัสกับบรรยากาศของ ‘การทำงาน’ ติดต่อกันเป็นเวลานาน และแน่นอนว่าโรคนี้ไม่มีอยู่จริง
แม้ตามตัวจะไม่มีผื่นขึ้น การหายใจก็ไม่ติดขัด แต่ในความรู้สึกมันคือภูมิแพ้แน่นอน ตอนที่ยังอยู่ในญี่ปุ่น เธอเคยเอ็ดเพื่อนร่วมงานที่สัปหงกในที่ประชุมว่า ‘ประชุมอยู่แท้ๆยังกล้าหลับอีกเรอะ?’ แต่สำหรับเซเลนในตอนนี้ที่มีหน้าที่แค่นั่งเฉยๆก็คิดจะทำเรื่องแบบเดียวกันโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ขอพัก บ้างเถอะ…”
เพราะเคยชินกับการว่างงานมานาน งานทุกอย่างจึงหนักหนาเกินไปสำหรับเซเลน ในเมื่อเธอทำงานติดต่อกันมาหลายวันแล้วก็ควรจะได้รับวันลาพักร้อนสักหกเดือนโดยได้รับค่าจ้างบ้าง เซเลนคิดเช่นนี้และปลดชุดพิธีการที่เทอะทะออกให้หลวมก่อนออกจากห้องประชุมเพื่อกลับไปนอนต่อโดยไม่ให้เสียเวลา
เมื่อออกจากห้องก็สังเกตเห็นใครบางคนที่ระยะนี้ไม่ค่อยได้เจอ ผู้ที่เซเลนเข้าใจว่าเป็นชายวัยกลางคนที่ดูหม่นหมอง ใบหน้ามีหนวดเครา ในชุดกิโมโนสีครามเก่าๆ คุมะฮาจิ
“อืม…”
คุมะฮาจิยืนพิงผนังส่งเสียงครุ่นคิด ท่าทางดูเหมือนกำลังหนักใจจากอะไรบางอย่าง ซึ่งผิดปรกติสำหรับชายที่ชอบพูดจาโผงผางทำตัวตามสบายแบบเขา แม้แต่ตอนที่เซเลนที่เข้าไปใกล้ เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว
“หมี เป็นอะไร?”
“อ้าว? ท่านเซเลนเองรึ หากอยู่ที่นี่ก็แสดงว่าการประชุมของวันนี้เสร็จสิ้นแล้วสินะขอรับ?”
“อือ หมี ไม่สบาย ปวดตรงไหน?”
เซเลนถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเข้าใจถึงปัญหาของชายวัยกลางคน จึงเดาว่าอาการของคุมะฮาจิน่าจะมาจากการปวดหลังปวดเอวตามประสาคนแก่ ทั้งที่จริงคุมะฮาจิไม่ได้แก่ แต่เพิ่งอายุยี่สิบเท่านั้น
“ถ้าถามว่าปวดอะไร ก็น่าจะเป็นข้างในหัว ไม่ใช่ร่างกายขอรับ”
“ปวดหัว?”
“ข้าน้อยถึงได้มารอพบองค์ชายหลังการประชุมอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น คงต้องขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านเซเลน”
คุมะฮาจิโค้งให้กับเซเลนก่อนจะเดินไปหามิลานที่เพิ่งออกมาจากห้องช้ากว่าเซเลนพร้อมกับพวกเอลฟ์ หลังจากพวกเขาได้คุยกันสั้นๆที่หน้าห้อง มิลานก็แยกตัวออกจากกลุ่มของเอลฟ์และกลับเข้าไปในห้องประชุมกับคุมะฮาจิเพื่อพูดคุยกันต่อ
“หมี น่าสงสาร…”
เซเลนที่อยู่ดูทั้งคู่จนลับสายตาก็รู้สึกเห็นใจคุมะฮาจิ เข้าใจว่าอาการ ‘ปวดหัว’ ที่พูดถึงก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้เอง มิลานที่เป็นเจ้านายเรียกคุมะฮาจิมาใช้งานหรือต่อว่าเรื่องอะไรบางอย่างทั้งๆที่ดึกป่านนี้แล้ว ถึงจะสงสารว่าคุมะฮาจิจะโดนอะไรบ้าง แต่เซเลนก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี จึงกลับห้องไปอย่างเงียบๆ
◆ ◇ ◆ ◇ ◆
“ขออภัยที่รบกวน ท่านคงเหนื่อยจากการประชุม”
“ไม่มีปัญหา ว่ามาได้เลย”
ระยะนี้ตรารางงานของมิลานแน่นจนแทบไม่มีเวลาว่างจากการร่วมฝึกซ้อมตามปรกติในช่วงเข้าและเข้าร่วมประชุมพร้อมกับเซเลนในตอนเย็นถึงหัวค่ำ คุมะฮาจิจึงรู้สึกผิดที่มารบกวน แต่มิลานก็เต็มใจรับฟังคุมะฮาจิ และคิดช่วยแก้ปัญหาของสหายผู้นี้อยู่แล้ว
“เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อเช้านี้มีจดหมายจากพี่ชายที่บ้านเกิดส่งมาว่า ‘ถ้ายังไม่ตายก็โผล่หน้ามาให้เห็นหน่อย’ น่ะขอรับ”
“เคยได้ยินอยู่ว่านายเป็นลูกคนที่สอง ถ้าจำไม่ผิด พี่ชายของนายชื่อ…”
“คาเงะโทระ ขอรับ เป็นพี่ชายที่ใครๆก็พูดว่าเป็นพี่น้องที่ไม่เหมือนกันเลย ปัจจุบันเป็นผู้นำตระกูลของข้าน้อยขอรับ”
ประเทศบ้านเกิดของคุมะฮาจิจะถือว่าบรรลุนิติภาวะที่อายุสิบห้าปี หลังจากนั้นจะถูกนับเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีบรรลุนิติภาวะในประเทศของตนแล้ว คุมะฮาจิก็ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นโดยมีเหตุผลคือการฝึกตน จากไปโดยนำสัมภาระติดตัวเพียงน้อยนิดและทิ้งจดหมายไว้ให้ครอบครัว ขึ้นเรื่อไปยังต่างแดนจนได้มาถึงผืนแผ่นดินใหญ่
หลังจากเร่ร่อนอยู่นานนับปี ในที่สุดก็ได้งานเห็นหลักเป็นแหล่งจนได้รับตำแหน่งเป็นผู้ติดตามของเจ้าชายลำดับหนึ่งของประเทศที่ชื่อว่าเฮลิฟาลเต้
“หรือก็คือ… จะกลับไปอยู่บ้านเกิดสินะ ถึงจะอยากให้อยู่ช่วยงานทางนี้ต่อก็เถอะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัวก็คงไม่รั้งตัวไว้หรอก”
“ไม่ใช่สิ! ผิดแล้วขอรับ! สถานที่ของข้าน้อยมีแต่ที่นี้เท่านั้น ต่อให้ตายก็จะถูกฝังไว้ที่ประเทศนี้ ประเทศที่ไม่คิดจะเปิดรับอะไรใหม่ๆแบบนั้น ข้าน้อยอยู่ไม่ไหวหรอกขอรับ”
“ประเทศปิดที่ไม่เคยติดต่อกับคนอื่นเลยก็เป็นแบบนั้นแหละน่า ที่พูดมานี่ก็ไม่ได้มีความหมายในทางไม่ดีหรอกนะ”
ประเทศบ้านเกิดของคุมะฮาจิมีลักษณะเป็นเกาะขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากตัวทวีปที่เป็นแผ่นดินใหญ่ออกไปไม่ไกลมาก จึงไม่ใช่สถานที่ที่การเดินทางเข้าถึงไม่ได้ แต่ประเทศนั้นไม่ต้อนรับต่างชาติที่เข้ามาขอคบค้าสมาคมด้วย แม้แต่อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจอย่างเฮลิฟาลเต้ก็ยังแผ่ขยายไปไม่ถึง ทั้งที่ประชากรก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกันแล้ว แม้แต่เอลฟ์ก็เรียกได้ว่าต้องการรู้จักโลกภายนอกมากกว่า
“ก่อนหน้านี้ก็ถูกบอกให้กลับไปหลายครั้งแล้ว และข้าน้อยก็เพิกเฉยอยู่เรื่อยมา แต่รอบนี้ถูกบอกมาว่า ‘หากพี่น้องไม่อยู่กันพร้อมหน้า ตระกูลได้ถึงคราวล่มลายแน่’ เป็นคำขู่ที่ทำให้รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อยเลยขอรับ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ไม่ใช่ ฮ่าฮ่าฮ่า สิ นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ”
คุมะฮาจิพูดติดตลกเหมือนปรกติ แต่เขาก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของทางนั้นว่าถูกคนอื่นมองอย่างไร ลูกชายคนโตเป็นผู้สืบทอดลำดับหนึ่งขึ้นเป็นผู้นำตระกูลสืบทอดหน้าที่การงาน แต่ผู้สืบทอดลำดับสองซึ่งก็คือคุมะฮาจิ ตัดขาดตระกูลออกไปรับใช้ต่างชาติที่ไม่รู้จัก
“เป็นความหวาดระแวงไร้สาระของคนที่ไม่เคยออกจากเกาะนั่นแหละขอรับ ถ้าไม่คิดจะเปิดกรงออกมา ก็จะไม่มีวันได้รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด”
“กลับไปให้เห็นหน้าสักครั้งจะดีกว่า ยิ่งทางนั้นเดือดร้อนอยู่ด้วย ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าทำเป็นเรื่องไกลตัวนักเลย”
คุมะฮาจิไหล่ตก แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับการกลับบ้านเกิดของเขา ตรงข้ามกับใครบางคนที่อยากกลับไปถูกขังที่บ้านเกิดพร้อมกับพี่สาว
“ถ้าพูดถึงขนาดนั้น ข้าน้อยคงต้องขอลากลับบ้านสักระยะ เมื่อถึงเวลานั้น ต้องขออภัยที่ช่วยแบ่งเบาภาระขององค์ชายไม่ได้ แต่ข้าน้อยจะจัดการธุระให้เสร็จและกลับมาให้เร็วที่สุดขอรับ”
“ทางนี้ไม่คิดว่าเป็นปัญหาหรอก ไม่ว่าใครก็มีเรื่องที่ต้องทำด้วยตนเองด้วยกันทั้งนั้น”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”
คุมะฮาจิโค้งให้กับมิลาน ทุกวันนี้การติดต่อกับเอลฟ์ก็ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่ต้องทำก็มากขึ้นตามไปด้วย กำลังคนจึงไม่ค่อยจะพอ มิลานต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ คุมะฮาจิซึ่งเป็นผู้ช่วยอย่างก็มาขอลางานเพราะเรื่องส่วนตัวอีก เขารู้ว่าเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมแต่ก็ต้องมาบอกเรื่องนี้กับมิลาน และถึงมิลานจะปฏิเสธก็จะยอมรับแต่โดยดี เพราะฉะนั้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณมิลานจากใจจริง
“ถึงจะน่าหนักใจ แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่นที่ข้าน้อยต้องกลับไปอยู่อีกขอรับ”
“ดาบของนายสินะ?”
“ถูกต้องขอรับ ดาบของข้าน้อยเสียหายจากการเข้าประทะมังกรแดงในครั้งนั้น ถึงจะใช้ดาบเล่มอื่นได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะหาดาบที่เหมาะกับข้าน้อยได้ในประเทศนี้ขอรับ”
คุมะฮาจิเกาหัวขณะพูดเช่นนั้น ความแข็งแกร่งทางร่างกายและความสามารถในการต่อสู้ของคุมะฮาจิอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดใด เขาก็นำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้น หากต้องการแสดงศักยภาพออกมาให้ได้ถึงขีดสุดก็จำเป็นต้องมีดาบที่เหมาสมกับวิชาดาบของเขา
เนื่องจากประเทศต่างๆในทวีปนี้ไม่มีการติดต่อค้าขายกับประเทศบ้านเกิดของเขา ถึงจะมีพ่อค้ารายย่อย ก็ไม่มีคนไหนคิดนำอาวุธแปลกๆราคาแพงแต่ไม่มีใครต้องการมาขายต่อ แม้แต่ย่านการค้าของเฮลิฟาลเต้ที่เป็นศูนย์รวม ก็ยังหาซื้อไม่ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่ากลับไปเพื่อหาดาบดีๆมาใช้งาน ก็ยังเรียกได้ว่าคุ้มค่าอยู่
“คุมะฮาจิ ไหนๆก็จะเดินทางไปประเทศนั้นแล้ว ถ้าผมจะขอให้ช่วยทำธุระให้เรื่องหนึ่งล่ะ?”
“ธุระขององค์ชาย?”
มิลานทำท่าเหมือนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาเช่นนั้น คุมะฮาจิจึงถามกลับไป
“อือ จัดคนคุ้มกันมารีที่เป็นเอกอัครราชทูตเฉพาะกิจไปที่ประเทศบ้านเกิดของนาย ได้ไหม”
“เจ้าหญิงมารีเบล? แต่ว่า… ไม่สิ เหตุผลล่ะขอรับ?”
“เกาะที่เป็นบ้านเกิดของนายแม้จะอยู่ไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่แต่ก็ไม่มีการสร้างความสัมพันธ์ใดๆกับประเทศอื่นเลยใช่ไหมล่ะ ตามปรกติก็น่าจะคิดว่าปล่อยเอาไว้แบบนั้นก็ได้ แต่ถ้าเห็นสิ่งที่เซเลนพยายามทำอยู่ในตอนนี้แล้วก็จะรู้ว่าเป็นความคิดที่ผิด”
“อืม…”
“เพราะได้เซเลนมาเปิดโอกาสให้ พวกเราถึงสร้างความสัมพันธ์กับเอลฟ์ได้ จากนั้นสิ่งต่างๆก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เคยคิดว่าประเทศนี้อยู่ในสภาวะที่เจริญรุ่งเรื่องที่สุดแล้ว แต่กลับเทียบกับช่วงเวลานี้ไม่ได้เลย ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปภายในเวลาสั้นๆ ผมจึงอยากเป็นฝ่ายที่ริเริ่มทำอะไรให้กับประเทศนี้บ้าง จะมัวแต่รอให้เซเลนมาชี้ทางให้ไม่ได้”
แต่เซเลนก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ทำเรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อย ในขณะที่เรื่องราวต่างๆดำเนินไปด้วยตัวของมันเองอยู่รอบตัวเธอ โดยที่คนรอบข้างเอาไปตีความเอาเองตามใจชอบ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่ก็ไม่มีใครรู้ความจริงนี้
“อย่างน้อยก็อยากให้ถึงขั้นที่นับเป็นพันธมิตรกันได้ พึงพากันได้อย่างผมกับนายนี่แหละ จริงๆก็ควรจะไปด้วยตัวเองแต่ทางนี้ก็มีเรื่องของเอลฟ์ให้จัดการอีกมาก ไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่นเลย”
“เรื่องนั้นก็เข้าใจได้ขอรับ แต่เหตุผลหลักจริงๆคือเหตุผลที่เลือกเจ้าหญิงมารีเบลใช่ไหมขอรับ?”
คุมะฮาจิยิ้มที่มุมปากและถามต่อไป มิลานก็เข้าใจดีอยู่แล้ว ถึงคุมะฮาจิจะดูเหมือนพวกที่อ่านบรรยากาศไม่ออก แต่เขาก็เก่งในด้านการอ่านเจตนาของอีกฝ่าย
“อือ คิดแบบนั้นก็ไม่ผิด ตอนนี้มีรีอายุสิบขวบแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องตระหนักถึงหน้าที่ของราชวงศ์ที่มีต่อประเทศ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้มารีคงทำไม่ไหว แต่เธอก็แสดงความรับผิดชอบในฐานะพี่สาวของเซเลนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และมารีก็เป็นเด็กฉลาดอยู่แล้ว เธอจะไม่สร้างปัญหาให้อย่างแน่นอน”
“ระยะนี้เจ้าหญิงมารีเบลดูเอาการเอางานมากขึ้นอย่างที่ท่านว่าจริงๆขอรับ ตั้งแต่ได้ใกล้ชิดกับท่านเซเลน”
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เซเลนไม่ได้ทำอะไร แล้วทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีด้วยตัวของมันเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่ท่านตัดสินใจขอรับ ข้าน้อยจะเริ่มเตรียมการทันที กำหนดการอย่างเป็นทางการจะเอาไว้ที่หลัง ต้องไปแจ้งให้องค์ราชากับราชินีรับทราบก่อน รวมถึงบอกเจ้าหญิงมารีเบลและท่านเซเลนให้รับรู้เอาไว้ด้วยขอรับ”
“ผมจะไปขออนุญาตกับท่านพ่อและท่านแม่เอง ส่วนมารีกับเซเลน…”
“ข้าน้อยจะไปคุยกับท่านเซเลนเองขอรับ องค์ชายไปเกลี้ยกล่อมเจ้าหญิงมารีเบลเถิด”
“…ไหงเอาเรื่องยากมาให้ผมทำเฉยเลยล่ะ”
“ผิดแล้วขอรับ ท่านเซเลนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ว่าใครไปพูดก็รับฟัง แต่สำหรับเจ้าหญิงมารีเบล ให้ได้ฟังจากปากพี่แท้ๆของเธอจะเหมาะกว่านะขอรับ”
คุมะฮาจิตั้งใจเลือกคนที่คุยด้วยง่ายกว่าจริงๆ ไม่ใช่วาเขาเกลียดเธอ แต่เจ้าหญิงมารีเบลเป็นประเภทที่คุมะฮาจิรับมือไม่ค่อยได้ ถึงเขาจะเป็นนักรบที่เก่งกาจสักแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกัน ส่วนเซเลนเป็นคนที่มีนิสัยง่ายๆในแบบที่คุมะฮาจิคุยด้วยแล้วสบายใจมากกว่า
นั้นคือสิ่งที่มิลานและคุมะฮาจิเข้าใจ แต่จริงๆแล้ว เซเลนค่อนข้างเรื่องมากในการเลือกที่จะเชื่อฟังใครสักคน ยกตัวอย่างง่ายๆ หากผู้หญิงหรือสาวสวยมาบอกกับเธอว่า ‘ว่ายน้ำให้ดูหน่อย’ แม้จะฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่เธอก็จะกระโดดลงน้ำไปว่ายให้ดูเหมือนกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ แต่ถ้าเป็นหนุ่มรูปงามอย่างมิลานมาขอร้องให้ทำอะไรบางอย่าง แม้จะเล็กน้อยหรือง่ายดายแค่ไหน เธอก็จะคิดต่อต้าน เพิกเฉย หรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
มิลานและคุมะฮาจิออกจากห้องประชุมไปดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้ มิลานไปบอกกับมารีให้เธอเดินทางไปกับคุมะฮาจิในฐานะเอกอัครราชทูตของประเทศ และคุมะฮาจิก็ไปหาเซเลนเพื่อแจ้งข่าวว่าตัวเขากับมารีจะเดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลาสองถึงสามสัปดาห์
อาจจะดูโหดร้ายเกินไปถ้าจะให้เซเลนผู้ที่ถูกคุมขังมานานต้องลงไปอยู่ในเรื่อแคบๆสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทร จึงเป็นการดีที่จะให้เซเลนได้อยู่อย่างปรกติในพระราชวัง